Saturday, 4 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘วิโรจน์’ แฉงบสำนักระบายน้ำกทม. 7,700 ล้าน ซัดมีแต่โครงการใหญ่ แต่ไร้ผู้รับเหมารับงาน

วิโรจน์ แฉงบสำนักระบายน้ำ กทม. 7,700 ล้าน ผู้ว่าคนก่อนทำทิ้งไว้มีแต่โครงการใหญ่ จ้างที่ปรึกษา เบิกจ่ายช้า หาผู้รับเหมาไม่ได้ แต่ก็ยังตั้งงบไว้ เหมือนล็อกสเป็ครอผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งเฉพาะ

วันที่ 21 ก.ค. 65 เวลา 00.20 น. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อสังเกตถึงงบ กทม. ปี 66 ว่ามีปัญหาจำนวนมากที่ต้องเข้าไปจัดการแก้ไขเพื่อให้ผู้ว่าชัชชาติแก้ปัญหาเส้นเลือดฝอยได้

โดยนายวิโรจน์กล่าวว่า หนี่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพในช่วงเวลานี้ คือการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากปีนี้สภาพอากาศโลกมีความแปรปรวนเป็นพิเศษ และปัญหาน้ำท่วมแบบที่เกิดในวันนี้อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของปีนี้ เพราะอย่าลืมว่าเราเพิ่งผ่านวัน "เข้าพรรษา" มาแค่ไม่กี่วัน 

หัวใจของปัญหาน้ำท่วมที่ต้องเร่งแก้ไข นอกจากเส้นเลือดใหญ่ หรือเส้นเลือดฝอยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่เปรียบประหนึ่งกระดูกสันหลัง ก็คือ การจัดสรรงบประมาณของ กทม. ว่าถูกจัดสรร และนำไปใช้ได้อย่างตรงจุดหรือไม่

พรรคก้าวไกลมีข้อสังเกตงบประมาณสำนักระบายน้ำ ปี 66 จำนวน 7,704.48 ล้านบาท ที่ผู้ว่าคนก่อนทำทิ้งไว้ ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วพบได้ว่า

1. มีโครงการการก่อสร้างจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นโครงการอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ โครงการสร้างพื้นรับน้ำ หรือโครงการสร้างอาคารรับน้ำสำหรับการระบาย ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผนที่ตั้งไว้ ทำให้เกิดการก่อสร้างล่าช้า ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก หลายโครงการที่เลยกำหนด ผู้รับเหมาก็ทิ้งงาน งบประมาณก็ขาดแคลนไม่ต่อเนื่อง ทำให้โครงการถูกลากยาว สร้างไม่จบไม่สิ้น

2. มีการตั้งโครงการก่อสร้างยักษ์ใหญ่จำนวนมาก แต่ไม่สามารถหาผู้รับจ้างได้ แต่ก็ตั้งงบประมาณในส่วนนี้คาเอาไว้เสมอ เหมือนกับจะล็อคสเป็ครอผู้รับเหมารายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทำให้แผนการระบายน้ำไม่ถูกดำเนินการให้แล้วเสร็จ ปัญหาเดิมก็ค้างอยู่อย่างนั้น

3. โครงการก่อสร้างของสำนักระบายน้ำคิดแต่การทำการใหญ่ที่มีผลกระทบสูง แต่ไม่มีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างการทำประชาพิจารณ์ 

4. สำนักระบายน้ำเสียเงินจำนวนมากไปกับการจ้างที่ปรึกษาในการก่อสร้าง แถมที่ผ่านมาการตรวจรับงาน ก็มีปัญหางานด้อยคุณภาพหลุดออกมาเต็มไปหมด แต่ที่ปรึกษารายเดิม ๆ ก็ยังถูกจ้างอยู่วันยังค่ำ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

‘พิธา’ อัด 3 แกนประยุทธ์ สุดกลวง!! แท้จริงมีแต่การทำลายประเทศ-ประชาชน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ทำคนไทยมืด 8 ด้าน  อัด ‘เศรษฐกิจ 3 แกน’ คือ ความกลวงปลอมเปลือก แท้ที่จริงคือ 
1.ทำลายศักยภาพในประเทศสร้าง-ซุกหนี้สารพัด 
2.ทำลายศักยภาพในต่างประเทศ เสี่ยงโดนกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ และ 3.ทำลายศักยภาพประชาชน ละเมิดสิทธิเสรีภาพ-หลักนิติรัฐอย่างโจ่งแจ้ง พร้อมเผยตัวเลขน่าตกใจ โรคระบาดในไทยที่มีคนตายมากกว่าโควิด

