Saturday, 4 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘ก้าวไกล’ กังขา รบ.ปล่อยบินรบรุกล้ำน่านฟ้าไทย จี้ ตอบให้ชัด เกี้ยเซี้ยะ ‘มิน อ่อง หล่าย’ หรือไม่

‘ก้าวไกล’ กังขา รัฐบาลไทยปล่อย มิก-29 บินล่วงล้ำน่านฟ้าไทย หลังแม่ทัพภาค 3 ประชุมร่วม มิน อ่อง หล่าย จี้ตอบให้ชัด กองทัพอากาศไทยและรัฐบาลปล่อยให้ลุกล้ำอธิปไตยไทยได้อย่างไร

มานพ คีรีภูวดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนชาติพันธุ์ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย คำพอง เทพาคำ ,องค์การ ชัยบุตร และ ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลรับผิดชอบและชี้แจงเหตุการณ์เครื่องบินรบมิก-29 รุกล้ำน่านฟ้าของไทย บริเวณบ้านวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นระยะเวลากว่า 20 นาที เมื่อวันที่ (30 มิ.ย. 65) ผ่านมา  

มานพ กล่าวว่า กรณีนี้มีประเด็นสำคัญ 3 ข้อ ที่รัฐบาลและกองทัพไทยต้องให้ความสำคัญและตอบคำถามต่อประชาชน ประการแรก ในระยะเวลา 3 รอบ ที่มีการบินเข้ามารุกล้ำอธิปไตยและน่านฟ้าไทย ใช้เวลารวมกันนานถึง 20 นาที ต่างจากที่กองทัพอากาศชี้แจงว่าส่งเครื่องบินไปลาดตระเวนตอบโต้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่กองทัพมักประกาศตนเสมอว่า มีแสนยานุภาพและมีศักยภาพในการป้องกันความมั่นคงของประเทศเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน แต่กลับปล่อยให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุการณ์นี้ทำให้ต้องมีการอพยพนักเรียนและประชาชนในพื้นที่เข้าสู่หลุมหลบภัย หมายความว่า กองทัพได้ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในความเสี่ยง โดยต่อมา มีการชี้แจงจากกองทัพไทยว่า การรุกล้ำน่านฟ้าของกองทัพเมียนมาร์ มีเหตุผลมาจากเขาไม่สามารถบินในพื้นที่เมียนมาร์ได้ เนื่องจากติดภูเขาและสภาพภูมิศาสตร์ จึงจะต้องบินอ้อมผ่านเข้ามาในประเทศไทย คำถามสำคัญที่มีต่อเหตุการณ์นี้คือ กองทัพไทยเปิดโอกาสให้กองทัพเมียนมาร์มีการบินเข้ามาเพื่อโจมตีกลุ่มผู้ต่อต้านโดยรุกล้ำน่านฟ้าไทยได้ถึง 3 ครั้งได้อย่างไร 

ประการที่ 2 มีข้อสังเกตว่า ก่อนมีการโจมตีดังกล่าว 1 วัน มีภาพของแม่ทัพภาคที่ 3 ประชุมพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลเมียนมาร์ ที่ กรุงเนปิดอว์ จึงชวนให้สงสัยว่า มีการรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้เครื่องบินรบของเพื่อนบ้านรุกล้ำอำนาจอธิปไตยไทยหรือไม่ ทั้งที่กองทัพมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่กลับไม่มีการตอบโต้อย่างทันท่วงที ปล่อยให้รุกล้ำถึง 3 ครั้ง ใช้น่านฟ้าไทยปฏิบัติการทางทหารจนเสร็จสิ้นภารกิจ เวลาพูดถึงภัยความมั่นคง รัฐบาลและกองทัพไทยมักนำไปอ้างเพื่อจับกุมนักศึกษาและประชาชนและที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและจัดการอย่างรวดเร็ว แต่พอเวลาที่มีเหตุการณ์ซึ่งเป็นภัยความมั่นคงจริงๆ กลับล่าช้าและไม่มีท่าทีที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังน่าสงสัยว่าจะใช้เหตุนี้เป็นเหตุผลเพื่อซื้อเครื่องบินรบใหม่หรือไม่

