Saturday, 4 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘เท่าพิภพ’ หยั่งเสียง!! โชว์ภาพตัวอย่าง ฉลากใหม่คุม ‘เหล้า-เบียร์’ ด้านชาวเน็ต ชี้!! ถ้าคนจะดื่ม ติดภาพน่ากลัวขนาดไหน ก็ดื่มอยู่ดี

จากกรณี ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความคำเตือน สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า พ.ศ. … ที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกรมควบคุมโรค เปิดรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่ 12-29 กุมภาพันธ์ 2567

โดยมีสาระสำคัญ คือกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก และข้อความคำเตือนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า ดังนี้

1.) กำหนดให้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นภาชนะบรรจุต้องมีปริมาณบรรจุสุทธิไม่น้อยกว่า 175 มิลลิลิตร
2.) กำหนดให้บรรจุภัณฑ์และฉลากของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องไม่ใช้ข้อความตามที่กฎหมายกำหนด
3.) กำหนดให้มีข้อความคำเตือนบนภาชนะบรรจุของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4.) กำหนดให้มีข้อความคำเตือนถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บนภาชนะบรรจุและหีบห่อบรรจุของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งให้จัดทำเป็นรูปภาพ 4 สี 9 แบบ สับเปลี่ยนกันไปตามลำดับในอัตรา 1 แบบ ต่อ 1,000 ภาชนะบรรจุและหีบห่อบรรจุ
5.) กำหนดขนาดของข้อความคำเตือนถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น โดยให้ประกาศมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ล่าสุด วันนี้ (26 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.)  โพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร – Taopiphop Limjittrakorn’ ระบุว่า…

“[ฉลากเบียร์น่ากลัว #SoftPower ไหม]

ตัวอย่างฉลากที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ที่มีอำนาจออกกฎห้ามขายเวลา วัน และออนไลน์) พยายามออกข้อบังคับใช้ให้ติดบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดทุกประเภท

ฉลากต้องใส่รูปน่ากลัว 30% ของพื้นที่ขวด ทางสมาคมคราฟท์เบียร์ ลองทำตัวอย่างตามกฎหมายมาสภาพจะออกมาประมาณในภาพครับ

ตอนนี้ร่างรอหมอชลน่านเซ็นรับรองเเละบังคับใช้ได้เลย

ทุกท่านคิดเห็นว่าไงครับ

#สุราก้าวหน้า #ก้าวไกล”

หลังจากโพสต์ข้อความไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น…

- “คิดว่าฉลากไม่มีผลสำหรับคนดื่มแอลกอฮอลล์ครับ คนไม่ดื่มคือยังไงก็ไม่ดื่ม ส่วนคนดื่มติดภาพน่ากลัวขนาดไหน ก็ดื่มอยู่ดี เหมือนบุหรี่”
- “หน้าซองบุหรี่ก็เห็นทำมานาน ถามว่าช่วยทำให้คนสูบบุหรี่น้อยลงไหม? ก็ไม่ แต่เป็นข้อบังคับก็ต้องทำอะเนอะ”
- “ตกลงมันเขาผลิตมาให้คนดื่มหรือเอาไปฉีดฆ่าวัชพืชครับ”
- “ติดไว้หน้าซองบุหรี่ ก็เห็นสูบกันพรึบพรับ คนเค้าเห็นทุกวันมันชิน”
- “ผมเห็นฉลากแล้ว จะอ้วกคือ อาจจะหยุดดื่มได้เลยครับ”
- “ตัวอย่างที่ล้มเหลว เช่น บุหรี่ ยอดลูกค้าเพิ่มทุกปี ต่อให้ราคาเพิ่ม ลูกค้าก็เหนี่ยวแน่น แถมได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆเพิ่มอีก สุราก็น่าจะล้มเหลวเช่นกัน ต้องแก้ไขที่คนดื่ม ปลูกฝังให้มีความรับผิดชอบ”