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นผู้สรุปการอภิปรายว่า 8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ซึ่งกลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต เมื่อไปดูในรายละเอียดก็พบว่ากลวง เป็นของปลอมที่มีแต่เพียงเปลือก อย่างแกนที่ 1.โครงสร้างพื้นฐานก็ช้าและมีแต่จะเจ๊ง แกนที่ 2.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มต้นช้าตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ความหวังเป็นศูนย์กลางแทบไม่มีทางเป็นไปได้ และ แกนที่ 3.การเงินการธนาคารที่จะให้คน 30 ล้านเข้าถึงขนาดมีอำนาจเต็มยังทำไม่ได้ อีกทั้งแผนการเงินที่พูดมาก็เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ และขนาดที่ผู้บริหารธนาคารระดับประเทศเองก็บอกว่างงเป็นไก่ตาแตกกับแผนนี้

“เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุดคือนายกรัฐมนตรีไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับคือไม่มีความหวัง ท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาแบบนี้ประชาชนต้องการให้นายกเป็นผู้นำที่จะสร้างความหวังกลับมาให้ประเทศ ไม่ใช่ให้ สมช. คิดแผน แล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการ เดี๋ยวก็ตั้งคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการก็ไปตั้งที่ปรึกษา ไม่ได้มีแก่นสาร ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยออกจากวิกฤติได้เลย” พิธา กล่าว

พิธา กล่าวอีกว่า สำหรับ 3 แกนที่แท้จริงของประยุทธ์ คือ 3 ทำลาย ได้แก่ 1.ทำลายศักยภาพในประเทศ ผ่านการบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลว ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะมีแต่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหนี้นโยบายและหนี้กองทุนน้ำมันที่ซุกไว้อีกด้วย 
2. ทำลายศักพยภาพของไทยในต่างประเทศ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ทันโลก ไม่เจนจัดสนามการเมืองโลก ขาดลูกล่อลูกชน และโดยหลักการคือควรวางตัวเป็นกลางเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประเทศกลับไม่ทำ อย่างกรณีเครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลากขึ้นศาลได้ ขณะที่การตั้งผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา ก็ดันไปเอาบุคคลที่มีมลทินเคย มีความผิดเกี่ยวกับความเป็นล็อบบี้ยีสต์มาดำรงตำแหน่ง 
และ 3.ทำลายศักยภาพประชาชน ซึ่งก็คือการทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกคน ละเมิดสิทธิประชาชนด้วยคดีความที่เป็นการทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่สำคัญคือการแอบอ้างเรื่องสถาบัน ที่ทำให้มีคนจำนวนมากถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแจมงานคราฟต์เบียร์ หลังเสร็จศึกซักฟอกรัฐบาล ให้คำมั่นเดินหน้าสู้เพื่อปลดแอกสุราคนไทย ตามนโยบายทำน้อยแต่ได้มาก

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ชั้น 2 อาคารอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า จัดงาน B.A.D. BEER ครั้งที่ 2 มหกรรมคราฟต์เบียร์รวมเบียร์ฝีมือคนไทย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนร่วมงานจำนวนมาก มีทั้งแบรนด์เบียร์ ร้านอาหารร่วมออกบูธ 

ภายในงานมีการออกบูธเบียร์-สุราชุมชนที่มีแบรนด์ถูกกฎหมาย รวมถึงจัดทำเวิร์คช็อป ชิม เบียร์-อาหาร โดยมี ส.ส. พรรคก้าวไกล เท่า พิภพ ลิมจิตกร เป็นวิทยากร โดยประชาชนและนักดื่มนักต้มเบียร์ ให้ความสนใจร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของกิจกรรม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เซอร์ไพรส์ปรากฎตัวที่งาน โดยร่วมขึ้นปราศรัย ขอบคุณประชาชนที่ร่วมงานและต่อสู้เพื่อผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า จนสำเร็จผ่านการพิจารณาในวาระแรก เพื่อเดินหน้าทลายทุนผูกขาด ปลดล็อกศักยภาพเบียร์ฝีมือคนไทย

