Sunday, 28 April 2024
กรณ์จาติกวณิช

‘กรณ์’ ฉะ 2 รมต. แก้ปัญหา ‘ไฟป่า-ค่าไฟ’ ล้มเหลว ลั่น!! ชพก. มีแผนพร้อมจัดการ 2 ปัญหาเพื่อ ปชช.

(29 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความอึดอัดต่อท่าที่ของรัฐบาลในการให้สัมภาษณ์ของ 2 รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหา 2 ไฟ ได้แก่ ไฟป่าที่ก่อให้เกิดปัญหา PM2.5 และค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นราคาในภาคครัวเรือนในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 

โดยนายกรณ์ ได้กล่าวถึงปัญหาการเผาป่าในไร่ข้าวโพดของประเทศไทย และไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลต่อสภาพอากาศของพี่น้องภาคเหนือ โดยเฉพาะคุณภาพอากาศที่เชียงรายถือว่าสาหัสมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ค่า PM2.5 สูงถึงเกือบ 500 หน่วย ซึ่งเป็นระดับอากาศที่เป็นพิษ หายใจไม่ได้เลย ตามรายงานทราบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยายาลอย่างน้อย 3,000 คน ไม่นับรวมคนป่วยที่บ้านอีกเป็นจำนวนมาก รัฐบาลประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่กลับไม่มีมาตรการใด ๆ ที่จับต้องได้เพื่อให้ประชาชนมีความหวังว่าจะมีสถานการณ์จะดีขึ้น ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตนรู้สึกอึดอัดและโกรธแทนพี่น้องคนไทยทุกคนที่เดือดร้อน

“ผมเห็นท่าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อที่ถามว่า ถึงเวลาประกาศเป็นภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานราชการมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อพี่น้องประชาชน แต่ ท่านตอบมาพอสรุปได้ว่า ยังประกาศไม่ได้ เพราะไม่รู้ประกาศไปแล้วจะนำไปสู่การมาตรการอะไร เพราะไม่มีมาตรการใด ๆ รองรับ และไม่รู้ด้วยว่าจะประกาศในพื้นที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่มีการกำหนดเกณฑ์ว่าคุณภาพอากาศต้องเลวร้ายระดับไหน ถึงจะประกาศเป็นภัยพิบัติ หรือ ภัยฉุกเฉินได้ ผมเชื่อว่า ใครฟังก็คงตกใจและหดหู่ใจว่า ปัญหาระดับวาระแห่งชาติที่ประกาศมาแล้ว 4 ปี แทนที่จะกระบวนการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่นอุปกรณ์เครื่องรองรับบรรเทาปัญหา ทั้งหน้ากาก ยา เวชภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ  หรือแม้แต่การอพยพประชาชนที่อาจมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ออกจากพื้นที่เสี่ยง ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อจะได้มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ” นายกรณ์ กล่าว  

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีชุดความคิดที่เป็นข้อเสนอมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาควันภาคเหนือที่ก่อให้เกิด PM2.5 นั้น เกิดจากการเผาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา และ สปป.ลาว ที่ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าเกษตรกรต้องทำมาหากินด้วยการปลูกไร่ข้าวโพดสัตว์เลี้ยง เมื่อถึงเวลาเตรียมการเพาะปลูกในแต่ฤดู ก็ต้องเผาไร่สร้างมลพิษให้กับพี่น้องประชาชน เราจึงต้องแก้ที่ต้นตอด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ คือ ชักจูงให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ไม่ต้องเผา คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจจากพืช 58 ชนิด ที่ได้ปลดแอกให้สามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเกษตรกรในจำนวนที่มากกว่าการปลูกไร่ข้าวโพด และในระยะยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนหนี่งจะเป็นของเกษตรกร และอีกส่วนหนึ่งสามารถผลิตเป็นคาร์บอนเครดิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรป่าไม้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการได้ทันทีที่มีโอกาสเข้าไปทำงาน 

นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านต่างประเทศ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องเร่งประสานไปทางรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการควบคุมการเผา ซึ่งความจริงมีสัญญาในกลุ่มประเทศอาเซียนตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองการสร้างสร้างมลพิษข้ามชายแดน โดยเฉพาะเรื่องการเผา สามารถนำข้อตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นมาเป็นข้อประชุมฉุกเฉินของอาเซียนได้ นอกจากนี้เราคงต้องทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ต่อการนำเข้าข้าวโพดสัตว์เลี้ยงปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้าน ต่อไปต้องกำหนดมาตรการทางภาษี ไม่รับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผา ส่งผลให้การนำเข้ายากยิ่งขึ้น และชะลอการเผาลง และสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรของไทย ปลูกอย่างอื่นทดแทนที่มีรายได้มากกว่า ลดพื้นที่การเผาป่าลง 
.
“5-6 ปีที่ผ่านมา การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า ซึ่งปริมาณเพาะปลูก เป็นไปในทิศทางเดียวกับปริมาณการเผา อย่างไรก็ตามเราคงหวังการแก้ปัญหาจากฤดูกาลไม่ได้แล้ว เพราะรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลที่จะกำลังจะมีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะเร่งดำเนินการทันที และพรรคชาติพัฒนากล้าก็ขอสัญญาว่า เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เกิดมาตรการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นและจะทำทันที ถ้ามีโอกาสเข้าไปทำงาน ตราบใดที่ยังมีการเผาป่า ผมเป็นหนึ่งคนที่จะต่อสู้แทนพวกท่าน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

‘สุวัจน์ - กรณ์’ บุกภูเก็ต ช่วย ‘เทมส์ - อรทัย’ หาเสียง ชูจุดขายพัฒนาภูเก็ตสู่ท่องเที่ยว World Class

