Sunday, 28 April 2024
กรณ์จาติกวณิช

‘กรณ์’ ขึ้นรถแห่ทั่วกรุงฯ ชวน ปชช. เลือก ‘ชพก.’ เบอร์ 14 พร้อมขอโอกาสเข้าสภาฯ ไปแก้ ‘เศรษฐกิจปากท้อง’ ให้คนไทย

(13 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียงเป็นวันสุดท้าย เพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าเริ่มจากเข้าสักการะพระแม่อุมาเทวีและสิ่งศักดิ์สิทธิที่ วัดแขก เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินทางไปยังตลาดศรีย่าน ราชวัตร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของนายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 9 จากนั้นได้ขึ้นรถแห่ไปยังเขตลาดพร้าว ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี ผู้สมัคร เบอร์ 3 และเขตบางกะปิ พื้นที่ของนายธาม สมุทรานนท์ ผู้สมัครเบอร์ 8 ก่อนจะตรงไปยังตลาดบองมาเช่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นางสาววิเวียน จุลมนต์ ผู้สมัครเบอร์ 10 

โดยนายกรณ์ ได้เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 14 พรรคชาติพัฒนากล้า และกาเบอร์ผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้าในทุกเขตเลือกตั้ง โดยตลอดเส้นทาง ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี โดยประชาชนโบกมือทักทาย และอวยพรให้โชคดี ได้เข้าไปทำงานแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน ตามที่ได้ตั้งใจไว้ จากนั้นคณะได้พักรับประทานอาหารที่ตลาดบองมาเช่ ก่อนที่นายกรณ์ จะให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะได้มีโอกาสลงพบปะพี่น้องประชาชนขอคะแนนเสียง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหาเสียงกันในเขตของตัวเอง อยากฝากประชาชนว่าในวันที่ 14 พฤษภาคม อยากให้ไปใช้สิทธิกันมาก ๆ และหากเห็นว่าประเด็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ควรได้รับการดูแลเหนืออื่นใด ก็ขอให้พิจารณาเลือกพิจารณาพรรคชาติพัฒนากล้า เพราะพรรคเราเป็นพรรคเศรษฐกิจที่มีความเชี่ยวชาญและมีความตั้งใจที่จะมาแก้ปัญหาปากท้องโดยเฉพาะ และมีทีมงานที่ผสมผสานกันระหว่างคนรุ่นเก่า และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเศรษฐกิจ ธุรกิจ พร้อมรับใช้ท่าน 

“ขอให้ท่านส่งพลังบวกเลือกในสิ่งที่ท่านต้องการจริง ๆ อย่าไปกังวลว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้าเราได้เลือกในสิ่งที่เราชอบและศรัทธาแล้ว ก็เชื่อว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ เราจะมีความภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของเรา และหากกรุณาเลือกเบอร์ 14 ทั่วประเทศ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปทำงาน เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

ต่อมาในช่วงบ่าย นายกรณ์ พร้อมคณะ ออกจากตลาดบองมาร์เช่ ขึ้นรถแห่ไปตามถนนในเขต บางเขน จตุจักร หลักสี่ ในพื้นที่ของ ดร.แวววรรณ ก้องไตรภพ ผู้สมัครเบอร์ 3 ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง ถ.สาทร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของ 3 ผู้สมัคร คือ นายนันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์ เขต1 เบอร์9 นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน เขต2 เบอร์ 3 สาทร ปทุมวัน ราชเทวี และ นายปรัชญา อึ้งรังสี เขต3 เบอร์ 14 บางคอแหลม ยานนาวา โดยตลอดเส้นทางถนนสาทร นราธิวาสฯ พระราม3 ประชาชนรอให้การทักทายอย่างคับคั่ง

‘กรณ์’ แจง ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง กรณี มีภาพถ่ายคู่ รถหรูทะเบียน 151 ย้ำชัด ไม่ชอบแอบแซะ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงถึงเรื่องที่มีภาพถ่ายคู่กับรถหรูทะเบียน 2 ขร 151 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนนำไปโยงกับเรื่องทางการเมือง ซึ่งนายกรณ์ ก็ได้ชี้แจงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง โดยมีใจความว่า ...

เห็นมีคนเอาภาพนี้ไปดราม่ากัน ขอชี้แจงสั้นๆ ตรงนี้ครับ
-ภาพนี้ผู้ช่วยผมถ่ายตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว
-เป็นวันสบายๆ ทานอาหารเช้ากัน เขาเห็นผมถือตะกร้าให้ภรรยา และบอกว่ามันเข้ากับสีเสื้อที่ใส่ก็เลยถ่ายไว้ แล้วเอาไปโพสต์ส่วนตัวของเขา
-รถคันนี้จอดอยู่ลานจอดรถ หน้าร้านคาเฟ่ จอดอยู่หลายคัน รถใครก็ไม่ทราบ (ต้องขออภัยต่อเจ้าของรถด้วยนะครับที่กลายเป็นดราม่า) วันที่โพสต์ ยังไม่มีข่าวเรื่องมาตรา 151 หรืออะไรเลย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง

ขอบอกว่าผู้ช่วยผมไม่ได้มีเจตนาอันใด และเดิมทีผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีการโพสต์รูปนี้

ส่วนตัวนั้นผมไม่ชอบการแซะอะไรไร้สาระแบบนี้ 
ส่วนในกรณีปัญหาทางกฎหมายของคุณพิธานั้น ผมรู้สึกเสียดายที่มีอุปสรรคมากมาย กีดกันความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งที่จะได้นายกฯ ที่เขาเลือกมา ผมเองแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งว่าผมอยากให้การรวมตัวตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ 1 กับพรรคที่ 2 ประสบความสำเร็จ และความเห็นผมที่อยากให้ระบอบประชาธิปไตยของเราเดินหน้าไปอย่างราบรื่นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้หลังจากที่แฟนคลับพรรคส้มได้กดดันให้คุณพิธากลับคำในการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับด่าทอ กล่าวหาผมต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลหรือคุณพิธาแม้แต่ครั้งเดียว

ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ผ่านมามีคนที่ผมรู้จักมากมายที่เลือกพรรคก้าวไกล และมาบ่นกับผมว่าผิดหวังในหลายๆการแสดงออกของคนของพรรค ไปจนถึงเรื่องนโยบายที่หาเสียงไว้และส่งสัญญาณว่ายังอาจจะทำไม่ได้ ผมก็บอกให้ทุกคนใจเย็น ให้โอกาสเขาก่อน ดังนั้นผมอยากเห็นทุกท่านตั้งสติกันหน่อยครับ โอกาสมันมากับความรับผิดชอบ และเป็นดาบสองคมเสมอ

ส่วนประเด็นเรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญ 
ผมเองก็เคยโดนพรรคอนาคตใหม่ยื่นร้องเรียนเพื่อถอดถอนผมจากการเป็น สส. ด้วยกฎหมายเดียวกัน คือได้กล่าวหาว่าผมถือหุ้นสื่อ ทั้งๆที่หุ้นที่ผมถือนั้นคือบริษัท ‘เกษตรเข้มแข็ง’ ที่ผมและทีมตั้งขึ้นมานำร่องทำนโยบายเกษตรพรีเมียมช่วยชาวนาไทย 

ประเด็นถือหุ้นสื่อ ผม (และเพื่อนสส.อีกหลายสิบคนที่ถูกกล่าวหาโดยอนาคตใหม่) ก็ต่อสู้ทางกฎหมายและชี้แจงตามข้อเท็จจริงไป ซึ่งส่วนตัวนั้นผมมองว่ากฎหมายนี้หยุมหยิมเกินไป และส่วนตัวไม่เคยยื่นฟ้องร้องใครด้วยกฎหมายนี้ แต่ก็เคารพสิทธิของอนาคตใหม่ในวันนั้นที่จะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

พูดไปคนเชื่อก็คงเชื่อ คนที่มีอคติก็คงเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ผมขอพูดแค่ว่า คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่า ถ้าผมจะว่าอะไรใคร ผมไม่มาแอบแซะโง่ๆ แบบนี้ครับ ผมซัดตรงๆ แน่นอน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวทิ้งท้าย

'กรณ์ จาติกวณิช' ประกาศลาออก จากการเป็น ‘หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า’

นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการลาออก จากการเป็น ‘หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า’ โดยมีใจความว่า ...
.
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้เข้าพบ และยื่นจดหมายถึงประธานพรรค คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เพื่อขอบคุณในความไว้วางใจที่ท่านได้มอบให้ผม พร้อมกับแจ้งลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค

ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกคะแนนเสียงที่ได้สนับสนุนแนวคิดทางการเมืองของพวกเรา ผมจะสนับสนุนนโยบายทั้งหมดที่เราได้นำเสนอในสถานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป 

ตลอดช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรับใช้ประชาชนและประเทศที่ผมรักในฐานะนักการเมืองคนหนึ่งที่มาจากการเลือกตั้ง 

ผมขอขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยผมทำภารกิจนี้มานับแต่ปี 48 

บ้านเมืองเรายังมีปัญหาอีกมากมายรอการแก้ไข ผมขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนนักการเมืองจากทุกพรรค และขอให้กำลังใจเป็นพิเศษแก่นักการเมืองที่กำลังจะเริ่มทำงานในสภาเป็นครั้งแรก อย่าให้ความต้องการเอาชนะครอบงำจิตใจและการแสดงออกของท่านจนเกินไป ทำงานด้วยการสร้างพลังบวกร่วมกันในสังคมให้ได้ ผมจะคอยเป็นกำลังใจ 

ช่วงนี้ผมขอพาครอบครัวไปพักผ่อน ติดหนี้ที่บ้านไว้เยอะครับ

ขอบคุณทุก ๆ คนจากใจ
 

'กรณ์' ชี้!! เร่งแก้ปัญหา Ashton Asoke เป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องไม่ผิดกฎหมายและต้องเยียวยาผู้ร้องได้แบบครบมิติ

(4 ส.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีใครต้องรับผิดชอบอย่างไร และจะแก้ไขเยียวยาให้ผู้ร้องอย่างไร ในเคส 'Ashton Asoke' ไว้ว่า...