"สินค้าการเกษตรนั้นมันเกิดขึ้นได้จากคนที่มีแพชชั่นแบบคุณทุกคนที่อยู่ในงานนี้ และหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนทุกคน คงไม่มีวันที่จะสำเร็จได้" นายพิธา กล่าว

‘พิธา’ ร้อง ‘รัฐ-ยูเอ็น’ กดดันเผด็จการทหาร หลังตัดสินประหารนักเคลื่อนไหวในเมียนมา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงการณ์กรณีการประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมา ระบุว่า…

ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผมรู้สึกตกใจและเศร้าเสียใจอย่างยิ่งต่อการกระทำอันโหดร้ายของศาลทหารของเผด็จการทหารเมียนมาในการประหารชีวิตผู้นำ NLD และนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย เช่น พโย เซยา จ่อ และ ก่อ หมิ่น ยู ผมขอร่วมกับประชาคมโลกในการประณามการกระทำนี้อย่างรุนแรงที่สุด

สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมโดยตุลาการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอันชอบธรรม เป็นอิสระ และเป็นกลาง เป็นหนึ่งในหลักการอันล่วงละเมิดมิได้ที่บัญญัติไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR การทำลายสิทธิดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามจิตสำนึกร่วมที่ดีของประชาคมโลก

เผด็จการทหารเมียนมาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยุติความรุนแรงต่อพลเรือนโดยทันที ดังนั้นผมขอสนับสนุนให้อาเซียนทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับเมียนมา พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยส่งสัญญาณที่เข้มแข็งและชัดเจนต่อเผด็จการทหารเมียนมาว่า การเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้คืนอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนโดยเร็วผ่านการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เนื่องจากเมียนมาที่เป็นประชาธิปไตยและมั่งคั่ง เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่อประเทศไทยแต่ต่อประชาคมโลกในภาพรวมด้วย

ก้าวไกล ติง ‘ทัพฟ้า’ ควรฟังเสียงประชาชน อย่าดึงดันซื้อบินรบ F-35A ในภาวะวิกฤติ

อดีตทหารอากาศ ‘พรรคก้าวไกล’ จวกกองทัพบก ของบซื้อเครื่องบินรบ ในขณะที่ประชาชนเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ

ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตลาดพร้าว วังทองหลาง พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่พลอากาศตรี ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ชี้แจงผลกระทบกรณีการเลื่อนโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน หลังจาก กมธ. ตัดงบประมาณจัดซื้อ ‘F-35 A’ ว่า ปัจจุบันกองทัพอากาศมีเครื่องบินขับไล่โจมตี 5 ฝูงบิน โดยได้ปรับปรุงขีดความสามารถของอากาศยานที่มีอยู่ เพื่อให้ดำรงขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจเอาไว้

ธนเดช ระบุว่า ตนในฐานะอดีตทหารอากาศ ตระหนักและเข้าใจดีถึงความสำคัญของการจัดเตรียมกำลังให้มีขีดความสามารถและศักย์กำลังรบพร้อมรับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ การจัดซื้ออาวุธหรือฝูงบินรบที่ทันสมัยอย่าง F-35A  ที่กำลังเป็นข่าวก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรอยู่บนยุทธศาสตร์ที่มีการวางแผนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดและสามารถตอบคำถามประชาชนได้ ไม่ใช่จัดซื้อเพราะได้ลดราคา

ที่สำคัญคือตอนจะซื้อก็ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ กรณี F-35A นี้ ถ้าจำกันได้ ในเดือนมกราคมก็ผ่านเข้าครม. ทั้งที่ประชาชนกำลังอยู่ในช่วงข้าวยากมากแพง แถมยังโดนผลกระทบต่อเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ปุ๋ย อาหารสัตว์แพงไปหมด ส่งผลให้ค่าครองชีพต่าง ๆ ก็แพงไปด้วย มีหลายครอบครัวครับที่ถึงกับต้องให้ลูกหลานออกจากโรงเรียนกลางคัน และมีการประเมินกันว่า ตัวเลขในปีนี้อาจมีเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากการศึกษาถึงล้านคน แทนที่ท่านจะเอาเงิน 7,400 ล้านบาทก้อนแรกที่ท่านจะใช้ ไปทำในสิ่งที่จำเป็นเฉพาะหน้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือเด็ก ๆ กองทัพควรตระหนักได้ว่าทรัพยากรมนุษย์นี่ล่ะ คือ ความมั่นคงในอนาคตของจริง แต่ท่านกลับเอาแต่งอแงเหมือนเห็นของเล่นใหม่ 

ศาลรับฟ้อง คดีหมิ่นประมาท 'กัลฟ์' นัดสอบคำให้การครั้งแรก 10 ต.ค.