(5 เม.ย.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวพน้าพรรค เดินทางมาจ.ภูเก็ต ทำกิจกรรมร่วมกับ 2 ผู้สมัคร ส.ส. คือ นายเทมส์ ไกรทัศน์ เขต 2 เบอร์ 7 และ นางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ เขต 3 เบอร์ 1 โดยช่วงบ่ายพบปะพี่น้องประชาชน ที่ ต.ฉลอง และได้นั่งเรือไปยัง ชุมชนท่องเที่ยวบ้านเกาะโหลน  ต.ราไวย์ อ.เมือง  ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้ง ของนายเทมส์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไม่มากนัก แต่กลับไม่มีไฟฟ้าใช้ และในฤดูแล้งยังประสบภาวะขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ประชากรลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียง 20 กว่าหลังคาเรือน ซึ่งชาวบ้านได้ขอให้ทางนายสุวัจน์ นายกรณ์ และนายเทมส์ ที่เป็นผู้สมัครในพื้นที่ช่วยผลักดันให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวให้เจริญกว่าที่เป็นอยู่ จากนั้นในช่วงเย็นก็ได้ร่วมประเพณีสวดกลางบ้านและพบปะพี่น้องประชาชนที่ ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของนางสาวอรทัย

นายสุวัจน์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า มีความพร้อมที่จะพัฒนาการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ตสู่ระดับ World Class โดยต้องเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระจายและเชื่อมโยงการท่องเที่ยวให้เข้าถึงกันและสะดวกปลอดภัย เช่น มอเตอร์เวย์ทุกทิศทั่วไทย เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงมารีน่า และการจราจรภูเก็ต ให้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงนักท่องเที่ยวระดับสูงให้พิ่มขึ้น  

ด้านนายกรณ์ กล่าวว่า จ.ภูเก็ต สามารถพัฒนาเป็น Entertainment Complex โดยนโยบายเฉดสีของพรรคชาติพัฒนากล้าที่จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาทใน 5 ปี และ 1 ในเฉดสีที่สามารถสร้างรายได้ได้มาก คือ เฉดสีเทา การนำธุรกิจใต้ดินมาอยู่บนดิน เพื่อจัดการให้ถูกกำหมายสร้างภายได้ให้ประเทศชาติ คือการสร้างกาสิโนนำร่องในเมืองที่พร้อม เช่น ภูเก็ต เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว คือ นกตัวที่ 1.นำธุรกิจที่อยู่ใต้ดินมาบนดิน นกตัวที่ 2. คนไทยที่ไปเล่นการพันที่ในประเทศเพื่อนบ้านก็จะกลับมาเล่นที่เมืองไทย และ นกตัวที่ 3 คือ ดึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา โดยนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า เราพร้อมที่จะพัฒนาภูเก็ตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในระดับโลก รวมถึง เราเน้นนโยบายสร้างรายได้ 5 ล้านล้านระบบ ทำธุรกิจนอกระบบมาอยู่ในระบบ 

‘สุวัจน์’ ปัดวิจารณ์ พท.แจกเงินคริปโต มองเป็นนโยบายคลายปัญหาปากท้อง ชี้!! อยู่ที่ปชช. ตัดสินใจ ‘กรณ์’ ย้ำไม่ลงเลือกตั้ง เหตุเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่

สุวัจน์ ปัดวิจารณ์ พท.แจกเงินคริปโต ชี้ ทุกพรรคต้องแข่งขัน นโยบาย แก้ปัญหาศก. ปากท้อง ด้าน “กรณ์” ย้ำ ไม่ลงส.ส. เหตุ ต้องการเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่

(6 เม.ย.66) ที่จ.ภูเก็ต นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า ปฏิเสธที่จะวิจารณ์ต่อกรณีที่พรรคเพื่อไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายเติมเงินดิจิทัล  10,000 บาท ให้กับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่า ถือเป็นนโยบายแต่ละพรรคที่จะคิด และนำเสนอให้กับประชาชน ซึ่งทุกคนพยายามคิดเพื่อช่วยเหลือประชาชน ที่ต้องชัดเจนเรื่องปากท้อง ของแพง หรือการไม่มีกำลังด้านเศรษฐกิจ ซึ่งการเลือกก็อยู่ที่ประชาชนจะตัดสินใจ 

‘สุวัจน์-กรณ์’ ถกผู้ประกอบการภูเก็ต ชูท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจ ดันภูเก็ตสู่ ‘World Class City’ สร้างรายได้ให้คนทุกกลุ่ม

‘สุวัจน์-กรณ์’ ถกผู้ประกอบการภูเก็ต ดันสู่ World Class City สร้างรายได้ให้คนทุกกลุ่ม มั่นใจ 2 ผู้สมัคร ‘เทมส์–อรทัย’ ผลักดันนโยบายทำได้จริง

(6 เม.ย.66) ที่เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า มินิ คอนเวนชั่น ฮออล์ พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายเทมส์ ไกรทัศน์ ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 เบอร์ 7 และ น.ส.อรทัย เกิดทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 เบอร์1 ร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อแลกเปลี่ยนต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่ รวมถึงจัดเวทีเพื่อแสดงนโยบายของพรรค หัวข้อ ภูเก็ตแบบไหน ได้ใจคนทั้งโลก โดยมีจูรี นุ่มแก้ว ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 2 เบอร์ 8 มาร่วมสร้างแรงบันดาลให้กับผู้ประกอบการในฐานะประสบความสำเร็จจากการค้าขายออนไลน์ด้วย 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศปัจจุบัน จะรอนักลงทุน หรือการลงทุนนั้นยาก เพราะภาวะไม่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก ปัญหาสงคราม ภาวะโลกร้อน และการแบ่งขั้วของประเทศต่าง ๆ ดังนั้น สิ่งที่จะฟื้นประเทศ และเศรษฐกิจได้ ตนมองว่ามีเพียงด้านการท่องเที่ยว ดังนั้นพัฒนา 1-2 ปี ให้คนรากหญ้าอยู่ได้ ต้องฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยว โดยพื้นที่ภูเก็ต การเป็นพระเอกขี่ม้าขาวได้ ต้องได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก และต้องสร้างคำขวัญให้ภูเก็ตเป็นที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนก่อนตาย ตนเชื่อว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ ปีละ 50 ล้านคน จากปัจจุบันที่มี 12 ล้านคน

