Saturday, 18 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘ดร.เสรี’ ชี้!! ภาพลักษณ์พรรคก้าวไกลเสียหายหนัก อาจต้องหาทางขับ ‘ปูอัด’ เพื่อทวงแต้มกลับคืนพรรค

(4 พ.ย. 66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า…

เจ้าตัวเขาบอกว่าเขาไม่ผิด ไม่ได้คุกคามทางเพศ

กรรมการวินัยของพรรคตัดสินว่าผิดจริง หัวหน้าพรรคแถลงว่า สส.ผิดจริง สส.พรรคเดียวกัน 116 คนโหวตให้ขับออก

เจ้าตัวออกมาแถลงว่า เขาไม่ผิด เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายหญิงยินยอม แสดงว่าไม่มีสำนึก ไม่คิดจะขอโทษเหยื่อ

แบบนี้แล้วหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรคที่โหวตขับเขาออกจากพรรคจะว่ายังไง

ยังมีประชาชนในพื้นที่มาให้กำลังใจเขาอยู่นะ แบบนี้แล้วพรรคยังมีเอกภาพอยู่อีกหรือ?

หัวหน้าพรรคทำถูกแล้ว ที่จะเรียกประชุมกรรมการพรรคพิจารณาพฤติกรรมของ สส.รายนี้ใหม่อีกครั้ง

ถ้าสรุปว่าเขาไม่ทำตามมติพรรค อาจจะขับออก

ถ้าทำได้ตามที่หัวหน้าพรรคพูด ภาพลักษณ์ของพรรคก็พอจะตีตื้นกลับมาได้บ้าง ตอนนี้เสียหายไปเยอะแล้วนะ

‘เหยื่อ สส.ปูอัด’ ซัด!! เจ้าตัวไม่สำนึก เผยข้อมูลสู่สาธารณชน-ซ้ำเติมเหยื่อ ลั่น!! ผิดหวัง 22 สส.ก้าวไกล อุ้มคนผิด-เพิกเฉยต่อความรุนแรงทางเพศ

(4 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส.ก.เนอส ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล และ รองโฆษกสภากทม. ได้รีโพสต์ ผู้ใช้ X (ทวิตเตอร์) เปิดเผยจดหมายเปิดผนึกของผู้เสียหาย กรณี นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล เพื่อไว้อาลัยให้กับการละเลยในการตระหนักเรื่องความรุนแรงทางเพศ โดยมีเนื้อหาว่า…

“จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อไว้อาลัยให้กับความละเลยของคุณ ในการตระหนักถึงประเด็นความรุนแรงที่เกิดจากการคุกคาม การล่วงละเมิดทางเพศและความเหลื่อมล้ำทางเพศในสังคมปัจจุบัน

ดิฉันเห็นว่าประเด็นความรุนแรงและความเหลื่อมล้ำทางเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตามประเด็นเหล่านี้ เป็นประเด็นที่บุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘ตัวแทนของประชาชน’ จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

จากเหตุผลข้างต้นทําให้ดิฉันรู้สึกผิดหวังในผลการลงคะแนนเสียงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเผยให้เห็นว่าสมาชิก ผู้แทนราษฎร 22 คน ในพรรคก้าวไกล ยังไม่ตระหนักถึงความรุนแรงจากการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้น

นอกจากนั้น ยังเพิกเฉยต่อทัศนคติที่คับแคบและขาดความรับผิดชอบของผู้กระทำ การพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม สําหรับกรณีความรุนแรงทางเพศจำเป็นต้องมีการสอบสวนถึงปัจจัย หลักฐาน และเจตนาของผู้กระทำ

ดิฉันมีความ พยายามอย่างเต็มที่ในการมอบหลักฐานทั้งหมดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงเจตนาที่ชัดเจนของผู้กระทำในการล่วงละเมิดทางเพศ

ความคาดหวังของดิฉัน คือ การที่สมาชิกผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ซึ่งมักยกย่องตนเองว่าเป็นผู้มีการศึกษา มี เกียรติ และมีความตระหนักรู้ถึงประเด็นต่างๆในสังคม ใช้วิจารณญาณและจิตสำนึกความเป็นเพื่อนมนุษย์ในการ ตัดสินโดยพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังจนทำให้ดิฉันเกือบจะสิ้นหวัง เพราะผลลัพธ์นั้นแสดงให้เห็นว่าสมาชิกบางท่านได้ปล่อยให้แรงจูงใจส่วนบุคคล บ่อนทําลายการแสวงหาความยุติธรรม

ขณะนี้สังคมจําเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เพิกเฉยต่อกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ และไม่ควรหาคำแก้ตัวใดๆ ที่พยายามลดความรุนแรงของพฤติกรรมดังกล่าว การล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่ชัดและปฏิเสธไม่ได้

การกระทํา ที่ทำให้ผู้อื่นตกเป็น ‘วัตถุทางเพศ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทำโดยบุคคลในตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือกว่า สามารถ ให้คุณ ให้โทษได้ ถือเป็นความผิดร้ายแรง

