Saturday, 11 May 2024
SPECIAL

ก๊อป MV : ‘แรงบันดาลใจ’ หรือ ‘ลอกเลียนแบบ’

เมื่อวันก่อนผมไปจัดวงเสวนาในคลับเฮาส์ (Clubhouse) พูดคุยกับช่างภาพและผู้ผลิตคอนเทนต์เรื่องปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ และช่วงท้ายก็เปิดโอกาสให้คนฟังได้ขึ้นมาสอบถามกันได้แบบสดๆ

หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจ คือ “การถ่ายมิวสิควิดีโอ หรือ MV แล้วมีฉากต่างๆ คล้ายกับ MV ของคนอื่น ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่”

ตอนที่ผมและผู้ร่วมวงเสวนาตอบคำถามนี้ไป ก็สงสัยว่าทำไมมีคนสนใจถามเรื่องการก๊อป MV หลายคน จนกระทั่งหลังจบวงเสวนาในคลับเฮาส์ เพื่อนผมคนหนึ่งได้ส่งข้อความมาบอกผมหลังไมค์ว่า เรื่องก๊อป MV นี้ กำลังเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดียเลย น่าเอามาเขียนอธิบายแบบง่ายๆ ให้คนนอกคลับเฮาส์ได้เข้าใจกันได้ด้วย

ผมก็เลยหยิบเรื่องก๊อป MV กับกฎหมายลิขสิทธิ์มาเขียนเป็นประเดิมในคอลัมน์ของผมเสียเลย

ก่อนที่เราจะบอกว่า MV ที่ทำเลียนแบบนั้น ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ เราก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่างานอันมีลิขสิทธิ์นั้นหมายถึงงานแบบใดบ้าง และกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง MV นั้นอย่างไร

โดยหลักการการสำคัญของงานที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ทั้งของไทยและสากลมี 2 ข้อที่เหมือนกัน คือ หนึ่ง งานนั้นจะต้องเป็นงานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง (Originality) และ สอง งานนั้นจะต้องมีการแสดงออกซึ่งความคิด (Ex-pression of idea)

มาว่ากันที่หลักการแรกกันก่อน ที่บอกว่างานนั้นจะต้องเป็นงานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตนเอง อธิบายแบบง่าย ๆ คือ งานนั้นจะต้องเกิดจากความคิดของตนเอง แต่ก็ไม่จำเป็นว่างานนั้นจะต้องเป็นสิ่งใหม่ หรือไม่เคยมีมาก่อนในโลก เพียงแต่ผู้สร้างสรรค์งานนั้นจะต้องทุ่มเทความรู้ความสามารถ ความชำนาญ ทักษะ สติปัญญาของผู้สร้างสรรค์ลงไปในงานดังกล่าวพอสมควรด้วย

ตัวอย่างเช่น เราเห็นภาพถ่ายที่จุดชมวิวแห่งหนึ่งสวยมาก เราก็อาจจะได้แรงบันดาลใจให้ไปถ่ายภาพนั้นออกมาเหมือนกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้ถ่ายภาพจุดชมวิวนั้นเป็นคนแรก แต่เราก็ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการลงมือลงแรงไปที่จุดชมวิวนั้น และกดชัตเตอร์ถ่ายรูปออกมา แบบนี้เราก็ได้รับความคุ้มครองในส่วนของภาพที่เราถ่าย แม้ว่าภาพนั้นจะคล้ายกับภาพจุดชมวิวที่คนอื่นถ่ายก่อนหน้านี้

แต่ถ้าเราเห็นรูปจุดชมวิวของคนอื่นสวย แล้วเราสแกนภาพของเขามาเข้าในคอมพิวเตอร์ของเราเอง แบบนี้จะไม่ถือว่าภาพที่เราสแกนนั้นเป็นลิขสิทธิ์ของเรานะครับ เพราะเป็นการที่เราไปทำซ้ำหรือก๊อปปี้ของคนอื่นมา ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์แต่อย่างใด

ส่วนหลักการที่สองที่บอกว่างานนั้นจะต้องมีการแสดงออกซึ่งความคิด หรือ Expression of idea ขอให้สังเกตให้ดี ๆ ว่าหลักการนี้คุ้มครองเรื่องการแสดงออกซึ่งความคิด แต่ไม่ได้คุ้มครอง ความคิด หรือ idea นะครับ

แปลว่าสิ่งที่เราแค่คิด แต่ไม่ได้แสดงให้มันออกมาเป็นผลงาน ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์

เช่น เราคิดว่าจะแต่งเพลงขึ้นมาสักเพลงหนึ่งซึ่งใหม่มาก เป็นความรักระหว่างคนและหุ่นยนต์ ต่อมาเราไปเล่าไอเดียนี้ให้คนอื่นฟัง ปรากฏว่าคนที่ฟังไปนั้นเอาไอเดียของเราไปแต่งเพลงออกมาในแบบที่เราคิด แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเขาละเมิดลิขสิทธิ์ของเราแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เราคิด หรือ ไอเดียของเรานั้นยังไม่ถูกแสดงออกมาเราจึงไม่มีลิขสิทธิ์ในไอเดียดังกล่าว

แต่ถ้าเราแต่งเพลงความรักระหว่างคนและหุ่นยนต์ออกมาแล้ว ปรากฏว่ามีคนมาเอาเนื้อร้องของเราไปดัดแปลง แบบนี้ก็จะถือว่าคนที่เอาเพลงของเราไปดัดแปลงนั้นละเมิดลิขสิทธิ์ของเรา เพราะได้ลงมือสร้างสรรค์เพลงนั้นออกมาจากความคิดของเราแล้ว

พอเข้าใจหลักการของงานที่จะถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์แล้วใช่ไหมครับว่ากฎหมายลิขสิทธิ์จะคุ้มครองงานสร้างสรรค์แบบใด

คำถามถัดมา คือ หากงานสร้างสรรค์นั้น เกิดไปเหมือนหรือคล้ายกับงานของคนอื่นละ แบบนี้จะถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของเขาหรือไม่ ในเรื่องนี้ก็มักจะมีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งอาจจะบอกว่าเป็นการก๊อปปี้งานผิดลิขสิทธิ์แน่ ๆ แต่อีกฝ่ายก็อาจจะบอกว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ที่ไหน เขาแต่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานแค่นั้นเอง

การที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ ผมอยากให้ย้อนไปอ่านหลักการคุ้มครองการแสดงออกซึ่งความคิดที่ผมอธิบายไปแล้วซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายลิขสิทธิ์บ้านเราที่บัญญัติไว้ว่า

การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ หรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์

แปลว่ากฎหมายไม่ได้สนใจว่าความคิดที่เรานำมาสร้างสรรค์นั้นจะมาจากไหน ผู้ที่สร้างสรรค์อาจใช้ความคิดของคนอื่นมาจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์งานของตนเอง หรือใช้งานสร้างสรรค์ของคนอื่นมาเป็นแรงบันดาลใจให้ตนเองก็ได้ ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักสากลที่ใช้ในกฎหมายลิขสิทธิ์ทั่วโลก ไม่ใช่แต่เพียงประเทศไทยเท่านั้น

ทีนี้ ถ้าเราจะพิจารณาถึงกรณีที่ถกเถียงกันในโซเชียลมีเดียว่า MV นั้นเป็นการลอกเลียกแบบหรือได้แรงบันดาลใจ

เราจะใช้อารมณ์หรือกระแสสังคมเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เราจะต้องใช้หลักการตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ผมอธิบายไว้แล้วมาปรับเข้ากับเหตุการณ์นี้ โดยพิจารณาว่าสิ่งที่ MV ที่ถูกกล่าวหาว่าก๊อปนั้น เป็นการทำซ้ำหรือดัดงานสร้างสรรค์ของผู้อื่นหรือไม่ เช่น เขาเอาเนื้อร้อง ทำนอง หรือเนื้อเรื่องใน MV ต้นฉบับมาเกือบทั้งหมด ซึ่งแบบนี้ MV ที่ก๊อปมาก็จะถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ที่สร้างสรรค์ MV ต้นฉบับแน่นอน

แต่ถ้าการก๊อปนั้นเป็นเพียงแต่การเอาความคิด หรือ idea การถ่าย MV บางช่วงบางตอนมาจาก MV ต้นฉบับ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้เขาก็อาจจะโต้แย้งได้ว่า MV ของเขาไม่ได้ลอกเลียนแบบนะ เขาเพียงแต่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอเดียของ MV ต้นฉบับ ซึ่งทำให้เราก็อาจจะไม่สามารถเอาผิดเขาฐานละเมิดลิขสิทธิ์ได้

ในส่วนของเคสที่เป็นประเด็นนี้ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าใครถูก ใครผิดก็คงต้องรอให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายนำเรื่องขึ้นสู่ศาล เพราะแต่ละคดีมันมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ผมเพียงแต่ฟังข้อเท็จจริงจากที่มีคนมาถามใน Clubhouse เท่านั้นคงไม่สามารถฟันธงให้ได้

สุดท้ายนี้ ในฐานะนักกฎหมายผมก็อยากฝากไว้ว่า แม้บางเรื่องที่เราทำไปนั้นอาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ เพราะอาจส่งผลต่อชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ได้ การสื่อสารที่ดีและจริงใจ จะช่วยรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดีกว่าการตอบแบบแข็งกร้าว และในส่วนของกองเชียร์เอง ก็ต้องระมัดระวังการพูดจาหรือแสดงความเห็นไม่ให้เกินเลย เพราะมิเช่นนั้นแล้วเราอาจจะกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นประมาทเสียเอง

***พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 6 วรรคสอง

ทำดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน...จากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2435 ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ระหว่าง นักศึกษาวัย 18 ปี HERBERT HOOVER ประธานาธิบดีคนที่ 31 แห่งสหรัฐอเมริกา และ Ignacy Jan Paderewski นักเปียโนชื่อดัง และนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 แห่งสาธารณรัฐโปแลนด์

มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่คิดเพียงว่า “ถ้าเราช่วยพวกเขาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา” แต่มนุษย์ซึ่งมีน้ำใจยิ่งใหญ่กลับคิดเพียงว่า “ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา”

นักศึกษาวัยเพียง 18 ปี ซึ่งต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียน เขาเป็นเด็กกำพร้า และไม่รู้ว่าจะหาเงินด้วยวิธีไหน แต่แล้วก็บังเกิดความคิดบรรเจิด เขาและเพื่อนจึงตัดสินใจที่จะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวเปียโนของ Ignacy Jan Paderewski นักเปียโนผู้มีชื่อเสียง ณ ขณะนั้น ในมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินมาเป็นทุนการศึกษา

พวกเขาจึงได้ติดต่อ Ignacy J. Paderewski นักเปียโนชื่อดังคนดังกล่าว ซึ่งผู้จัดการของ Paderewski เรียกค่าตัวสำหรับการแสดงเปียโนเป็นเงิน 2,000 ดอลลาร์ เมื่อตกลงกันได้แล้วสองหนุ่มก็เริ่มทำงานเพื่อให้คอนเสิร์ตเปียโนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ แต่น่าเสียดายเมื่อวันสำคัญมาถึงพวกเขาขายตั๋วทั้งหมดได้เงินเพียง $ 1600 เท่านั้น ภายหลังการแสดงสองหนุ่มไปพบกับ Paderewski ด้วยความผิดหวัง และอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ Paderewski โดยพวกเขามอบเงินสดทั้งหมด $ 1,600 กับเช็คมูลค่า $ 400 ให้กับ Paderewski และสัญญาว่าจะ เอาเงินเข้าบัญชีเพื่อเคลียร์เช็คฉบับนั้นให้เร็วที่สุด

“ไม่” Paderewski กล่าว “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถยอมรับได้” เขาได้ฉีกเช็คฉบับดังกล่าว และคืนเงินสด $ 1600 และบอกกับสองหนุ่มว่า “นี่คือ เงิน $ 1,600 กรุณาหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แล้วเก็บเงินที่คุณต้องการสำหรับเป็นค่าเล่าเรียน และมอบส่วนที่เหลือให้กับผม” สองหนุ่มต่างประหลาดใจ และขอบคุณ Paderewski อย่างมากมาย แม้ว่า จะเป็นการแสดงน้ำใจเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Paderewski เป็นมนุษย์ผู้มีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่

ทำไมเขาต้องช่วยคนสองคนซึ่งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ? เราทุกคนต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ในชีวิต และพวกเราส่วนใหญ่จะคิดเพียงว่า “ถ้าเราช่วยพวกเขา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา” ขณะคนซึ่งมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่กลับคิดว่า “ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขา และอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาเล่า” พวกเขาจึงไม่ได้ทำด้วยหวังสิ่งตอบแทน พวกเขาทำเพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

ต่อมา Paderewski ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของสาธารณรัฐโปแลนด์ เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นโปแลนด์ก็ถูกทำลายจนเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังสงครามฯจึงมีผู้คนมากกว่า 1.5 ล้านคนที่อดอยากขาดแคลน โปแลนด์ขณะนั้นซึ่งไม่มีเงินและอาหารเพียงพอที่จะเลี้ยงดูผู้คนชาวโปแลนด์ที่อดยอยากหิวโหยเหล่านั้น นายกรัฐมนตรี Paderewski ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากที่ไหน เขาจึงได้ติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากองค์การอาหารและการบรรเทาทุกข์แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผู้บริหารคือ HERBERT HOOVER และในเวลาต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนที่ 31 HOOVER รีบตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือ และจัดส่งเรือบรรทุกเมล็ดพันธุ์พืชและอาหารจำนวนมากไปเลี้ยงดูชาวโปแลนด์ที่กำลังอดอยากและหิวโหยอย่างรวดเร็ว และสามารถพลิกสถานการณ์ภัยพิบัติได้ในเวลาอันสั้น

หายนะจากความอดอยากขาดแคลนของโปแลนด์จึงผ่านพ้นไป และนายกรัฐมนตรี Paderewski รู้สึกโล่งใจและตัดสินใจที่จะเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปพบกับ HOOVER เพื่อขอบคุณเป็นการส่วนตัว เมื่อพบกันแล้ว นายกรัฐมนตรี Paderewski ก็เริ่มขอบคุณสำหรับความเมตตาอันสูงส่ง แต่ Hoover ก็รีบแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมเลย ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านอาจจำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เมื่อหลายปีก่อนท่านได้ช่วยนักศึกษาสองคนให้สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนในขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัยได้ และผมเป็นหนึ่งในสองคนนั้น”

…ทำดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน...

เงินกู้เงินออนไลน์ มาแรง!! จับกระแส P2P Lending สินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคล ทางเลือกใหม่ ‘ผู้ประกอบการ - นักลงทุน’ ในโลกการเงินยุคดิจิทัล

ความก้าวหน้าของธุรกิจ FinTech ในประเทศไทย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกรรมสินเชื่อ ที่จากเดิมผู้ประกอบการจะต้องไปยื่นขอกู้ยืมสินเชื่อจากธนาคาร ก็สามารถจัดหาเงินจากนักลงทุนหรือผู้ให้กู้ยืมได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์มทางการเงินทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจับคู่ (Matchmaker) ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือ P2P Lending (peer-to-peer lending) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยดอกเบี้ยต่ำลง สะดวกรวดเร็วในการอนุมัติรายการ ลดต้นทุนในการดำเนินการ และในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยที่มีเงินน้อยก็สามารถเลือกลงทุนและรับผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ภายใต้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประกอบธุรกิจและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer Lending Platform) ที่ถูกบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุให้ผู้กู้ P2P Lending ต้องเป็นบุคคลธรรมดา ที่มีวัตถุประสงค์ในการกู้เพื่ออุปโภคบริโภค สามารถยื่นขอกู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 1.5 - 5 เท่าของรายได้ หรือเพื่อประกอบธุรกิจ ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท

ส่วนผู้ให้กู้อาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ในส่วนของผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนได้ไม่เกินรายละ 500,000 บาทต่อปี หรือผู้ลงทุนสถาบันสามารถลงทุนได้ไม่จำกัดจำนวนเงิน มีเพดานดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี บวกด้วยค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้แพลตฟอร์ม (ถ้ามี)

ทั้งนี้ตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ธปท. อนุญาตให้มีการทดสอบระบบสินเชื่อออนไลน์ระหว่างบุคคลในวงจำกัดภายใต้ Regulatory Sandbox ขึ้นใน 3 บริษัทผู้ให้บริการ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงและดูแลผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม จากนั้นจึงจะสามารถยื่นขอใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังเพื่อประกอบธุรกิจในวงกว้างต่อไป

โดย 3 บริษัทผู้ให้บริการดังกล่าว ประกอบด้วย บริษัท ดีพสปาร์คส์ เพียร์ เลนดิ้ง จำกัด (https://www.deepsparkspeerlending.ai/) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน LoanDD บริษัท เนสท์ติฟลาย จำกัด (https://www.nestifly.com) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน Share Loan by NestiFly และบริษัท เพียร์ พาวเวอร์ แพลตฟอร์ม จํากัด (https://www.peerpower.co.th) ดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน Peerpower

จากความสำเร็จของฟินเทคสตาร์ทอัพในธุรกิจ P2P lending ทั่วโลก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ในปี 2564 นี้ จะเกิดกระแส P2P lending ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ SMEs ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สะดวกรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ และในกลุ่มนักลงทุนรายย่อย

แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของสินเชื่อ P2P lending ที่ผู้กู้ยังคงต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตน และผู้ให้กู้จะต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงสืบเนื่องจากการลงทุนที่จะไม่ได้รับการชำระหนี้จากผู้กู้ที่ผิดนัดชำระ และไม่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนเงินได้ก่อนสัญญาครบกำหนดนั้น อาจเป็นเป็นข้อจำกัดของการขยายตัวของ P2P lending ได้ในคราวเดียวกัน


ที่มา: เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th)

ศาสตร์แห่งแผ่นดินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สู่ การพัฒนาบัณฑิตในยุค Disruptive

กลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยมุ่งสู่ Thailand 4.0 ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติระยาว 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) และแผนการศึกษาแห่งชาติ (2560 - 2579) ต่างก็ให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน

เนื่องจากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยที่สำคัญในการนำพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีเป้าหมายของคุณลักษณะของคนไทย 4.0 ต้องเป็นคนไทยที่มีความรู้ มีทักษะและความสามารถสูง มีจิตสาธารณะรับผิดชอบต่อสังคม เป็นคนไทยที่เท่าทันดิจิทัล และเป็นคนไทยที่มีความเป็นสากล

ซึ่งการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม การพัฒนาและรักษากลุ่มผู้มีความสามารถสูง ที่เน้นเรื่องของคุณภาพการศึกษา และการศึกษาทุกช่วงวัย สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศที่เป็นรูปธรรม อันประกอบด้วย การสร้างพลเมืองเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน การปฏิรูปการจัดทำหลักสูตร การปฏิรูปอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา การปฏิรูปกระบวนการและวิธีการจัดการเรียนรู้ การปฏิรูปการวิจัย การกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการส่งเสริมการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา อันเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้แบบพลิกโฉม

ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเข้มแข็งของสังคม ความสมดุลของสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหาร จากปัญหาในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา รวมถึงการกำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ตามแนวคิด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตบัณฑิต โดยจะต้องมีการพัฒนาหลักสูตรที่มีความทันสมัย มีการบูรณาการการเรียนการสอนที่หลากหลายศาสตร์

รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องบูรณาการการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ยุคโลกาภิวัฒน์ และยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อันจะนำไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 21 ที่จะสามารถผลิตบัณฑิตที่มีทักษะและความพร้อมในหลากหลายด้านเพื่อการประกอบอาชีพยุคใหม่ การสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะ ตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย ซึ่งประกอบด้วย การปฏิรูปการจัดทำหลักสูตร การปฏิรูปอาจารย์ การปฏิรูปกระบวนการและวิธีการจัดการเรียนรู้ การปฏิรูปการวิจัย การส่งเสริมการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา และการกระจายโอกาสทางการศึกษา ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ

หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาศาสตร์แห่งแผ่นดินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหลักสูตรหนึ่ง ที่มีความยึดหยุ่นต่อการจัดการศึกษา นอกจากจะเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาตรี ซึ่งผู้เรียนต้องเรียนครบถ้วนตามที่กำหนดในหลักสูตรแล้ว ยังได้มีการออกแบบการเรียนการสอนเป็นแบบชุดวิชา (module) ซึ่งเป็นการเรียนระยะสั้นใช้เวลา 1 ภาคการศึกษา (4 เดือน) ในแต่ละชุดวิชามีลักษณะเป็นวิชาชีพที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง เทียบเท่ากับ 20 หน่วยกิต ผู้เรียนจะได้รับประกาศนียบัตรในชุดวิชาที่เลือกเรียน และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ (start-up) ได้

เนื่องจากการเรียนการสอนในแต่ละชุดวิชาเน้นการปฏิบัติจริงในพื้นที่และการปฏิบัติร่วมกับสถานประกอบการการ (work integrated learning) รวมถึงการนำระบบเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อนำไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ หลักสูตรในระดับประกาศนียบัตรนี้เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างคนไทย 4.0 ซึ่งจะนำไปสู่การ Re-skill & Up-skill และการสร้าง New Skill ใหม่ ให้กับผู้เรียนได้ อันจะเป็นอาชีพได้ ซึ่งจะนำเสนอการเรียนรู้แบบบูรณาการเพื่อการพัฒนาคน ในรูปแบบ Non Degree สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ต่อไป


ที่มา : https://sis.ku.ac.th/

'ตัดหนี้​ -​ ต่ออนาคต'​ 'ตารางชีวิต'​ เรื่องใหญ่ที่ต้องเริ่มคิดในยุคโควิด

รู้สึกอับจนหนทางในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไหม?

ถ้าใครไม่เคย​ อาจเฉย​ๆ!!

แต่คนที่กำลังประสบอยู่​ นี่มันอาจเป็นอีกช่วงเลวร้ายของชีวิต

คนไม่น้อยต้องตกงาน หางานใหม่ก็ยาก แถมยังมีภาระข้างหลังตามมาอีกเพียบ ไหนจะหนี้บ้าน หนี้รถ และอีกสารพัดหนี้​ เรียกว่างานไม่มี เงินไม่มา​ รอเวลาพาหมดตัว​ เครียดวุ้ย!!

…แล้ววิธีแก้ความอับจนต่อปัญหาแบบไหนที่เหมาะสุดในตอนนี้?

ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าใจเรื่องการเงิน หรือโชคดีได้เรียนรู้เรื่องการเงินในระดับหนึ่งจะรับรู้ได้เลยว่าวิกฤติโควิด-19 มันรุนแรงกว่าวิกฤติปี 40 อย่างมาก เพราะมันเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ หรือวิกฤติสุขภาพที่ไปทับซ้อนกับวิกฤติของการเงิน

ความยากของมันเป็นเรื่องของ ‘ความไม่ชัดเจน’ อย่างปี 40 เรารู้ว่าธุรกิจใหญ่ๆ ล้ม เศรษฐีลำบาก แต่คนทั่วไปยังออกไปทำมาหากินได้

กลับกันตอนนี้ โควิด-19 มันทำให้คนกลาง-ล่างขยับตัวยาก​ หลายคนต้องหยุดทุกเรื่อง เศรษฐกิจของฐานนี้ชะงัก​ โดยที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อไรด้วย!!

เมื่อมันไม่มีความชัดเจนอะไรเลย 'ทางรอด'​ ของคนทั่วไปแบบหาเช้ากินค่ำ​ มันเลยแคบลง​ แคบลง​ และแคบลง

แต่เอาจริงๆ​ ทุกปัญหาล้วนมีไว้ให้แก้​ อยู่ที่มองออกว่าควรแก้ด้วยวิธีหรือเหตุผลใดแค่นั้น??

ผมเคยคุยกับพี่หนุ่ม ‘จักรพงษ์ เมษพันธุ์’ แห่ง The Money Coach ซึ่งพี่เขาเป็นโค้ชการเงินสายอินดี้ที่เอาหลักชีวิตมาแชร์​ และในช่วงโควิด-19 ระบาดแรงๆ​ พี่เขาก็แนะนำทางรอดในช่วงวิกฤติไว้ได้น่าสนใจมาก

เขาบอกให้คนที่กำลังลำบาก​ เงินหดหาย​ หนี้กระจาย​ ลอง​ 'กางตารางชีวิต'​ ออกมาก่อน และเริ่มต้นที่วางแผนจัดการเงินของตัวเองใหม่​ สัก 6​ เดือนต่อจากนี้​ (จะมากกว่านี้ก็ยิ่งดี)​

เฮ้ย!! ฟังดูแปลก​ๆ​ ทำไมไม่สอนวิธีให้หาเงินเพิ่มหว่า??

ที่เป็นแบบนั้น​ เพราะคนที่เจอวิกฤติ​ มักจะคิดไม่ออกว่า​ จะหาเงินเพิ่มยังไง​ มันจะมืดแปดด้าน​ แล้วยิ่งสถานการณ์แบบนี้ด้วยยิ่งโคตรยากเข้าไปใหญ่

ฉะนั้นต้องดึงสติให้กลับมามอง​ 'ความจริง'​ แทนว่า​ ในวันที่เงินเริ่มร่อยหรอ​ เราต้องใช้ชีวิตต่อแบบไหนในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้…เราต้องมีค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละวันยังไงบ้างจากเงินที่เหลืออยู่​ อันนี้แหละโคตรสำคัญ!!

ยกตัวอย่าง หากเรามีค่ากินอยู่ที่วันละ 200 บาท เดือนนึงก็ต้องเก็บไว้เฉพาะค่ากิน 6,000 บาท ทำแบบนี้ไปยาวๆ​ ใน​ 6​ เดือนข้างหน้า

โดยส่วนตัวแล้ว​ พี่หนุ่มอยากให้เน้นที่ค่ากินอยู่ไว้ก่อน เพราะประสบการณ์ปี 40 บอกเขาว่า ถ้าท้องมันว่าง มันจะทำอะไรต่อไม่ได้ (เรื่องนี้จริง)​

ทีนี้ก็อาจจะมีบางคนมองว่า 'ค่ากินอยู่'​ มันพอจัดการไหว​ แต่ถ้ามีหนี้ติดตัว จะทำยังไง?

สั้นๆ​ เลยครับ​ 'ตัด'​ มันไปเลย!!

สถานการณ์แบบนี้​ สิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต ต้องตัดออกให้หมด​ เช่น ถ้ามีรถต้องผ่อน​ ขายได้ขาย​ เพราะมันคือภาระ!! กลับมาใช้วิธีเดินทางสาธารณะบ้าง​ อย่าได้อาย!!

ถ้าบ้านของคุณพอจะมีมูลค่า​มหาศาลระดับหนึ่ง การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเก็บไว้ในมือตอนนี้​ ทำมันซะ!! แล้วหาที่อยู่ใหม่ที่อาจจะไม่ดูดีเหมือนเก่า​ แต่เราอยู่กันได้​ ก็ลองซะหน่อย!!

ส่วนบางคนอยู่บ้านเช่า​ นาทีนี้ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ก็ไปยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แล้วบอกไปตรงๆ เลยว่าเดือนนี้ไม่มีจริงๆ

ถ้าติดหนี้บ้าน หนี้รถ ก็เดินตรงเข้าไปสาขาธนาคารแล้วบอกว่า​ ขอให้ช่วยผ่อนผันหน่อย จะหยุดส่งต้น ส่งดอก กี่เดือนก็ว่าไป หรือจะลดวงเงินผ่อน ลดดอกเบี้ยก็เจรจาเลย

นาทีนี้ทำได้ เชื่อสิ!! แต่ถ้าไม่พูด ก็ต้องทำตามระเบียบ และถ้าทำไม่ได้ แบบนี้แหละจะเสียเครดิต

ถ้าเป็นการออมเงินฝากที่ส่งอยู่ประจำ หรือ ซื้อหุ้นไว้เดือนละเท่าไร ตอนนี้ตัดได้ตัดก่อน เพราะเชื่อเถอะว่าโอกาสเดือดร้อนในอนาคตข้างหน้ามีสูง​ เอาเงินมาใช้เพื่อวันนี้ก่อน

หรืออย่างประกันเนี่ยะ คลาสสิคเลย เพราะบางคนกลัวขาดประกัน แต่จริงๆ แล้วตอนนี้หลายๆ บริษัทเขาให้เราไปเจรจาเพื่อผ่อนปรนได้หมด เช่น ถ้าใครถึงงวดที่จะต้องจ่ายแล้วไม่มีเงินจ่าย ก็ไปบอกเขา เขาให้เลื่อนไป 120 วันหรือ 90 วัน โดยความคุ้มครองยังเหมือนเดิม

ทั้งหมดทั้งมวล มันคือการ​ 'ตัด​เพื่อต่ออนาคต'​ ที่โฟกัสกลับมาสู่ปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิต อันนี้สำคัญจริงๆ​ นะ

แต่ก็อย่างที่บอก​ การที่เราจะรู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิตต่อจากนี้​ได้นั้น​ มันต้องกางตารางชีวิตออกมาก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าอนาคตต่อจากนี้​ ต้องใช้เงินหรือหาเงินไว้เท่าไร ซึ่งมันอาจจะดึงมาจากเงินเดือน เงินเก็บ เงินจากการขายสินทรัพย์​ หรือคนที่ตกงาน ก็ดึงจากเงินค่าชดเชยตกงานของบริษัท เงินชดเชยจากประกันสังคม หรือเงินเยียวยาจากภาครัฐก็ได้ทั้งนั้น

นาทีนี้ ใครที่กำลัง ‘อับจนหนทาง’ ต้องหายใจลึกๆ มีสติเข้าไว้ แล้วไปหาสมุดหรือกระดาษมากาง จากนั้นมาลองไล่จดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าติดฝาบ้านไว้เลย อย่าใช้สมองจำ เพราะสมองคนเราในยามเจอวิกฤติชีวิต มันจะจำไม่ได้ทุกเรื่อง

ใครจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ก็ตามแต่วิจารณญาณ แต่ส่วนตัวผมอยากให้ลองทำ เพราะต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าภาวะโรคระบาดเนี่ยถ้าเทียบความรุนแรง ก็เป็นรองเพียงแค่สงครามเท่านั้นเองนะขอรับ…

และนั่นก็จะทำให้เราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเก่าก่อนอีกนานพอดู...