ประเด็นนี้สำคัญครับ

เมื่อวานผู้ว่าชัชชาติแถลงว่า ให้เวลาโครงการ Ashton 30 วัน++ ในการหาทางออกใหม่ 

และเน้นว่า "แต่วันนี้ทางออกปัจจุบันยังใช้ได้เหมือนเดิม"

ในทางปฏิบัติผมว่าถูกต้อง รีบ ๆ หาทางออกให้ผู้อาศัยในอาคารเดือดร้อนน้อยที่สุด

แต่ในทางกฎหมายผมมองว่ามีประเด็นปัญหา

เพราะเมื่อวานสำนักงานกฎษฎีกาได้ออกมายืนยันว่า สำนักงานฯ ได้มีมติแจ้งไปทาง รฟม. (ผู้ที่ให้โครงการเช่าใช้ที่ของตนเป็นทางออก) ตั้งแต่ปี 2563 ว่า รฟม. ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการนำพื้นที่ให้เอกชนเช่าใช้ ยิ่งศาลพิพากษายืนยันความเห็นนี้ สถานะยิ่งชัดว่า รฟม.ให้เอกชนเช่าใช้ที่นี่ไม่ได้

ดังนั้นประเด็นเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรให้ รฟม. ยังสามารถคงการเปิดทางเข้า/ออกให้โครงการได้โดยไม่ผิดกฎหมาย?

ส่วนทางกทม. ผมมองว่าการให้เวลาทางโครงการไปหาทางออกใหม่ เพื่อมาขอใบอนุญาตใบใหม่นั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล 

...แต่ไม่พอ!! เพราะไม่ได้บรรเทาปัญหาให้กับชาวบ้านเดิมที่ฟ้องร้อง กทม. มาตั้งแต่ปี 58 ว่าโครงการนี้สร้างผิดกฎหมาย พูดง่ายๆ คือความผิดสำเร็จแล้ว 

และที่ผู้ว่าฯ ยังไม่ได้พูดคือส่วนนี้ ว่าใครต้องรับผิดชอบอย่างไร จะแก้ไขเยียวยาให้ผู้ร้องอย่างไร และที่สำคัญที่สุด กทม. จะปรับตัวเองอย่างไรไม่ให้มีการสร้างตึกที่ผิดกฎหมายอีกในอนาคต

‘กรณ์’ เตือน!! ‘แจกเงินดิจิทัล’ รัฐบาลต้องแบกดอกเบี้ยเพิ่ม ชี้!! กลไกเศรษฐศาสตร์ ทุกอย่างมีต้นทุน มี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’

(17 ก.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij’ ระบุว่า...

ว่าด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กับ ภาระทางการคลัง

ระหว่างที่ถกเถียงกันเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขอให้สังเกตประมาณการสถานะทางการเงินล่าสุดของประเทศให้ดีครับ

กระทรวงการคลังเสนอประมาณการชุดนี้ในการประชุมครม.แรกของ #รัฐบาลเศรษฐา สำหรับใครที่ไม่ชอบดูตารางข้อมูลแบบนี้ ผมขอสรุปประเด็นสำคัญให้ดังนี้…

1.) รายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้น

2.) แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่า

3.) รัฐบาลเลยจะขาดดุลมากขึ้น (3% ของ GDP จากที่เดิมคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.8% ในปีหน้า)

4.) ในขณะที่เศรษฐกิจโตช้ากว่าที่คาดไว้เดิม

5.) ดังนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จึงสูงขึ้นมาก (64% vs. เดิม 61.35%)

แล้วไง?

ประมาณการใหม่นี้กำลังสร้างความกังวลให้นักเศรษฐศาสตร์อย่างมาก เพราะอะไร?

เพราะทุกอย่างมีต้นทุน คือมี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ซึ่งราคาที่ว่านี้ปรากฏชัดเจนในส่วนของต้นทุนดอกเบี้ยของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น อย่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ทะลุ 3% ไปแล้ว เพิ่มขึ้นมากว่า 50bps ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา

… และประมาณการนี้ยังไม่ได้รวมนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล ซึ่งอย่างไรรัฐบาลก็ต้องกู้ หรือยืมรัฐวิสาหกิจมาแจก

วันนี้หนี้รัฐบาลมีอยู่ 11 ล้านล้านบาท

รัฐบาลต้องออกพันธบัตรใหม่มาชำระชุดเก่าตลอดเวลา ซึ่งต้นทุนก็จะมีแต่สูงขึ้น เป็นภาระต่องบประมาณมากขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหลากหลายปัจจัย เช่นการส่งออกที่ซบเซา ราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น รวมไปถึงรายจ่ายภาครัฐจากนโยบาย ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’ ของรัฐบาลใหม่

จุดแข็งของไทยเราคือ เราแทบไม่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศ แต่อย่างไรเราก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจของโลก ไม่ระวังไม่ได้ครับ

'กรณ์' ยกเคส!! ไทอิน Soft Power ไทยในไวรัลคลิปเด็กอเมริกัน การประชาสัมพันธ์ประเทศขั้นเทพที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ

(21 ต.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ในหัวข้อ 'พลังของ Soft Power ไทย' ระบุว่า...