'ด้อมส้มรักเจ้า' ประกาศกร้าว!! ก้าวไกลแลนด์สไลด์รอบหน้า ต้องยึด รธน. 60 คัดทิ้งผู้สมัครถ่อย ไม่ถอยให้คอร์รัปชัน ยึดมั่นใน 'ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์'

(1 มี.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก @dlyplmpud ด้อมส้มผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไปพร้อม ๆ กับสนับสนุนพรรคก้าวไกล ได้โพสต์คลิปวิดีโอเปิดใจต่อพรรคก้าวไกล แนะนำว่าควรปรับเปลี่ยนตัวพรรคอย่างไรบ้าง เพื่อแลนด์สไลด์ในภายภาคหน้า โดยระบุว่า…

สวัสดีครับผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่รักชาติ รักสถาบันทุกท่าน…ถึงแม้เราจะเลือกก้าวไกล แต่เราก็รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนกันกับทุกคน ดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลสมัยหน้าเราแลนด์สไลด์ และต้องคัดเลือกผู้สมัครที่มีประวัติสวยงาม ประวัติไม่ดีหรือเป็นอาชญากรตัดออกจากพรรคให้หมด พร้อมดําเนินการปราบปรามคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ กล้าชนกับทุกคอร์รัปชัน โดยอิงตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นประชาธิปไตย เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนลงมติมา 16 ล้านเสียงให้เป็นรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้ฉบับนี้ ดังนั้นขอสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 ผู้ประกันรัฐธรรมนูญ 2560 มีโทษถึงประหารชีวิตสําหรับคนที่ทุจริตและคอร์รัปชัน

ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้เพราะเราจะมาต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตัดคนที่โกหกออกจากพรรค เพราะคนที่โกหกไม่ทําชั่วไม่มี และกําจัดคนที่คิดล้มล้างสถาบันออกไปจากพรรคให้หมด อย่าให้การสนับสนุนใด ๆ กับคนพวกนี้ ซึ่งเป็นคนคิดชั่ว อย่าให้มาแปะเปื้อนกับพรรคที่สวยงามของเรา

สนับสนุนให้พรรคก้าวไกลคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงลงสมัครรับเลือกตั้ง อย่าเอาผู้สมัครที่แสดงพฤติกรรมเถื่อนถ่อยและนิสัยที่ไม่ดีทางโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลใด ๆ มาเป็นผู้แทน ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของเยาวชน และสนับสนุนให้พรรคส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามและมารยาทที่ดีงาม นําความสวยงามของความเป็นคนไทยไปสู่สากล นําไทยให้เป็นผู้นําสากล ไม่ใช่เอาสากลมาครอบงําประเทศไทย ขอสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกวิถีทางช่วยกันพี่น้อง…

‘ดนุพร’ ฟาด ‘พิธา’ มุมมองไม่ลึก-ข้อมูลไม่ครบ  ทำให้ปชช.เข้าใจผิด ยืนยันไทยพร้อม เป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค

(3 มี.ค.67) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ากรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศศักยภาพของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ถ้าทำให้แค่นายทุน ชาวต่างชาติ มีคนมาลงทุนมากมาย แต่ไม่เคยไหลลงมาสู่แรงงานไทยว่า ถือเป็นคำวิจารณ์แบบผิวเผิน ด้วยมุมมองที่ไม่ลึกพอที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ และไม่ได้มองในมิติภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน 

นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา รวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย ตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค การเดินทางที่จะขนทั้งคน ทั้งของและการบริการ คือการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินอันดามันที่ จ.พังงา จะรองรับผู้โดยสารสูงสุดที่ 40 ล้านคนต่อปี จำนวนผู้โดยสารที่มี หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ ประชาชนขายของได้ โรงงานต้องผลิตเพิ่ม แรงงานมีงานทำ ภาพรวมทั้งระบบเติบโตสอดคล้องกัน

นายดนุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่นายพิธา กล่าวถึงการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วจะเรียกคืน โดยกล่าวว่า รัฐบาลให้สิทธิในการเช่าแค่ 3 ปี อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ ผมจะทำร้านก๋วยเตี๋ยว ทาสียังไม่แห้ง เขาจะเอาคืนก็ได้ ความมั่นคงในชีวิตมันไม่มีนั้น เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ที่ผ่านมาการจัดสรรที่ดินทำกินในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ตามที่นายพิธากล่าวอ้าง สำหรับที่ราชพัสดุหนองวัวซอ เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน 

“รัฐบาลนายเศรษฐาเพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่องในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดลรัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก ขอตำหนินายพิธาหากต้องการทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์อย่างที่ก้าวไกลอยากเป็น ควรเริ่มที่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนกับประชาชน”  นายดนุพร กล่าว

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ 4 มี.ค.นี้ จะบุกจี้ ผบ.ตร. เพื่อเร่งดำเนินคดีอาญา ‘พิธา-พรรคก้าวไกล’

(3 มี.ค.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ดำเนินคดีอาญาพิธาและพรรคก้าวไกล” โดยได้ระบุว่า หมอวรงค์และพรรคไทยภักดี จะไปยื่นหนังสือต่อผบ.ตร. เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีอาญานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และเครือข่าย ที่ใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567 เวลา 10.30น. ณ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่ ‘พิธา’ เดินสายไร้เป้าหมาย แนะควรรู้จักหน้าที่ ชี้ ‘เศรษฐา’ ขึ้นเชียงใหม่ 3 ครั้ง เดินหน้าแก้ฝุ่น ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้

(16 มี.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีกำหนดร่วมภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 16 - 17 มี.ค.ในระยะเวลาเดียวกันกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.ว่า นายเศรษฐาประกาศนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่น ตั้งแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย จนถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายเศรษฐายังตอบสนองตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 และมีมติคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ต่อรัฐสภาแล้ว นายเศรษฐายังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นด้วยตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่นายกฯ เดินทางไปแล้วถึง 3 ครั้ง 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 นายกฯ มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 67 ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ย้ำทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ผ่านไป 2 เดือน นายกฯ เยือน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือตาม 6 แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และครั้งล่าสุดตามกำหนดการครั้งนี้ เพื่อเฝ้าสอบถามและติดตามความคืบหน้าต่อไปตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบริหาร

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผ่านมาเกือบ 7 เดือนแล้วนับแต่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคก.ก.โดยเฉพาะผู้บริหารพรรค ควรเข้าใจบทบาทของฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว ว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารหรือเสนอแนะรัฐบาล หากทำงานผิดพลาดหรือใช้งบประมาณโดยไม่ถูกต้อง แต่หากนายพิธาและพรรคก.ก.เคลื่อนไหวในลักษณะนอกบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจเกิดการพัฒนาได้ ก็จะสร้างคำถามและความสับสนขึ้นได้ ว่าการเดินสายลักษณะนี้ใครจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้นายพิธามูฟออนกลับมาสู่ความเป็นจริง ที่สำคัญคือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสายโดยไร้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา จริงจังกับการเดินหน้าติดตามแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล  กล่าวระหว่างเดินทางไปยังร้านเล่า ถนนนิมมานเหมินท์  เพื่อแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่ซื้อหนังสือ 'ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน' 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล 
กล่าวระหว่างเดินทางไปยังร้านเล่า ถนนนิมมานเหมินท์ 
เพื่อแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่ซื้อหนังสือ 'ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน' 
วันที่ 17 มี.ค.67
 

'รองโฆษก รทสช.' ซัด 'ก้าวไกล' ทำตัวเหมือนผี ชอบเล่นเกม นับองค์ประชุม อยากเอาชนะ หวังให้สภาล่ม หวังทำคอนเทนต์ เพื่อเล่นงานฝั่งตรงข้าม

(30 มี.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคก้าวไกลมีเนื้อหาระบุว่า...

