Saturday, 4 May 2024
พรรคก้าวไกล

'ณัฐชา' ห่วง!! เหตุรุนแรง - ยิงกระสุนใส่ผู้ชุมนุม ส่ง กมธ.พัฒนาการเมือง หาความจริง

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การชุมนุมของประชาชนเมื่อวานนี้ (14 พ.ย. 64) ว่า…

การชุมนุม เป็นทั้งสิทธิเสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญไทยวินิจฉัยว่า การปราศรัย ‘ชุมนุม 10 สิงหา’ ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ‘เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครอง’ นั้น จะนำไปสู่ปฏิบัติการที่รุนแรงมากขึ้นของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมฝูงชน ซึ่งที่ผ่านมาแนวทางปฏิบัติก็เลวร้ายมาตามลำดับ จากการส่งสัญญาณจากรัฐบาลในแต่ละครั้ง

“น่าเสียดายที่กลุ่มชนชั้นนำไม่เลือกที่จะรับฟังเสียงของประชาชนและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย แต่กลับเลือกที่จะฉุดรั้งพัฒนาการของสังคมและการเมืองไว้ต่อไปผ่านกลไกต่างๆ รวมถึงการใช้อำนาจตุลาการเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง การชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็คือแรงสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของประชาที่มีต่อท่าทีเหล่านี้โดยตรงและคงจะยกระดับขึ้นอีกa

“ผมในฐานะผู้แทนราษฎรและประธานกมธ. ที่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงอยากให้ผู้ที่มีอำนาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมคิดให้ดี ๆ เพราะเรามีบทเรียนที่เป็นความสูญเสียเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งและเราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์หน้านี้ซ้ำรอยได้ด้วยการรับฟังและเปิดพื้นที่สำหรับความคิดความเห็นที่แตกต่าง”

อย่างไรก็ตาม ณัฐชา กล่าวว่า จากการติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้เห็นแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้นของสถานการณ์โดยเฉพาะฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่ได้มาด้วยความอดทนอดกลั้นหรือเพื่อระงับยับยั้งเหตุตามลำดับขั้นตอนที่มีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการขณะนี้ จะมาด้วยการบ่มเพาะความโกรธและเกลียดชังเหมือนกำลังมองผู้ชุมนุมเป็นอริราชศัตรู ซึ่งการหล่อเลี้ยงอารมณ์ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอย่างไร้วุฒิภาวะเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่อันตราย

“ด้วยความเป็นห่วงต่อสถานการณ์และตระหนักได้ถึงความไม่ปกติที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการจึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 ชุด ชุดแรก คือคณะทำงานติดตามสถานการณ์การชุมนุม ที่มี อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล เป็นประธาน เมื่อวานก็อยู่ในพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ด้วย พบว่า มีการใช้มาตรการรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทันทีตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีการรับฟังหรือทำความเข้าใจเพื่อพยายามไม่ให้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการยิงด้วยกระสุนที่ยังไม่ทราบชนิดว่าเป็นกระสุนยางหรือกระสุนจริง 

‘ณัฐชา ก้าวไกล’ แนะ นายกฯ หารือเอกชน แก้ปมรถขนส่งหยุดวิ่ง ย้ำประเทศไทย ไม่ใช่ค่ายทหาร

ไม่รู้ก็ควรขอความร่วมมือเอกชนเพื่อหาทางออก กรณีแก้ปัญหารถขนส่งหยุดวิ่ง ย้ำนี่ประเทศไทย ไม่ใช่ค่ายทหาร

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการเหล่าทัพ เตรียมนำรถทหารมาสนับสนุนขนส่งสินค้า ภายหลังสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย พร้อมผู้ประกอบการรถบรรทุกประท้วงจะหยุดเดินรถ หากไม่ลดราคาดีเซลเหลือ 25 บาท/ลิตรภายใน 1 ธ.ค. นี้

ล่าสุด กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) และหน่วยขึ้นตรง ดำเนินการตรวจสภาพความพร้อมของกำลังพล และยานพาหนะในการเตรียมความพร้อมการสนับสนุนภารกิจของรัฐบาล