‘พิธา’ ฝาก!! เป็นนายกฯ วันแรกจะเซ็นเลิกขาว 3 ด้าน หลัง 'ก้าวไกล' พ่ายโหวต 'ทวงคืนทรงผมตำรวจ'

(1 ก.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้า การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการพิจารณาครั้งที่ 6 โดยเริ่มจากมาตรา 120 ซึ่งภาพรวมการพิจารณาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งเวลา 10.35 น. มาตรา 143 ระบุว่า ให้อำนาจฝ่ายบริหารออกกฎกระทรวง กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบตำรวจ โดยพ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็นเพิ่มวรรคสอง ระบุว่า... 

ข้าราชการตำรวจทุกเพศ มีสิทธิ เสรีภาพ ในการไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้โดยสุภาพเรียบร้อย การออกกฎระเบียบ คำสั่ง ให้จำกัดสิทธิเสรีภาพได้เท่าที่จำเป็น เพื่อความสุภาพเรียบร้อยเท่านั้น จะเห็นว่าไม่ได้เป็นการให้สิทธิเสรีภาพทรงผม แต่ยังคงให้อำนาจฝ่ายบริหารจำกัดสิทธิเสรีภาพตำรวจในการไว้ทรงผมได้เท่าที่จำเป็น เพราะทรงผมสุภาพเรียบร้อยมีหลายทรงไม่ใช่แค่ทรงขาวสามด้าน การที่ตนเสนอวรรคนี้เพื่อให้ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจ เมื่อแต่งกายชุดข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2561 ข้อที่ให้ข้าราชการตำรวจชายต้องตัดผมสั้นด้านข้างขาวทั้ง 3 ด้าน ด้านบนยาวได้ไม่เกิน 3 ซม. ที่ออกโดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ให้มีผลถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เป็นการทวงคืนทรงผมให้ตำรวจ 

ส่วนเหตุผลที่ต้องเสนอเพิ่มในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เนื่องจากประเด็นนี้สำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจ เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นครอบคลุมทุกมิติ เป็นการเปลี่ยนแปลงให้สิทธิความเป็นธรรมแก่คนหน้างาน การทวงคืนทรงผมถือเป็นการปฏิรูป เดิมผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจสั่งการจำกัดสิทธิผู้ใต้บังคับบัญชาเกินความจำเป็น ทำให้อึดอัดทำลายคุณค่า ทำลายความมั่นใจ ซึ่งเป็นปัญหา จึงต้องปรับปรุงให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น

“ผมเคยอยู่ทันคำสั่งทรงผมบ้าบอ ๆ ของผบ.ตร.เป็นปี ๆ ก่อนจะลาออกมา ผมเห็นปัญหาต่าง ๆ ขององค์กรตำรวจมาตลอด ข้องใจมาตลอดว่าระบบราชการทำไมห่วยขนาดนี้ โดยเฉพาะตำรวจแย่กว่าองค์กรอื่น ๆ ยิ่งมีรัฐประหาร ยิ่งทำให้องค์กรตำรวจย่ำแย่หนัก คำสั่งทรงผมขาว 3 ด้าน ช่วงแรกที่สั่งมาตำรวจไม่ทำตามยื้อมาได้ครึ่งปี ผบ.ตร.ที่บ้าอำนาจไม่สามารถบังคับได้ สุดท้ายใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดู เอาตำรวจกลุ่มหนึ่งไปธำรงวินัย แล้วทำไอโอส่งไปตามกลุ่มไลน์ตำรวจให้เกิดความกลัว เป็นบรรยากาศของการถูกบังคับสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ในองค์กรหดหาย ซึ่งตำรวจไม่ใช่ต้องทำตามคำสั่งจากความหวาดกลัวของคนหัวโบราณ” พ.ต.ต.ชวลิต กล่าว