นายกรณ์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้คนไทย โดยพรรคให้ความสำคัญกับการสร้างนโยบายให้ประชาชนมีรายได้ นำเสนอในรูปแบบของเศรษฐกิจ 7 เฉดสี สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท ซี่งสามารถพัฒนาให้เข้ากับภูเก็ตเพื่อไปสู่ World Class ได้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การสร้างธุรกิจใหม่ให้ท้องถิ่น สร้างงานใหม่เพื่อผู้สูงอายุ ขยายวีซ่ารับนักท่องเที่ยวให้อยู่ยาว ซึ่งทุกนโยบายของเราจับต้องได้จริง นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นที่ จ.ภูเก็ต ต้องตอบสนองต่อความต้องการของคนภูเก็ตทุกคน ไม่เฉพาะผู้ประกอบการขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยผู้สมัครของทั้งสองคน จะสามารถกรณ์พัฒนาภูเก็ต ไปสู่ World Class ได้ นอกจากนี้ยังเสริมนายสุวัจน์ว่า ภูเก็ตไม่เพียงแต่จะมาก่อนตายเท่านั้น แต่อยากให้เป็นการมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ จ.ภูเก็ต 

‘กรณ์’ ควง ‘จูรี’ บุกสุราษฎร์ ช่วยผู้สมัคร ‘ชพก.’ หาเสียง ชาวบ้านแห่ต้อนรับ เผย นโยบายโดนใจ แก้ปัญหาปากท้องได้จริง

(8 เม.ย. 66) ในระหว่างวันที่ 7-8 เมษายน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายจูรี นุ่มแก้ว ร่างทรงชาวบ้าน ดาวติ๊กตอกขวัญใจคนใต้ ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรคชาติพัฒนากล้า และทีมงานลงพื้นที่ ช่วยผู้สมัครทั้ง 4 คนของพรรคได้แก่ นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 4, นางพงศ์ศรี นาคเมือง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 8, นายสุพจน์ บานเย็น ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 9 และนายวศุธน เรืองขนาบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เบอร์ 4  พร้อมทีมงาน เดินขอเสียงประชาชนบริเวณ ตลาดเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี และร้านค้าถนนหน้าเมือง โดยมีพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการร้านทอง พนักงานบริษัท และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจและมีเสียงตอบรับเป็นอย่างมากตลอดเส้นทาง พร้อมขอถ่ายรูปเซลฟีกับ นายจูรีและนายกรณ์อย่างคึกคัก สร้างสีสันให้กับพรรคเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้เปิดเวทีปราศรัย บริเวณสะพานนริศ ริมแม่น้ำตาปี เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีด้วย

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า ตนกับนายจูรี มาช่วยเพื่อนผู้สมัครหาเสียง โดยก่อนหน้านี้เคยมาพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีบ่อยเช่นกัน แต่การลง จ.สุราษฎร์ธานีครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีดีมาก ทุกคนที่พบปะขานรับในนโยบายพรรค และเชื่อว่าจะได้รับการเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะมั่นใจในตัวผู้สมัครที่ส่งทั้ง 4 คน 4 เขต และการนำเสนอนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น ก็ทราบว่าโดนใจประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ สำหรับในพื้นที่ภาคใต้พรรคชาติพัฒนากล้าเราส่ง 20 เขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ก็อยู่ที่พี่น้องประชาชนที่จะให้โอกาสกับพรรคชาติพัฒนากล้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงาน

นายกรณ์ กล่าวว่า ทุกคนรอคอยการแข่งขันทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน เราคิดนโยบายมาเป็นปี ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่นมาก ไม่เพียงแต่จะมาปักหมุดให้ผู้สมัครทุกคนเป็น ส.ส.เท่านั้น แต่มองไปไกลกว่านั้นคือ มองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจของสุราษฎร์ธานี มีโอกาสมากมาย แต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าต้องการมาแก้ไข พรรคเราเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานสร้างสรรค์เอานโยบายดี ๆ มาขาย นโยบายของเราเป็นที่ยอมรับโดยสื่อและประชาชน ว่ามุ่งเป้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ที่มีเป้าหมายสรุปง่าย คือ งานดี มีเงิน ของไม่แพง เราชนเรื่องพลังงาน เพื่อให้ราคาน้ำมันถูกลง ไม่ใช่ตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัทผลิตน้ำมัน ในขณะที่ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนักโดยที่รัฐมนตรีที่กำกับดูแลไม่ทำอะไร เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า ก็ประกาศออกมาว่าจะขึ้นค่าไฟฟ้าในวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นการซ้ำเติมในช่วงที่ประชาชนใช้ไฟสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กลับไปลดให้กับภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงต้องรื้อโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่