โดยนายณัฐชาระบุว่า ปัญหาของพี่น้องประชาชนจากการเรียกร้องไม่ว่าเรื่องใด นายกรัฐมนตรีไม่เคยแก้ได้ แต่กลับใช้กำลังทหารมาทดแทนทุกครั้ง สิ่งที่ผมอยากสื่อสารไปยังนายกรัฐมนตรีว่า ที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่ค่ายทหาร การแก้ปัญหาที่ท่านกำลังทำมันยิ่งตอกย้ำว่า นายกฯ ประเทศนี้ไม่เคยเห็นหัวประชาชนเลย ใช้ตรรกะอะไรในการคิดว่านำรถทหารออกมาทดแทนรถที่หยุดขนส่ง จะทำให้สามารถแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเรียกร้องให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลเหลือ 25 บาทต่อลิตรได้

แล้วรถทหารจำนวน 34 คันของท่าน มันสามารถครอบคลุมโครงข่ายขนส่งได้จริง ๆ หรือ มันจะทำได้สักกี่วัน การแก้ปัญหาที่ไร้วิสัยทัศน์ ไร้กึ๋นมันจะยิ่งทวีความไม่พอใจของพี่น้องสหพันธ์ขนส่ง ทำไมไม่เลือกจะพูดคุยเจรจาหาทางออกร่วมกับพวกเขา อย่าทระนง อวดดี ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ เพราะคนที่จะตายคือประชาชน ณัฐชากล่าว

‘เท่าพิภพ ก้าวไกล’ โวยรบ. เร่งแต่จะเปิดบ่อน ปล่อย ‘คนกลางคืน’ เผชิญชะตากรรมกันเอง

‘เท่าพิภพ’ โวย รัฐบาลกระตือรือร้นเปิดบ่อน แต่ไม่แยแส ‘คนกลางคืน’ ย้ำ ทุกธุรกิจต้องการความแน่นอนชัดเจน เผย ‘ก้าวไกล’ จ่อยื่นฟ้องแบบ Class Action รัฐบาล ศุกร์นี้

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการที่ตนเคยอยู่ในแวดวงคนทำร้านอาหารผับบาร์หรือ ‘ธุรกิจกลางคืน’ มาก่อน ช่วง 2 ปีมานี้ ได้ฟังเสียงสะท้อนความทุกข์จากเพื่อนฝูงและผู้ประกอบการมากมายจนรู้สึกเหนื่อยใจกับการบริหารของรัฐบาลนี้มาก เพราะนอกจากความช่วยเหลือที่มีให้น้อยมากจนถึงไม่มีแล้ว ยังซ้ำเติมด้วยการทำตัวเป็นบ่อนทำลายความหวังในการทำมาหากินของพวกเขาด้วยความโลเลไม่ชัดเจนในมาตรการและคำสั่งแต่ละครั้ง และที่น่าน้อยใจมากก็คือ ในขณะที่รัฐบาลพูดกรอกหูประชาชน สร้างภาพสารพัดให้ธุรกิจกลางคืนเป็นผู้ร้ายของสถานการณ์โควิดแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่รัฐบาลกล้าที่จะทำมากกว่าคือการผ่อนปรนให้บ่อนชนวัว ชนไก่ กัดปลา แข่งนก ชกมวย ดำเนินการได้ ทั้งที่กิจกรรมเหล่านี้ก็เคยเกิดคลัสเตอร์ใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น

“รัฐบาลดูจะกระตือรือร้นมากเรื่องเปิดบ่อน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ถึงกับบอกว่าเป็นของขวัญคนไทยในวันลอยกระทง เพราะได้เห็นหนังสือคำสั่งผ่อนคลายการแข่งขันชนไก่ ปลากัด แข่งม้า ชนโค ชกมวยและแข่งนก ไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแล้ว ส่วนตัวผมไม่ขัดข้องอะไรในเรื่องนี้ แต่แค่มีคำถามว่า ในเมื่อรัฐบาลเชื่อมั่นว่าสามารถอนุญาตให้กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงดำเนินการได้ภายใต้มาตรการควบคุมโรค แล้วเหตุใดจึงไม่นำแนวคิดนี้มาใช้ให้เป็นคุณกับธุรกิจกลางคืนบ้าง คลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี คลัสเตอร์สนามวัวชน คลัสเตอร์บ่อนพนันเคยมีมาแล้วทั้งนั้น ถึงท่านให้เหตุผลว่ายังห้ามไม่ไปชมที่สนามตอนนี้ แต่ถามว่าการรวมกลุ่มตามบ้านเจ้ามือยังมีอยู่และเป็นความเสี่ยงเช่นกันใช่หรือไม่ และท่านจะห้ามได้อย่างไร แต่ท่านยังกล้าคลายล็อกให้ภายใต้เงื่อนไขการกำกับมาตรการความปลอดภัย แล้วทำไมจึงไม่กล้าใช้เงื่อนไขนี้คลายล็อกให้ธุรกิจกลางคืนที่ได้รับความลำบากอย่างต่อเนื่องด้วย”