เด็กอเมริกันคนหนึ่งได้โพสต์ video ตัวเองใน Instagram พร้อมสัญญาว่า ‘ถ้ามีคนติดตามผมถึง 2 แสนคน ผมจะยอมปฏิบัติตามคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด’ 

ปรากฏว่าคลิปนี้กลายเป็นไวรัล โดยมีคอมเมนต์หนึ่ง บอกให้เด็กน้อยผู้นี้บินมาเมืองไทย และให้ไปฝึกมวยไทยในค่ายในเมืองเล็กๆ เมืองใดเมืองหนึ่ง และให้หัดพูดไทยให้ได้ และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับโดยคนไทย…ฯลฯ

ซึ่งคอมเมนต์นี้มีคนกดไลก์ไป 2,537,952 คน!! มีรายงานว่าเป็นสถิติการกดไลก์คอมเมนต์ที่สูงที่สุดที่เคยมีมาใน Instagram … >> https://www.instagram.com/reel/Cxtm57rPdE7/?igshid=MzRlODBiNWFlZA== 

ส่วนน้องคนนี้มีผู้ติดตามทะลุ 3 แสนคนแล้ว

ดังนั้นเราเตรียมต้อนรับน้องเขาด้วยนะครับ!!

เรื่องขำๆ นี้ทำให้เห็นว่าไทยเรามีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ และยังมีความ exotic อยู่ในสายตาของชาวโลก 

ไวรัลแบบนี้ คือ การประชาสัมพันธ์ประเทศที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ และถึงใช้ก็คงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้

'กรณ์' รีวิว!! เที่ยวทีละก้าวใน 'โบลาเวน' สปป. ลาว 'ลุยป่า-ปีนต้นไม้' พากายขึ้นรอดูดาวบนฟากฟ้า

(12 พ.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

ผมไปเดินป่าโบลาเวน สปป. ลาว กับเพื่อนสองคน ส่วนหนึ่งเพราะอยากไปมานานแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะตระหนักว่าหากไม่ไปตอนนี้สภาพร่างกายเรา (และเพื่อนร่วมเดินทางวัยเดียวกัน) อีกไม่นานจะสู้ไม่ไหว

เราสามคนคบกันมานานกว่า 40 ปี ทริปแบบนี้ ไปกับคนที่รู้ใจกันและมีกำลังวังชาพอๆ กันน่าจะทำให้ราบรื่นสบายใจขึ้น

ผมเป็นคนอาสาจัดและวางแผน และโชคดีที่มีเพื่อนรุ่นน้องเป็นคนอุบล คุณโจ้ Joe Code ธานิน เจ้าของโรงแรม Yuu Hotel อยู่กลางเมือง (โรงแรมโปรดผมเลย) และผมโชคดีที่พอโทรไปถามน้องเขาว่าแนะนำอะไรได้มั้ย โจ้ตอบสวนกลับมาเลยว่า ‘ผมเพิ่งไปมา…’ 

สุดท้ายได้ไกด์ กำหนดวันกันเรียบร้อย เราบินนกแอร์มาลงอุบล ซึ่งเครื่องนกแอร์ออกช้าไปชั่วโมงกว่า ทำให้เราได้เริ่มการเดินทางนี้ด้วยการนวดเท้าหน้าเกตเที่ยวบินเรา (หมอนวดบอกว่ารายได้ดีก็เพราะนกแอร์เนี่ยแหละ…😅)

พอมาถึงอุบล เพื่อนมารับ พาเราไปกินข้าวเย็นร้านญี่ปุ่นชื่อ Oshinei ซึ่งเจ้าของเป็นเชฟชาวอุบลคนดังชื่อเชฟบุญธรรม เป็นเชฟกระทะเหล็ก ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนนี้มีประมาณ 30 สาขาทั่วประเทศ และสนใจที่จะใช้ประสบการณ์ของเขาช่วยขยายโอกาสให้ผู้ริเริ่มกิจการอาหารเจ้าอื่น

จากนั้นเราเข้านอนที่ Yuu hotel  นอนห้อง family ซึ่งมี 5 เตียง และออกแบบน่ารักมาก แต่บรรยากาศสำหรับเรา 3 คนคือเหมือนกลับไปอยู่ dorm สมัยเรียน (ต่างกันที่มีทีวีขนาด 50 นิ้ว และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกเพียบ)

