Sunday, 12 May 2024
SPECIAL

ธรรมศาสตร์ ทำ-ปะ-สาด ได้ทุกยุค ทุกสมัย

โดยเล็งเห็นว่าการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะนั้นมีจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียว เมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.2475 ประเทศชาติ มีความจำเป็นต้องมีบุคคล ที่มีความรู้ ทางกฎหมาย การปกครอง และสังคม มารับใช้ประเทศชาติโดยด่วน จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง พ.ศ.2476 เพื่อเปิดสอนในวิชาแขนงดังกล่าว

เมื่อพระราชบัญญัติผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ได้มีพิธี เปิดมหาวิทยาลัยขึ้น เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2477 โดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผู้กระทำพิธีเปิด และ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งเป็นบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัยคนแรกของมหาวิทยาลัย (และเป็นบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัยคนเดียว เพราะต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ ตำแหน่ง เป็นอธิการบดี)

ปรัชญาของการตั้งมหาวิทยาลัย ปรากฏตามสุนทรพจน์ ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ รายงานต่อผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์มีดังนี้

“... มหาวิทยาลัยย่อมอุปมา ประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาส ที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักเสรีภาพของการศึกษา...”

จากคำกล่าว ของ ปรีดี พนมยงค์ เหมือนการสร้างปราสาทอันยิ่งใหญ่สำหรับประชาธิปไตยของประเทศไทย คือการสร้างความรู้ให้กับประชาชนคนไทย ธรรมศาสตร์ จึงวนเวียนกับการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยมาโดยตลอด 87 ปี ที่ผ่านมา ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยมาโดยตลอด

ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนฉันให้รักประชาชน

ธรรมศาสตร์ ดินแดนแห่งเสรีภาพ ทุกตารางนิ้ว

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว…”

เหลืองของเรา คือ ธรรมประจำจิต แดงของเรา คือ โลหิตอุทิศให้

ธรรมศาสตร์ ไม่มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่จะเรียกว่าเพื่อนใหม่ เพราะถือว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน

วันสถาปนามหาวิทยาลัย คือ 27 มิถุนายน 2477 (ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว)

นักศึกษาไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนักศึกษามาเรียนก็ได้ แต่อาจจะยกเว้นบางวิชา แต่ตอนนี้ได้มีการรณรงค์ให้แต่งชุดนักศึกษา

มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็คือประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์

ไม่ว่า ธรรมศาสตร์ จะเป็นเช่นไร ...ธรรมศาสตร์ ก็ ทำ-ปะ-สาด ให้กับผู้มีอำนาจได้ทุกยุค ทุกสมัย...


อ้างอิง

https://teen.mthai.com/education/102409.html

https://www4.tu.ac.th/index.php/th/408-th-th/teach/280-his

ฤา…‘พม่า’ จะประวัติศาสตร์ ซ้ำรอย!

วันที่ผมเขียนบทความนี้ ผมได้เห็นประกาศของคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา ได้ออกประกาศว่า ประชาชนมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเองจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามของคณะรัฐประหาร ซึ่งในความคิดของงผมมองว่า ‘นี่มันไม่ใช่แล้ว’ เพราะการประกาศแบบนี้เสมือนการสั่งให้ประชาชนไปตาย

ผมไม่เห็นประโยชน์อันใดจากคนที่ตายไปแล้ว ยกเว้นคนที่ต้องการหาประโยชน์จากจำนวนศพที่มากขึ้น ผมถามเพื่อนพม่าของผมว่า คนพม่าจะได้ประชาธิปไตยได้อย่างไร ถ้าไม่มีชีวิตเข้าคูหาไปเลือกตั้ง เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมียนมาไม่ใช่ประเทศพม่าในอดีต

เมื่อพูดถึงหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ถามว่าดีไหม ผมบอกได้เลยว่าการไม่ยอมแพ้นั้นเป็นสิ่งที่ดีและอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อยุธยาต้องเสียกรุงถึงสองครั้งก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการที่สู้อย่างไม่ยอมแพ้อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก หากย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์คองบองครั้งเมื่อสงครามพม่า - อังกฤษครั้งที่หนึ่ง การที่พม่ายกทัพไปปราบกบฏยะไข่ หากหากพม่าไม่ได้ยกทัพเข้าไปถึงอัสสัมหรือจิตตะกอง นั่นก็ไม่สามารถทำให้อังกฤษอ้างเหตุผลในการรบกับพม่า และหากในช่วงเวลารบนั้น นายพลมหาพันธุละ เลือกที่จะยอมจำนนเมื่อรู้ว่าตนเพลี่ยงพล้ำ ท่านก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตในสนามรบ และย่างกุ้ง, พะโค จนไปถึงเมืองแปร ก็อาจจะไม่ต้องตกไปเป็นของอังกฤษทั้งหมดก็เป็นได้

