'กรณ์' รีวิว!! เที่ยวทีละก้าวใน 'โบลาเวน' สปป. ลาว 'ลุยป่า-ปีนต้นไม้' พากายขึ้นรอดูดาวบนฟากฟ้า

(12 พ.ย.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุว่า...

ผมไปเดินป่าโบลาเวน สปป. ลาว กับเพื่อนสองคน ส่วนหนึ่งเพราะอยากไปมานานแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะตระหนักว่าหากไม่ไปตอนนี้สภาพร่างกายเรา (และเพื่อนร่วมเดินทางวัยเดียวกัน) อีกไม่นานจะสู้ไม่ไหว

เราสามคนคบกันมานานกว่า 40 ปี ทริปแบบนี้ ไปกับคนที่รู้ใจกันและมีกำลังวังชาพอๆ กันน่าจะทำให้ราบรื่นสบายใจขึ้น

ผมเป็นคนอาสาจัดและวางแผน และโชคดีที่มีเพื่อนรุ่นน้องเป็นคนอุบล คุณโจ้ Joe Code ธานิน เจ้าของโรงแรม Yuu Hotel อยู่กลางเมือง (โรงแรมโปรดผมเลย) และผมโชคดีที่พอโทรไปถามน้องเขาว่าแนะนำอะไรได้มั้ย โจ้ตอบสวนกลับมาเลยว่า ‘ผมเพิ่งไปมา…’ 

สุดท้ายได้ไกด์ กำหนดวันกันเรียบร้อย เราบินนกแอร์มาลงอุบล ซึ่งเครื่องนกแอร์ออกช้าไปชั่วโมงกว่า ทำให้เราได้เริ่มการเดินทางนี้ด้วยการนวดเท้าหน้าเกตเที่ยวบินเรา (หมอนวดบอกว่ารายได้ดีก็เพราะนกแอร์เนี่ยแหละ…😅)

พอมาถึงอุบล เพื่อนมารับ พาเราไปกินข้าวเย็นร้านญี่ปุ่นชื่อ Oshinei ซึ่งเจ้าของเป็นเชฟชาวอุบลคนดังชื่อเชฟบุญธรรม เป็นเชฟกระทะเหล็ก ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนนี้มีประมาณ 30 สาขาทั่วประเทศ และสนใจที่จะใช้ประสบการณ์ของเขาช่วยขยายโอกาสให้ผู้ริเริ่มกิจการอาหารเจ้าอื่น

จากนั้นเราเข้านอนที่ Yuu hotel  นอนห้อง family ซึ่งมี 5 เตียง และออกแบบน่ารักมาก แต่บรรยากาศสำหรับเรา 3 คนคือเหมือนกลับไปอยู่ dorm สมัยเรียน (ต่างกันที่มีทีวีขนาด 50 นิ้ว และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกเพียบ)

เช้าเราออกเดินทางไปช่องเม็ก เพื่อเข้าลาว ที่ด่านจะมีหนุ่มสาวชาวลาวมาขาย SIM card ของลาว เราก็อุดหนุนกันไปคนละ 150 บาท (แต่พอถึงป่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆ อยู่ดี😅)

พอข้ามแม่น้ำโขงไปได้ไม่นานโชเฟอร์เริ่มลดสปีดลงเหลือประมาณ 40กม./ชม.เพราะเราเข้าสู่โซนด่านตำรวจลาว แต่แล้วก็ถูกเรียกอยู่ดี ป่วยการเถียงกับเขา โชเฟอร์ต้องจ่ายไปประมาณ 50,000 กีบ (100 บาท) ตามระเบียบ 

ทางผ่านเราได้ชมคฤหาสน์ของคุณนายดาว เจ้าของกาแฟดาว ชื่อดังของลาว ที่พูดถึงเพราะบ้านแกใหญ่มาก! 

และสุดท้ายก็ไปถึงหมู่บ้านหนองหลวง ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินของพวกเรา เราพบไกด์มาจากปากเซ และลูกมือเป็นคนพื้นเมืองปากซอง 

ก่อนเริ่มเดินไกด์ให้เราใส่อุปกรณ์การเดินพะรุงพะรังเพื่อความปลอดภัย ผมยอมรับว่า ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป กับเพียงการเดินป่าของเราจะอะไรกันนักหนา…หารู้ไม่ว่าเราจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ในทุกรายละเอียดมากแค่ไหน และภายใน 15 นาทีหลังการออกเดินทาง!

ถ้าพูดตามตรง พวกผมไม่ได้ทำการบ้านกันมามากมาย เรารู้ว่ามีนํ้าตกสวย มีการนอนบนเรือนไม้บนต้นไม้สูง (มาก) แต่ไม่ได้รู้ว่าสภาพการเดินจะท้าทายทั้งขาลง (วันแรก) และขาขึ้น ไม่ได้รู้ว่าจะต้องโหน zip line ข้ามเหวไปมาเกือบ 20 ครั้ง ไม่รู้ว่าต้องไต่หน้าผา และยังมีที่ยากที่สุดสำหรับผมคือ การเดินข้ามสะพานเส้นลวด ไม่ว่าจะเป็นลวดเดี่ยวหรือลวดห่วง ซึ่งทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งสองอย่าง 

คือ 1. ‘ทีละก้าว’ แปลว่า ห้ามคิดมากกว่านั้นจริงๆ 2. เมื่อก้าวไปแล้วการถอยหลังไม่เป็นอ็อปชัน การทำสิ่งง่ายๆ เช่นยกขาซ้ายเพื่อก้าวไปข้างหน้า เพื่อเหยียบห่วงลวดบนสะพานเส้นต่อไป กลายเป็นการต่อสู้กับจิตใจตนเอง และเป็นการก้าวข้ามความกลัว ที่ต้องอาศัยความตั้งใจมหาศาล

จริงๆ ถึงแม้เราอยู่ในที่ลาดชันมากๆ และการพลาดพลั้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ระบบ safety infrastructure ที่เขาลงเอาไว้นั้นดีมาก ทำให้เรามั่นใจได้ว่า จะอย่างไรก็ไม่ถึงตาย แต่หากพลาดต้องมีเจ็บ แม้เพียงแค่ข้อเท้าแพลง จะต้องทุลักทุเลกันทั้งคณะแน่นอน

ส่วนความเหนื่อยนั้น เหนื่อยจริง (วันเดินขึ้น หัวใจผมเต้นเฉลี่ย 120 นานอยู่กว่า 2 ชั่วโมง โดยพีคประมาณ 150) วันแรกเป็นการลงเขาเป็นหลัก เหนื่อยอีกแบบเทียบกับการขึ้น แต่เราก็ไปถึงที่พักได้อย่างไม่ต้องรีบ จุดไฟ ต้มน้ำ แม่ครัวเริ่มทำอาหาร เราเตรียมที่นอน และได้ชาร์จโทรศัพท์เพราะจะมีการใช้เครื่องปั่นไฟอยู่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง

คืนนี้เป็นคืนแรกในรอบนานมากที่ปลอดอินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ ผมได้นอนดูดาวเต็มท้องฟ้า และค่อยๆ ไต่บันไดปีนต้นไม้ขึ้นไปนอนกับเพื่อนๆตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่า…