ดิฉันเห็นว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยเจตนาว่าคนเหล่านั้นไม่มีความสำคัญ ลดทอนคุณค่า และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ การกระทำนี้เป็น สิ่งที่ ‘น่ารังเกียจ’ ส่งผลทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างใหญ่หลวงต่อผู้เสียหาย

ความอยุติธรรมที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การที่ผู้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ตระหนักรู้ถึงความผิดนั้น นอกจากนั้นยังมีการกล่าวหาและนำข้อมูลส่วนตัวของดิฉันออกสู่สาธารณชน การกระทำเหล่านี้เป็นการโยน ความผิดและผลักภาระในการพิสูจน์ความจริงมาที่ผู้ร้องโดยตรง

ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่ตามหลอกหลอน ผู้ถูกกระทำแม้กระทั่งหลังจากที่ได้รับความยุติธรรมแล้วก็ตาม และมีเพียง ‘เหยื่อ’ เท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ ผลกระทบที่เจ็บปวดอย่างหาที่สุดไม่ได้จากการล่วงละเมิดทางเพศ

จากสิ่งที่ดิฉันได้ชี้แจงข้างต้น ดิฉันขอวิงวอนให้ทุกท่านพิจารณาอีกครั้งว่า บุคคลนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้แทนราษฎรหรือไม่ ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ว่า ถ้าหากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับคนใกล้ชิด คนสนิท พี่สาว น้องสาว ลูกสาวหรือภรรยาของคุณ

คุณจะยังยินดีที่สนับสนุนบุคคลที่คุกคามทางเพศหรือไม่ คุณยังยืนยันที่จะเข้าข้างเพื่อนของคุณหรือไม่ คุณเป็นเพียงนักการเมืองที่มีอคติอีกคนที่ปล่อยให้ผลประโยชน์ส่วนตัวกลืนกิน จิตสำนึกของคุณหรือไม่ หรือคุณจะเป็นนักการเมืองที่ยืนอยู่บนหลักการ ความจริง และความถูกต้อง

การตัดสินใจของคุณในครั้งนี้สะท้อนมุมมองและทัศนคติของคุณ รวมถึงอุปนิสัยและความจริงใจในการตระหนักถึง ความรุนแรงในการคุกคามทางเพศ

นอกจากนี้ ผลลัพธ์จากทางเลือกที่คุณตัดสินใจยังทำหน้าที่เป็น เครื่องเตือนใจ ว่าคุณได้ล้มเหลวในความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้แทนราษฎรที่ดี และไม่สามารถเป็นผู้แทนราษฎรที่ประชาชนไว้ใจอีกต่อไป”

ด้วยความนับถือ

ผู้เสียหาย

น่าเศร้า!! 22 เสียง โหวตไม่ขับ สส. คุกคามทางเพศออกจากพรรค สะท้อน!! ระดับ ‘จริยธรรม-คุณธรรม’ สส. อันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

สิ่งที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าการมี สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็คือมี สส. มากถึง 22 คน ที่โหวตให้ สส. ที่คุกคามทางเพศไม่ต้องถูกขับออกจากพรรค สะท้อนให้เห็นมาตรฐานทาง 'จริยธรรม' และ 'คุณธรรม' ของ สส. พรรคดังกล่าวที่สุดแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน 

คนที่จะอาสามาเป็น สส. หรือ 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ถ้าอยากให้สังคมประเทศนั้น ๆ เจริญแบบยั่งยืน จำเป็นมากที่ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีความชอบธรรมในหัวใจ ต้องมีแนวในการดำรงชีวิตที่ไม่เอนเอียง หวั่นไหว หรือด่างพร้อยไปในทางเสียหาย เรียกว่าต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่าคนธรรมดาสามัญแบบเรา 

นั่นเพราะประชาชนช่วยกันเลือกให้เข้ามา 'เป็นปากเป็นเสียง' แทนเขา ซ้ำยังกินเงินเดือนที่มาจาก 'เงินภาษีของประชาชน' ทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษ และโอกาสทางสังคมอื่น ๆ อีกมากมาย 

ฉะนั้นถ้า สส. ผู้ทรงเกียรติ กลายมาเป็น 'โจรบ้ากาม' เสียเอง แล้วประชาชนจะมี สส. ไว้ทำไม?

การคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment แม้จะแบ่งออกเป็นหลายระดับ เริ่มจากเบาไปหาหนัก และการรับโทษก็มีระดับที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ตัวแทนของประชาชน' จะทำได้ 

หน้าที่ของพวกท่านจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องคงไว้ซึ่งกฎกติกา เพื่อเกียรติยศ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งล้วนถือสิ่งที่ สส. ทุกคนที่เข้ามารับหน้าที่พึงตระหนักไว้ว่า ตนเองคือ ผู้สร้างสิ่งที่ดีงามให้กับผู้คน ไม่ใช่ผู้ทำร้าย ทำลาย ทั้งร่างกาย จิตใจ หรือชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องตายทั้งเป็น 

อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็น สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในสังคมไทย ก็ถือว่าหนักหนา จนประชาชนผู้อ่อนต่อโลกย่อมรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่แย่ และน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าก็คือมีเพื่อน สส. ในพรรคการเมืองเดียวกันมากถึง 22 คน โหวตให้ไม่ต้องขับ สส. คนดังกล่าวออกจากพรรค 

จุดนี้เปลือยให้เห็นถึงรสนิยมการใช้ชีวิต และวิธีคิดที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างมาก 

แทนที่จะหันมาดูแลปกป้องเหยื่อ กลับไปโหวตสนับสนุนคนผิด นี่น่ะหรือที่มักประกาศบอกต่อชาวโลกว่าเป็นพรรคการเมืองที่มาจากแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อจะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายไปสู่สิ่งที่ดี ๆ

หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าล้มล้างสถาบัน หลอกใช้เด็ก ๆ ให้ไปติดคุกในคดี 112 แทน กลิ้งกลอก ย้อนแย้ง ตลบตะแลง ไม่จริงใจ สู้เพื่อความเท่าเทียมอันจอมปลอม ยังไม่พอ มาวันนี้ยังสนับสนุนให้ 'สส. หื่น' ได้เชิดชูเป็น สส. ของพรรคต่อไป

ขอฝาก สส. คนที่ได้ไปต่อว่า หลังจากวันนี้ถ้าอาการ 'หื่นสาว' ยังไม่หมดหายไปจากจิตใต้สำนึก แนะนำให้ไปขอผู้หญิงของ สส. 22 คนที่โหวตให้คุณรอดมาเป็น 'เหยื่ออารมณ์' 

ลองถามเขาดูว่ามีเมีย มีน้องสาว หรือลูกสาว ที่พอจะให้คุณ 'คุกคามทางเพศ' แก้เหงาได้ไหม เชื่อว่าน่าจะมีส่งมาให้คุณแก้ขัดในห้วงเวลาก่อนที่ชื่อเสียงของคุณจะตายสนิทไปจากสังคมไทย 

อ้อ!! อย่าลืมโค้งคำนับเขากลับถี่ ๆ ด้วยล่ะ รับรองว่าเขาจะไม่ว่าอะไร เพราะการที่เขาแสดงออกถึงการโหวตสนับสนุนคุณ มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเขาชอบในสิ่งที่คุณทำไม่ดีกับเหยื่อคนอื่น...

คงคิดไม่ต่างกัน!!

‘บุ๋ม ปนัดดา’ ถามหาจุดยืน ‘พรรคก้าวไกล’ ปมดรามาฉาวของ สส.ในพรรค กรณีการคุกคามทางเพศ

เมื่อไม่นานนี้ ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ ‘คุณบุ๋ม’ อดีตนางสาวไทย นักแสดง นักร้อง และพิธีกรชาวไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึง ประเด็นการคุกคามทางเพศ ของ ‘สส.พรรคก้าวไกล’ ในรายการ ‘ตีข่าวเล่าความ’ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 66 ทางสำนักข่าววันนิวส์ ข่าวช่องวัน ซึ่งมี ‘คุณแจ็ค ศรีสุภางค์ ธรรมาวุธ’ ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยคุณบุ๋ม ปนัดดาได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า…

“อย่าว่าแต่พี่งงเลย คนในพรรคเองเขายังงงเลย ถึงขนาดขึ้นจอดํากันเองแบบนี้ เขาก็คงต้องคุยกันนะ ถึงเวลาที่ทางพรรคเขาต้องคุยกันแล้ว ว่าบทบาทและจุดยืนที่แท้จริงของเขาคืออะไร?

หรือว่าเป็นเพียงแค่คําพูดที่ฉันชอบ ฉันชอบคําพูดเขามากเลยนะ ว่าเขาจะรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ สู้เพื่อสิทธิสตรีกันนมากขึ้น แต่พอเกิดวิกฤตจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้น? นี่คือคําถามที่สังคมตั้งคําถามกับพรรคนี้แน่นอน”

นอกจากนี้ ทางคุณแจ็ค ศรีสุภางค์ ได้ถามคุณบุ๋ม ปนัดดา อีกว่า “คุณบุ๋มคิดว่า ทางพรรคก้าวไกลควรมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้” ทางคุณบุ๋ม ปนัดดาตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องมานั่งโหวตอะไรแบบนี้หรอก เพราะยิ่งโหวต มันยิ่งดูทําให้พรรคดูแย่ เพราะอะไรรู้ไหม? สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแย่ก็คือ คุณเอาผู้หญิงไปนั่งซักถามข้อมูลอยู่ในนั้นตั้งกี่ชั่วโมง คุณไม่ใช่ตํารวจคุณมีสิทธิ์อะไรนำตัวเขาไปซักข้อมูล แต่ถ้าเกิดผู้หญิงคนนึงที่ต้องการจะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แล้วต้องไปนั่งต่อหน้าผู้คนเยอะแยะมากมาย แล้วบอกว่าฉันโดนคนนี้ เพื่อน สส.ของคุณเนี่ย ทําแบบนี้ และผลออกมา คือ คุณดูเหมือนจัดการอะไรไม่ได้เลย ก็ทำแค่หยุดบทบาท แต่คนก่อเหตุก็ยังเดินไปมาอยู่ในพรรคนั้นน่ะ”