นายกรณ์ กล่าวว่า เกษตรกรภาคใต้มีปัญหาเดือดร้อนเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรมาโดยตลอด รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการจ่ายส่วนต่างประกันรายได้ปีแล้วปีเล่า ประชาชนก็ยังจนเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการคือราคาพืชผลดีอย่างยั่งยืน ซึ่งวิธีเดียวที่เกษตรกรจะมีราคาที่ดีอย่างยั่งยืนคือ เขาต้องแข่งขันได้ และการจะสู้ราคากับนายทุนได้เพราะเขาไม่มีอำนาจต่อรอง วิธีที่เขาจะต่อสู้ได้ คือ เกษตรกรต้องเป็นนายทุนเอง ซึ่งมันต้องเกิดการรวมตัวโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ออกกฎหมาย เปิดทางและจัดสรรทุนให้ เกษตรกรต้องรวมตัวกันเป็นเพื่อให้มีพลัง ซึ่งตนเรียกว่า ‘บริษัทสหกรณ์มหาชน จำกัด’ ชาวสวนยางจะกลายเป็นนายทุน ผู้ถือหุ้นบริษัทสวนยางของพี่น้องชาวใต้ จะสามารถเจรจาต่อรองโดยตรงกับผู้ใช้ยาง กำหนดราคาได้ ไม่ต้องให้คนกลางมาทอนกำไรลง ซึ่งเรื่องนี้ต้องรื้อระบบใหม่ทั้งหมด พรรคชาติพัฒนากล้าเป็นพรรคเดียวที่พูดเรื่องนี้

ด้านนายจูรี กล่าวว่า จากการเดินขอเสียงในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี อารมณ์ไม่ต่างจากเดินที่ จ.สงขลา บ้านของตนเอง ทุกคนออกมาต้อนรับ ทั้งร้านทอง ร้านค้าต่าง ๆ ออกมาให้กำลังใจ ขานรับในนโยบายที่จับต้องได้ เช่น นโยบาย 1 คำขอ พูดง่าย ๆ คือ สามารถติดต่อกับราชการจบในที่เดียว ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ไม่ต้องไปตระเวณไปหลายหน่วยงาน ในยุคออนไลน์มันสามารถทำได้ง่ายขึ้น ราชการต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชนต้อง ไม่ใช่เอาความลำบากมาให้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าเราตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้านจริง ๆ

นอกจากนี้ ตนยังขอให้พี่น้องชาวใต้ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เรียกศักดิ์ศรีคนใต้ซื้อไม่ได้กลับคืนมา ดังนั้น ในวันที่ 14 พฤษภาคม ก็ขอให้พี่น้องประชาชนกาผู้สมัครของเขตนั้น ๆ และถ้าพื้นที่ไหนในภาคใต้ไม่มีผู้สมัคร ส.ส.เขต ขอให้กา เบอร์ 14 คือเบอร์พรรค จะได้นายกรณ์ ไปบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ ช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้

‘จูรี’ อ้อนชาวชุมพร เลือก ‘ชาติพัฒนากล้า’ กาให้ ‘ทนายลิขิต’ ชู ‘กรณ์’ ทำพรรคนี้เพื่อปากท้อง ไม่ด่าทอ ไม่ทะเลาะกับใคร

‘กรณ์-จูรี’ ลุยชุมพร ช่วย ‘ทนายลิขิต’ หาเสียง อ้อนขอโอกาสลูกชาวบ้าน กาให้ชาติพัฒนากล้า พัฒนาเศรษฐกิจชุมพร

(9 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 5-9 เมษายน 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายจูรี นุ่มแก้ว ดาวติ๊กตอกขวัญใจคนใต้ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดสงขลา และทีมงาน ได้ตระเวนช่วยผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่สุดท้ายคือที่จังหวัดชุมพร โดยนายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อช่วยทนายลิขิต ศรีชาติ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จังหวัดชุมพร หาเสียง โดยพบปะพี่น้องประชาชนบริเวณ บริเวณหลาดเล อำเภอท่าแซะ และจัดเวทีปราศรัยที่ถนนคนเดินสะพลี อำเภอปะทิว โดยมีประชาชนให้ความสนใจและให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก และอบอุ่น

นายกรณ์ กล่าวว่า จ.ชุมพร ถึงเวลาต้องมีการเขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้เข้ามาทำการเมืองสร้างสรรค์ พรรคชาติพัฒนาเราส่งผู้แทนคุณภาพที่เป็นลูกชาวบ้าน คือ ทนายลิขิต ศรีชาติ เป็นอดีตรองนายก อบจ.ที่ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนมากว่า 3 ปี แล้ว ไม่ได้เพิ่งมาตอนจะมีการเลือกตั้ง และนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้าเอง ก็ได้รับการยอมรับว่า แหลมคมที่สุดในด้านเศรษฐกิจ และสามารถสรุปได้ง่าย ๆ แค่ 3 คำคือ งานดี มีเงิน ของไม่แพง เพราะเรารู้ว่านี่คือสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องการ เราต่อสู้มาตลอดตั้งแต่ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ยกเลิกแบล็กลิสต์ ฯลฯ ที่เอาเปรียบประชาชน เอื้อนายทุน 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พวกเราเลือกที่อยู่พรรคเล็ก ๆ และยืนหยัดต่อสู้กับนายทุน เพราะเราไม่ได้พึ่งพาปัจจัยการสนับสนุนจากทุนใหญ่เลย เราจึงกล้าที่จะพูดและกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ในฐานะที่อดีต รมว.คลัง และอดีตนายธนาคาร ขอยืนยันนโยบายทุกนโยบายเป็นไปได้ โดยเฉพาะภาคการเกษตร นโยบายประกันรายได้ ตนเป็นคนคิดเอง แต่เป็นการออกแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เอามาใช้ปีแล้วปีเล่า แต่ชาวบ้านก็ยังจนเหมือนเดิม ถ้าจะดีราคาสินค้าทางการเกษตรต้องดีอย่างยั่งยืน เกษตรกรต้องเป็นนายทุน กำหนดราคาสินค้าเอง ขอเพียงโอกาสให้ตนได้เข้าไปทำงาน ตนจะทำให้ดู 