ภาวะโลกร้อนกับการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือสายใหม่ของจีน

พูดถึงมหาสมุทรอาร์กติกหลายท่านอาจไม่คุ้นว่าอยู่แถวไหน แต่หากบอกว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของหมีขาวและเต็มไปด้วยน้ำแข็งก็น่าจะพอคุ้นกันบ้าง

มหาสมุทรแห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาสมุทรที่เล็กที่สุดและอยู่เหนือสุดของโลก ด้วยความหนาวเย็นจึงทำให้บางส่วนเป็นน้ำแข็งตลอดปี และเป็นน้ำแข็งเกือบทั้งหมดในช่วงหน้าหนาว นอกจากนั้นยังเชื่อมทวีปเอเชียกับยุโรปด้วยเส้นทาง Northern Sea Route

Northern Sea Route คือ เส้นทางเดินเรือที่เริ่มจากรัสเซียฝั่งตะวันออกที่อยู่ในเอเชีย แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือเข้าสู่มหาสมุทรอาร์กติก เลาะริมชายฝั่งของรัสเซียจนถึงฝั่งตะวันตกที่อยู่ในทวีปยุโรป เส้นทางเดินเรือนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1872 แต่เพราะทะเลเป็นน้ำแข็ง จึงแล่นเรือได้เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน และต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งแล่นนำทาง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือในเส้นทางนี้สูงและไม่สะดวกเมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น

แต่จากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายมากขึ้น จนในปี 2017 เรือบรรทุกแก๊สของรัสเซียสามารถเดินเรือผ่านเส้นทางนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรือตัดนำแข็งนำขบวน

จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้จีนเห็นโอกาสในการขยายเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่จึงประกาศในปี 2018 ว่าจะบุกเบิกเส้นทางสายไหมขั้วโลก (Polar silk road) เพราะหากใช้เส้นทางเดินเรือนี้จะประหยัดระยะเวลาเดินทางจากจีนไปยังท่าเรือรอตเตอร์ดาม ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เป็นแหล่งกระจายสินค้าที่สำคัญของยุโรปได้ถึง 30 - 40%

นอกเหนือจากเส้นทางการค้าใหม่แล้วจีนยังเข้าถึงแหล่งพลังงานที่สำคัญนั้นก็คือแก๊สธรรมชาติ โดยมีการถือหุ้นโครงการ Yamal ในประเทศรัสเซีย ผ่านทาง China National Petroleum Corp. (CNPC) จำนวน 20% และกองทุน China’s Silk Road อีก 9.9% ซึ่งบริเวณที่ตั้งของโครงการ Yamal นั้น คาดการณ์ว่ามีแก๊สธรรมชาติอยู่ถึง 15% ของทั้งโลก และจีนเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ การพัฒนาเส้นทางเดินเรือนี้จึงส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สของจีน เมื่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สถูกลงก็ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าภายในประเทศ

นอกจากนั้นจีนยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยและเทคโนโลยี โดยสถาบันอวกาศและเทคโนโลยีของจีนร่วมมือกับมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็นได้ส่งดาวเทียมสำรวจขึ้นไปบริเวณนี้เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงสภาพของน้ำแข็งและส่งข้อมูลกลับมาเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเดินเรือ

จากเรื่องนี้เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานว่าจะใช้ในการขนอะไร และจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศอย่างไร รวมถึงยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยเพื่อนำผลที่ได้มาใช้ในภาคธุรกิจ แล้วคงต้องถามกลับว่าโครงการก่อสร้างพื้นฐานหลายโครงการในไทยมีแผนการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติชัดเจนแบบนี้หรือไม่

‘ความกตัญญู’ เป็นคุณธรรมข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวจีน เป็นหลักปฏิบัติที่มีบทบาทสำคัญในการ ‘สร้างคนจีน’ และ ‘สร้างชาติจีน’ จนกลายเป็นชาติที่กำลังจะก้าวเข้าสู่บทบาทการเป็นอภิมหาอำนาจของโลกยุคใหม่อย่างไร ?....

‘ความกตัญญู’ เป็นคุณธรรมข้อที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวจีน เป็นหลักปฏิบัติที่มีบทบาทสำคัญในการ ‘สร้างคนจีน’ และ ‘สร้างชาติจีน’ จนกลายเป็นชาติที่กำลังจะก้าวเข้าสู่บทบาทการเป็นอภิมหาอำนาจของโลกยุคใหม่อย่างไร ?....

การสร้างชาติ (Nation Building) หรือการสร้างรัฐ (State Building) คือกระบวนการสถาปนากฎระเบียบการปกครองโดยมีศูนย์กลางอำนาจ อันได้แก่รัฐบาลกลางซึ่งเป็นหน่วยการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตของรัฐชาติ มีอำนาจในการปกครองอาณาเขตและดูแลความเรียบร้อยของประชากรภายใต้กฎเกณฑ์ที่บัญญัติขึ้นโดยผู้มีอำนาจ รวมถึงสร้างระบบจัดเก็บภาษี และดำเนินนโยบายในการบริหารประเทศ

แต่การสร้างชาติที่ผมจะนำมาเล่าในบทความนี้ไม่ใช่การสร้างชาติในเชิงหลักการแบบรัฐศาสตร์จ๋า ๆ หรอกครับ แต่จะพูดถึงการสร้างชาติในที่แง่ของ ‘การสร้างคนในชาติ’ หรือการสร้างมาตรฐานให้กับ ‘ประชากร’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่องค์ประกอบหลักของรัฐชาติ (ประชากร ดินแดน รัฐบาล อำนาจอธิปไตย) เพื่อให้ประชากรในชาติมีความแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการทำงานหนัก รวมถึงทำให้เกิดความรักใคร่สามัคคีกันระหว่างคนในชาติ ด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันเป็นทั้งวิถีปฏิบัติและอัตลักษณ์ที่บ่งลักษณะและตัวตนของแต่ละชาติ

สำหรับวัฒนธรรมและระบบจารีตของประเทศจีนในปัจจุบันนั้น หลักๆ แล้วจะยึดตามแนวคิดปรัชญาขงจื๊อที่ว่าด้วย ‘ทฤษฎีการปกครองประเทศให้มีความสงบสุข ทุกคนในชาติเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน’ โดยเนื้อหาสำคัญของปรัชญาขงจื๊อที่ชาวจีนยึดถือในปัจจุบันคือเรื่องคุณธรรมเช่น ความเมตตากรุณา ความกตัญญู ขนบจารีตประเพณี ความยุติธรรม และความซื่อสัตย์ ฯลฯ

โดยคุณธรรมข้อที่ชาวจีนให้ความสำคัญที่สุดคือ ‘ความกตัญญู’ ดังภาษิตจีนที่ว่า

“百善孝为先 - ไป๋ ซ่าน หลี่ เหวย เซียน”

“อันร้อยพันคุณธรรมทั้งปวง ความกตัญญูคืออันดับแรก”

เพราะความกตัญญูคือคุณธรรมที่เป็นรากฐานค้ำจุนประเทศ หากขุนนางกตัญญูต่อจักรพรรดิที่กตัญญูต่อแผ่นดิน เช่นเดียวกับทหารที่จงรักภักดีต่อแม่ทัพ ประหนึ่งบุตรที่กตัญญูต่อบิดามารดา ประเทศชาติย่อมเปี่ยมไปด้วยความสงบสุข สันติ และมั่นคง ซึ่งก็จะวนมาสอดคล้องกับแนวคิดขงจื๊อที่ว่า “ทุกคนในชาติเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน”

หากเข้าใจตรงกันตามนี้ก็คงจะไม่แปลกใจหรอกครับ ที่คนจีนแผ่นดินใหญ่ก็ดี จีนโพ้นทะเลก็ดี จะให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันเป็นตระกูล การใช้แซ่ (สกุล) นำหน้าชื่อเสมอ รวมถึงเผากระดาษหรือทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษทุกครั้งที่ถึงวันตรุษจีน สารทจีน และเทศกาลเชงเม้ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณธรรมความกตัญญูในจีนเคยถูกด้อยค่าลงในยุค ‘ปฏิวัติวัฒนธรรม’ ในช่วงปีค.ศ.1966 - 1976 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงเวลาสิบปีที่สายสัมพันธ์ในครอบครัวชาวจีนเกิดความร้าวฉานมากที่สุด ด้วยแนวคิดปฏิวัติแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ – เหมาอิสต์ ที่เป็นกระแสแนวคิดใหม่ว่าด้วยสังคมอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน เยาวชนถูกส่งเสริมให้ตั้งคำถาม จับผิด ตัดสิน และลงโทษบุพการี หากบุพการียังคงยึดถือจารีตเก่าที่โบราณคร่ำครึในสายตาของลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นบรรยากาศที่ไร้ซึ่งความรัก ปราศจากซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างคนในครอบครัว