“เหมือนเวลาที่พี่ทําคดี แล้วพี่ต้องสู้กับทหาร พี่ไม่รู้เลยว่าคดีถูกตัดสินอย่างไร ทหารคนนั้นที่ก่อเหตุเขาถูกตัดสินอย่างไร แต่มันคือความเจ็บปวดของผู้เสียหายและของเหยื่อนะ เพราะว่าในส่วนขั้นตอน กระบวนการนั้น เราไม่รู้เลยว่าเขาตัดสินกันอย่างไร เขาบอกเพียงแค่ว่า “เดี๋ยวเขาจัดการกันเอง” เหมือนกันเลย สิ่งที่ทางพรรคกำลังทำตอนนี้ ไม่ต่างกับระบบทหารเลย

คุณบุ๋ม ปนัดดา ยังได้กล่าวอีกว่า ตนมองว่า การเปิดเผยผลโหวตว่า ใครโหวตอะไร สิ่งนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนแค่ดูว่า ‘ใครเป็นพวกใครเท่านั้นเอง’’ ตนมองว่าเหมือนเด็กอนุบาลตีกัน และสิ่งนี้ทำให้สังคมมองว่า ทางพรรคอุ้มกันเองหรือเปล่า? ตนจะมองแค่ผลโหวตโดยรวมเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งนี้คือภาพใหญ่โดยรวมของพรรค

“มติพรรคคืออะไร? และคุณมีวิธีการจัดการยังไงกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณพูดปาวๆ ว่า พรรคคุณไม่ชอบเรื่องแบบนี้ พรรคคุณจะส่งเสริมเรื่องสิทธิสตรี ความเท่าเทียมทางเพศ และลดความเหลื่อมล้ำทุกอย่าง แต่กลายเป็นว่าพวกคุณทําหมดเองเลย” คุณบุ๋ม ปนัดดา กล่าวทิ้งท้าย

‘ชัยธวัช’ สั่งห้ามเปิด 22 รายชื่อโหวตหนุน ‘ปูอัด’ หวั่น!! ต่อไปทุกคนจะแสดงความเห็นไม่ได้เต็มที่

(7 ต.ค. 66) ที่โรงแรมอักษร อำเภอแกลง จังหวัดระยอง นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวชี้แจงในกรณี สส. 22 คน ที่โหวตอุ้ม นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ‘สส.ปูอัด’ ว่า วันนี้ก็มาเข้าร่วมประชุม แต่ประเด็นการพิจารณาในวันนี้ ผิดร้ายแรงจากกรณีที่ขัดต่อกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ขัดต่ออุดมการณ์ และทำให้พรรคเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งเป็นการพิจารณาข้อความผิดคนละกรณีกัน ไม่สามารถพิจารณาซ้ำได้ เพราะเราพิจารณาเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้น ทุกคนเห็นว่าการแถลงของนายไชยามพวาน ไม่ได้เป็นไปตามมติของกรรมการบริหารพรรค ส่วนช้าไปหรือไม่ ตนมองว่าไม่ได้ช้าไป บางเรื่องก็ต้องทำตามกระบวนการของข้อบังคับพรรค

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้เปิด 22 รายชื่อ สส. ที่โหวตอุ้มนายไชยามพวาน นายชัยธวัช ยืนยันว่า เปิดไม่ได้ ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เรียกร้องให้มีการลงมติ และเปิดอภิปรายถกเถียงอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องกังวล ตนเป็นคนกำชับเองว่าเมื่อลงมติไปแล้ว สามารถมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่เมื่อลงมติไปแล้ว ต้องไม่โจมตีเพื่อนที่ลงมติแตกต่างจากตนเอง ไม่เช่นนั้นต่อไปในพรรค เวลาที่เปิดให้ทุกคนแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ แม้จะเห็นไม่ตรงกัน ก็จะไม่สามารถทำได้

“ผมในฐานะหัวหน้าพรรค ขอให้ทุกคนไม่เอารายชื่อว่าใครโหวตอะไร มากล่าวหาโจมตีกัน ดังนั้น ผมเองก็เปิดเผยไม่ได้ ก็เป็นคนบอกให้ สส. ไม่ให้ออกมาเปิดเผยเอง เหตุผลก็มีแค่นั้น เราไม่ได้ปกปิดว่าใครมีความเห็นว่าอย่างไร แต่เป็นเรื่องกระบวนการภายในของพรรค และผมยืนยันว่า การที่มีความเห็น การโหวตแตกต่างกันนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มีความชัดเจนไม่เท่ากันของทั้ง 2 กรณี” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์อาจจะมีมุ้งภายในพรรค ที่ส่งผลทำให้คะแนนไม่เท่ากัน นายชัยธวัช กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ตัวแทนองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ไปร้องเรียนนั้น ตนคิดว่าทั้ง 2 คนที่ถูกกล่าวหา กระบวนการของพรรคจบไปแล้ว พร้อมย้ำว่า หากผู้เสียหายจะถูกฟ้องกลับ สส.และทางพรรคจะเข้าไปช่วยเหลือด้านข้อกฎหมายกับผู้เสียหาย