เช่นเดียวกันกับในช่วงสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 3 หากฝั่งพม่าเลือกดำเนินนโยบายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกับทางบริษัท บอมเบย์ เบอร์มาร์ เทรดดิ้ง คอมปะนี แม้จะเสียบ้าง แต่หัวใจยังอยู่ นั่นก็อาจจะทำให้แผนการเข้ายึดพระราชวังมัณฑะเลย์ไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

กรณียอมหักไม่ยอมงอของพม่า จะเรียกได้ว่าเป็นนิสัยหรือสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของคนพม่าที่ภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีแต่ในขณะเดียวกันหากเราต้องสู้กับศัตรูที่มีพลังทำลายล้างเหนือเรามาก การยอมหักไม่ยอมงอ มันคือกำแพงที่สูงจนนำพาความล่มสลายมายังชีวิตผู้คนและอาณาจักร หากไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตจะใช้วิธีใดไปทวงคืนเอกราชที่ต้องการกันเล่า

หากย้อนมองดูประเทศไทยในยุคที่ยังเป็นสยามประเทศ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วง รศ. 112 ไทยเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกับพระเจ้าธีบอ นั่นคือการถูกรุกรานโดยศัตรูที่มีแสงยานุภาพเกินต้านทาน แต่แทนที่ท่านจะเลือกที่จะสู้จนตัวตายสิ้นเอกราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงกลับเลือกเส้นทางที่รักษาหัวใจแห่งแผ่นดินไทย โดยการเฉือนตัดแผ่นดินให้แก่เหล่าประเทศผู้ล่าอาณานิคมไป ดังปรากฏข้อความในพระราชปรารภที่ว่า “—การเสียเขตแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักร ซึ่งเราเองก็ทำนุบำรุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน—”

ในวันนี้ผมก็หวังว่าชาวพม่าที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเมียนมานั้น ขอให้ใช้สติตรึกตรองให้ถี่ถ้วน ว่าเรากำลังไปสู้เพื่อผลประโยชน์ของใครหรือเปล่า..?

ทำไมต้องนำชีวิตไปทิ้งในขณะที่คนปลุกระดมไม่เคยออกมานำทัพเองปล่อยให้พวกคุณนำทัพไปตายกันเอง กลับกันหากวันนี้คนพม่าจะถอยสักหนึ่งก้าว อาจจะไม่ใช่การยอมศิโรราบให้แก่ระบบเผด็จการ แต่เป็นการเปิดทางไปสู่หนทางประชาธิปไตยตามที่คณะรัฐประหารได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 1 ปี

Philippa of Hainaut และ Charlotte of Mecklenburg-Strelitz สองราชินีผิวสีแห่งราชสำนักอังกฤษ

สัปดาห์ที่แล้วข่าวสงครามสื่อระหว่างสะใภ้หลวงคนดังกับราชสำนักอังกฤษถูกปั่นจนกลายเป็นข่าวใหญ่ดังสนั่น ด้วยบรรดาสื่อต่าง ๆ พากันได้ประโยชน์มากมายมหาศาลจากเรื่องในครอบครัวที่ถือได้ว่าเป็นครอบครัวหมายเลขหนึ่งแห่งสหราชอาณาจักร นั่นคือข่าวการให้สัมภาษณ์ของเจ้าชายแฮร์รี และเมแกน ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกส์ กับพิธีกรหญิงชื่อดังชาวอเมริกัน โอปราห์ วินฟรีย์ และได้เผยแพร่สู่สายตาผู้คนทั่วโลกเมื่อต้นสัปดาห์ จนกลายเป็นดราม่าในประเด็นเหยียดเชื้อชาติและสีผิว อันอาจนำมาซึ่งความสั่นสะเทือนครั้งสำคัญสู่ราชสำนักอังกฤษ

แต่ราชสำนักอังกฤษไม่ได้ไร้ซึ่งประสบการณ์ ด้วยผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาแล้วมากมายแล้ว และตกผลึกจนแกร่งกล้าสามารถ จึงได้ส่งจดหมายสั้น ๆ ขนาด สี่ประโยค สามย่อหน้า กับหนึ่งคำขาด เพื่อสยบดราม่าจากการสัมภาษณ์สองชั่วโมงดังนี้ : 