เช้าเราออกเดินทางไปช่องเม็ก เพื่อเข้าลาว ที่ด่านจะมีหนุ่มสาวชาวลาวมาขาย SIM card ของลาว เราก็อุดหนุนกันไปคนละ 150 บาท (แต่พอถึงป่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆ อยู่ดี😅)

พอข้ามแม่น้ำโขงไปได้ไม่นานโชเฟอร์เริ่มลดสปีดลงเหลือประมาณ 40กม./ชม.เพราะเราเข้าสู่โซนด่านตำรวจลาว แต่แล้วก็ถูกเรียกอยู่ดี ป่วยการเถียงกับเขา โชเฟอร์ต้องจ่ายไปประมาณ 50,000 กีบ (100 บาท) ตามระเบียบ 

ทางผ่านเราได้ชมคฤหาสน์ของคุณนายดาว เจ้าของกาแฟดาว ชื่อดังของลาว ที่พูดถึงเพราะบ้านแกใหญ่มาก! 

และสุดท้ายก็ไปถึงหมู่บ้านหนองหลวง ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินของพวกเรา เราพบไกด์มาจากปากเซ และลูกมือเป็นคนพื้นเมืองปากซอง 

ก่อนเริ่มเดินไกด์ให้เราใส่อุปกรณ์การเดินพะรุงพะรังเพื่อความปลอดภัย ผมยอมรับว่า ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป กับเพียงการเดินป่าของเราจะอะไรกันนักหนา…หารู้ไม่ว่าเราจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ในทุกรายละเอียดมากแค่ไหน และภายใน 15 นาทีหลังการออกเดินทาง!

ถ้าพูดตามตรง พวกผมไม่ได้ทำการบ้านกันมามากมาย เรารู้ว่ามีนํ้าตกสวย มีการนอนบนเรือนไม้บนต้นไม้สูง (มาก) แต่ไม่ได้รู้ว่าสภาพการเดินจะท้าทายทั้งขาลง (วันแรก) และขาขึ้น ไม่ได้รู้ว่าจะต้องโหน zip line ข้ามเหวไปมาเกือบ 20 ครั้ง ไม่รู้ว่าต้องไต่หน้าผา และยังมีที่ยากที่สุดสำหรับผมคือ การเดินข้ามสะพานเส้นลวด ไม่ว่าจะเป็นลวดเดี่ยวหรือลวดห่วง ซึ่งทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งสองอย่าง 

คือ 1. ‘ทีละก้าว’ แปลว่า ห้ามคิดมากกว่านั้นจริงๆ 2. เมื่อก้าวไปแล้วการถอยหลังไม่เป็นอ็อปชัน การทำสิ่งง่ายๆ เช่นยกขาซ้ายเพื่อก้าวไปข้างหน้า เพื่อเหยียบห่วงลวดบนสะพานเส้นต่อไป กลายเป็นการต่อสู้กับจิตใจตนเอง และเป็นการก้าวข้ามความกลัว ที่ต้องอาศัยความตั้งใจมหาศาล

จริงๆ ถึงแม้เราอยู่ในที่ลาดชันมากๆ และการพลาดพลั้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ระบบ safety infrastructure ที่เขาลงเอาไว้นั้นดีมาก ทำให้เรามั่นใจได้ว่า จะอย่างไรก็ไม่ถึงตาย แต่หากพลาดต้องมีเจ็บ แม้เพียงแค่ข้อเท้าแพลง จะต้องทุลักทุเลกันทั้งคณะแน่นอน

ส่วนความเหนื่อยนั้น เหนื่อยจริง (วันเดินขึ้น หัวใจผมเต้นเฉลี่ย 120 นานอยู่กว่า 2 ชั่วโมง โดยพีคประมาณ 150) วันแรกเป็นการลงเขาเป็นหลัก เหนื่อยอีกแบบเทียบกับการขึ้น แต่เราก็ไปถึงที่พักได้อย่างไม่ต้องรีบ จุดไฟ ต้มน้ำ แม่ครัวเริ่มทำอาหาร เราเตรียมที่นอน และได้ชาร์จโทรศัพท์เพราะจะมีการใช้เครื่องปั่นไฟอยู่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง

คืนนี้เป็นคืนแรกในรอบนานมากที่ปลอดอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ ผมได้นอนดูดาวเต็มท้องฟ้า และค่อยๆ ไต่บันไดปีนต้นไม้ขึ้นไปนอนกับเพื่อนๆตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่า…

‘กรณ์’ ชี้ ‘ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ’ เอื้อทุนอสังหาริมทรัพย์ วอนชาวกรุงตื่นรู้สู้ไปด้วยกัน ไม่ต้องหวังผู้มีอำนาจมาช่วย

(27 ธ.ค.66) ว่าด้วยผังเมืองกรุงเทพฯ…ในยุคที่ผู้มีอำนาจทั้งสองล้วนมาจากอาชีพสร้างคอนโด และท่านผู้ว่าฯ ยังได้แต่งตั้งนักพัฒนาอสังหาฯ มาเป็นทั้งรองผู้ว่าฯ และที่ปรึกษาที่ยังสามารถสลับร่างไปมาในการบริหารจัดการ ทำธุรกิจอสังหาฯ ควบคู่หน้าที่ทางราชการไปได้อย่างน่าฉงน  

ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางกทม.ได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นประชาชน เรื่อง การร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯ (ปรับปรุงครั้งที่ 4) ในส่วนพื้นที่กรุงเทพฯใต้ ณ สำนักงานเขตคลองเตย 

ประชาชนชาวกรุงเทพฯ รู้เรื่องนี้กันน้อยมาก และถึงรู้ว่ามีงานนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจว่ามีความสำคัญต่ออนาคตความเป็นอยู่ของเราอย่างไร

ซึ่งคำตอบคือสำคัญมาก!!

ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีการเปลี่ยนโซนการใช้พื้นที่รอบข้างบ้านคุณ จากโซนอยู่อาศัยเป็นโซนพาณิชย์ก็ได้

ซึ่งจากที่ได้รับฟังและติดตามที่คณะผู้จัดทำได้บรรยายมา ผมมีความเห็นว่าแทบทุกการปรับเปลี่ยนที่สำคัญที่ทางกทม.เสนอ ล้วนมีเจตนาปรับเพื่อช่วยสนับสนุนกิจการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น!! 

ผมขอยกตัวอย่าง 2 ข้อเสนอ ของทาง กทม.ดังนี้

1. กทม. จะเพิ่มขนาดถนนรอง โดยอ้างว่าเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงระบบรถไฟฟ้า และช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งฟังไม่ขึ้น เพราะจากพิกัดบริเวณที่กำหนดให้ถนนแทรกขยาย ผ่าชุมชนเข้าไปบางพื้นที่นั้น ทำให้ผมเชื่อว่าวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อกำจัดอุปสรรคในการสร้างตึกสูงเพิ่มเติมเข้าไปในย่านชุมชนที่มีถนนเล็กซอยแคบ (ปัจจุบันหลายโครงการติดเงื่อนไขระยะความกว้างของซอย) 

กทม. ได้ขีดเส้นวางแนวการตัดขยายถนนไว้ถึง 148 สาย ความยาวกว่า 600 กม. หากตรงนี้ผ่านได้ จะนำไปสู่การรุกคืบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เข้าไปในหลายชุมชน หลายซอย ทั่วเมือง (โดยที่การขยายให้ถนนกว้างกว่า 10 ม. ซึ่งมีผลมากต่อการสร้างตึกสูง จะไม่ต้องมาจากการเวนคืนด้วยซ้ำ แต่จะเป็นการให้เอกชนร่นพื้นที่ตนเอง พูดง่ายๆ คือประโยชน์สาธารณะแทบไม่มี)

2. กทม. เสนอมาตรการ ‘FAR. Bonus’ คือ การเพิ่มสิทธิก่อสร้างอาคารให้สามารถเพิ่ม ‘อัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน’ (FAR.-Floor Area Ratio) ได้ถึง 20% จากเดิม แลกกับการอุทิศบางสิ่งที่ กทม. กำหนดว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไป เช่น สวนหย่อมบนหลังคาตึก, สวนแนวตั้ง, การจัดให้มีพื้นที่ว่าง หรือเจียดพื้นที่เสมือนสาธารณะบางส่วนของโครงการ เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ ฯลฯ ที่ล้วนเป็นมาตรการที่ประโยชน์สาธารณะน้อย แต่ประโยชน์ของผู้ประกอบการมีมูลค่ามหาศาล ที่สุดมาตรการนี้จะทำให้เกิดโครงการลูบหน้าปะจมูกเพื่อเป็นข้ออ้างสิทธิสร้างตึกให้ใหญ่ขึ้น จะเปิดช่องการใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ และการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย ที่จะควบคู่ตามมาจากวิถีปฏิบัติที่เห็นกันต่อเนื่องมาในเรื่องการขาดการกำกับ ตรวจสอบ การบังคับใช้กม.ไปจนถึงการลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง

เรื่องทั้งหมดนี้คนกรุงเทพฯ ต้องสู้เองนะครับ อย่าหวังผู้มีอำนาจมาช่วย เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านผู้ว่าฯ หรือแม้แต่ท่านนายกฯ ทั้งสองท่านจะเก่งจะดีอย่างไรก็ตาม ผมก็ยังกังวลว่า ที่สุดแล้วท่านจะเข้าข้างบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ผมหวังจากใจว่าประเมินทั้งสองท่านผิดในกรณีนี้) 

ท่านทั้งสอง ล้วนมาจากอาชีพสร้างคอนโด และท่านผู้ว่าฯ ยังได้แต่งตั้งนักพัฒนาอสังหาฯ มาเป็นทั้งรองผู้ว่าฯ และที่ปรึกษา ที่ยังสามารถสลับร่างไปมาในการบริหารจัดการ ทำธุรกิจอสังหาฯ ควบคู่หน้าที่ทางราชการไปได้อย่างน่าฉงน  