(3 ส.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดฟังคำสั่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีดำที่ อ1659/2564 ที่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดย นายเนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยื่นฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

นัดฟังคำสั่งวันนี้ ผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์ มาศาล ส่วน จำเลยไม่มา

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์มีนายเนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ มาเบิกความพร้อมแสดงพยานหลักฐานเป็นเอกสารและวัตถุ พยาน ได้ความว่า จำเลยได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 โดยกล่าวพาดพิงโจทก์ว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงอนุญาโตตุลาการ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัทไทยคมซึ่งมีคดีพิพาทอยู่กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โจทก์เป็นนายทุน ที่มาฮุบและกินรวบกิจการดาวเทียมของรัฐมาเป็นของตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ จ่ายสินบนให้แก่ ข้าราชการ ศาล ทหาร และหน่วยงานอื่น ๆ ผ่านช่องทางการถ่ายทอดสดของ สถานีโทรทัศน์รัฐสภา เพจเฟชบุ๊ก ช่องยูทูป ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปดูการอภิปรายดังกล่าวได้

‘พิธา’ ชี้!! ควบรวม ทรู-ดีแทค เอื้อนายทุนผูกขาด ล้วงกระเป๋าคนไทย ในยุคลดค่าครองชีพพุ่ง

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ กสทช. ไม่ควรอนุญาตให้มีการควบรวม ทรู-ดีแทค เพราะจะทำให้เกิดการผูกขาด

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีการควบรวมTrue-DTAC (ทรู-ดีแทค) โดยระบุว่า…

ในวันพุธที่ 10 สิงหาคม ในสัปดาห์หน้านี้จะมีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อพิจารณาการควบรวมกิจการของ บริษัท True Corporation จำกัด (มหาชน) และ บริษัท Total Access Communication จำกัด (มหาชน) โดยการควบรวม True-DTAC ครั้งนี้จะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ True-DTAC เกิน 50% ของส่วนแบ่งตลาด 

ในเรื่องนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยเอาไว้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้วว่า กสทช. มีอำนาจเต็มในการระงับการควบรวมธุรกิจหากการควบรวมธุรกิจส่งผลให้เกิดการผูกขาด

ซึ่งเรื่องนี้เป็นการผูกขาดอย่างแน่นอนจากผลการศึกษาและวิเคราะห์ของอนุกรรมการของ กสทช. เองทั้ง 4 ชุด ก็ไม่ใช่อนุกรรมการชุดไหนเห็นด้วยกับการควบรวม: อนุกรรมการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง มีความเห็นว่า กสทช. ไม่ควรอนุญาตให้มีการควบรวม True-DTAC เพราะจะทำให้เกิดการผูกขาด

>> อนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ ก็มีความเห็นว่าผูกขาด กสทช. ไม่ควรอนุญาตให้ควบรวม
>> อนุกรรมการด้านเทคโนโลยี ก็บอกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถทำได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องควบรวมกิจการ
>> อนุกรรมการด้านกฎหมาย ถึงไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องการผูกขาด แต่ก็บอกว่า กสทช. มีอำนาจเต็มที่จะยับยั้งการควบรวมครั้งนี้ 

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน อนุกรรมการศึกษากรณีการรวม True และ DTAC ด้านเศรษฐศาสตร์เองก็ระบุว่า จากการใช้แบบจำลอง Upward Pricing Pressure Model เพื่อศึกษาการควบรวม True-DTAC พบว่าจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 12-40% ในกรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด เช่น สมมุติว่าตอนนี้พี่น้องสื่อมวลชนหรือประชาชนทางบ้านเสียค่าโทรศัพท์อยู่เดือนละ 500 บาท ค่าโทรศัพท์อาจจะเพิ่มไปถึง 700 บาทก็เป็นได้ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมความลำบากของพี่น้องประชาชนในยุคที่ ของแพง-ค่าแรงถูก อยู่แล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้รัฐบาลต้องใช้ทุกมาตรการเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้นายทุนผูกขาดมือถือแล้วเอามือล้วงไปในกระเป๋าของพี่น้องประชาชน

'โรม' ผิดหวัง!! สภาไม่รับหลักการแก้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตือน ส.ส. วันไหนอยู่ตรงข้ามรัฐ อาจถูกกม.นี้รังแก

รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแทนที่พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 กล่าวภายหลังร่างกฎหมายดังกล่าว ไม่ผ่านวาระ 1 ในการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร ว่า...