“หากพี่น้องประชาชนต้องการสร้างโอกาสให้ลูกหลาน ผู้สูงอายุได้รับการดูแล ความเดือดร้อนทางด้านปากท้องของพี่น้องประชาชนได้รับการแก้ไข ก็ต้องกาเบอร์ 6 เลือกทนายลิขิต ไปเป็นผู้แทน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ผมเข้าไปทำงาน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นายจูรี กล่าวระหว่างขึ้นเวทีปราศรัย ว่า ดูจากจำนวนคนที่เข้าร่วมฟังเวทีปราศรัยในครั้งนี้ รู้ทันทีว่าเงินซื้อชาวบ้านไม่ได้ เพราะเป็นพลังเสียงที่บริสุทธิ์ ทำให้เห็นความหวัง และได้กลิ่นความเจริญของชุมพรกำลังลอยมาแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้ง ที่มี่การใช้เงินครั้งมโหฬารที่สุด พวกเขาเห็นประชาชนเป็นปลา จึงเอาเหยื่อมาล่อ ให้ชาวบ้านไปกินเหยื่อเขา เราต้องให้บทเรียนพวกนั้นว่า คนชุมพร กินเหยื่อ แต่ไม่กินเบ็ด ให้คนตกปลามันกลัวไปเลย ขอให้ชาวบ้านมาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กัน โดยการให้โอกาสลูกชาวบ้านเข้าไปเป็นผู้แทน 

‘กรณ์’ ลงพื้นที่ ‘ยานนาวา-บางคอแหลม-สาทร’ ชูแก้ปัญหา ศก.-ปากท้อง เน้นหารายได้เข้าประเทศ

(12 เม.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ บางคอแหลม สาทร ยานนาวา เพื่อช่วย 2 ผู้สมัคร ส.ส.ได้แก่ นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 3 และ นายปรัชญา อึ้งรังษี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 14 โดยมี นายปรินต์ ทองปุสสะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 12 และ นางสาวริณดา คงตาละนันท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 18 เบอร์ 2 ร่วมให้กำลังใจ โดยขึ้นรถแห่พร้อมผู้สมัคร พบปะพี่น้องประชาชนแถวมัสยิดดารุลอบีดีน ถนนจันทน์ ทะลุ ซอยกิ่งจันทน์ ซอยวัดไผ่เงิน เพื่อขอคะแนนพี่น้องประชาชน และผู้ที่สัญจรผ่านไปมาด้วย 

นายกรณ์ กล่าวว่า จากการพบปะพี่น้องประชาชนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทุกคนมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเขาต้องการพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนทั้งเรื่องของแพง ค่าน้ำมันแพง ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งตรงกับชุดนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่นำเสนอ ซึ่งทำให้เราเชื่อมั่นว่ามาถูกทาง หลายพรรคการเมืองอาจจะมีนโยบายที่สร้างความหวือหวา ลด แลก แจก แถม ซึ่งมีจำนวนมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สำหรับพรรคชาติพัฒนากล้า เราตั้งธงยุทธศาสตร์ว่า จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาทภายใน 4 ปี เราจึงคิดนโยบาย 12 นโยบายเฉดสี ที่เรานำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง 

นายกรณ์ ได้ยกตัวอย่างเศรษฐกิจเฉดสีเหลือง คือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยระบุว่า คนไทยทุกคนมีชีวิตอยู่บนแพลตฟอร์ม แต่ประเทศไทยกลับไม่มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว ในแต่ละปีมีการจองโรงแรมที่พัก โดยรวมปีละนับล้านล้านบาท ซึ่งต้องเสียค่าการตลาดให้กับแพลตฟอร์ตหลายแสนล้านบาท ทำให้เราเสียโอกาสในรายได้ดังกล่าว ดังนั้นเราจึงควรพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นของเราเอง เพื่อเก็บเงินไว้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทย 

นอกจากนี้ ในเรื่องของซอฟท์พาวเวอร์ เรามีเยอะมากแต่ขาดการส่งเสริม เช่น ตอนนี้ซีรีส์วาย ของคนไทยเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งหากมีการส่งเสริมผู้ผลิตคอนเทนท์เหล่านี้ มันจะนำไปสู่โอกาสในการขยายผล ประชาสัมพันธ์ผ่านอาหารไทย สินค้าไทย แหล่งท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นช่องทางผลักดันไปสู่ตลาดโลก ทำให้เขาอยากมา และประเทศไทยเองก็จะมีรายได้จากการขายคอนเทนท์เหล่านั้นด้วย  

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เศรษฐกิจสีเงิน เป็นนโยบายผู้สูงอายุ ที่พรรคเรามองต่างจากพรรคอื่น คือเรามองผู้สูงอายุเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า ไม่ใช่ภาระ เรามีนโยบาย ‘สูงไวไฟแรง’ ส่งเสริมผู้สูงอายุที่ยังมีไฟ ยังมีแรงที่จะทำงานต่อ เราจะสนับสนุนเงินชดเชยเงินเดือนให้กับผู้ประกอบการที่ว่าจ้างผู้สูงอายุ รายละ 5,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการพร้อมที่จะจ้างผู้สูงอายุให้ทำงานต่อไป รวมถึงเรามีนโยบายทางภาษีด้วย สำหรับทุกคนถึงวัยเกษียณและต้องการทำงานต่อ จะลดภาระภาษีเงินได้บุคคลให้ 50% 

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ด้วยโครงการ อารยสถาปัตย์ อัดฉีดเม็ดเงิน 50,000 บาท ให้กับบ้านที่มีผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้น เพื่อปรับปรุงบ้านให้มีความปลอดภัย โดยตั้งเป้าภายใน 4 ปี จะซ่อมแซมบ้านให้ได้ครบ 1,000,000 หลัง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของแรงงานและผู้รับเหมา

‘กรณ์’ เปิดตัว ส.ส.หญิงแห่ง ‘ชพก.’ หลากสาขาหลายอาชีพ ย้ำ เป็นคนรุ่นใหม่-ไฟแรง พร้อมเข้าสภาฯ ทำหน้าที่เพื่อ ปชช.