ผมจึงคิดว่าชาวกรุงเทพฯ วางใจไม่ได้ ต้องสู้ร่วมกันครับ

'กรณ์' เชื่อ!! กู้เงินแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิด ชี้!! หากทำได้ 'เพื่อไทย' ได้ประโยชน์คนเดียว

(23 ม.ค. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นถึงโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่รัฐบาลมีเป้าหมายกู้เงิน 5 แสนล้านมาใช้ในโครงการดังกล่าว โดยฟันธงว่า การกู้เงินมาเพื่อ ‘แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ คงไม่เกิดแล้ว แม้ว่าทางรัฐบาล (จริงๆ คือพรรคเพื่อไทย) ยังจะวางท่าทีขึงขังเหมือนจะเดินหน้าต่อก็ตาม

นายกรณ์ กล่าวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศออกมาก่อนเลือกตั้ง ด้วยหลากหลายเหตุผลที่ไม่ต่างกับผู้คัดค้านอีกหลายท่าน ทั้งในแง่การเมือง (การหาเสียงแนวนี้มีแต่จะทำให้การเมืองแย่ลง) แง่เศรษฐกิจ (เป็นการใช้เงิน (กู้) ที่ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ) และแง่กฎหมาย (รัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.วินัยทางการคลัง ชัดเจนมากว่าทำไม่ได้)

นายกรณ์ ระบุด้วยว่า ส่วนตัวได้ถอยจากการเมืองมาแล้ว ก็ไม่อยากออกตัวมากมาย แต่บางเรื่องที่ถือว่าพอมีความรู้และประสบการณ์ และเป็นเรื่องที่มีผลใหญ่หลวงกับบ้านเมือง และมีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอแสดงออก ส่วนจะผิดถูกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจเองอยู่ดี

"หลังจากที่ได้อ่านความเห็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผมสรุปได้เลยว่า ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ผลสรุปว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันไม่อยู่ในเกณฑ์วิกฤต เมื่อไม่วิกฤตก็ไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 53 พรบ.วินัยทางการคลังที่จะออกกฎหมายกู้เงินแบบ 'นอกงบประมาณ' ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช. สรุปตามนี้ หากรัฐบาลเดินหน้าต่อไปจะเสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยเขาอาจจะยังกล้าเดินหน้า... แต่ผมไม่คิดว่าพรรคร่วมจะเอาด้วย" นายกรณ์ ระบุ

พร้อมระบุอีกด้วยว่า "ทางการเมืองนโยบายนี้เป็นของเพื่อไทย ไม่ใช่ของพรรคอื่น ถ้าทำได้และทำดี พรรคเดียวที่ได้ประโยชน์คือเพื่อไทย อันนี้ต่างกับนโยบายอื่นที่ก็มีคนคัดค้านมากมายเหมือนกัน เช่น Land Bridge เพราะนโยบายนี้พูดไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ จึงมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่ภูมิใจไทยที่มีความเป็นพรรคภาคใต้มากขึ้นก็ไม่อยากค้านเรื่องนี้ ประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านยังไม่มีท่าทีเรื่องนี้ที่ชัดเจนเลย แต่แจกเงินดิจิทัลนี้ หากล้มไปตอนนี้ผมเชื่อว่าพรรคร่วมแทบทุกพรรคจะถอนหายใจโล่งอก หนึ่งไม่ต้องเสี่ยง สองปัญหาตกอยู่ที่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แต่ถ้าล้มหลังผ่าน ครม. หรือผ่าน สภาฯ ไปแล้ว พรรคร่วมจะมีปัญหาด้วย เพราะต้องร่วมรับผิดชอบ" 

อดีต รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ในกรณี พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะตอนนั้นยุบสภาไปแล้ว และรัฐบาลอยู่ในสภาพรักษาการ ที่สำคัญ ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องร้องเรียน พ.ร.บ.ฉบับนั้น กับศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ยื่นด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกันนักกับข้อสรุปล่าสุดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็คือการออก พ.ร.บ.ในกรณีที่ไม่เร่งด่วนจำเป็นทำไมได้ ต้องใช้เงินใน พ.ร.บ.งบประมาณเท่านั้น (ซึ่งตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยเองก็ยืนยันว่าจะทำตามนั้น) และที่สำคัญผู้ที่ร่วมลงนามยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวันนั้น มีทั้งสส. ทั้งรัฐมนตรี และรวมไปถึงแม้แต่หัวหน้าพรรคของพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน

"ดังนั้นผมเชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่ได้ไปต่อ เพราะท่านเหล่านั้นตระหนักเป็นอย่างดีว่า การออก พรบ.กู้เงินลักษณะนี้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ วันนี้มี พรบ.วินัยทางการคลังมายํ้าประเด็นเพิ่มเติม และยังมีความเห็น ปปช. ที่ไม่เห็นด้วยอีกต่างหาก...