เมื่อยุคปฏิวัติผ่านพ้นไป คณะผู้บริหารชุดใหม่ขึ้นมาปกครองประเทศ เกิดการปฏิรูปเปิดประเทศ ภาครัฐดำเนินนโยบายค้าขายกับต่างประเทศเพื่อเพิ่มอัตราการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ และลดความเข้มงวดในการยึดหลักการสังคมนิยมซ้ายสุดโต่ง พร้อมทั้งนำศีลธรรมและจารีตเก่าบางประการกลับมาเป็นหลักปฏิบัติและเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของประชากรในช่วงเวลานั้น

ความกตัญญูถูกชุบชีวิตกลับขึ้นมาอีกครั้งผ่านการ Propaganda ด้วยคำโปรยผ่านสื่อ ไม่ว่าจะทางวิทยุก็ดี โทรทัศน์ก็ดี หรือแม้กระทั่งการนำคุณธรรมกตัญญูไปสร้างเป็นคอนเซปภาพยนตร์ เนื่องจากภาครัฐได้เล็งเห็นความสำคัญของคุณธรรมความกตัญญูว่าเป็น “แรงจูงใจ” ให้คนในชาติยึดถือคุณธรรมข้ออื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อเรามีจิตคิดกตัญญู เราจะขยันหมั่นเพียรทำงานหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงดูและตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ จะไม่กระทำการทุจริตใด ๆ ที่จะเป็นการบ่อนทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล กลับกัน เราจะอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์สุจริต เพื่อแสดงให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อแม่ของเราอบรมบ่มเพาะเรามาเป็นอย่างดี สำหรับเยาวชนก็จะตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำเพื่อทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ

ซึ่งหากมองในมุมนักปกครอง ถ้าคนส่วนใหญ่ในชาติตั้งใจทำมาหากิน ตั้งใจเรียน ตั้งใจค้าขาย และตั้งใจบริหารกิจการ มันจะไม่ได้แค่หาเงินตอบแทนคุณหรือทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ แต่มันยังจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลผลิตมวลรวมให้กับประเทศอีกด้วย ข้อนี้สิครับ ประโยชน์ที่แท้จริงของความกตัญญู ฮ่าฮ่า....

พอจะมองออกบ้างแล้วใช่ไหมครับ ว่าคุณธรรมความกตัญญูมีส่วนในการสร้างคน และสร้างชาติจีนขึ้นมาอย่างไร

จนเมื่อเดือนมกราคมปี ค.ศ.2013 คุณธรรมความกตัญญูในจีนได้ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น โดยสภาประชาชนได้ประกาศใช้ ‘กฎหมายกตัญญู’ (李道法 - หลี่เต้าฝ่า) ว่าด้วยข้อบังคับสำหรับสมาชิกครอบครัวที่อาศัยอยู่ห่างจากบ้านเกิดที่มีผู้สูงอายุ ต้องเดินทางกลับบ้านมาเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอ บริษัทและองค์กรต่างๆ ก็ต้องยินยอมให้พนักงานลางานกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่

ซึ่งข้อกฎหมายมิได้มีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนว่าต้องกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่ปีละกี่หน ไม่กำหนดแม้กระทั่งโทษทางอาญาหากผู้ใดฝ่าฝืน แต่การวินิจฉัยทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ซึ่งเคยเกิดกรณีที่คุณแม่วัยชราท่านหนึ่งได้ฟ้องร้องลูก ๆ ของตนเองด้วยข้อหาทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยอมกลับบ้านมาดูแลอยู่เป็นเวลาหลายปี คดีความสิ้นสุดลงด้วยคำพิพากษาให้ลูกๆ จ่ายค่าบำรุงรักษา และกลับบ้านมาดูแลคุณแม่วัยชราทุก ๆ 2 เดือน ลองคิดดูสิครับ ว่ามันจะน่าอับอายแค่ไหน ถ้าเพื่อนร่วมงานของเรารู้ว่าเราถูกแม่ตัวเองฟ้องร้องในข้อหา ‘ทอดทิ้งมารดาให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว’

หากมองเผิน ๆ อาจรู้สึกว่า ‘กฎหมายกตัญญู’ ช่างเป็นกฎหมายที่พิลึกพิลั่น แต่จริงๆ กฎหมายข้อนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของรัฐบาลจีนในการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งในมิติสุขภาพจิต มิติเศรษฐกิจ และมิติสังคม ที่หลังจากประกาศใช้ก็เกิดกระแสการกลับบ้านไปหาพ่อแม่ในเทศกาลวันหยุด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่นานภาครัฐยังเพิ่งให้รางวัลและส่งเสริมให้คนทำงานล่วงเวลาในวันหยุด เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด แต่ทุกวันนี้เมื่อถึงช่วงเวลาก่อนจะเข้าสู่วันหยุดยาว สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวชาวจีนคือการวางแผนเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัว

ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ “ความกตัญญู” อันมีส่วนไม่มากก็น้อยในการสร้างชาติจีนให้เกิดความสันติสุข มั่นคง และก้าวหน้า เป็นจารีตข้อสำคัญที่สุดที่ชาวจีนยังคงยึดถือมาจวบจนปัจจุบัน

ในวันที่จีนกำลังขยายฐานเศรษฐกิจ การค้าขาย และการเมืองจนกำลังจะขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจในโลกยุคใหม่ คนจีนยังคงกตัญญู

น้ำมะพร้าวกินแล้วดุ

สวัสดีครับ วันนี้พบกันเป็นครั้งแรก สำหรับการเขียนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ใกล้ตัว ท่ามกลางกระแสของข่าวสาร และเรื่องราวต่าง ๆ ที่วิทยาศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทในการไขข้อปัญหา หรือตอบคำถามเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เราพบเจอได้ ซึ่งผู้เขียนก็จะพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวเหล่านี้เรื่อย ๆ ครับ

ในตอนนี้เราเริ่มจะคุ้นเคยและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New normal) กับโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 หลังจากที่เราอยู่กับมันมาปีกว่า และคาดว่าอีกไม่เกิน 2 - 3 เดือนข้างหน้า คนไทยคงได้ฉีดวัคซีนกันอย่างถ้วนหน้าครับ

ในเดือนแห่งความรัก “กุมภาพันธ์” มีกระแสข่าวหนึ่งที่ร้อนแรงขึ้นมา กลายเป็นกระแสท่ามกลางความเครียดเนื่องจากการใช้ชีวิตในยุควิถีใหม่ นั่นก็คือกระแสการดื่มน้ำมะพร้าวทำให้มีความต้องการทางเพศสูงหรือฟิตมาก

ทั้งนี้มีที่มาที่ไปจากการที่คุณป้าท่านหนึ่ง ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเพื่อขอเลิกกับคุณลุง ซึ่งเป็นสามีวัย 64 ปี เนื่องจากทนไม่ไหว เพราะคุณลุงขอมีอะไรด้วยบ่อย หรือว่าดุมาก (ดุเป็นภาษาฮิตในโซเชียลมีเดียที่แสดงว่ามีความคึกคะนองต่อเพศตรงข้าม) ถึงวันละ 3 – 4 รอบ จนคุณป้าทนไม่ไหวต้องมาแจ้งความขอเลิก โดยมีสาเหตุมาจากการที่คุณลุงดื่มน้ำมะพร้าวบ่อยทำให้มีความต้องการสูง

จากกรณีข่าวดังกล่าวนับว่าเป็นข่าวที่ติดกระแสในโซเชียลมีเดีย อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำมะพร้าว หรือแม้กระทั่งผลของมะพร้าวที่ขายในตลาด ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว ซี่งถ้ามองในแง่ของกระแสการทำการตลาดของน้ำมะพร้าวนี้ นับว่าคุณลุงมาช่วยในการทำการตลาดให้กับน้ำมะพร้าวให้มีความคึกคักขึ้นมาทันทีทันใด ท่ามกลางกระแสความเครียดของคนไทยในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ทีนี้เรามาดูตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ กันบ้างครับว่า น้ำมะพร้าวเมื่อดื่มแล้วทำให้คึก หรือมีความฟิตปั๋งตามที่คุณลุงเข้าใจจริงหรือเปล่า?

มะพร้าวเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cocos nucifera L. สามารถปลูกได้ในทุกภาคของไทย แต่ส่วนใหญ่จะปลูกมากแถวภาคใต้ คนไทยรู้จักน้ำมะพร้าวดี โดยเฉพาะการใช้น้ำมะพร้าวในการล้างหน้าคนตายก่อนที่จะมีพิธีการฌาปนกิจ ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อกันว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ มีความสะอาด เพราะอยู่บนต้นที่สูง และมีกะลาในการห่อหุ้มและกักเก็บน้ำ เมื่อนำมาล้างหน้าให้กับผู้ตายจะเป็นการชำระสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวผู้ตาย

นอกจากนั้นน้ำมะพร้าวยังเป็นเครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยกันดี เมื่อดื่มแล้วจะทำให้มีความสดชื่น โดยส่วนประกอบของน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรา มากมาย เช่น เหล็ก โพแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โซเดี่ยม เป็นต้น

จากองค์ประกอบของแร่ธาตุเหล่านี้ ทำให้น้ำมะพร้าวเปรียบเสมือนกับเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้เรารู้สึกมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่านั่นเอง

ในทางการแพทย์ยังพบว่าน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีในเพศหญิงสูง เมื่อดื่มเป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลังสวยงาม

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ระบุถึงข้อดีของน้ำมะพร้าว คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และยังช่วยชะลอการเกิดอัลไซเมอร์ในวัยชราได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่บอกได้ว่าการดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดีขึ้น ตามที่คุณลุงเข้าใจ ถึงกระนั้นผู้เขียนก็สันนิษฐานว่า จากคุณสมบัติของน้ำมะพร้าวที่มีส่วนประกอบตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังชนิดหนึ่ง