‘ก้าวไกล’ ซัด!! ควบรวม ‘ดีแทค-ทรู’ สะท้อนรัฐบาลทำงานเอื้อกลุ่มทุนฯ

พรรคก้าวไกล จี้!! รัฐบาลมีหน้าที่ป้องกันการผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน หลัง รมว.ดิจิทัล แสดงความเห็นการควบรวมทรู-ดีแทค ว่าเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ รัฐบาลไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลายประเทศก็มีผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือเพียงรายเดียว

วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และโฆษกคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน กล่าวว่า ในเอเชีย มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่มีผู้ให้บริการรายเดียว 

ประเทศแรกที่เป็นต้นแบบของรัฐบาลไทย คือ ประเทศเกาหลีเหนือ ที่มีผู้ใช้มือถือเพียง 3.8 ล้านราย จากประชากร 26 ล้านราย

ประเทศที่สอง คือ หมู่เกาะโซโลมอน ที่มีประชากร 700,000 คน

คล้ายกับ 4 ประเทศในยุโรปที่มีผู้ให้บริการเพียงรายเจ้าเดียว อย่าง อันดอร์รา ที่มีประชากร 77,265 คน, ยิบรอลตาร์ ที่มีประชากร 33,691 คน, โมนาโก ที่มีประชากร 39,244 คน และ ซานมารีโน ที่มีประชากร 33,938 คน

“ประเทศไทยมีประชากร 69 ล้านคนนะครับ ตลาดโทรคมนาคมก็มีมูลค่าปีหนึ่งกว่า 600,000 ล้านบาท ถ้าไม่คิดจะปกป้องประโยชน์ของประชาชนคนที่เสียภาษีเป็นเงินเดือนให้รัฐบาล ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการผูกขาด อย่างน้อยก็อย่าถือหางกลุ่มทุนจนออกนอกหน้าขนาดนั้น เดี๋ยวประชาชนจะสับสนว่า รัฐบาลนี้ทำงานเพื่อประชาชนหรือเพื่อกลุ่มทุนกันแน่”

ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องการควบรวมบริษัทระหว่างทรูและดีแทค โดยวิโรจน์กล่าวว่า การที่รัฐมนตรี DES กล่าวว่าการควบรวมบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่ 2 เจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจการกำกับดูแลของตน และการควบรวมครั้งนี้เป็นเรื่องปกติ แสดงให้เห็นว่า รัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้มองเห็นแต่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ของตนเองว่า รัฐบาลมีหน้าที่ป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“เชื่อว่า กรณีนี้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ที่จบมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ คงจะคำนวณค่าดัชนี HHI เป็นอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้ใครมาสอนวิธีการคำนวณให้ และควรต้องรู้อยู่แล้วว่า การควบรวมกิจการเครือข่ายโทรคมนาคม นั้นเป็นหน้าที่ที่รัฐมนตรี DES ต้องเข้าไปตรวจสอบดูแล ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยอย่างนี้ ป้ายชื่อกระทรวงด้านท้ายที่ระบุว่า “เพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ก็น่าจะผ่านตานายชัยวุฒิบ้างอยู่แล้ว”

‘ก้าวไกล’ ชวนจับตากม. ล้างมรดกบาปคสช. หลังฉบับประชาชน บรรจุเข้าสภา 1 ธ.ค. นี้

‘ก้าวไกล’ ชวนติดตาม ร่างกฎหมาย ‘ล้างมรดก คสช.’ ฉบับประชาชน เข้าสภา ‘โรม’ จี้ ‘ประธานสภา’ อย่าดอง ร่างฯ อนค. ให้บรรจุเข้าพิจารณาพร้อมกันด้วย ยืนยันพรรคก้าวไกลพร้อมโหวตรับหลักการการล้างมรดกบาป คสช.

รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สัปดาห์นี้ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญในการล้างมรดก คสช. เนื่องจากทางไอลอว์ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชนที่ต้องการ ‘รื้อมรดกคสช.’ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย พ.ศ. ....ที่ เข้าชื่อเสนอโดยประชาชน 13,409 คน ให้ยกเลิกประกาศและคำสั่งของ คสช. รวม 35 ฉบับ ได้ถึงคิวการพิจารณาและจะบรรจุในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 นี้ 

โดย รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ตนและพรรคก้าวไกลขอสนับสนุนร่างกฎหมายของประชาชนและการอภิปรายที่กำลังจะมีขึ้นในครั้งนี้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้อยากเชิญชวนให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนติดตามการอภิปราย เพื่อช่วยกันส่งเสียงไปให้ถึง ส.ส. ในสภาทุกคน ให้มาร่วมกับประชาชนในการปลดอาวุธ คสช. ที่ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ คสช. จะหมดสถานะไปแล้วในทางกายภาพ แต่ในความเป็นจริงยังมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ผ่านประกาศคำสั่งทั้งหลายที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ทำให้มีผลบังคับใช้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก ซึ่งช่องทางการยกเลิกในระบบประชาธิปไตยก็คือ การเสนอให้รัฐสภาออกพระราชบัญญัติมายกเลิก

“หากมรดกบาปเหล่านี้ยังอยู่ ประเทศไทยจะไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะปกติ เป็นประชาธิปไตยที่ยืนอยู่บนหลักนิติรัฐได้เลย ด้วยเหตุนี้ อดีตพรรคอนาคตใหม่จึงประกาศนโยบายเรื่องจัดการ ‘มรดกบาปคสช.’ ไว้เป็นหนึ่งในนโยบายการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 62 และได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร มีการร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคำสั่งของหัวหน้า คสช. และได้เสนอเข้าสู่สภา โดยอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. 62 เนื้อหาหลักใหญ่ใจความคือ ยกเลิกประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช. ทั้งสิ้น 17 ฉบับ เนื่องจากหลายฉบับมีเนื้อหาที่กระทบสิทธิมนุษยชน ขัดหลักการความยุติธรรม ขาดหลักนิติรัฐนิติธรรม และเป็นประกาศที่ออกมาช่วง คสช. ครองอำนาจ ที่ขาดการมีส่วนร่วมประชาชน”

‘ก้าวไกล’ ยินดี ‘คณะก้าวหน้า’ ชนะใจชาวบ้าน หลังคว้าชัยเลือกตั้ง อบต. 38 แห่ง ทั่วประเทศ

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะของคณะก้าวหน้า หลังมีการประกาศผลการเลือกตั้ง อบต.ทั่วประเทศ โดยคณะก้าวหน้าคว้าชัยชนะทั้งหมด 38 แห่งทั่วประเทศ 

ชัยธวัช ระบุว่า นี่คือปรากฏการณ์ความตื่นตัวของการเมืองท้องถิ่น ที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่นตนเอง ซึ่งการเมืองระดับท้องถิ่นเป็นการเมืองที่ตัวแทนของพี่น้องประชาชนสามารถใช้ความรู้ ความสามารถและงบประมาณในการพัฒนาได้อย่างเต็มที่

ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. หญิงคนแรก หาก ‘ก้าวไกล’ กล้าดันวัดศรัทธาคนกรุง

ภายหลังจบศึกสมรภูมิการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), สมาชิกสภาเทศบาล และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพิ่งจบไปหมาด ๆ นั้น

สมรภูมิถัดไปที่น่าจะแวะเวียนมาในเวลาอันใกล้ คงต้องเป็นคิวของเวทีเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งคาดกันว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2565 เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะครบวาระในปี 2566

พูดถึงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ คนกรุง ก็ต้องบอกว่าถูกแช่แข็งมานาน ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 นั่นจึงทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ครั้งที่จะถึงนี้ น่าจะมีความคึกคัก และดุเดือดมากกว่าครั้งไหน ๆ เพราะน่าจะเป็นการวัดพลังของบรรดาพรรคใหญ่ชื่อดังทั้งเก่าและใหม่ ว่าใครคือตัวจริงที่ยังยึดพื้นที่เมืองหลวงเป็นฐานที่มั่นไว้ได้ในรอบนี้ได้