ถามว่า จะมีการพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ใช่ผู้เสียหายทุกคนจะพร้อมตลอดเวลาในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บางคนต้องการเวลากว่าที่จะพร้อม เขาต้องไปเล่าเรื่องซ้ำ ถูกกระทำชำเราซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ผู้เสียหายพร้อม ซึ่งตอนนี้มีอย่างน้อย 1 รายที่มีความประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย พรรคก็เตรียมนัดผู้เชี่ยวชาญคดีการคุกคามทางเพศ เพื่อให้การช่วยเหลือ

ซักว่า จะลดข้อครหาอย่างไรว่า การขับนายไชยามพวาน เป็นการกลบกระแสผู้ที่อุ้มมติรอบก่อน นายชัยธวัช กล่าวว่า หากพิจารณาจากข้อเท็จจริง ด้วยเหตุและผล ก็เป็นไปตามกระบวนการเช่นนั้น เมื่อเราเห็นว่านายไชยามพวานไม่ได้ทำตามคำสั่งมติกรรมการบริหารพรรค ก็ถือว่ามีความผิดร้ายแรง สส.ในพรรค ก็พิจารณาจากข้อเท็จจริง อันเป็นกระบวนการที่พรรคทำได้ ดังนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกลบกระแส เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ในเมื่อพรรคกำหนดเงื่อนไขในการลงโทษไปแล้ว แต่สมาชิกพรรคไม่ปฏิบัติตาม ก็นำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนที่มีการขู่จากแฟนเพจเฟซบุ๊กต่างๆ ว่าจะแฉพรรคก้าวไกลเรื่อยๆ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนยืนยันว่า การที่สังคมมาช่วยตรวจสอบพรรคเรา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลายเรื่องที่ทุกองค์กร การที่มีสังคมมาช่วยตรวจสอบ ทำให้องค์กรโปร่งใสขึ้น เมื่อไหร่ที่สังคมเลิกตรวจสอบพรรคก้าวไกล แสดงว่าสังคมไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้วกับพรรคก้าวไกล

เมื่อถามว่า พรรคจะกู้ภาพลักษณ์อย่างไร นายชัยธวัช กล่าวว่า เมื่อบุคคลในองค์กรมีปัญหา สิ่งที่ต้องยืนยันคือต้องดำเนินการตรวจสอบและลงโทษ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปกปิด หากผิดร้ายแรงก็ดำเนินการขั้นเด็ดขาด เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องทำให้สังคมเห็น ไม่ใช่ว่าไปช่วยกันปกปิด เพราะกลัวองค์กรเสียชื่อเสียง ไม่ใช่วัฒนธรรมของพรรคก้าวไกล แน่นอนว่ากระบวนการตรวจสอบก็ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ หลายครั้งเข้าใจในเชิงหลักการ แต่รายละเอียดรูปธรรม คนในสังคมเห็นไม่ตรงกัน เป็นวัฒนธรรมที่เข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งต้องทำให้ชัดเจนขึ้นภายในพรรค นอกจากนี้จะต้องมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงมีการตรวจสอบเรื่องพวกนี้ เมื่อมีการร้องเรียน เรื่องคุกคามทางเพศ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบทั้ง 2 กรณี ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย นายชัยธวัช กล่าวด้วยท่าทีอึกอักว่า ขณะนี้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนของคณะกรรมการวินัย รวมถึงคณะกรรมการที่มาสอบข้อเท็จจริงชุดเล็ก คือการเพิ่ม สส.หญิงที่มีความรู้เรื่องกฎหมายเข้ามา เพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความสบายใจมากขึ้น แน่นอนว่าหลังจากนี้ต้องทำให้ สส. อาจจะมีความอคติ ช่วยเหลือพวกกันเองได้ ต้องลดสัดส่วน สส.เข้ามาเกี่ยวข้อง

“กรณีคุณแจ้ หากมีผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาจริงๆ อาจจะผิดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” นายชัยธวัช กล่าว

‘นักเขียนซีไรต์’ ปลอบใจ!! ‘ลิเกคณะก้าวไกล’ “จะทำดี ทำชั่ว กองเชียร์ยังอุ่นหนาฝาคั่งอย่างเดิม”

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นายวิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘รักฝังใจ!!’ พร้อมระบุว่า…

“พระเอกป้อไปป้อมาหน้าเวที​ เรียกเสียงกรี๊ด​ แต่ข้างหลังเวทีล่อกันเละ​ หลายเรื่องพันกันอีรุงตุงนัง​

พระเอกที่เคยจ้อได้ทุกเรื่องจนลิ่วล้อปลื้มว่​า​ “เก่งกว่านายกฯ ทุกคนที่เคยมีมา!!” แต่เรื่องล่อกันเละในคณะลิเกกลับเงียบ!!