เมื่อคุณลุงดื่มบ่อย ๆ จึงอาจส่งผลให้มีความฟิตปั๋ง ทำให้มีความต้องการ ‘ดุ’ ตามไปด้วยนั่นเองครับ

เวียดนามแซงหน้าไทยในหลายดัชนี ทั้งการส่งออก #Export ทุนต่างชาติไหลเข้า #FDI (แม้ไทยยังคงมี GDP และ GDP per capita สูงกว่าเวียดนาม)

ในขณะนี้ เวียดนามแซงหน้าไทยในหลายดัชนี ทั้งการส่งออก #Export ทุนต่างชาติไหลเข้า #FDI (แม้ไทยยังคงมี GDP และ GDP per capita สูงกว่าเวียดนาม) ล่าสุด “อังค์ถัด” เผยไทยถดถอยใน global supply chain ขาดความน่าสนใจลงทุน ในขณะที่ #นวัตกรรมเวียดนาม เป็นรองแค่ สิงคโปร์ -มาเลเซีย

#จุดแข็งเวียดนาม คนเวียดนามขยัน / เรียนรู้ / ปรับตัว / ไม่ทำตัวเป็นกบต้ม และมีการเมืองนิ่ง มีกลไกรัฐที่เข้มแข็ง และจริงจังจะเป็นปัจจัยเอื้อในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้วิ่งฉิวได้

เหรียญมี 2 ด้าน #เวียดนามยังมีจุดอ่อนในหลายด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ยังครอบคลุมไม่ทั่วทั้งประเทศ แต่เวียดนามไม่มัวแต่ชะล่าใจ ยอมรับปัญหา/เร่งพัฒนา เพื่อขจัดจุดอ่อนตัวเอง

เวียดนามมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน ประเทศจะไปทางไหน จนตอนนี้กลายเป็นฐานผลิต Smart Phone อันดับต้นของโลก

เวียดนามมีแบรนด์รถที่ผลิตเองแล้ว #Vinfast และมี Startup ระดับ Unicorn #VNG แต่ไทยยังไม่มีสักอย่าง

เวียดนามมีดัชนีด้านนวัตกรรม Global Innovation Index (GII) ที่แซงหน้าไทย และดัชนี Pisa ชนะไทยมาตั้งแต่ปี 2015 แล้วด้วย

เวียดนาม กลายเป็นคู่ค้าหลักของจีนที่ขยายตัวเร็วมากในยุคสีจิ้นผิง จึงดันให้สถิติอาเซียนทั้งกลุ่ม (10 ประเทศ) ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนในปี 2020 (แซงอียูและสหรัฐ)

ยุคนี้ เวียดนาม "อยู่เป็น" ในความสัมพันธ์กับจีน เวียดนามเน้นก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งกับจีน (พักปัญหาเอาไว้ก่อน) หันมาเน้นทำมาหากิน สร้างบ้านสร้างเมือง #ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต้องมาก่อน ต้องแข็งแกร่งให้ได้ก่อน เวียดนามฉลาดในการ #แปลงจีนให้เป็นโอกาส ด้วยจ้า

เวียดนามมียุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งทำ Digitalization เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 20% ของจีดีพีเวียดนาม ภายในปี 2025

ถ้าสนใจอ่านความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม คลิกอ่านบทความนี้ของ อ.ษร ได้เลย “ไหนว่าไม่รักกัน : ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม” https://www.the101.world/china-and-vietnam/

#ข้อได้เปรียบเวียดนาม ด้าน FDI มีอย่างน้อย 4 เรื่อง เช่น

1) โครงสร้างองค์กร จังหวัดมีกรม/กองที่ดูแลเรื่องการต่างประเทศและการส่งเสริมการลงทุนของตัวเองระดับหนึ่ง

2) กระทรวงการต่างประเทศเวียดนามมีกรมการต่างประเทศเพื่อจังหวัด ประสานส่งเสริมจังหวัดตามข้อ 1

3) USAID ร่วมกับ VCCI สำรวจ วิเคราะห์และรายงานผล Provincial Competitiveness Index มา 15 ปีแล้ว รวมทั้ง “ความโปร่งใส” และ “ความยากง่ายในการทำธุรกิจ”

4) คณะกรรมระดับชาติส่งเสริมเรื่องการใช้ประโยชน์จากคนเวียดนามโพ้นทะเล โดยเฉพาะและส่งเสริมมานานหลายสิบปีตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศลงมา

นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนาม ประกาศ #เเผนเศรษฐกิจ 5 ปี ฟื้นฟูประเทศจากพิษ COVID-19 ตั้งเป้าจีดีพีเติบโตสูงสุดถึง 7% เร่งพัฒนาให้เป็น ‘ศูนย์กลางใหม่’ ของการลงทุนเทคโนโลยีไฮเทค

*** ปัญหากบต้ม โดย Noel Tichy อธิบาย สภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น โดยคนทั่วไปไม่รู้ตัว /ชะล่าใจ จึงไม่ป้องกันตัวเองหรือปรับตัว เสมือนเป็นกบนอนแช่ในหม้อต้ม ตอนแรกสภาพน้ำเย็นสบาย ก็ชะล่าใจ แล้วพอน้ำค่อยๆ อุ่นขึ้น แทนที่กบจะกระโดดหนีกลับนอนแช่ทนต่อน้ำที่อุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นน้ำเดือด ในที่สุด จึงกลายเป็น “กบต้ม”ตายคาหม้อต้ม

             


อ่านเพิ่มเติมได้จาก

https://positioningmag.com/1317386?fbclid=IwAR2dtuk6qA3fMD4A-PCiMFoqP8ZhHXlRnLHEdg8qfN69TQDTSswMxRApGqw

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/923755

โดย ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

https://www.facebook.com/1037140385/posts/10222738872353895/

J&T Express Malaysia ออกประกาศแถลงการณ์ขอโทษ หลังพนักงานขนส่งก่อเหตุประท้วง ขว้างปาพัสดุของลูกค้าและไม่ยอมนำจ่ายในวันถัดมา เหตุไม่พอใจในเรื่องของผลตอบแทนโบนัส

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

พนักงานขนส่ง J&T Express Malaysia ก่อเหตุประท้วง

คลิป https://www.tiktok.com/@nonihassan7/video/6926033858936769793?is_copy_url=1&is_from_webapp=v2

วิดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแพร่สะพัดไปในโลกโซเชียลทั้ง Facebook, Tiktok และ Twitter ซึ่งมีผู้พบเห็นชายหลายคนแสดงอาการไม่พอใจ โยนพัสดุของลูกค้าอย่างไม่แยแส โดยในคลิปปรากฎภาพกองพัสดุเป็นภูเขาที่ถูกโยนกองรวมกันไว้ไม่ได้ทำการแยกจำแนกแจกจ่ายแต่อย่างใด

ภายหลังพบข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นศูนย์คัดแยกพัสดุของ J&T Express ในเขตเปรัค เหตุจากพนักงานเกิดความไม่พอใจในเรื่องของผลตอบแทนโบนัส จึงก่อเหตุรุนแรงขว้างปาพัสดุของลูกค้าและไม่ยอมนำจ่ายในวันถัดมา ทาง J&T Express Malaysia ได้ออกประกาศแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พร้อมกับปรากฎวิดีโอความยาว 57 วินาที พนักงานชายที่ก่อเหตุทั้ง 7 คนยืนเรียงแถวเพื่อแสดงการขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทาง J&T จะดำเนินการจัดส่งพัสดุให้กับลูกค้าโดยเร็วที่สุด ส่วนพัสดุที่เกิดความเสียหายหรือสูญหายทางบริษัทก็จะแสดงความรับผิดชอบตามขั้นตอนต่อไป

ทั้งนี้ทางบริษัท J&T ไม่ได้ระบุว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับพนักงานที่ก่อเหตุพวกนี้ แต่คงเดาได้ไม่ยาก ต้องชดใช้หัวโต ไม่ก็หางานใหม่เร็ว ๆ นี้แน่นอน!


Credit info news

https://www.nst.com.my/news/nation/2021/02/663924/seven-perak-jt-workers-apologise-violent-sorting-parcels

https://www.therakyatpost.com/2021/02/07/jt-express-protests-whats-going-on-how-to-claim-your-money-back/

Tiktok nonihassan7


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

ลูกน้ำ ทิดาลัด วงสิริ Miss Laos 2011 และนักแสดงชื่อดังของลาว สุดปลื้มได้รับรางวัล Lao Star Model Award 2020 เป็นคนแรกของลาว ในงาน Asia Model Festival 2020

“เป็นตาฮักหลาย” หากพูดด้วยสำเนียงแบบนี้ ก็รู้ทันทีว่าในกลุ่มประเทศอาเซียน วันนี้คอลัมน์เบิ่งข้ามโขงของเราจะกล่าวถึง สปป.ลาว แต่ที่น่าสนใจก็คือ วันนี้จะพาไปร่วมแสดงความยินดีกับ ลูกน้ำ ทิดาลัด วงสิริ Miss Laos 2011 และนักแสดงชื่อดังของลาว ที่สำคัญเคยข้ามฝั่งมาแสดงละครที่ประเทศไทย ในละครเรื่องดอกคูณเสียงแคน เนื่องด้วยเพราะเธอได้รับรางวัลส่งตรงมาจากเกาหลี

 

เจ้าตัวตกใจสุดขีด ถึงขั้นโพสต์ลงไอจีอย่างตื่นเต้นเป็นภาษาลาวว่า

ເຍ່ໃນທີ່ສຸດກາເດີນທາງມາຮອດ????????????????