‘วัน’ ซัด 'ก้าวไกล' กลืนน้ำลายตัวเอง หลังกลับลำกลางสภา ลงมติเอา 500 หาร

'วัน' อัด 'ก้าวไกล' กลืนน้ำลายตัวเอง ลงมติเอา 500 หารเพราะคิดว่าจะได้ ส.ส.มากขึ้น ทั้งที่ตอนเสนอกฎหมายและในชั้น กมธ.หนุน 100 หาร

(7ก.ค.65) นายวัน อยู่บำรุง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า พรรคก้าวไกล กลืนน้ำลายตัวเอง ไปลงมติเอา 500 หาร ทั้งที่พรรคตัวเองเสนอ กม.ให้รัฐสภารับร่างไปเข้า กมธ. ก็เสนอ เอา 100 หาร

ใน กมธ.เสียงข้างมาก คนพรรคนี้ลงมติเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก คือ 100 หาร ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ยืนยันว่าจะโหวตเอา 100 หาร

‘ก้าวไกล’ แจงละเอียดปม 'เล่นบทสองหน้า' ฉะ ‘เพื่อไทย’ ทำศรัทธาปชช.ต่อก้าวไกลวูบ

(9 ..65) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส..บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานวิป พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีที่ประชุมรัฐสภา มีมติใช้สูตรหาร 500 คำนวณจำนวนส..บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง โดยมีรายละเอียดดังนี้…

ข้อเท็จจริง จากการประชุมวิปร่วมฝ่ายค้าน

ในการประชุมวิปของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ของเช้าวันอังคารที่ 5 กรกฎาคม เวลา10.00 น ณ ห้อง M1 หลังบัลลังก์ อาคารรัฐสภาโดยมีประธานวิปสุทิน คลังแสง เป็นประธานที่ประชุม และคุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เข้าร่วม รวมถึงตัวแทนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรค

เลขาธิการพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน ผม และส.. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ได้ยืนยันจุดยืนของพรรคก้าวไกลอย่างชัดเจนในที่ประชุม ว่าเราเห็นด้วยกับ สูตรหาร 100 ในแบบที่ ส..ปกรณ์วุฒิได้สงวนคำแปรญัตติ เพื่อให้แก้ไขปัญหา ส.. ปัดเศษที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดย ส..ปกรณ์วุฒิ ยังได้อธิบายในรายละเอียดของคำแปรญัตติ และวิธีการคำณวนให้ที่ประชุมได้รับทราบอีกด้วย

จึงเป็นที่มาที่พรรคก้าวไกล จะไม่ลงมติ “เห็นด้วย” กับร่างของกรรมาธิการที่ไม่มีการแก้ไข เพราะเป็นสูตรหาร 100 ที่ไม่ได้แก้ปัญหา ส.. ปัดเศษ

ซึ่งในที่ประชุม ผมยืนยันได้ว่า อย่างน้อย 2 ท่าน ที่รับทราบเจตนานี้เป็นอย่างดี ก็คือ คุณหมอชลน่าน และประธานวิปสุทิน เพราะเรายังถกกันต่อเนื่อง ว่า หากก้าวไกลยืนยันแบบนี้…

- การลงมติ ในคำถามที่ 1 และ 2 จะเป็นอย่างไร

- จะทำให้สูตรหาร 100 แพ้หรือไม่ เพราะเสียงของก้าวไกลจะไปรวมกับกลุ่มที่เอาสูตรหาร 500 ในคำถามแรก

ผมเองยังแสดงความเห็นว่า หากเรารวบรวมเสียงได้มากพอ ยังไงเราก็จะชนะในคำถามที่สองอยู่แล้ว ไม่น่าห่วง

(แต่หากเราชนะในคำถามที่หนึ่ง ก็จะได้สูตรหาร100 ที่ขาดความสมบูรณ์ ซึ่งต้องเรียนว่า พรรคก้าวไกล มีการหารือในที่ประชุม ส.. อย่างรอบคอบ ว่าเห็นด้วยให้ ส.. ปกรณ์วุฒิถอนคำแปรญัตติหรือไม่ แต่ที่ประชุมเห็นว่า สูตรหาร 100 แบบที่ ส..ปกรณ์วุฒิเสนอ จะสะท้อนเสียงของประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะแก้ไขปัญหา ส..ปัดเศษได้)