รู้สึกผิดหวังและเสียดายที่ร่างกฎหมายที่จะเกิดประโยชน์กับประชาชนฉบับนี้ไม่ผ่านสภา ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราเห็นอยู่กันวันนี้ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รังแกคนเห็นต่างทางการเมืองเยอะมาก และยิ่งมาดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็สามารถที่จะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมโรคและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขจัดการได้ ดังนั้น จึงไม่ชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะยังคงประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ ยิ่งการที่สภาไม่สามารถแก้กฎหมายนี้ได้ ก็ยิ่งชัดว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับปัจจุบันมีปัญหาอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันร่างกฎหมายนี้ต่อไป 

ทั้งนี้ อยากฝากไปถึงสมาชิกทุกท่านว่า วันนี้คุณอาจไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการถูกละเมิดด้วยกฎหมายพิเศษแบบนี้ เพราะคุณอาจจะอยู่ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล แต่วันหนึ่ง ถ้าเกิดว่าต้องกลายไปเป็นฝั่งตรงกันข้าม ก็อาจจะตกเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจที่ไร้ขอบเขตนี้ก็เป็นได้

'ก้าวไกล' ยื่น ป.ป.ช. ไต่สวน 'ประยุทธ์และคณะ' ปมเตะถ่วงสอบทุจริตกองบินตำรวจ-ตั๋วช้างนักบินเถื่อน

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม และ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรี และข้าราชการตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกรณีที่รังสิมันต์ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นภายในกองบินตำรวจ

โดยคำร้องที่นำมายื่นมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.) เรื่องการทุจริตกรณีกองบินตำรวจสั่งจ้างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซ่อมอากาศยาน ก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณปี 2563 จนต้องนำงบกลางไปชำระ หนี้เป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท และกรณีกองบินตำรวจทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยาน นำอะไหล่ที่ใช้งานได้ไปแลกโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายและตีราคาต่ำเกินจริง กระทำการโดย พล.ต.ต.กำพล กุศลสถาพร อดีตผู้บังคับการกองบินตำรวจ และพวก 

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของข้าราชการตำรวจ แม้จะได้รับทราบถึงกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว แต่กลับปล่อยปละละเลยให้เกิดการ ประวิงเวลาในกระบวนการสืบสวนสอบสวนและพิจารณาวินิจฉัยลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งสั่งการโดย พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติ ไม่เร่งรัดให้ สตช. ตรวจสอบภาระหนี้ ไม่กำกับดูแลข้าราชการตำรวจจนแจ้งปฏิเสธหนี้ต่อกรมบังคับคดีไม่ทันกำหนดเวลา ส่งผลให้ สตช. กลายเป็นลูกหนี้เด็ดขาดและต้องถูกศาลล้มละลายบังคับให้ชำระหนี้ ตลอดไปจนถึงร่วมกับคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้การก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินงบประมาณของ สตช. ชอบด้วย กฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลรับรองความชอบของการกระทำของ พล.ต.ต.กำพลและพวกด้วย

และ 2.) เรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยปละละเลยให้ พล.ต.ต.กำพล อ้าง 'ตั๋วช้าง' หรือหนังสือจาก ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาใช้จัดทำแผนถวาย ความปลอดภัยขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ โดยมี พล.ต.ต.ณรงค์รัตน์ พิชัยณรงค์ รองผู้บัญชาการ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เป็นผู้จัดทำแผนและผนวกประกอบแผน และ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วยผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามอนุมัติแผน มีเนื้อหาแต่งตั้ง พล.ต.ต.กาพล เป็นผู้อำนวยการรวมถึง นักบินเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งภายหลังจากที่โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย ทั้งยังไม่ได้รับการตรวจสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจสำหรับความเป็นนักบินตามเกณฑ์ของ สตช. ซึ่งถือเป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง

การกระทำทั้งสองเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ คณะรัฐมนตรี และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 อันมีโทษ ฐานเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต จำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้ อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ในกรณีการสั่งจ้างเกินงบประมาณและทำการสัญญา แลกอะไหล่ ความผิดตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ฐานข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพัน หรือโดยรู้อยู่แล้วยินยอมให้กระทำการดังกล่าวนั้นโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้ จะต้องรับผิดชดใช้เงินงบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณได้จ่ายไปหรือต้องผูกพันจะต้องจ่าย ตลอดจนค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ให้แก่หน่วยรับงบประมาณ การกระทำขัดต่อ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และ พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 ในกรณีออกตั๋วช้างและตั้งหน่วยงานนอกกฎหมาย

'พิธา' เชิญชวนประชาชนร่วมตามหาอนาคตใหม่ให้กับพรรคก้าวไกล  ชูแคมเปญ 'ก้าวไกล NEXT' เปิดระดมความคิดเห็นเพื่อปฏิรูปพรรคทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เตรียมจัดทาวน์ฮอลล์ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า แคมเปญ 'ก้าวไกล NEXT' ถ้าให้ความหมายตรงๆ ก็คือการปฏิรูปพรรคโดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม แต่ถ้าใช้หัวใจตอบก็ต้องบอกว่า นี่คือการตามหาอนาคตใหม่ให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งในความหมายนี้มี 2 มิติ ได้แก่ 1.มิติสู่อนาคต คือ ปัญหาต่างๆ ที่ประเทศไทยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นโควิด ภูมิรัฐศาสตร์ โลกร้อน น้ำท่วม ไฟป่า รวมถึงของแพงค่าแรงถูกที่หนักสุดในรอบ 20 ปีนี้ สิ่งที่เราเป็นอยู่อาจยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ต้องทำงานให้หนักขึ้นกว่าเดิม เป็นนักรบอยู่ห้องแอร์อย่างเดียวคิดกันเองไม่ได้ ต้องไปฟังความคิดเห็นประชาชนด้วย 2.มิติสู่อดีต ในที่นี้คือการตามหาสปิริตของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งสิ่งที่เราเคยเริ่มต้นไว้นั้นก็คือการทำพรรคการเมืองให้เป็นพรรคมวลชน เป็นพรรคของประชาชน มีฐานการเมืองที่เข้มแข็ง ไม่ได้เป็นพรรคใครคนใดคนหนึ่ง วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะกลับไปตามหาสปิริตนั้น ทำให้พรรคก้าวไกลกลับมาคึกคัก เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง

"ในส่วนของการปฏิรูปพรรค เมื่อดูแล้วเรากำหนดคร่าวๆ 7 มิติ เพื่อให้ประชาชนได้มาร่วมกันแสดงความเห็น คือ 1.ผู้แทนที่คุณอยากเห็น 2.การสื่อสารของพรรค 3.การนำเสนอนโยบาย 4.งานในสภาและกรรมาธิการ 5.การทำงานพื้นที่ 6.งานสมาชิกและอาสาสมัคร และ 7.การระดมทุน โดยทั้งหมดนี้จะเปิดกว้างให้ประชาชนได้เข้าร่วมใน 2 รูปแบบ คือ 1.การจัดทำกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นในลักษณะของทาวน์ ฮอลล์ โดยผมและแกนนำพรรคก้าวไกลจะเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อพบปะประชาชน และ 2. ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์  https://next.moveforwardparty.org โดยกิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ มีวงคุยแรกนี้กับสื่อมวลชน จากนั้นจะตระเวนไปทุกภูมิภาค ก่อนที่จะมีเวทีใหญ่วันที่ 28 สิงหาคม และทั้งหมดที่เราระดมความเห็นนี้ ก็จะนำมาสู่การเปิดแคมเปญใหญ่ในวันที่  9 เดือน 9 ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของเราที่จะก้าวไกลกว่าเดิม จริงอยู่ว่าเราต้องการ ส.ส.เข้าสภาให้มากที่สุด แต่เราก็ต้องทำงานทางความคิดด้วย ทำให้คนชื่อว่าสังคมที่ก้าวหน้าเป็นไปได้ ยังมีความหวัง ในช่วงเวลาที่ประชาชนหมดหวังมากที่สุดตลอดหลายสิบปีมานี้" พิธา กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top