รู้สึกอับจนหนทางในช่วงวิกฤติโควิด-19 ไหม?
ถ้าใครไม่เคย อาจเฉยๆ!!
แต่คนที่กำลังประสบอยู่ นี่มันอาจเป็นอีกช่วงเลวร้ายของชีวิต
คนไม่น้อยต้องตกงาน หางานใหม่ก็ยาก แถมยังมีภาระข้างหลังตามมาอีกเพียบ ไหนจะหนี้บ้าน หนี้รถ และอีกสารพัดหนี้ เรียกว่างานไม่มี เงินไม่มา รอเวลาพาหมดตัว เครียดวุ้ย!!
…แล้ววิธีแก้ความอับจนต่อปัญหาแบบไหนที่เหมาะสุดในตอนนี้?
ถ้าคุณเป็นคนที่เข้าใจเรื่องการเงิน หรือโชคดีได้เรียนรู้เรื่องการเงินในระดับหนึ่งจะรับรู้ได้เลยว่าวิกฤติโควิด-19 มันรุนแรงกว่าวิกฤติปี 40 อย่างมาก เพราะมันเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ หรือวิกฤติสุขภาพที่ไปทับซ้อนกับวิกฤติของการเงิน
ความยากของมันเป็นเรื่องของ ‘ความไม่ชัดเจน’ อย่างปี 40 เรารู้ว่าธุรกิจใหญ่ๆ ล้ม เศรษฐีลำบาก แต่คนทั่วไปยังออกไปทำมาหากินได้
กลับกันตอนนี้ โควิด-19 มันทำให้คนกลาง-ล่างขยับตัวยาก หลายคนต้องหยุดทุกเรื่อง เศรษฐกิจของฐานนี้ชะงัก โดยที่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อไรด้วย!!
เมื่อมันไม่มีความชัดเจนอะไรเลย 'ทางรอด' ของคนทั่วไปแบบหาเช้ากินค่ำ มันเลยแคบลง แคบลง และแคบลง
แต่เอาจริงๆ ทุกปัญหาล้วนมีไว้ให้แก้ อยู่ที่มองออกว่าควรแก้ด้วยวิธีหรือเหตุผลใดแค่นั้น??
ผมเคยคุยกับพี่หนุ่ม ‘จักรพงษ์ เมษพันธุ์’ แห่ง The Money Coach ซึ่งพี่เขาเป็นโค้ชการเงินสายอินดี้ที่เอาหลักชีวิตมาแชร์ และในช่วงโควิด-19 ระบาดแรงๆ พี่เขาก็แนะนำทางรอดในช่วงวิกฤติไว้ได้น่าสนใจมาก
เขาบอกให้คนที่กำลังลำบาก เงินหดหาย หนี้กระจาย ลอง 'กางตารางชีวิต' ออกมาก่อน และเริ่มต้นที่วางแผนจัดการเงินของตัวเองใหม่ สัก 6 เดือนต่อจากนี้ (จะมากกว่านี้ก็ยิ่งดี)
เฮ้ย!! ฟังดูแปลกๆ ทำไมไม่สอนวิธีให้หาเงินเพิ่มหว่า??
ที่เป็นแบบนั้น เพราะคนที่เจอวิกฤติ มักจะคิดไม่ออกว่า จะหาเงินเพิ่มยังไง มันจะมืดแปดด้าน แล้วยิ่งสถานการณ์แบบนี้ด้วยยิ่งโคตรยากเข้าไปใหญ่
ฉะนั้นต้องดึงสติให้กลับมามอง 'ความจริง' แทนว่า ในวันที่เงินเริ่มร่อยหรอ เราต้องใช้ชีวิตต่อแบบไหนในช่วง 6 เดือนต่อจากนี้…เราต้องมีค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละวันยังไงบ้างจากเงินที่เหลืออยู่ อันนี้แหละโคตรสำคัญ!!
ยกตัวอย่าง หากเรามีค่ากินอยู่ที่วันละ 200 บาท เดือนนึงก็ต้องเก็บไว้เฉพาะค่ากิน 6,000 บาท ทำแบบนี้ไปยาวๆ ใน 6 เดือนข้างหน้า
โดยส่วนตัวแล้ว พี่หนุ่มอยากให้เน้นที่ค่ากินอยู่ไว้ก่อน เพราะประสบการณ์ปี 40 บอกเขาว่า ถ้าท้องมันว่าง มันจะทำอะไรต่อไม่ได้ (เรื่องนี้จริง)
ทีนี้ก็อาจจะมีบางคนมองว่า 'ค่ากินอยู่' มันพอจัดการไหว แต่ถ้ามีหนี้ติดตัว จะทำยังไง?