>> สังเวียนวัดพลัง ‘พรรค’ ผู้อยู่เบื้องหลังเจ้าเมืองบางกอก

อย่างไรซะ แม้ตอนนี้จะยังไม่มีกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่หลายพรรคการเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทย, พลังประชารัฐ, ก้าวไกล และประชาธิปัตย์ เพียงแต่ยังอุบชื่อแคนดิเดตกันไว้อยู่

ทว่าถึงพรรคเหล่านี้จะยังอุบชื่อตัวผู้สมัครไว้ แต่วงในการเมือง เขาก็พอจะรู้กันเนือง ๆ ว่าพรรคไหนจะส่งใคร หรือจะสนับสนุนใคร

ถ้าใครที่พอจะติดตามข่าวสารการเมืองอยู่บ้าง คงทราบว่าเต็งหนึ่งในสนามเลือกตั้งผู้ว่ากทม. รอบนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฉายารัฐมนตรีที่แกร่งที่สุดในปฐพี ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทำโพลล์สำรวจกี่ครั้ง คนกรุงเทพฯ ก็ยังเทคะแนนให้เป็นอันดับแรกทุกครั้ง 

ถึงกระนั้นก็คงต้องตามกระแสลมของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดูไว้หน่อยว่าจะส่งผู้สมัครผู้ใดเข้าแข่งด้วยหรือไม่ เพราะถึงแม้ ‘ชัชชาติ’ จะมีสัมพันธ์อันดีกับพรรคเพื่อไทย แต่ในการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ในครั้งนี้ เจ้าตัวลงสมัครในนามอิสระ และยืนยันมาตลอดว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว

ข้ามฟากมา ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ซึ่งยืนยันมาตลอดเช่นกันว่า จะไม่ส่งผู้สมัครชิงตำแหน่ง แต่หากพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบัน ตัดสินใจลงแข่งเพื่อเป็นผู้ว่าอีกสมัย ก็ต้องวัดใจผู้ใหญ่ในพปชร. ว่าจะสนับสนุนต่อหรือไม่ หรือ จะมีทางเลือกอื่น ซึ่งตอนนี้เริ่มมีชื่อ ‘ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร’ หรือ ผู้ว่าหมูป่า ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตอีกคน

ขณะที่ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เก่ามายาวนานหลายปี ก่อนที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจตาม ม.44 ปลดพ้นตำแหน่ง เมื่อปี 2559 ก็ดูเหมือนจะหมายมั่นปั้นมือที่จะกลับมาทวงคืนศรัทธาจากคนกรุงอีกครั้ง หลังจากเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ถูกเท ไม่ได้แม้แต่เก้าอี้เดียวในกทม. เพราะเจอทั้งกระแส ‘ลุงตู่ฟีเวอร์’ กับ ‘ความแรงของพรรคอนาคตใหม่’ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว รายชื่อของผู้สมัคร ก็คงไม่น่าจะหนีจากกระแสข่าวหลักมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าคอการเมืองคงทราบกันดีว่า สมรภูมิการเลือกตั้งในกทม. นั้น จะต้องอาศัยทั้งชื่อชั้นของผู้สมัคร และ ความนิยมในพรรคการเมืองที่สังกัด จึงจะได้รับเสียงสนับสนุนจากคนกทม. ได้อย่างแท้จริง

>> โจทย์หินเจ้าเมืองบางกอก ต้องลอกคราบพรรคการเมือง

ฉะนั้นแม้จะมีภาพพรรคการเมืองอุ้มหลังแต่เก่าก่อน หากแต่วันนี้จะเว้าวอนให้คนกรุงเทใจให้ บรรดาผู้สมัครก็คงจะต้องสลัดพันธุกรรมการเมืองเมื่อคิดลงสู่สนามนี้ เหมือนที่ ชัชชาติ ประกาศชัดว่า จะลงผู้ว่ากทม. โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด นั่นเพราะไม่ต้องการให้ติดภาพความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย เพราะยังมีคนกรุงจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านพรรคอยู่ เรียกว่าวัดกันที่แสงส่วนตัวไปเลยเพียว ๆ

นั่นก็เพราะภาพการเมืองที่ผ่านมาหลายปี มันทำลายหวังของคนกรุงไปพอควร ฉะนั้นหากต้องการให้กรุงเทพฯ มีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา การให้โอกาสคนที่มีความรู้ความสามารถ สอดแทรกขึ้นมาบริหารกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือเก่า แต่ไร้กลิ่นการเมืองเกาะกาย ก็คงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