คุณหมอชลน่านยังได้เสนอให้ ส.. จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นผู้เสนอต่อประธานในที่ประชุม ขอให้ตั้งคำถามแรก ในลักษณะที่ให้ ที่ประชุมจะเลือกอะไร ระหว่างหาร 500 กับ หาร 100 ไปเลย เพื่อให้ก้าวไกลสามารถมาโหวตร่วมกับเพื่อไทยตั้งแต่คำถามแรก อีกด้วย

นอกจากนั้น ในรายงานการประชุมวิป จะเห็นได้ว่า ไม่มีการบันทึกว่า มติของพรรคร่วมฝ่ายค้านในการลงมติประเด็นนี้คืออะไร เพราะหาข้อสรุปร่วมกันทุกพรรคไม่ได้

ผมเห็นว่า…

- การรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ทั้งที่อ้างอิงและไม่อ้างอิง คนของพรรคเพื่อไทย มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเป็นอย่างมาก

- การแสดงความเห็นของ พี่น้องประชาชน และ นักการเมือง ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม ก็มีความเข้าใจผิด

- แต่หากเป็นผู้ที่เข้าร่วมการประชุมวิป ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่า เข้าใจผิด หรือ จงใจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด??

ผมรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา ที่เป็นการแก้ไขวิธีการคำณวนเพียงเพื่อเป็นนั่งร้านให้กับพลเอกประยุทธ์ในการสืบทอดอำนาจ หรือ เพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าหลักการที่ถูกต้อง

และผมจะเสียใจเป็นอย่างมาก หากสูตรหาร 100 จะไม่ผ่านสภา เพราะเสียงของ ส.. พรรคก้าวไกล และคงจะเข้าใจความรู้สึกของพรรคเพื่อไทย หากแพ้โหวตเพราะก้าวไกล

แต่จากผลการลงมติ ในคำถามที่สอง เราเห็นได้ชัดว่า เพื่อไทย / ก้าวไกล และเสียงของกลุ่มที่เห็นด้วยในสูตรหาร 100 มีไม่มากพอที่จะชนะ

หรือแม้กระทั่งว่า พรรคก้าวไกล จะยอมโหวต “เห็นด้วย” ร่วมกับในคำถามที่ 1 แล้วได้สูตรหาร 100 ที่ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถชนะอยู่ดี

‘วิโรจน์’ ยันดูแล-ปกป้องผู้เสียหายอย่างยุติธรรม หลัง ส.ก.ก้าวไกล ถูกร้องเอี่ยวคุกคามทางเพศ

‘ก้าวไกล’ แจง ส.ก. ถูกแจ้งความคดีคุกคามทางเพศ ย้ำพรรคปกป้องดูแลผู้เสียหาย-ให้ความร่วมมือตำรวจเต็มที่ หากพบ ส.ก. ทำผิดจริงเตรียมฟันพ้นสมาชิก-ขอให้พิจารณาตำแหน่งตัวเอง

(12 ก.ค. 65) ที่พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายกรุงเทพมหานคร และนางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวด่วนกรณีนายอานุภาพ ธารทอง ส.ก. เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกดำเนินคดีคุกคามทางเพศ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เปิดเผยว่าตนเองได้รับแจ้งจากนางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล และอาสาสมัครมูลนิธิเส้นด้าย ในช่วงเวลา 03.30 น. ของเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ว่านายอานุภาพ ธารทอง ส.ก. เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกแจ้งความดำเนินคดีคุกคามทางเพศ ตนและนางสาวภัทราภรณ์ จึงได้เดินทางไปถึง สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อเวลาประมาณ 04.00-05.00 น. โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อปกป้องดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความยุติธรรมและความปลอดภัยทั้งกายและใจอย่างถึงที่สุด