สส.ก้าวไกลเหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่แสดงตน 

หวังทำ 'สภาล่ม' แต่ล้มไม่เป็นท่า

คืนที่ผ่านมาถือว่า น่าตื่นตาทีเดียวกับบรรยากาศประชุมสภาเรื่องพิจารณาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ฝ่ายค้านดิ้นสุดฤทธิ์ที่จะดึงเกมให้สภาล่ม และสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็รวมใจกันชนะโหวต ด้วยการแสดงตนในสภา ด้วยวาจา '253 ต่อ 0 เสียง' งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2

ขณะที่พรรคก้าวไกล ผู้ประกาศก้องว่าพรรครุ่นใหม่ รักและศรัทธาประชาธิปไตย แต่พร้อมใจหายตัวเป็นวิญญาณ ไม่เหลือสักตัวยามแสดงตน

"ว้ายมา 2 ก็เคยแล้ว"... รอบนี้เหลือศูนย์จะเป็นไรไป ไม่แสดงตนไปเลยแบบเมื่อคืนจบๆ พรรครุ่นใหม่เล่นเกมได้ทุกองศา หากต้องการเอาชนะ ตอนหลังแถลงข่าวเสียงอ่อยว่า เห็นด้วยกับคาสิโน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย..คืออะไร?

สรุปแล้ว:

- ยอมหักดิบยอมผิดคำพูด ข้อตกลงวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
- ยอมถ่วงความเจริญ ปัดตกญัตติเปลี่ยนส่วยคาสิโน เป็นภาษี
- ยอมทำสภาล่ม หวังทำคอนเทนต์เล่นงานฝั่งตรงข้าม

ทุกความพยายามในการทำ 'สภาล่ม' จากสภาสมัยที่แล้ว จนถึงสมัยนี้ ด้วยวิธีเดิมๆ ขอนับองค์ประชุมแบบเด็กอยากเอาชนะ ไม่ต่ำกว่า 30-40 ครั้ง เสียหายครั้ง 4.1 ล้านบาท โดยไม่สนว่าจะเป็นการลงมติที่มีประโยชน์กับบ้านเมือง หรือกำลังแก้ปัญหาปชช.แต่อย่างใด

ไร้ซึ่งเจตจำนงทำงานเพื่อประชาชน

ไร้ซึ่งเกียรติในการทำงานประสานความร่วมมือ

จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม 'ว่าว' นายกฯ

เพราะขนาดอยากทำ 'สภาล่ม' ยังว่าวไม่เป็นท่า

‘ก้าวไกล’ จัดก่อนเกม ศึกซักฟอก 3-4 เม.ย. นี้ ซัด!! รัฐบาล พท. รับใช้ ปชช. หรือ คนหนุนให้มีอำนาจ

(1 เม.ย. 67) เพจ ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า... 

7 เดือนเต็ม หลังการขึ้นบริหารประเทศของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลผสมข้ามขั้วระหว่างเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกือบครบทุกพรรค

7 เดือนที่ประชาชนที่ผิดหวังกับการจัดตั้งรัฐบาล ยังหวังว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องจะดีขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลเพื่อไทย ที่พิสูจน์ฝีมือมาแล้วในอดีต จะนำพาประเทศไทยไปข้างหน้า แก้ปัญหาของประชาชนที่หมักหมมมากว่า 10 ปีได้ แต่วันนี้

ดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่มา ค่าแรงขึ้นเป็นหย่อม ๆ ค่าไฟแพงขึ้นเรื่อย ๆ ลูกหลานยังต้องไปเกณฑ์ทหาร นักโทษคดีการเมืองยังติดคุก (และบางคนได้กลับบ้าน)

วันนี้ เกิดคำถามว่า รัฐบาลเพื่อไทย กำลังทำเพื่อใคร? เพื่อประชาชน หรือเพื่อคนที่หนุนนำให้ได้ตั้งรัฐบาล? รัฐบาลที่จัดตั้งมาโดยฝืนความต้องการของประชาชน จะรับใช้ประชาชน หรือรับใช้คนที่อนุญาตให้ตนได้กลับมามีอำนาจ?