พูดแก้ต่างให้คณะก็โดนฝ่ายตรงข้ามโห่​ พูดหล่อๆ ยึดหลักการก็เจ็บทั้งคณะ!! อาจโดนคนในคณะปาหัวเอาได้​ เงียบอย่างหล่อๆ นั้นดีแล้ว

หลายคนพูดกันว่าการล่อกันเละครั้งนี้ ทำให้คณะลิเกตกต่ำ​ จะส่งผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า​ จะไม่ส้มทั้งแผ่นดิน!!

แต่ผมขอให้กำลังใจและความหวังว่า​ ถึงช่วงรณรงค์เลือกตั้งก็จะมีคนเลือกอีก​ คนส่วนมากไม่ได้เลือกนักการเมืองเพื่อทำงานแก่ประเทศชาติ​ แต่เลือกเหมือนเลือกดารากับเลือกเพราะ ‘เงิน’​ ซึ่งก็เป็นเหยื่อล่อทั้งคู่

ตัวอย่างมีให้เห็นมาทุกการเลือกตั้ง​ ก็ ‘พรรคเพื่อไทย’ ไง​ เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจว่า “ถ้าเลือกตั้งครั้งนี้ได้นักการเมืองไม่ดี​ เลือกตั้งครั้งต่อไปประชาชนก็จะไม่เลือกเอง”... ประชาชนรู้ดี​ รู้ทันนักการเมือง​ และตาสว่างแล้ว​นั้น ไม่จริง

‘ลิเกคณะก้าวไกล’ สบายใจได้​ จะทำดี ทำชั่ว ก็ทำไปเถอะ​ กองเชียร์ยังอุ่นหนาฝาคั่งอย่างเดิม​ พร่องบ้างก็นิดหน่อย​ ไม่นานก็กลับมา​ ก็รักมันฝังใจเสียแล้ว ที่ออกมาส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ คือ ฝ่ายตรงข้ามทั้งนั้น!!

‘กกต.เชียงใหม่’ จี้!! ‘สส.ก้าวไกล’ แจง ปมปลอมลายเซ็น-ใช้เอกสารเท็จ ขีดเส้น!! ภายใน 15 วัน ยัน ไม่เลือกปฏิบัติ ทำทุกอย่างตามขั้นตอน กม.

(9 พ.ย. 66) นายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผอ.กกต.) ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เผยกรณีผู้ช่วยหาเสียงนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ หรือ ‘สส.ตี๋’ สส.เชียงใหม่ เขต 7 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร้อง กกต.จังหวัด กรณีนายภัทรพงษ์ ใช้เอกสารเท็จเบิกค่าใช้จ่าย และเบี้ยเลี้ยง ผู้ช่วยหาเสียง สส. และทีมงาน ว่า ผู้ร้องได้มาร้อง กับ ผอ.กกต. พร้อมยื่นเอกสารหลักฐานตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ก่อน กกต.จังหวัด ได้พิจารณารับเป็นคำร้อง วันที่ 17 ตุลาคม และผู้ร้องมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน กกต. วันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน

นายนพดล กล่าวต่อว่า ต่อมา กกต.จังหวัด ได้มีหนังสือเชิญนายภัทรพงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา มาให้ปากคำเพื่อแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าว วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่นายภัทรพงษ์ ได้ขอเลื่อนเข้าให้ปากคำดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าไม่พร้อม ทาง กกต.จึงให้โอกาสเพื่อมาชี้แจงและให้ปากคำ ภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้

นายนพดล กล่าวต่อว่า จากนั้นทางพนักงานสอบสวน และ ผอ.กกต.จังหวัด จะเสนอเรื่องให้ กกต.จังหวัดพิจารณา เพื่อชี้มูลความผิดหรือไม่ก่อนเสนอ กกต.กลาง พิจารณาตัดสินตามขั้นตอนระเบียบกฎหมาย ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาตามปกติ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร

นายนพดล กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้ตั้ง หรือแจ้งข้อหากับผู้ถูกร้อง เพราะยังไม่ได้สอบปากคำจนกว่าผู้ถูกร้องมาชี้แจง และให้ปากคำเพื่อประกอบสำนวนคดีดังกล่าวครบถ้วนแล้ว เพื่อความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่ง กกต. ยึดหลักปฏิบัติดังกล่าว ของการเลือกตั้งทุกระดับ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น อย่างเท่าเทียม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะการยื่นบัญชีรายรับ-รายจ่าย หาเสียงเลือกตั้ง ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าสอบได้หรือสอบตก ต้องยื่นและแสดงบัญชีดังกล่าวตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ถ้ามีการปกปิด และแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ ต้องถูกตรวจสอบ เพราะนักการเมือง ถือเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่สามารถละเว้นได้

‘ศิริกัญญา’ ชี้!! ออก ‘พ.ร.บ.กู้’ สุ่มเสี่ยงมาก แนะทำแท้งร่าง กม.เงินกู้ เชื่อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ถึงทางตัน ฟันธง!! สุดท้ายจะไม่มีใครได้เงิน