จากการพูดคุยกับผู้เสียหาย อาสาสมัครเส้นด้าย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นการกระทำที่มีมูล โดยมีการพาผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเคหสถาน มีการดื่มแอลกอฮอล์ และมีพฤติกรรมเข้าข่ายการคุกคามทางเพศ

'กนก' แซะ!! เสียชื่อ 'ก้าวไกล' พรรคคนรุ่นใหม่ ทำตัวเหมือนราชการ สอบวินัยช้าเป็นเรือเกลือ

นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ช่อง TOP NEWS โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก 'Kanok Ratwongsakul Fan Page' ว่า...

ทำเหมือนหน่วยงานราชการเลยเนอะ มีสอบวินง-วินัย ทำไมไม่ผ่านคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนล่ะ (ประชด!)

ยังไงก็.. ให้ไวนะครับ เราเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ อย่าไปก๊อปขั้นตอน เรือเกลือ ไปเรื่อยๆ มาเรียงๆ

วันก่อน พี่วิโรจน์ ยกมือไหว้ขอโทษไปแล้วบอก "เป็นการกระทำที่มีมูล"

ตอนนี้เจ้าตัวคุย.. ได้รับกำลังใจมาจากทุกช่องทาง

ก้าวไกลขับ ‘อานุภาพ’ พ้นสมาชิกพรรค พร้อมขอให้เจ้าตัวลาออกจาก ส.ก. ด้วย

พรรคก้าวไกลมีความเห็นให้ ส.ก. เขตสาทร พิจารณาตนเองลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง

จากกรณีที่นายอานุภาพ ธารทอง ส.ก. เขตสาทร พรรคก้าวไกล ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานอนาจารเมื่อวันที่ (12 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา พรรคได้มอบหมายคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณพรรคให้สอบสวนข้อเท็จจริงโดยด่วนที่สุด โดยได้มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ (15 กรกฎาคม 2565) คณะกรรมการวินัยฯ ได้เรียกนายอานุภาพมาสอบข้อเท็จจริง ซึ่งนายอานุภาพได้ยอมรับว่าตนมีพฤติการณ์ผิดต่อจริยธรรมพรรคและสร้างความเสื่อมเสียให้แก่พรรคอย่างร้ายแรง คณะกรรมการวินัยฯ จึงมีความเห็นให้คณะกรรมการบริหารพรรคลงโทษขั้นสูงสุดคือการให้นายอานุภาพพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรค

อย่างไรก็ตาม นายอานุภาพได้แสดงความจำนงขอลาออกจากสมาชิกพรรคในวันเดียวกัน

แม้นายอานุภาพจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลแล้ว แต่ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครอยู่ เนื่องจากกรณีนี้เป็นความผิดร้ายแรงต่อจริยธรรมพรรค จริยธรรมสังคมอย่างมาก คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีความเห็นให้นายอานุภาพพิจารณาตัวเอง ลาออกจากตำแหน่ง ส.ก. เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง

ทัพหญิงพปชร. จี้!! ส.ก.ก้าวไกลแสดงความรับผิดชอบ ควรไขก๊อกตำแหน่งที่ได้ความไว้วางใจจากปชช.ด้วย

(17 ก.ค. 65) ที่พรรคพลังประชารัฐ.(พปชร.) น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม. แถลงข่าวเรียกร้องถามหาความรับผิดชอบของพรรคก้าวไกล กรณีนายอานุภาพ ธารทอง ส.ก.เขตสาทร พรรคก้าวไกล หลังถูกดำเนินคดีคุกคามทางเพศ ที่ขณะนี้มีการประกาศลาออกจากพรรคแล้ว ให้พิจารณาถึงตำแหน่งสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. ที่มาจากความไว้วางใจของประชาชนด้วย แม้ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผูกพันกับตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งแต่จิตสำนึกก็สำคัญเช่นกัน จึงไม่ได้อยากให้ในเรื่องนี้เงียบไปอย่างเช่นกรณี สก.เขตวัฒนาที่ถูกร้องเรียนคุกคามทางเพศสาวประเภทสองก่อนหน้านี้ด้วย