3-4 เมษายนนี้ เชิญชวนประชาชนทุกท่านร่วมรับฟังการอภิปรายทั่วไป พรรคก้าวไกลจะนำทุกท่านไปหาคำตอบว่า รัฐบาลเพื่อใคร? ทำไมในหัวใจ ไม่ใช่ประชาชน 

‘พิธา’ เปิดใจเศร้า อภิปราย ม.152 อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง

(5 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้าย ว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อยว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ตนไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน

“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าอธิปอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อน สส. ข้าง ๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริง ๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ…จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ส่วน คือ สรุป สะสาง และเสนอแนะ ส่วนแรกเป็นการสรุป ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ 8 ฮับของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของประชาชน Ignite Thailand จะเป็น Darkness Thailand

“มืดเรื่องปากท้อง มืดเรื่องส่วย มืดผูกขาด มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มืดปฏิรูปของไทย มืดมนคุณภาพชีวิต มืดกระบวนการยุติธรรม ประชาชนคนไทยตอนนี้มืด 8 ด้าน ที่ทั้งล้มเหลว ล่าช้า และละเลย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง

นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่าตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง

“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ ยังมีของสำนักข่าวรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่า ใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่างงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ...เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง

“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว

ช่วงนี้ นายพิธา ขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปราย มีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะอธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

ก่อนจะไล่เรียงต่อว่า เรื่องภาคส่วนการผลิต นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า สึนามิเหตุการณ์ลงทุน ตนก็ดีใจว่าไม่ใช้คำว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีตแล้ว แต่สึนามิมันทำลายล้างทุกอย่าง ตนกังวลว่าสึนามิของการลงทุนจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนกับ BOI จะเห็นได้ว่ามาจากประเทศจีน รถ EV มากขึ้น แล้วรถสันดาปที่อยู่ในประเทศไทยจะจัดการอย่างไร นายกรัฐมนตรีได้คิดหรือยัง

ส่วนภาคส่วนการลงทุน นายกรัฐมนตรี บอกว่า โตขึ้น 2.5 เท่าในไตรมาสที่ 4 ก็เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประเทศไทยตอนนี้เป็นอันดับ 6 นำอยู่แค่กัมพูชา ลาว เมียนมา 2 ปีซ้อน อย่าเพิ่งดีใจ ทุกประเทศเพิ่มขึ้นหมด ส่วนการบริการ จะมีประโยชน์อะไรถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่มโหฬร แต่โฟกัส 80% อยู่แค่ 5 จังหวัด เราไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่ทำให้คนเขาอยากจะไปให้มากกว่าแค่ 5 จังหวัด ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้น

นายพิธา กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะตอบโต้ แทนที่จะเป็นการตอบสนอง ซึ่งไม่ใช่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากนี้ ต้องเร่งสางปมตำรวจด้วย

“เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองทะเลาะกัน ท่านเป็นผู้สั่งพักงานทั้งคู่ ท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมาเลยประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง”

โดยในช่วงท้าย นายพิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ 

1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวการณ์ผู้นำของรัฐบาล ตนคืดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.ได้แล้ว เอาคนให้ตรงกับงาน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือน พอที่จะเห็นภาพ ว่าใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องที่ทำอยู่ 

2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะมีโรดแมป ในสิ่งที่จะทำได้แล้ว 

3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 เพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเสียงที่ประเสริฐที่สุด

จากนั้น เวลา 02.03 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส.ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2566 - 9 เม.ย. 2567

จากนั้นได้อ่านพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม และสั่งปิดการประชุมในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น จำนวนกว่า 36 ชั่วโมง

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top