(10 พ.ย. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่า ขณะนี้ความชัดเจนเริ่มปรากฎแล้ว แต่เป็นความชัดเจนที่ไม่มีเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งนายกฯเลือกเส้นทางที่ยากที่สุด คือการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินกู้ 5 แสนล้าน เพื่อระดมทุนมาแจกในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แม้วันนี้หลักเกณฑ์จะมีการพูดถึงคนที่รายได้ต่ำกว่า 7 หมื่นบาท แต่ท้ายที่สุดอาจไม่มีใครได้เงินจากโครงการนี้เลย เพราะเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง มาตรา 53 ที่มีการระบุว่า หากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ จะทำได้กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร เราไม่ได้อยากกดดันให้มีการร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่เราคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริงที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความให้เด็ดขาด ว่ารัฐบาลจะออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องไปถึงมือขององค์กรอิสระที่ไม่เป็นวิถีทางประชาธิปไตยสักเท่าไหร่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ที่ต้องออกมาพูด เพราะการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีความสุ่มเสี่ยงจริงๆ เหมือนกับกรณี พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท อย่างชัดเจน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ดังนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าการที่รัฐบาลเลือกทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้โครงการนี้สำเร็จ แต่ต้องการให้เข้าทางนักร้องต่างๆ เพื่อหาทางลงให้สวยงามของโครงการที่มาถึงทางตันโดยสมบูรณ์แล้ว ตนไม่ได้เห็นด้วยกับการร้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ แต่ขอให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองโดยการให้กฤษฎีกาตีความ

“รัฐบาลเองน่าจะเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะไปได้จริงๆ ทางเลือกนี้เป็นการหาทางลงมากกว่าที่จะเดินหน้าโครงการนี้จริงๆ ถ้ากฤษฎีกาตีความเข้าข้างให้ผ่าน และ สส.ในสภาฯ ก็ให้ผ่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือภาระหนี้ในแต่ละปีงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้จะทำภาระดอกเบี้ยเกิน 10% ในงบประมาณปี 68 ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงทั้งเรื่องภาระหนี้ และภาระดอกเบี้ย ความเสี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นหาก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถูกทำแท้งตั้งแต่ต้นโดยกฤษฎีกา” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า แบบนี้เหมือนเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอดหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าจะพูดแบบนั้นน่าจะได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไม่ได้คิดนโยบายอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ก่อนหาเสียง เมื่อถึงทางตันจึงต้องหาทางลงแบบนี้

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า เงื่อนไขต่างๆ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเหมือนลอยมาจากฟ้าโดยสิ้นเชิง หากตัดตามสัดส่วนผู้มีรายได้ 20% บนสุดต้องอยู่ประมาณ 6 หมื่นบาท แต่วันนี้เราไม่รู้ว่าตัวเลข 7 หมื่นบาท มาจากไหน จะตัดคน 4 ล้านกว่าคนได้จริงหรือไม่ ตนคิดว่ารัฐบาลต้องการตัวเลขกลมๆ ที่ 50 ล้านคน จึงไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมากนัก

‘เพจดัง’ สวน ‘วิโรจน์’ ปมสามี สส.เมืองจันท์ แขวะ!! ไหนว่าโปร่งใส ยัน!! ไม่มีท่อน้ำเลี้ยงตามแอบถ่าย คนใน ‘ก้าวไกล’ โพสต์เองทั้งนั้น

(23 พ.ย. 66 ) จากกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ‘เพจวันนี้พรรคก้าวไกลโกหกอะไร’ ออกมาแฉเรื่องการแต่งตั้งสามีของ น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี แล้วปรากฎภาพถ่ายคู่กับเด็กเอ็น รวมถึงทีมงานทำอาชีพรับจัดหาเด็กเอ็น ในตอนหนึ่งกล่าวถึงเพจดังกล่าวว่า การโจมตีกันก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ แต่เนื้อหาสาระก็ฟังจากที่ สส.จันทบุรีพูด ผมว่าก็ต้องฟังทั้งสองฝ่ายด้วย สิ่งที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมที่เป็น ‘สตอล์กเกอร์’ (Stalker) คอยสอดแนม ติดตาม แอบถ่าย ละเมิดความเป็นส่วนตัว และเอาภาพถ่ายบางส่วนมาเขียนข่าวในทางร้าย กล่าวหาในทางร้ายเพียงภาพภาพเดียว โดยที่ไม่ฟังบริบท

ยืนยันว่า ตอนนี้การกล่าวหามีการพ่วงไปถึงประชาชนปกติแล้ว และเพจที่ไม่ได้มีตัวตน ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ตรวจสอบ สส.ที่เป็นบุคคลสาธารณะ ก็ทำเลย กรณีต้องสงสัยใครว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดแต่งตั้งมาทำงานจริงหรือไม่ ก็ทำเลย แต่ประชาชนคนธรรมดา ที่มาเป็นจิตอาสาทำงานในพื้นที่ เขาเป็นประชาชน ถึงขั้นไปสอดแนมติดตาม สตอล์กเกอร์ และไปล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขาอย่างนี้ ต้องถามสังคมกลับ เราจะสนับสนุนสังคมแบบนี้จริงหรือ? แล้วกฎหมาย PDPA จะมีไว้ทำไม? ถ้าไปถ่ายภาพหลุด 1 ภาพ แล้วเขียนข่าวกันเอาเอง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่ฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายหนึ่ง และบางครั้งบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัว เขาไม่ได้เป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ได้มีพื้นที่สื่อ เป็นเพียงแค่ประชาชนที่ไปช่วยงาน คิดว่ายุติธรรมหรือไม่?