‘ส.ส. ก้าวไกล’ ซัด!! ‘สสส.’ ขาดความโปร่งใสในการใช้งบ 4 พันล้าน ชี้!! สสส. ทำงานเหมือนแดนสนธยา

2 ส.ส. พรรคก้าวไกลชำแหละรายงานประจำปีกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ชี้เหมือนแดนสนธยา ใช้งบประมาณเก่ง แต่จัดการปัญหายาสูบไม่ประสบผลสำเร็จ ยกตัวอย่างการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่สวนทางนานาชาติ ซัดพูดความจริงไม่หมดและขาดความโปร่งใสในเรื่องบทบาททับซ้อน

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายรายงานประจำปีของ สสส. ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 15 ระบุว่า “สังคมไทยเริ่มมีการแสดงความคิดเห็นเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า แต่ในรายงานของ สสส. ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวต่อต้านเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และนำเสนอแต่ข้อมูลที่ผิด ๆ ที่พูดถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าและการเกิดนักสูบหน้าใหม่ ซึ่งตนเห็นว่า สสส. พูดความจริงไม่หมด เพราะมีงานวิจัยในต่างประเทศอีกจำนวนมากที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ สสส. รายงาน เช่น ประเทศอังกฤษ ที่กำลังศึกษาเพื่อใช้บุหรี่ไฟฟ้าทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ผู้ติดบุหรี่เลิกบุหรี่ได้ นอกจากนี้ ผมยังได้ยินประสบการณ์ตรงจากคนรอบข้างที่เคยสูบบุหรี่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นที่บอกว่าเมื่อเปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ทำให้ไม่สามารถกลับไปสูบบุหรี่ได้อีก”

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อโลกมีทางเลือกใหม่ ประเทศไทยก็จำเป็นต้องศึกษาอย่างรอบด้าน นำผลวิจัยมาถกเถียงกันอย่างมีเหตุผล และหาวิธีป้องกันเยาวชน เช่น การห้ามการแต่งกลิ่นน้ำยานิโคติน ศึกษาวิจัยสารปนเปื้อน และทำให้เป็นวิทยาศาสตร์ แทนที่จะยกงานวิจัยของฝ่ายเดียวมาพูด แล้วอ้างตรรกะผิด ๆ ว่างานวิจัยของฝ่ายตรงข้ามได้รับทุนวิจัยจากบริษัทบุหรี่ ปัจจุบันมี 35 ประเทศที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่อีก 73 ประเทศก็อนุญาตให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าภายใต้การควบคุมได้ และไม่มีใครเรียกร้องให้เปิดเสรีบุหรีไฟฟ้า มีแต่เรียกร้องให้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าและเก็บภาษีและมีมาตรการควบคุมที่เหมาะสมเช่นเดียวกับบุหรี่มวน เช่นการควบคุมอายุขั้นต่ำ การควบคุมปริมาณ สารนิโคติน ความปลอดภัย และการจัดประเภทให้ถูกต้อง”

“อยากตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของ สสส. ที่ให้ทุนงานวิจัยที่เป็นลบหรือศึกษาความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้น บางงานวิจัยที่ต้องการศึกษาอย่างเป็นกลางว่ามี harm reduction หรือไม่กลับไม่ได้รับทุน จึงอยากขอให้เปิดเผยโครงการงานวิจัยที่ได้รับทุนและที่มาขอทุน และตั้งคำถามว่าอีก 70 กว่าประเทศที่เขาอนุญาตบุหรี่ไฟฟ้าขายได้ตามกฎหมายนั้นได้รับทุนข้ามชาติหรือถูกล๊อบบี้จากบริษัทเหล่านี้หรือไม่ และยังต้องตั้งคำถามว่า สสส. ที่ต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าขณะนี้ถูกล๊อบบี้จากใคร”

ด้าน “หมอเอก” นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส. เชียงราย ระบุว่า “ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ผมได้อภิปรายรายงานของ  สสส. เกี่ยวกับความโปร่งใสในการทำงานของ สสส. เพราะที่ผ่านมา 20 ปีทำงานโดยไม่มีความโปร่งใสเลย  สสส. ทำตัวเหมือนแดนสนธยา ใช้งบประมาณ 4 พันล้านบาทเทียบเท่า 1 กระทรวง ใช้เงินโดยไม่ผ่านสภาและไม่มีคนนอกมากำกับดูแล และไม่สามารถหาข้อมูลว่า สสส. ให้งบประมาณกับใคร หน่วยงานไหนไปแล้วบ้าง ก็ไม่สามารถหาข้อมูลได้ ผมจึงตั้งใจมาช่วยล้างบางมาเฟียใน สสส.