(12 เม.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พรรคมีผู้สมัคร ส.ส.หญิงมาลงสมัครกันมากหน้าหลายตา และต่างลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างคึกคัก พรรค ชพก.มีผู้หญิง มาเป็นผู้สมัคร ส.ส.หลายคน ในทุกภาคของประทศ ซึ่งแต่ละคนโปรไฟล์ไม่ธรรมดา หลากหลายสาขาอาชีพ ทั้ง นักธุรกิจ, ลูกชาวนา, ลูกแม่ค้า, หมอลำ, นักแสดง ฯลฯ

นายกรณ์ กล่าวว่า เริ่มที่ จ.เชียงใหม่ แม้ไม่ใช่บ้านใหญ่แต่ใจสู้ พรรคชาติพัฒนากล้าส่งผู้สมัคร 2 คน คือ คนที่ 1 กุพชกา ยศปัน หรือ ‘นุ่มนิ่ม’ ผู้สมัครเขต 1 เบอร์ 6 เจ้าแม่เอสเอ็มอี นักธุรกิจด้านโรงแรม ร้านอาหารและสถานออกกำลังกาย เข้าสู่เส้นทางการเมืองเพราะต้องการแก้ไขเศรษฐกิจเพื่อปากท้องของคนเชียงใหม่ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ผลักดันแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในเขตภาคเหนือ เป็นปากเป็นปากเสียงให้พี่น้องคนเมืองเจียงใหม่ ขับเคลื่อนให้คนมีงานทำ สโลแกนประจำตัว ‘นุ่มนิ่ม แน่วแน่ แก้ไข’

และคนที่ 2 นฤมล วไลศรี หรือ ‘หน่อง’ ผู้สมัครเขต 4 เบอร์ 1 มีความมุ่งมั่นตั้งใจ อยากเห็นเศรษฐกิจปากท้องความเป็นอยู่ของคนเชียงใหม่ที่ดีกว่านี้ ต้องการสร้างอาชีพให้คนในชุมชน

นายกรณ์ กล่าวว่า ตามมาด้วย ภาคอีสานส่ง 3 สาวผู้สมัคร ส.ส. เปิดตัวได้ฮือฮา เริ่มจากคนที่ 1 หมอลำชื่อดัง ดนิตา มาบุญธรรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เอม อภัสรา’ ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 1 เป็นลูกชาวบ้านที่อาสามาเป็นผู้แทน และมีเจตนารมณ์ ไม่ขายความขัดแย้ง ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่สะสมประโยชน์ส่วนตัว เน้นทำงานเพื่อแก้ปากท้องของพี่น้องประชาชน สร้างอนาคตให้ลูกหลาน ดูแลผู้สูงอายุ ผลักดันหมอลำโกอินเตอร์

คนที่ 2 กมลวรรณ มณีศรี หรือ ‘บุ๋มบิ๋ม’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 10 มหาสารคาม เจ้าของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง เคยเป็นผู้ช่วย ส.ส.ให้นายกรณ์ ร่วมทำโครงการข้าวอิ่ม ที่นายกรณ์ บุกเบิกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนประสบความสำเร็จ มีความมุ่งมั่นแก้ปัญหาปากท้องเพื่อพี่น้องประชาชน ให้พ้นจากความยากจน

คนที่ 3 นุจรีภรณ์ อินทะสร้อย หรือ ‘มี่’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 มหาสารคาม เบอร์ 5 ทายาทตัวจริงของชาวนาในโครงการข้าวอิ่ม ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีทำนาตามคำแนะนำของนายกรณ์ พาชาวบ้านทำเกษตรอินทรีย์ จนปลดหนี้ปลดสิน มี่ตัดสินใจลงการเมือง เพราะต้องการแก้ปัญหาเรื้อรัง ที่ไม่เคยแก้ได้ตรงจุด อาสาขอเป็นปากเป็นเสียงให้ชาวบ้านแก้ปัญหาราพืชผลของชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน อยากเห็นเกษตรกรยิ้มได้

นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับกรุงเทพมหานคร มีผู้สมัครหญิงหลายคน เริ่มจากคนที่ 1 วิเวียน จุลมนต์ หรือ ‘อี๊ฟ’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 8 เบอร์ 10 คนรุ่นใหม่ไฟแรง มีพลังงานเหลือเฟือ เริ่มเข้าสู่วงการเมืองเพราะชื่นชอบนายกรณ์ จึงสมัครเข้าแคมเปญ ‘ผู้กล้า’ ของพรรคกล้า (ในขณะนั้น) และเป็นผู้กล้ารุ่น 1 จากนั้นก็ช่วยงานพรรคเรื่อยมา อี๊ฟเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว ทำงานได้สารพัด ตั้งแต่ แม่บ้าน แม่ค้า ขับ Grab Taxi ติวเตอร์ อะไรที่ไม่ผิดกฎหมายทำหมด จึงทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำของการได้รับสวัสดิการสังคมของฟรีแลนซ์กับมนุษย์เงินเดือน เธอจึงขอเป็นตัวแทนฟรีแลนซ์ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ทั้งเรื่องรายได้ ค่าตอบแทน สวัสดิการสังคม สิทธิทางภาษี ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ชื่นชอบ วัฒนธรรมไทย และยังเป็นคนที่เข้าใจเด็กรุ่นใหม่ ได้เห็น ได้สัมผัสวิธีคิด จนมีแนวคิดให้เด็กรุ่นใหม่ ออกแบบอาชีพด้วยตัวเอง