สั้นๆ เลยครับ 'ตัด' มันไปเลย!!
สถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต ต้องตัดออกให้หมด เช่น ถ้ามีรถต้องผ่อน ขายได้ขาย เพราะมันคือภาระ!! กลับมาใช้วิธีเดินทางสาธารณะบ้าง อย่าได้อาย!!
ถ้าบ้านของคุณพอจะมีมูลค่ามหาศาลระดับหนึ่ง การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเก็บไว้ในมือตอนนี้ ทำมันซะ!! แล้วหาที่อยู่ใหม่ที่อาจจะไม่ดูดีเหมือนเก่า แต่เราอยู่กันได้ ก็ลองซะหน่อย!!
ส่วนบางคนอยู่บ้านเช่า นาทีนี้ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ก็ไปยกมือไหว้เจ้าของบ้าน แล้วบอกไปตรงๆ เลยว่าเดือนนี้ไม่มีจริงๆ
ถ้าติดหนี้บ้าน หนี้รถ ก็เดินตรงเข้าไปสาขาธนาคารแล้วบอกว่า ขอให้ช่วยผ่อนผันหน่อย จะหยุดส่งต้น ส่งดอก กี่เดือนก็ว่าไป หรือจะลดวงเงินผ่อน ลดดอกเบี้ยก็เจรจาเลย
นาทีนี้ทำได้ เชื่อสิ!! แต่ถ้าไม่พูด ก็ต้องทำตามระเบียบ และถ้าทำไม่ได้ แบบนี้แหละจะเสียเครดิต
ถ้าเป็นการออมเงินฝากที่ส่งอยู่ประจำ หรือ ซื้อหุ้นไว้เดือนละเท่าไร ตอนนี้ตัดได้ตัดก่อน เพราะเชื่อเถอะว่าโอกาสเดือดร้อนในอนาคตข้างหน้ามีสูง เอาเงินมาใช้เพื่อวันนี้ก่อน
หรืออย่างประกันเนี่ยะ คลาสสิคเลย เพราะบางคนกลัวขาดประกัน แต่จริงๆ แล้วตอนนี้หลายๆ บริษัทเขาให้เราไปเจรจาเพื่อผ่อนปรนได้หมด เช่น ถ้าใครถึงงวดที่จะต้องจ่ายแล้วไม่มีเงินจ่าย ก็ไปบอกเขา เขาให้เลื่อนไป 120 วันหรือ 90 วัน โดยความคุ้มครองยังเหมือนเดิม
ทั้งหมดทั้งมวล มันคือการ 'ตัดเพื่อต่ออนาคต' ที่โฟกัสกลับมาสู่ปัจจัยพื้นฐานของการมีชีวิต อันนี้สำคัญจริงๆ นะ
แต่ก็อย่างที่บอก การที่เราจะรู้ว่าควรทำอะไรกับชีวิตต่อจากนี้ได้นั้น มันต้องกางตารางชีวิตออกมาก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าอนาคตต่อจากนี้ ต้องใช้เงินหรือหาเงินไว้เท่าไร ซึ่งมันอาจจะดึงมาจากเงินเดือน เงินเก็บ เงินจากการขายสินทรัพย์ หรือคนที่ตกงาน ก็ดึงจากเงินค่าชดเชยตกงานของบริษัท เงินชดเชยจากประกันสังคม หรือเงินเยียวยาจากภาครัฐก็ได้ทั้งนั้น
นาทีนี้ ใครที่กำลัง ‘อับจนหนทาง’ ต้องหายใจลึกๆ มีสติเข้าไว้ แล้วไปหาสมุดหรือกระดาษมากาง จากนั้นมาลองไล่จดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าติดฝาบ้านไว้เลย อย่าใช้สมองจำ เพราะสมองคนเราในยามเจอวิกฤติชีวิต มันจะจำไม่ได้ทุกเรื่อง
ใครจะเชื่อหรือไม่ อันนี้ก็ตามแต่วิจารณญาณ แต่ส่วนตัวผมอยากให้ลองทำ เพราะต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าภาวะโรคระบาดเนี่ยถ้าเทียบความรุนแรง ก็เป็นรองเพียงแค่สงครามเท่านั้นเองนะขอรับ…
และนั่นก็จะทำให้เราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเก่าก่อนอีกนานพอดู...