 

‘พิธา’ ยัน ‘ก้าวไกล’ ส่งชิงผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หวั่นผู้สมัครที่มียังโอนอ่อน ‘นายทุน-ศักดินา’

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก ส่งสารสวัสดีปีใหม่พี่น้องประชาชน และตั้งเป้าปีหน้าว่าพรรคต้องทำงานให้เข้มข้นขึ้นยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับระบุข้อความด้วยว่า…

2565: ปีแห่งความหวังและโอกาสเปลี่ยนประเทศผ่านการเลือกตั้ง

สวัสดีปีใหม่พี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ 2 ของพรรคก้าวไกล เป็นปีที่เรายังคงมุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อเป็นปากเสียงให้กับผู้ถูกกดขี่ เป็นมือเท้าให้กับผู้ถูกละเลยจากรัฐ เข้าไม่ถึงโอกาส ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้กับผลการทำงานของส.ส. ทุกคน

แต่เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่จะเปลี่ยนประเทศไทยแล้ว เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเรายังทำงานหนักไม่พอ

ด้านการสื่อสาร
เราสื่อสารได้ไม่ดีพอที่จะทำให้คนรอบข้างเข้าใจได้ว่าการแก้ไขปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานของประเทศนี้ ไม่สามารถสำเร็จได้ผ่านการแก้ไขอย่างฉาบฉวย แต่จำเป็นต้องแก้โครงสร้างที่ผิดเพี้ยนอันเป็นรากฐานของปัญหาทั้งปวง และหนึ่งในรากฐานของปัญหานั้นคือคำถามที่ว่า อำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร

ด้านการทำงานในรัฐสภา
เรามีเสียงไม่มากพอ ทั้งยังโดดเดี่ยวในการต่อสู้เรียกร้องในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจที่ทุนใหญ่กำลังเดินหน้ากินรวบทั้งตลาด ไม่เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่เหลือทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค

หรือแม้กระทั่งเรื่องเรียบง่ายที่สุดอย่างการตัดสินใจโดยยึดถือประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นที่ตั้ง รวมทั้งการยืนยันว่าอำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของประชาชน เราก็ไม่สามารถโน้มน้าวชักชวนเพื่อนสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ให้เห็นร่วมกันกับเราได้ ผลประโยชน์และอำนาจในรัฐสภายังคงกระจุกตัวอยู่ที่เครือข่ายของเหล่านายทุน ขุนศึก ศักดินา เช่นเดิม

ผมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคนมา ณ ที่นี้ ปีหน้าเราสัญญาว่าเราจะพยายามให้มากและทุ่มเททำงานให้หนักกว่าปีที่ผ่านมา เพื่อให้เรามีเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนและสมาชิกรัฐสภามากพอที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศของประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญในปีหน้าที่ต้องขอแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน นั่นก็คือ "การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"

พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่าทุกการเลือกตั้ง คือ โอกาสของการเปลี่ยนแปลง หากประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่มีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าการเข้าคูหาเลือกตั้ง 

‘สันติธาร เสถียรไทย’ ปัดลงชิงผู้ว่าฯ กทม. หลังมีข่าว ‘ก้าวไกล’ ทาบทามร่วมงาน

จากกรณีที่สื่อบางสำนักรายงานว่า แกนนำพรรคก้าวไกลทาบทามนายสันติธาร เสถียรไทย หรือ ต้นสน นักเศรษฐศาสตร์ การเงิน ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซชื่อดัง บุตรชาย นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามของพรรคก้าวไกล โดยนายสันติธาร อยู่ระหว่างการตัดสินใจนั้น

ล่าสุด นายสันติธาร เสถียรไทย ได้ออกมาปฏิเสธผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ผมขออนุญาตใช้พื้นที่นี้ เพื่อชี้แจงกับทุกท่าน ว่ากระแสข่าวที่ออกมาว่าผมจะลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ไม่เป็นความจริง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top