คนที่ 2 ดร.แวววรรณ ก้องไตรภพ หรือ ‘บี’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 เบอร์ 3 มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนหาเตียง ในช่วงวิกฤตโควิดระลอกแรก ในโครงการกล้าอาสา ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการเห็นประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขและความปลอดภัย คนสูงวัยและกลุ่มเปราะบางต้องไม่ถูกทอดทิ้ง ดร.บี บอกว่า เขตที่รับผิดชอบคือ บางเขน จตุจักร หลักสี่ ยังมีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยอีกมาก ตรอกซอยต่าง ๆ ยังเป็นถนนเอกชนที่มีปัญหาเรื่องการของบประมาณมาซ่อมแซม มีงานต้องประสานกับภาครัฐมากมาย ปัญหาของผู้สูงอายุและคนพิการก็สำคัญเช่นเดียวกัน ในขณะที่เรากำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ แต่ชาวบ้านกลับถูกละเลย เธอจึงอยากเข้ามาเป็นตัวแทนทำงานเพื่อประชาชน มีสโลแกนประจำตัวคือ ‘แวววรรณ เคลียร์ไว เข้าใจปัญหา’

คนที่ 3 ริณดา คงตาลนันท์ หรือ ‘เพิร์ท’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 18 เบอร์ 2 มีอาชีพฟรีแลนซ์ด้านกราฟิกดีไซน์ ประกาศขอสู้เพื่อสุนัขและแมว เธอมองว่า ปัจจุบันมีสุนัขแลแมวจรในกรุงเทพมหานคร ยังไม่ได้รับความสนใจในการสนับสนุนการแก้ไขเท่าที่ควร กทม.ควรเริ่มด้วยการช่วยเก็บข้อมูล เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พรรคชาติพัฒนากล้าให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของสัตว์ เพราะเขาสื่อสารกับเราไม่ได้

คนที่ 4 ภัทรานิษฐ์ กิตินิรันดร์กูล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 19 เบอร์ 15 เจ้าของธุรกิจด้านขนส่ง มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองมากมายที่ต้องการผลักดันให้สำเร็จ โดยเฉพาะส่งเสริมภาคตะวันออกของกรุงเทพให้เป็น Halal Town พัฒนามีนบุรีให้ทัดเทียมกับเขตอื่น เสริมเศรษฐกิจชุมชนเขตมีนบุรี รถไฟฟ้า 2 สายของมีนบุรีต้องสำเร็จ ร่วมผลักดันนโยบายค่าตอบแทนครูสอนศาสนาผู้นำชุมชน ล็อตโต้กองทุนมุสลิมไปพิธีฮัจญ์

คนที่ 5 ยศยา ชิยาปภารักษ์ หรือ ‘นุ่น’ เจ้าของธุรกิจสายมู ผู้สมัคร ส.ส.เขต 23 เบอร์ 2 นุ่นมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่าแรงกล้า ที่จะสร้างโอกาส และ สร้างแหล่งรายได้ของคนไทยทั่วประเทศ จากนโยบายเศรษฐกิจเฉดสีขาว หรือเศรษฐกิจสายมู ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคชาติพัฒนากล้ายืนหนึ่งสนับสนุนมาโดยตลอด โดยมีนโยบายสร้างแลนด์มาร์คศักดิ์สิทธิ์ 77 จังหวัด ๆ ละ 1,000 ล้านบาท เพื่อดึงนักท่องเที่ยวและรายได้เข้าประเทศ

ข้อความส่วนหนึ่งจาก นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า

“เราไม่แก้ ม.112 แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำงานกับพรรคก้าวไกลไม่ได้...พรรคชาติพัฒนากล้าที่ธงที่จะเป็นพรรคซึ่งกล้าเข้าไปชนกับผู้มีอำนาจ ณ ปัจจุบันในการรื้อโครงสร้าง เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ พร้อมเข้าไปสร้าง ‘โอกาสนิยม’ แบบที่ไม่ใช่ ‘ประชานิยม’ ด้วยหลักปฏิบัตินิยมผ่าน ‘ยุทธศาสตร์ 7 เฉดสี’ นำพารายได้ 5 ล้านล้านบาทเข้าประเทศ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี”

‘กรณ์’ ลงพื้นที่บางกะปิ รับฟังปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ประกาศรื้อโครงสร้างพลังงาน คืนความเป็นธรรมให้ ปชช.

(19 เม.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่เพื่อช่วย นายธาม สมุทรานนท์  ผู้สมัครส.ส.เขตบางกะปิ เบอร์ 8 และนายกอบกฤต สุขสถิตย์ ผู้สมัคร ส.ส.เขตห้วยขวาง เบอร์ 13 ณ ตลาดลาดพร้าว 87 โดยมีพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมทั้งสะท้อนปัญหาค่าไฟที่เพิ่มขึ้นให้กับนายกรณ์ฟัง เนื่องจากทราบว่า นายกรณ์ เป็นผู้ที่ต่อสู้เรื่องค่าไฟฟ้า และพรรคชาติพัฒนากล้าเองก็ประกาศจะรื้อโครงสร้างพลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน 