- ย่อหน้าแรก หนึ่งประโยค : เพิ่งจะรู้จากการสัมภาษณ์ในทีวีหรือที่นสพ.ถูกเอามาประโคมข่าวเองว่า พระชายาของเจ้าชายแฮร์รี่ต้องทุกข์ระทมขนาดไหนตลอดเวลาที่ผ่านมา น่าสงสารจังเลย (แต่ก็ทำให้คนที่พอจะมีปัญญาเข้าใจว่า นี่เป็นคำถามซึ่งถามว่า แล้วทำไมตอนนั้นไม่เห็นบอกหรือพูดอย่างนี้เลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในราชสำนักตั้งสองสามปี)

- ย่อหน้าที่สอง สองประโยค : เรื่องที่พระองค์พูดนี่ร้ายแรงนะ แต่ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องเลย และจำไม่ได้ด้วยซํ้าว่า มีเรื่องที่พระองค์พูดเกิดขึ้นด้วย แต่เดี๋ยวพวกเราจะคุยกันเองในครอบครัว (อันเป็นการปฏิเสธอย่างกึ่งสุภาพกึ่งเลือดเย็นว่า เป็นเรื่องไม่จริง และคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย)

- ย่อหน้าสุดท้าย หนึ่งประโยค : พวกเราจะรักพระองค์ทั้งสามคนเสมอ (ซึ่งเป็นการตัดบัวแบบไม่เหลือใย กลายเป็นคำไว้อาลัยราวกับทั้งสามคนได้ตายจากไปแล้ว ซํ้ายังจงใจละเลยไม่กล่าวถึงลูกคนที่กำลังจะเกิดเลย)

- และที่สำคัญที่สุดคือ คำขาดที่ระบุว่า ENDS” ตัวพิมพ์ใหญ่ให้เห็นกันชัดๆ (ซึ่งหมายความว่า สำหรับพวกเราแล้วเรื่องนี้ถือว่าจบ และจะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป)

อันที่จริงแล้วตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์แห่งสหราชอาณาจักร (Succession to the British throne) มีพระบิดาของเจ้าชายแฮร์รี เจ้าชายชาร์ลส์ (เจ้าชายแห่งเวลส์) ทรงเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง และพระเชษฐาของเจ้าชายแฮร์รี เจ้าชายวิลเลียม (ดยุกแห่งเคมบริดจ์) ทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่สอง ส่วนเจ้าชายแฮร์รีทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่หก ถัดจาก พระโอรส พระธิดา ของเจ้าชายวิลเลียมอีกสามพระองค์ โดย 20 ลำดับแรกในการสืบราชสันตติวงศ์แห่งสหราชอาณาจักรล้วนแล้วแต่เป็นพระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา และพระราชปนัดดา สายตรงในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทั้งสิ้น และหากได้ทำการศึกษาไล่เรียงประวัติศาสตร์ราชสำนักอังกฤษแล้ว จะพบว่าราชสำนักอังกฤษมีสะใภ้หลวงซึ่งมีเชื้อสายผิวสีมาแล้วถึงสองพระองค์ และทั้งสองพระองค์ต่างทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ อันได้แก่ Philippa of Hainaut และ Charlotte of Mecklenburg-Strelitz

Philippa of Hainaut (24 มิถุนายน ค.ศ. 1310 (หรือ ค.ศ. 1315) - 15 สิงหาคม ค.ศ. 1369) ทรงเป็นธิดาของ William I (Count of Hainaut) และ เจ้าหญิง Joan of Valois ผู้ทรงเป็นพระปนัดดาใน พระเจ้า Philip III แห่งฝรั่งเศส สืบเนื่องด้วยพระเจ้า Edward II แห่งอังกฤษทรงตัดสินพระทัยว่า การเป็นพันธมิตรกับ Flanders (ปัจจุบันหมายถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของเบลเยียม ซึ่งใช้ภาษาดัตช์ ในทางประวัติศาสตร์ ครอบคลุมบางส่วนของ เบลเยียม ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์) จะเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ และได้ทรงส่ง Bishop Stapledon of Exeter เป็นราชทูตให้เดินทางข้ามเข้าไปในเขต Hainaut ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยชนเผ่ามัวร์ เพื่อพิจารณาว่า ธิดาของ Count of Hainaut ผู้ใดจะเหมาะสมที่สุดในการเป็นเจ้าสาวของเจ้าชาย Edward พระราชโอรส 