'ธัญวัจน์’ ชี้ เรียกร้อง ‘สมรสเท่าเทียม’ ในยูเครนคือการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ผลักดันร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดจากภาวะสงครามของยูเครนและรัสเซีย กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ขับเคลื่อนรวบรวมรายชื่อ 28,000 คน ถึงรัฐสภายูเครนและประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ให้พิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อยอมรับบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศยูเครนที่มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาแล้ว 9 ปี นับจากหมุดหมายสำคัญในการจัดงาน #PrideMonth ในปี 2013 จนนำมาสู่มีร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติเมื่อปี 2015 แต่อย่างไรก็ดีกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศยังไม่สามารถทำได้

“การไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวนั้นไม่ได้หมายความว่ากลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่ประสบปัญหา เพราะการที่อยู่ด้วยกันไม่มีกฎหมายประกันสิทธิใด ๆ และยิ่งในภาวะสงครามที่มีการสูญเสีย การพลัดพราก ที่ไม่ต่างจากเพศชายหญิงทั่วไป ส่งผลกระทบทางตรงเมื่อพวกเขาไม่มีกฎหมายรับรองและประกันสิทธิ์ในฐานะคู่สมรส”  

ธัญวัจน์ ยังระบุอีกว่า การเรียกร้องของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในยูเครน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเรียกคืนสิทธิ์ที่ถูกพรากไป แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้โลกเราเห็นภาพใหญ่คือ “สงคราม” หรือ “สันติภาพ” ด้วย เพราะสมรสเท่าเทียมคือสัญลักษณ์ของความรักและสันติภาพ 

“เราทุกคนล้วนแล้วแต่อยากที่อยู่ใกล้กับคนที่เรารัก อยากดูแลกัน แบ่งปันกัน สร้างครอบครัวด้วยกัน ในขณะที่สงครามนั้นเกิดจากความเกลียดชังและบ้าคลั่งในอำนาจ ต้องการชัยชนะ แม้จะยืนอยู่บนความพ่ายแพ้ของผู้อื่น เราทุกคนไม่ได้อะไรจากสงครามและความเกลียดชัง”

‘จิรัฏฐ์’ ซัด 13 ปี GT200 คนสั่งซื้อได้เป็นรมต. ส่วนคนขายยังได้ดี รับงานกองทัพต่ออีก 8,000 ล้าน

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.จังหวัดฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด GT-200 ที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง

จิรัฏฐ์ กล่าวว่า คดี GT-200 ถือเป็นมหกรรมการทุจริตครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในช่วง 2549-2552 จากการจัดซื้อ จัดจ้าง เครื่องค้นหาวัตถุระเบิดและสารเสพติดต่าง ๆ ที่ต่อมาถูกแหกว่าไร้คุณภาพ จนมีการให้ฉายาความห่วยแตกว่าไม่ต่างอะไรกับ ‘ไม้ล้างป่าช้า’ ส่วนสาเหตุที่สังคมไทยไม่ลืมเรื่องค่าโง่ GT-200 ทั้งที่ผ่านมาแล้ว 13 ปี ก็เพราะยังคงมีคำถามที่ยังไม่เคยได้รับคำตอบว่า ใครต้องรับผิดชอบจากการจัดซื้อเครื่อง GT-200

“ปัญหาสำคัญของการจัดซื้อเครื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทุจริตที่ทำให้ประเทศชาติสูญเงินฟรีนับพันล้าน แต่ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทหารและพลเรือนหลายคนได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดเพราะเครื่องที่ใช้การไม่ได้ ทั้งยังทำให้ผู้บริสุทธิ์นับร้อยรายต้องโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการโดนคุมขัง ดำเนินคดี เพราะเครื่องชี้ผิดชี้ถูก ดังนั้น เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เพียงได้เงินคืนแล้วจบ แต่ต้องมีการเอาผิดไปถึงผู้ที่อนุมัติการซื้อเครื่องนี้เข้ามา เพราะมันได้ทำร้ายชีวิตของผู้คนไปมากมาย”

จิรัฏฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เพิ่งมีความคืบหน้าไปอีกขั้น เมื่อวันที่ (28 มีนาคม 2565) ที่ผ่านมานี้  อัยการสูงสุด โดยอัยการศาลทหารกรุงเทพ ได้ยื่นฟ้องทหารจำนวน 22 คน ในข้อหาว่ากระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีที่กองทัพบกสั่งซื้อ GT-200 เป็นจำนวน 12 สัญญา ทั้งหมด 757 เครื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 682,600,000 บาท สำนวนนี้รับต่อจาก ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดทหารทั้ง 22 นาย แต่ประเด็นสำคัญคือ คดีนี้กลับชี้ไปไม่ถึงผู้มีส่วนสำคัญในการอนุมัติเลย ทั้งที่ GT-200 เกือบทั้งหมด ถูกอนุมัติสั่งซื้อโดย พล.อ.อนุพงษ์ ผบ.ทบ. ขณะนั้น ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขณะนั้น

“การซื้อครั้งที่ 3, 11 และ 12 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะ ผบ.ทบ. เป็นผู้เซ็นอนุมัติซื้อด้วยตัวเอง การซื้อครั้งที่ 2, 3, 6, 7, 8 และ 11 ซึ่งเป็นวงเงินไม่เกิน 40 ล้านบาท อยู่ในอำนาจอนุมัติของ ผบ.ทบ. ก็พบว่ามีผู้ช่วย ผบ.ทบ. หรือ เสธ.ทบ. เป็นผู้เซ็นอนุมัติโดยรับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ โดยการสั่งซื้อครั้งที่ 11 พบว่า เสธ.ทบ. ผู้รับคำสั่งจาก ผบ.ทบ. ให้เซ็นอนุมัติซื้อ มีชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วน พล.อ.ประวิตร ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม ก็มีลายเซ็นอนุมัติสั่งซื้อในครั้งที่ 9, 10 และ 12 ซึ่งมีวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ด้วยเช่นกัน เอกสารนี้เป็นเอกสารในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้ง 12 สัญญา ซึ่ง ป.ป.ช. ถืออยู่มา 10 ปีแล้ว คำถามคือทำไมชื่อเหล่านี้หายไป”

จิรัฏฐ์ ยังยืนยันว่า คดีนี้มองมุมไหนก็ส่อเค้าทุจริตและ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร ต้องรับผิดชอบด้วย แต่สาเหตุที่ไม่สามารถนำไปสู่การชี้มูลความผิดได้ เพราะ ป.ป.ช. ซึ่งรู้กันว่ามีที่มาเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารเพิกเฉยในการทำหน้าที่จึงไม่สามารถไปสู่การดำเนินคดีต่อได้ ตามที่พนักงานอัยการ ท่านหนึ่งมีความเห็นไว้ใน เอกสาร อก.4 ว่า

“ประวิตร รัฐมนตรีกลาโหม ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อ ในการจัดซื้อครั้งที่ 4 /7 /12  อนุพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อครั้งที่ 2/3/6/7/8/11 เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อครั้งที่ 1/5  มีหน้าที่ต้องตรวจสอบให้มีความชัดเจนว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถตรวจสารวัตถุระเบิดและสารเสพติดได้หรือไม่ก่อนที่จะอนุมัติให้มีการสั่งซื้อ แต่ไม่ได้ดำเนินการตามนั้นจึงปฏิเสธว่าไม่รู้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถตรวจสารวัตถุระเบิดและสารเสพติดได้ เพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ได้”

“คดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่แจ้งข้อกล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อ ผู้บัญชาการทหารบกผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อในการจัดซื้อ อัยการสูงสุดจึงไม่มีอำนาจพิจารณาการกระทำความผิดของบุคคลดังกล่าวได้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top