นายกรณ์ กล่าวว่า ประชาชนสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกครัวเรือน และในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ รัฐบาลประกาศขึ้นค่าไฟฟ้า ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนจาก 4.72 บาท เป็น 4.77 บาท แต่ลดให้ภาคอุตสาหกรรมจาก 5.33 ลงมาเท่ากับภาคครัวเรือนคือ 4.77 บาท เดือนพฤษภาคมจึงเป็นวันเผาจริงของประชาชน

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้โดยภาคอุตสาหกรรม ตนเห็นด้วยที่จะลดราคาให้ แต่ขอให้ลดเพียง 8-9% ได้ไหม เพราะเป็นจำนวนที่ไม่ต้องเพิ่มภาระให้ประชาชนในช่วงที่พวกเขาเดือดร้อน และมันก็ไม่มีเหตุผลที่มีตรรกะอธิบายได้ว่าทำไมต้องขึ้นเวลานี้ เนื่องจากต้นทุนสำคัญในการผลิตไฟฟ้าคือการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ ในอดีตแก๊สที่เราใช้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สจากอ่าวไทย แต่ในช่วงหลังมีประเด็นปัญหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณแก๊สลดลงตามธรรมชาติ อีกส่วนคือโอนถ่ายสัมปทาน ที่เป็นปัญหาที่เกิดจากการทำงานของบริษัทในเครือ ปตท.คือ ปตท.สผ. พอปริมาณแก๊สที่เราผลิตจากอ่าวไทยลดลง มันเลยทำให้เราต้องไปซื้อแก๊สที่เป็น LNG จากต่างประเทศมากขึ้น และโชคไม่ดีไปเจอช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนค่าไฟในช่วงเวลานั้นสูงขึ้น แต่ถ้าเรามาดูความเคลื่อนไหวของราคาแก๊ส LNG ตั้งแต่ระดับช่วงที่สูงที่สุดอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ ต่อล้านบีทียู และได้ลดราคาลงมาอย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือนเหลือ 11 ดอลลาร์ต้นทุนค่าใช้จ่ายของตัวเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าลดลง ทำไมถึงต้องปรับค่าไฟเพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเรารักษาเสถียรภาพได้ดี ต้นทุนในการซื้อแก๊สก็ถูกลงด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อต้นทุนราคาแก๊สถูกลง เงินบาทก็แข็ง ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปรับขึ้นค่าค่าไฟ ซึ่งเป็นตัวสะท้อนเรื่องของโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องของค่าไฟฟ้า วันนี้ประชาชนรับภาระเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้มีการประเมินเลยว่าสาเหตุที่ต้นทุนมันเพิ่มขึ้นด้วยเหตุใด มีการอภิปรายในสภาหลายครั้ง ว่า กฟผ.ในอดีต ได้ไปอนุมัติเซ็นต์สัญญาที่จะซื้อไฟจากภาคเอกชนในปริมาณที่มากเกินความต้องการ โดยปกติการรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 15% ซึ่งเป็นปริมาณที่เหลือเฟือเพียงพอแล้ว แต่วันนี้กำลังผลิตของเรามีมากกว่าความต้องการถึง 50% ซึ่งมันเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของการไฟฟ้าที่ต้องไปจ่ายให้กับภาคเอกชน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20%  ที่โยนภาระให้ประชาชนแบกรับ 

อีกปัญหาคือ เรื่องของปริมาณแก๊สที่เราสามารถผลิตในอ่าวไทย ตรงนั้นมันก็เกิดจากความผิดพลาด ในการถ่ายโอนตัวสัมปทานระหว่างเชฟรอน กับ ปตท.สผ. ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปริมาณแก๊สที่เราผลิตได้ในต้นทุนราคาที่ต่ำในอ่าวไทย มีปริมาณน้อยมาก  น่าแปลกตรงที่ ปตท.สามารถที่จะโอนต้นทุนที่จะต้องไปซื้อแก๊สจากต่างประเทศมาในราคาที่แพงให้ขึ้นให้กับการไฟฟ้าได้  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตผิดพลาดก็สามารถที่จะโอนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของการไฟฟ้าส่งต่อมาให้กับประชาชนได้ ประชาชนเป็นผู้รับภาระแต่ผู้เดียวไม่มีอำนาจที่จะเจรจาต่อรองใด ๆ เลย ซึ่งตรงนี้เป็นโครงสร้างที่ต้องปรับต้องเปลี่ยน  เป็นเรื่องที่ชาติพัฒนากล้าจะต้องมาทุบเรื่องนี้แน่นอน

“ระบบการกำหนดค่าไฟบ้านเราเป็นระบบส่งต่อให้ประชาชนทั้งหมด ผู้ผลิตไม่รับความเสี่ยงอะไรเอาไว้เลย ต้นทุนเท่าไร ก็ส่งมาที่ประชาชน ไม่แปลกที่จะทำให้มีคนร่ำรวยจากการสร้างโรงไฟฟ้า ผมมองว่ามันไม่ยุติธรรม และที่มีการออกมาให้ข่าวว่าไม่สามารถจะลดค่าไฟฟ้าได้ เนื่องจากได้ลงนามในสัญญาแล้ว ก็ต้องรอการเปลี่ยนแปลงครับ ถ้าท่านไม่ทำจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าทำได้มันอยู่ที่ความตั้งใจ เรื่องของการรื้อระบบ การคำนวณราคาค่าไฟฟ้ามัน เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทุนใหญ่แน่นอน เพราะมันมีผู้เสียประโยชน์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราไม่กลัว และสาเหตุที่เราเลือกอยู่พรรคเล็ก เพราะเราการมีอิสระทางความคิดและทางนโยบาย เราไม่ต้องพึ่งทุนมากมายจากใคร ทำให้เราสามารถรักษาความซื่อสัตย์ต่อประโยชน์ที่มีต่อประชาชนไว้ได้” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top