???????? ຂອບໃຈຫລາຍໆເດີ້

ສຳຫລັບລາງວັນ Lao Star Model Award 2020 ສົ່ງມາໃຫ້ແຕ່ Korea ເລີຍ

 

ຂອບໃຈທີ່ເລືອກນ້ຳເປັນ ຄົນລາວຄົນທຳອິດ ທີ່ໄດ້ຮັບ

ລາງວັນນີ້ Asia Model Festival ເປັນລາງວັນແລກໃນຊີວິດເລີຍ

ດີໃຈເວີ້ໆໆໆໆ ກອດໆໆໆ

 

ຂອບໃຈ Steve Kang ແລະ ອ້າຍ ເຜັດ ລາວສະຕາຮ

ຂອບໃຈທີມງານທຸກໆຄົນ Bank Singhalath

ແລະ ຂອບໃຈຄອບຄົວນ້ຳ ແຟນຄັບ ແລະຄົນທີ່ຮັກນ້ຳທຸກໆຄົນ ????????????????????????????????

 

แปลเป็นไทยคือ

ลูกน้ำ ได้รับรางวัล Lao Star Model Award 2020 เป็นคนแรกของลาว

ในงาน Asia Model Festival 2020. ซึ่งประกาศผลเมื่อเดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา แต่เธอไม่ได้เดินทางไปรับรางวัล เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

#ModelStarAward

#ລູກນໍ້າທິດາລັດວົງສິຣິ

#ຊຸບຕຣາລາວ

 

ซึ่งงาน Asia Model Festival 2020 ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 15 แล้ว ถือเป็นเวทีนายแบบ-นางแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย และยังเป็นเวทีที่ผลักดันให้วงการแฟชันเติบโตและก้าวสู่ระดับโลกอีกด้วย ไม่ใช่แค่ฝั่งลาว ฝั่งไทยเรานักแสดงมากความสามารถของไทยก็ได้รับรางวัลเช่นกัน คือ พิม พิมประภา จากละครพรหมพิศวาส ก็ได้รับรางวัลนี้ด้วยเช่นกัน

คอลัมน์เบิ่งข้ามโขงขอแสดงความยินดีกับลูกน้ำอีกครั้งเพราะเธอได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับพี่น้องชาวลางจริงๆ แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังคงระบาดไปทั่วโลก รอบฝั่งแม่น้ำโขง ทั้งไทย ลาว ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด น่าเสียดายจริงๆ หากเป็นสถานการณ์ปกติก็คงจะได้เห็นสาวงามอย่างลูกน้ำ เชิดฉายในงาน Asia Model Festival 2020 แน่นอน คนอะไร ทั้งสวยทั้งเก่ง ทั้งมากความสามารถ ยกนิ้วให้เลย


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

‘สถานทูตจีน’ ประจำวอชิงตัน สวนเดือด หลังทำเนียบขาว ตั้งแง่ไม่เชื่อผลสืบสวนต้นตอโควิด-19 ของ WHO พร้อมเรียกร้องให้จีนเปิดเผยข้อมูลของวันแรก ๆ ในการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

เจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวระบุในถ้อยแถลงว่า มันจำเป็นที่รายงานต้องมีความเป็นอิสระและปราศจากการดัดแปลงแก้ไขจากรัฐบาลจีน สะท้อนความกังวลที่หยิบยกขึ้นมาโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งตัดสินใจถอนสหรัฐฯพ้นองค์การอนามัยโลกจากประเด็นดังกล่าว

ซุลลิแวน เน้นว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจอย่างรวดเร็วสำหรับนำสหรัฐฯกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลก แต่บอกว่าอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็จำเป็นต้องปกป้องความน่าเชื่อถือขององค์กรแห่งนี้เช่นกัน "การกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลก ยังหมายถึงความการยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสูงสุด" เขากล่าว "เราแสดงความกังวลใหญ่หลวงเกี่ยวกับแนวทางสื่อสารผลการสืบสวนโควิด-19ในเบื้องต้น และมีข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับกระบวนการที่ใช้สำหรับเข้าถึงผลการสืบสวน"

อย่างไรก็ตามทางโฆษกสถานทูตจีนประจำวอชิงตัน ตอบโต้กลับด้วยถ้อยแถลงที่ใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าว โดยบอกว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯคือผู้ทำลายความร่วมมือพหุภาคีและองค์การอนามัยโลก และไม่ควรมีหน้ามากล่าวโทษจีนและประเทศอื่นๆซึ่งสนับสนุนองค์การอนามัยโลกระหว่างวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่

โฆษกบอกว่าจีนยินดีที่สหรัฐฯตัดสินใจเข้าร่วมองค์การอนามัยโลกอีกครั้ง วอชิงตันควรให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานระดับสูงสุดของตนเองเอาไว้ แทนที่จะเล็งเป้าคอยเล่นงานประเทศอื่นๆ

เทดรอส แอดฮานอม เกรเบเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก เมื่อวันศุกร์(12ก.พ.) บอกว่าทุกสมมติฐานยังคงเปิดกว้างเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโควิด-19 หลังวอชิงตันบอกว่าต้องการทบทวนข้อมูลจากคณะทำงานที่นำโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งลงพื้นที่ในจีน ดินแดนที่พบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบหาแหล่งที่มาของไวรัส

คณะผู้เชี่ยวชาญที่นำโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งใช้เวลา 4 สัปดาห์ในจีน เพื่อตรวจสอบต้นกำเนิดของโควิด-19 ระบุเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว ว่าจะไม่ตรวจสอบเพิ่มเติมในข้อสงสัยที่ว่าไวรัสอาจหลุดจากห้องปฏิบัติการวิจัย เนื่องจากพวกเขามองว่ามันแทบไม่มีความเป็นไปได้เลย

ข้อสรุปดังกล่าวสวนทางกับคำกล่าวอ้างของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สงสัยว่าไวรัสอาจหลุดออกจากห้องปฏิบัติการวิจัยหนึ่งๆของจีน แต่ทางปักกิ่งปปฏิเสธอย่างหนักแน่น

จากข้อมูลของหนึ่งในทีมสืบสวน ระบุว่าจีนปฏิเสธให้ข้อมูลดิบเกี่ยวกับเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19รายต้นๆแก่คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกที่ตรวจสอบแหล่งต้นตอของโรคระบาดใหญ่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่มันจะก่อความยุ่งยากซับซ้อนในความพยายามเรียนรู้ทำความเข้าใจว่าโรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร

โดมินิก ดไวเยอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชาวออสเตรเลียและสมาชิกคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก บอกกับรอยเตอร์สว่า คณะทำงานได้ร้องขอข้อมูลดิบเคสผู้ติดเชื้อ 174 เคส ที่จีนพบในช่วงต้นๆของการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นในเดือนธันวาคม 2019 เช่นเดียวกับเคสอื่นๆ แต่ได้รับกลับมาเพียงแค่รายงานสรุปเท่านั้น

"มันจำเป็นที่รายงานนี้ต้องมีความเป็นอิสระ การค้นพบของผู้เชี่ยวชาญต้องปราศจากการแทรกแแซงหรือดัดแปลงแก้ไขจากรัฐบาลจีน" ซุลลิแวนกล่าว "เพื่อให้เข้าใจโรคระบาดใหญ่ได้ดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับโรคระบาดใหญ่โรคถัดไป จีนต้องเปิดทางให้เข้าถึงข้อมูลของพวกเขา ในวันแรกๆของการแพร่ระบาด"
 



ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000014600
https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-usa-china/china-fires-back-at-washington-after-it-raises-concerns-about-who-covid-report-idUSKBN2AE00H

วันวาเลนไทน์ปีนี้ ใครยังโสด! มาลองบอกรักด้วยขนมดูไหม ขนมอะไรบ้างที่น่าจะเอาไปให้เขาหรือเธอ ให้รู้กันไปเลยว่า I love you.

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

“วาเลนไทน์อีกปีเวียนบรรจบ ยังไม่พบประสบเจอเธอเลยหนา อันตัวเราเปล่าเปลี่ยวสุดพรรณนา อยากจะหาใครสักคนเป็นคู่ใจ” อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันของคนไม่โสดแล้ว ส่วนคนโสดก็คงจะไม่อยากถวิลหาวันนี้กันสักเท่าไรนะคะสำหรับวันวาเลนไทน์ ปีนี้ถ้าใครยังโสดมาลองบอกรักสาวรักหนุ่มกันด้วยขนมดูไหม ไปดูกันสิว่ามีขนมอะไรที่น่าจะเอาไปให้เขาหรือเธอให้รู้กันไปเลยว่า I love you.

1.) Chocolate แน่นอนว่า chocolate เป็นสัญลักษณ์คู่กับวันวาเลนไทน์ เป็นโอกาสเหมาะที่สาว ๆ หรือคนที่ขี้อายมาก ๆ จะแสดงความรักให้กับคนที่ตัวเองรักด้วยการมอบ chocolate ให้กับเขาหรือเธอ Chocolate กล่องสวย ๆ พร้อมการ์ดใบเล็ก ๆ บ่งบอกถึงความในใจก็ดูเป็นหนึ่งไอเดียที่ไม่เลวเหมือนกัน

2.) Red velvet cake, Strawberry, Cookies หรือขนมอบอะไรก็ได้ฝีมือเราเองแต่ขอแดง ๆ ไว้ก่อน ไม่ว่าหนุ่มหรือสาวคนไหนได้ไป รับรองว่าต้องรู้ตัวแน่ว่ามีใครคนหนึ่งแอบรักเธออยู่ ไอ้ที่ว่าอะไรก็ได้ขอแดง ๆ ไว้ก่อนก็อย่าเผลอเอาซกเล็กตับสดใส่ถุงให้ไปหละ เพราะนอกจากจะไม่โรแมนติกเอาซะเลย ยังจะกลายเป็นสยองขวัญไปซะแทน