"ผมคิดว่าเพื่อไทยคงหาทางลงอยู่ จริงๆ แล้วก็แค่บอกว่า เราเคารพความเห็นและความกังวลของทุกฝ่าย เราจะเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีอื่น โดยเราจะให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน การฟื้นฟูการลงทุน การยกระดับมาตรฐานการศึกษาของเยาวชนไทย และการส่งเสริมให้มีการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรมในทุกภาคธุรกิจ...

"ผมว่าถ้าออกมาอย่างนี้ รัฐบาลจะไปต่อได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าดันทุรัง รัฐบาลจะมีปัญหา ซึ่งหมายความว่าประเทศก็จะมีปัญหา ยิ่งจบเร็วยิ่งจะมีผลเสียน้อยกับทุกฝ่ายครับ" นายกรณ์ ทิ้งท้าย

ครบรอบ 60 ปี 'กรณ์ จาติกวณิช' ขอบคุณ 'ทุกคน-โอกาส' ต่อจากนี้ขอต่อยอด ONE ของคนอื่น ให้เป็น 2-3-4 ต่อไป

(19 ก.พ.67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ขอบคุณความรักและการเลี้ยงดูมาอย่างดีโดยพ่อแม่ ภายหลังเด็กปีมังกรคนนี้ได้อายุครบ 5 รอบแล้ว ว่า...

มีหนึ่งคำที่อธิบายความรู้สึกของผมในวันที่อายุจะครบ 60 ได้ดีที่สุด คำนั้นคือ ‘thankful’ ในหลากหลายความหมายของคำนี้ คือ : ซาบซึ้ง ตระหนักในบุญคุณ ขอบคุณโชคชะตา

ขอบคุณสำหรับความรักและการเลี้ยงดูมาอย่างดีโดยพ่อแม่ 

ขอบคุณที่มีภรรยาที่อดทนต่อความเห็นแก่ตัวของเรา ขอบคุณที่มีลูกๆ ที่รักกัน และที่ทุกคนตระหนักในโอกาสที่ได้รับ

ขอบคุณสำหรับความสัมพันธ์ที่ทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ พี่น้องสำคัญกับเรามาก รวมไปถึงเพื่อนกอล์ฟ เพื่อนเล่นไพ่ ญาติ อดีตเพื่อนร่วมงาน ทั้งเพื่อนสนิท และเพื่อนที่โคจรมาเจอกับเราในช่วงสั้นๆแต่มีความหมาย เราหวังว่าเราดีกับเขาเหมือนเขาดีกับเรา

ขอบคุณที่ได้มีโอกาสทำงาน ได้สร้างเนื้อสร้างตัว ได้มีโอกาสช่วยเหลือบ้านเมือง แม้ว่าทำได้ไม่มากนัก

ขอบคุณที่ได้เห็นโลก เก็บประสบการณ์และความทรงจำที่ลํ้าค่ามากมาย

ขอบคุณที่ไม่เคยต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำร้ายใคร หรือต้องเป็นภาระกับใครมากเกินไป

ขอบคุณสำหรับสุขภาพร่างกายที่ทำให้เราทำ (เกือบ) ทุกอย่างที่เราอยากทำได้ ใครๆ ก็อยากเป็น Federer, น้าเป๊บ หรือ Brad Pitt แต่นั่นคือโลภเกินไป 😂

เราไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุดในเรื่องที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน กีฬา การงาน หรือการเมือง แต่เราขอบคุณที่ได้มีโอกาส และขอบคุณที่มีมิตรสหายคอยช่วยและเดินไปกับเราในการผจญภัยทุกครั้ง

ผมเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ในชีวิต หากเคยทำตัวไม่ดีกับใคร ผมกราบขออภัย บางครั้งเราบอกตัวเองว่า เราแค่ทำไปตามตำแหน่งและหน้าที่ แต่อาจเป็นวิธีคิดที่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป 🙏

จากนี้ยังมีเรื่องอยากทำอยู่พอสมควร - ภรรยาที่อยากพาเที่ยว งานที่อยากทำ หนังสือที่อยากอ่าน birdies ที่อยากได้ หลานที่อยากเลี้ยง ป่าที่อยากเดิน ต้นไม้ที่อยากปลูก… แต่จะไม่โลภ 

มีรุ่นน้องในวงการ startup คนหนึ่งถามผมว่า ‘พี่ยังคิดอยากทำแบบ zero-to-one อีกไหม..’

ความหมายคือสร้างอะไรจากศูนย์เหมือนที่เคยทำมา 2-3 ครั้งในชีวิต (เจเอฟ-ครอบครัว-พรรคกล้า)

ผมตอบโดยไม่ลังเลว่า ไม่แล้ว แต่พร้อมจะช่วยต่อยอด ‘one’ ของคนอื่น ให้เป็น 2-3-4 ต่อไป

ซึ่งมีอะไรบ้างไว้อาจจะกลับมาเล่าให้ฟัง

แต่วันนี้ขอพูดอีกคำเดียว : ‘ขอบคุณ’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top