“หลังๆ ผมให้คำแนะนำอย่างนี้ครับ ว่าถ้าคุณไม่ได้มีตัวตน การชี้แจงก็ชี้แจงผ่านสาธารณะ และผมวิงวอนว่า ถ้าใครก็ตามที่สงสัย พรรคก้าวไกลก็เปิดเผยอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะร้องเรียนที่พรรค อย่างที่มีสมาชิกพรรคมา 10 ท่าน เราก็พร้อมตรวจสอบ เราก็ให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว ผมว่าถ้าเพจแบบนี้มีเยอะแยะในประเทศ แต่ถ้าเป็นประเทศที่มีสังคมที่เจริญแล้วพัฒนาแล้วตนว่าไม่ใช่” นายวิโรจน์ กล่าว

ล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ออกมาตอบโต้นายวิโรจน์ โดยระบุว่า…

“ทุกคนคะ พี่วิโรจน์ด้อยค่าเพจหนูและดูถูกประชาชนหรือคะ? พี่วิโรจน์บอกประชาชนอย่างฟังความข้างเดียวแล้วตัดสิน หนูขอตอบว่า ประชาชนเขารอฟังความทุกฝ่ายอยู่แล้วค่ะ แต่หลายสื่อติดต่อไป แต่ถูกเท ถูกยกเลิก อ้างอิงจากรายการลุงหมาแก่ได้เลยค่ะ ถูกเทไป 3-4 ครั้ง

พี่วิโรจน์บอกว่าเพจหนูทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์แอบถ่าย หนูขอตอบว่า ภาพที่ลงเพจเกือบทั้งหมด เป็นภาพจาก สส.และคนของพรรคก้าวไกล ที่โพสต์ลงโซเชียลกันเองทั้งนั้น พวกพี่ไม่มีค่าให้หนูตามถ่ายหรอกค่ะ

พี่วิโรจน์บอกว่า เพจหนูออกมาแฉแบบนี้ ประชาชนได้ประโยชน์อะไร หนูขอเอามือทาบอกและสบถเบาๆ ก่อนตอบว่า “ไหนบอกว่าพรรคก้าวไกลชูเรื่องความโปร่งใสและต้องตรวจสอบได้ ชูว่าจริยธรรมสูงส่งกว่าใคร หนูก็ตรวจสอบในฐานะชาวบ้านที่เสียภาษีไงคะ

หนูไม่ละเมิด PDPA กับประชาชนแน่นอนค่ะ เป็นพรรคก้าวไกลเองหรือเปล่า ที่ทำอินโฟกราฟิกให้คนเข้าใจผิด

ปล.หนูมีเรื่อง ผช.สส.ท่านหนึ่ง ส่อแววร่ำรวยผิดปกติ 4 ปี ก่อน ยังไม่มีอะไร แต่ตอนนี้มีทั้งรถ Supercar ใส่นาฬิกาหลักล้าน กินเที่ยวหรู หนูแจ้งใครได้บ้างคะ?”

‘ชัยธวัช’ อ้าง!! นิรโทษกรรมคดี ม.112 นำไปสู่ความปรองดอง พร้อมธำรงรักษาให้พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ

(1 ธ.ค. 66) นายธชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง ‘นิรโทษกรรม 112’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ข้อเสนอการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดอง หรือการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อถกเถียงสำคัญสำหรับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในปัจจุบันคือ เราควรนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยหรือไม่

เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราควรนำมาพิจารณาร่วมกันคือ หากเรานิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้ว จะเป็นการไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ หรือจะเป็นการปล่อยให้เกิดการแสดงความคิดเห็น หรือการแสดงออกทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่

สำหรับประเด็นนี้ ผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ ก็ด้วยความรักความศรัทธาหรือความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับหรือการสร้างความกลัว ดังนั้น การบังคับใช้ ม.112 อย่างรุนแรงดังที่เป็นอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยั่งยืน ซ้ำร้ายยังจะส่งผลบ่อนทำลายสายใยความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในระยะยาวอีกด้วย

ในสภาพการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ปรารถนาดีหรือจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ควรต้องร่วมกันตั้งหลักในการพิจารณากุศโลบาย ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และพลวัตของสังคมไทย เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ จัดวางพระราชสถานะอย่างประณีตภายใต้รัฐธรรมนูญ ระมัดระวังอย่าให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพระราชอำนาจกับหลักการ ‘ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง’ ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมเชื่อมั่นว่า มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะธำรงรักษาให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะตามรัฐธรรมนูญอย่างมั่นคง สังคมไทยในห้วงยามนี้ต้องการทุกคนมาร่วมกันคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมีสติ มิใช่การอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ม.112 มาคุ้มครองผลประโยชน์หรืออำนาจของตนเอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top