3.) ขนมครก ถือว่าเป็นขนมแห่งความรัก ซึ่งมาจากคำว่า ค-ร-ก “คนรักกัน” โดยมีตำนานมาจากความรักของหนุ่มสาวคู่หนุ่มสาวที่ถูกพ่อของฝ่ายหญิงกีดกัน และบังคับให้แต่งงานกับชายอื่น ในวันแต่งงานพ่อของหญิงสาวได้ขุดหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มมาขัดขวาง เมื่อหญิงสาวรู้จึงรีบวิ่งมาบอกคนรัก แต่เธอกลับพลัดตกลงไปในหลุมเสียเอง เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้น ก็รีบกระโดดลงไปเพื่อช่วยเธอ พอลูกสมุนในบ้านเห็นชายหนุ่มตกลงในหลุม ก็รีบโกยดินฝังกลบทันที โดยไม่รู้ว่ามีหญิงสาวตกลงไปด้วย กระทั่งผู้เป็นพ่อสั่งลูกสมุนโกยดินขึ้นมา ก็พบลูกสาวกับชายคนรัก นอนกอดกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านต่างศรัทธาความรักของคนทั้งสองจึงได้ทำขนมชนิดหนึ่ง ที่ทำจากแป้ง และกะทิ ใส่ลงในหลุม พอสุกก็นำมาประกบกัน เรียกว่า ขนมครก เป็นสัญลักษณ์ว่าเราจะอยู่ร่วมกันตลอดไป

4.) ขนมผูกรัก เป็นขนมขึ้นชื่อของเมืองสตูล มีอีกชื่อหนึ่งในภาษามลายูว่า ‘ซิมโป้ยซายังกาเซะ’ หากแบ่งออกเป็นคำแล้ว แต่ละคำก็จะมีความหมาย เช่น คำว่า มโป้ย แปลว่า ผูก ซายัง แปลว่า ที่รัก และกาเซะ แปลว่า ขอบคุณ เมื่อนำมารวมกันแล้ว ก็จะกลายเป็นขนมผูกรักอย่างที่เรารู้จักนั่นเอง การทำขนมผูกรักในแต่ละชิ้นต้องอาศัยฝีมือและความใส่ใจ เพราะการผูกในแต่ละครั้งนั้นจะต้องกะปริมาณของไส้ให้พอดี หากใส่มากเกินไปก็อาจจะทำให้ไส้แตกได้ หรือหากใส่น้อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียรสชาติ ก็เช่นเดียวกันกับความรัก หากคุณใส่ใจน้อยไปหรือมากไปจนเกินความพอดี มันก็อาจจะทำให้ความรักของคุณไม่อร่อยเหมือนเข่นขนม เพราะฉะนั้นต้องหาจุดตรงกลางให้เจอเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

5.) ขนมจีบ ถ้าคิดจะจีบใคร มุกนี้ก็เล่นแบบซื่อ ๆ ไปเลยแล้วกันนะ ชื่อก็บอกแล้วว่าขนมจีบ รับรองว่าให้ปุ๊บ เขาหรือเธอจะต้องรู้ปั๊บว่ากำลังโดนจีบอยู่แน่นอน นอกจากนี้ขนมจีบยังถือเป็นขนมมงคลที่ใช้ในงานแต่งงาน เป็นตัวแทนของคู่รักและความรัก บางทีการแต่งงานกันไปนานๆอาจจะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ขนมจีบจึงเป็นเหมือนขนมแก้เคล็ดเพื่อให้ความรักหวานชื่นเหมือนตอนจีบกันใหม่ ๆ

6.) ขนมชั้น ให้ขนมชั้นแล้วอาจต้องมีต่อด้วยว่า “ขนมชั้น ชั้นรักเธอ” ไม่เช่นนั้นคนรับอาจจะยืนงงอยู่ในดงลาเวนเดอร์ได้ ขนมชั้น ชั้นรักเธอยังถูกใช้เป็นขนมมงคลในงานแต่งงานซึ่งมีความหมายให้คู่ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้าในการงานและความรักยิ่ง ๆ ขึ้นไปเหมือนชั้นขนมที่มีถึง 9 ชั้นอีกด้วย

7.) น้ำผึ้ง แค่อยากเรียกเธอว่า Honey น้ำผึ้งดี ๆ สักขวดมันคงไม่ดูเห่ยไปมั้ง นอกจากคำว่า Honey จะสามารถแปลได้หลายความหมายทั้ง “น้ำผึ้ง” และ “ที่รัก” แล้ว ความหวานจากธรรมชาตินี้ยังมีดีหลายอย่าง ทั้งช่วยรักษาสิว บำรุงผิว เสริมความงาม แล้วยังบรรเทาอาการเจ็บคอ รักษาโรคกระเพาะ แก้โรคนอนไม่หลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย ว่าแล้วก็เอา Honey ไปมอบให้ ว่าที่ Honey กันดีกว่าค่ะ

วิธีข้างต้นที่ว่านี้ไม่รับประกันผลว่าจะทำให้คุณได้คนรักตัวเป็น ๆ หรือเปล่านะ บางคนอาจกินแห้ว บางคนอาจสมหวัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่คุณควรจะมอบความรักให้มาก ๆ ในทุก ๆ วันไม่เฉพาะวันวาเลนไทน์ก็คือตัวคุณเอง อย่าลืมดูแลสุขภาพและมอบความรักให้กับตัวเองในทุก ๆ วันนะคะ


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

‘ทรัมป์’ รอดคดีถอดถอนครั้งที่ 2 I'll be back. สมัยหน้าเจอกัน

อดีตประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ รอดจากการถูกยื่นเรื่องถอดถอนครั้งที่ 2 อย่างหวุดหวิด ด้วยเสียงโหวตในสภาสูง 57 ต่อ 43 แม้จะมีวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันถึง 7 คนที่โหวตสวนมติพรรค

การพิจารณาคดีการบุกรุกอาคารรัฐสภาของสหรัฐจากกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อสกัดการลงมติรับรองผลการเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 5 คน และบาดเจ็บนับร้อยคน นำไปสู่การชงเรื่องสู่สภาคองเกรซให้พิจารณาถอดถอนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเร่งด่วน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้วก็ตาม

นัยยะของการถอดถอนไม่ได้ทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ หรือสร้างความด่างพร้อยกับประวัติชีวิตของทรัมป์ หรือจะพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ เพื่อเอาสะใจอย่างเดียว แต่หากถอดถอนสำเร็จ ก็จะสกัด ไม่ให้ทรัมป์ สามารถลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐได้อีก และยังตามมาด้วยคดีความอีกมากมายที่อาจเอาเขาเข้าคุกได้
 
แต่ทั้งนี้การถอดถอนต้องโหวตผ่านทั้ง 2 สภา ล่างและบน ซึ่งในวุฒิสภาต้องผ่านด้วยเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 และการลงคะแนนเสียงของสภาสูงครั้งขาดไป 10 เสียงที่จะถอดถอนทรัมป์ได้
 
หลังจากที่มีมติออกมาเช่นนี้ ทำให้ฝ่ายเดโมแครตไม่พอใจ และยังคงเดินหน้าเปิดประเด็นต่อเพื่อหาช่องทางกฎหมายลงโทษทรัมป์
 
ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมาพูดว่า เป็นแค่การล่าแม่มด ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนของสหรัฐโดนกระทำแบบนี้ แถมหยอดทิ้งท้ายว่า การมุ่งหน้าสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งของสหรัฐเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
 
ก็แสดงว่าชาวสหรัฐอาจจะเห็นทรัมป์ กลับสู่แคมเปญหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้งในเร็วๆนี้ อีกไม่นานเกินรอ

‘เหวียน ฝู จ่อง’ บุคคลทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดในเวียดนาม เข้าสู่ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นสมัยที่ 3 แล้ว ตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวอีก 24 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2588)

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

สามสมัยเสถียรภาพทางการเมืองเวียดนาม

เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม วัย 76 ปี หนึ่งในผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบของพรรคที่กำหนดให้ผู้ที่มีอายุเกินกว่า 65 ปี ควรเกษียณอายุ

จากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคในกรุงฮานอย ที่ผู้แทนพรรค 1,600 คน จากทั่วประเทศ เพื่อเลือกทีมผู้นำคนใหม่ ในเป้าหมายที่จะสนับสนุนความสำเร็จทางเศรษฐกิจของประเทศและความชอบธรรมของการปกครองของพรรค

…เขา ก็ ได้รับเลือกในสมัยที่สาม หลังได้รับคัดเลือก เขากล่าวว่า

"เวียดนามจะตั้งเป้าที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างเต็มตัวภายในปี 2588 และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง "

เป้าหมายที่สูงลิ่วในช่วงปี 2564 - 2568 นี้ มีขึ้นในขณะที่เวียดนามกำลังรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน เครื่องเตือนใจว่าความสำเร็จในอนาคต อย่างน้อยที่สุดในระยะสั้น ขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส

แม้จะเกิดการระบาด แต่ในเดือน ม.ค. กิจการในเครือของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยีจากไต้หวัน ได้รับใบอนุญาตการลงทุนมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ในประเทศ ที่บริษัทกำลังย้ายฐานประกอบ iPad และ MacBook จากจีน

ขณะเดียวกันผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกันอย่างบริษัทอินเทล ระบุว่า ได้เพิ่มการลงทุนในเวียดนามอีก 475 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์

การเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 2.9 ในปีก่อน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลายประเทศในโลก แต่สำหรับเวียดนามแล้วนับเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ที่เป็นผลจากมาตรการการกักตัวที่เข้มงวด การปิดพรมแดน และมาตรการการต่อต้านไวรัสต่างๆ

เวียดนาม จะมุ่งเน้นในมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเติมเต็มองค์ประกอบของเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม และจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและตลาดและสังคมให้ดียิ่งขึ้น จะขับเคลื่อนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นกิจการที่ดำเนินงานในพื้นที่ที่เห็นว่ามีความสำคัญสำหรับความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

จะเปลี่ยนความสนใจในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จากปริมาณไปสู่คุณภาพ โดยมุ่งเน้นในเรื่องความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม หลายสิบปีของการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างแข็งแกร่ง ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการแรงงานมากและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เวียดนามจะไม่อนุมัติโครงการที่มีเทคโนโลยีล้าสมัย และเสี่ยงก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top