รายงานของ Bishop Stapledon ซึ่งถวายต่อพระเจ้า Edward II ได้อธิบายรายละเอียดธิดาคนหนึ่งของ Count of Hainaut ถึง Philippa ในวัยเด็กว่า หญิงที่ข้าพระองค์พบเห็น ไม่ใช่หญิงที่มีผมเรียบๆ ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นสีน้ำเงิน - ดำและน้ำตาล ... ใบหน้าของพระองค์ได้สัดส่วนดี ระหว่างดวงตาและส่วนล่างแคบกว่าส่วนหน้าผากของพระองค์ ดวงตาของพระองค์มีสีน้ำตาลอมดำและลึก จมูกของพระองค์ค่อนข้างเรียบและสม่ำเสมอ ปลายจมูกค่อนข้างกว้างและแบน... รูจมูกและปากค่อนข้างกว้าง ริมฝีปากของพระองค์อวบอิ่มโดยเฉพาะริมฝีปากล่าง ... ฟันล่างของพระองค์ยื่นออกมาเล็กน้อย ฟันบนเห็นได้น้อยมาก ... รูปร่างของพระองค์ทั้งหมดดูดีมาก ๆ จนไม่มีใครสามารถเทียบได้ และไม่มีสิ่งใด ๆ ผิดปกติเท่าที่ชายคนหนึ่งจะสังเกตเห็น

“นอกจากนี้พระองค์ยังมีผิวสีน้ำตาลทั้งตัวเหมือนกับบิดาของพระองค์ โดยพระองค์จะมีอายุเก้าปีในวัน St. John ที่กำลังจะมาถึงตามที่มารดาของพระองค์กล่าว พระองค์ไม่สูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไปสำหรับวัยเช่นนี้ พระองค์ดูวางตัวได้อย่างเหมาะสม หญิงคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีในทุก ๆ เรื่องที่สมควร ด้วยเพราะตำแหน่งของพระองค์ และบิดา มารดา และครอบครัวได้รับการยกย่องและเป็นที่รัก ทั้งหมดเท่าที่เราสามารถสอบถามและเรียนรู้จากความจริงในทุกสิ่ง สำหรับข้าพระองค์แล้วพระองค์เป็นหญิงที่น่าพอใจมาก” ซึ่ง Philippa น่าจะมีเชื้อสายทางพันธุกรรมของผู้ปกครองในอดีต (ชนเผ่ามัวร์ : ชนมุสลิมที่อาศัยอยู่ที่คาบสมุทรไอบีเรียและแอฟริกาเหนือซึ่งเดิมเป็นชนอาหรับ หรือ เบอร์เบอร์) ซึ่งมีสีผิวที่เข้มกว่าชาวยุโรป

Philippa of Hainault ได้หมั้นกับเจ้าชาย Edward of Windsor รัชทายาทของ พระเจ้า Edward II แห่งอังกฤษ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1326 ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า Edward III แห่งอังกฤษ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1327 และหนึ่งปีหลังจากการขึ้นครองราชย์ พระเจ้า Edward III กษัตริย์หนุ่มแห่งอังกฤษก็ได้ทรงอภิเษกกับ Philippa of Hainault ในมหาวิหารยอร์ก ขณะพระชนมายุสิบห้าชันษา และเจ้าสาวอายุสิบสี่ปี สองสามปีแรกหลังการอภิเษกเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ด้วยในช่วงที่ยังทรงเยาว์วัยของพระเจ้า Edward III สมเด็จพระราชินี Isabella พระราชมารดาได้ทรงปกครองอาณาจักร และทรงปฏิเสธที่จะพระราชทานดินแดนหรือพื้นที่ใด ๆ ให้กับพระสุณิสาซึ่งทำให้ Philippa ไม่มีรายได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1330 สองปีหลังจากการอภิเษก Philippa ก็ได้รับการสวมมงกุฎให้เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษในมหาวิหาร Westminster ในที่สุดเมื่อ Philippa ตั้งครรภ์เจ้าชาย Edward (The Black Prince : เจ้าชายดำ) ได้ 5 เดือน จากนั้นสมเด็จพระราชินี Philippa ทรงให้ประสูติพระราชโอรส 5 พระองค์และพระราชธิดา 7 พระองค์ รวม 12 พระองค์

นอกจากทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ยังทรงงานเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองแก่พระสวามี และเคยทรงเป็นผู้สำเร็จราชการในคราวที่พระเจ้า Edward III พระสวามีเสด็จไปทรงทำการรบในสงครามร้อยปีอีกด้วย ในช่วงปี ค.ศ. 1346 และ 1347 ในขณะที่ พระเจ้า Edward III ทรงปิดล้อมท่าเรือและเมือง Calais พระองค์ทรงตั้งใจที่จะแขวนคอนายกเทศมนตรีและกลุ่มหัวขโมยเพื่อเป็นการลงโทษที่ชาวเมืองต่อต้านกองทัพของพระองค์เป็นเวลาหลายเดือน สมเด็จพระราชินี Philippa ทรงคุกเข่าต่อหน้าพระสวามี และทรงขอร้องให้พระเจ้า Edward III ทรงไว้ชีวิตชายเหล่านั้น ด้วยคำวิงวอนของพระองค์ พระเจ้า Edward III จึงทรงยอมจำตามที่จะไม่ประหารชีวิต ทำให้มีผู้เรียก สมเด็จพระราชินี Philippa ว่า ราชินีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา” พระองค์ทรงตกจากหลังม้าขณะเสด็จออกล่าสัตว์กับพระสวามีในปี ค.ศ. 1358 และทำให้สะบักไหล่หัก และทรงใช้ชีวิตช่วงสองสามปีสุดท้ายด้วยความเจ็บปวด

สมเด็จพระราชินี Philippa สิ้นพระชนม์ที่พระราชวังวินด์เซอร์ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระสวามี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1369 และพระศพถูกฝังเมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1370 ในมหาวิหาร Westminster ซึ่งปัจจุบันยังคงมีหลุมฝังพระศพและพระรูปจำลองของพระองค์อยู่ และ Queen's College แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1341 โดย Robert de Eglesfield หนึ่งในอนุศาสนาจารย์ของพระองค์ได้ตั้งชื่อเพื่อถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระราชินี Philippa และอยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของพระองค์อีกด้วย

Charlotte of Mecklenburg-Strelitz (19 พฤษภาคม ค.ศ. 1744 - 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1818) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีซึ่งทรงมีเชื้อผิวสีอีกพระองค์หนึ่งแห่งราชสำนักอังกฤษ ทรงเป็นธิดาสุดท้องของดยุก Charles Louis Frederick of Mecklenburg ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูล Martim Afonso Chichorro และ เจ้าหญิง Elisabeth Albertine of Saxe-Hildburghausen พระนามเดิมคือ Sophia Charlotte แม้จะทรงเป็นเจ้าหญิงเยอรมัน แต่พระองค์ก็มีเชื้อชาติส่วนเสี้ยวหนึ่งเป็นแอฟริกัน ด้วยทรงมีเสด็จย่าเป็นเจ้าหญิงจากโปรตุเกส จึงทรงเป็นพระญาติห่างๆ ของพระเจ้า Alfonso III แห่งโปรตุเกส ซึ่งมีพระราชโอรสองค์หนึ่งกับ Madragana Ben Aloandro (Maior or Mór Afonso(ในภายหลัง) โดยสืบเชื้อสายจากชนเผ่ามัวร์) คือ Martim Afonso Chichorro อภิเษกสมรสกับพระชายาผิวสี และให้กำเนิดลูกหลานมากมาย

เมื่อพระเจ้า George III ขึ้นครองบัลลังก์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ ด้วยการสวรรคตของเสด็จปู่ พระเจ้า George II ขณะทรงมีพระชนมายุ 22 ชันษา และทรงยังไม่ได้อภิเษกสมรส พระราชมารดาแม่และที่ปรึกษาต่างกระตือรือร้นที่จะให้พระองค์ทำการอภิเษกสมรส โดยเลือกเอาเจ้าหญิง Charlotte of Mecklenburg-Strelitz วัย 17 ชันษา ด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าหญิง Charlotte ทรงถูกเลี้ยงดูมาในดินแดนเยอรมันเหนือซึ่งไม่ค่อยมีนัยสำคัญทางการเมืองกับอังกฤษ ดังนั้นจึงอาจไม่มีประสบการณ์หรือความสนใจในการเมือง เพื่อให้แน่ใจว่า พระเจ้า George III จะกำกับเจ้าหญิง Charlotte ได้ จึงมีกฎ "ไม่เข้าไปยุ่ง" ซึ่งเป็นกฎที่เจ้าหญิง Charlotte ยินดีที่จะทรงปฏิบัติตาม

พระเจ้า George III ทรงประกาศต่อรัฐสภาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1761 ว่า ทรงตั้งใจที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง Charlotte of Mecklenburg-Strelitz หลังจากนั้นคณะผู้ดูแลคุ้มกันซึ่งนำโดยเอิร์ล Simon Harcourt เดินทางไปเยอรมนีเพื่อนำเสด็จเจ้าหญิง Charlotte มายังอังกฤษ พวกเขาไปถึง Strelitz ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1761 และได้รับการต้อนรับในวันรุ่งขึ้นโดยดยุก Adolphus Frederick IV ผู้ครองราชย์ผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าหญิง Charlotte ซึ่งดยุก Adolphus Frederick IV ได้ลงนามในสัญญาการอภิเษกสมรสกับเอิร์ล Harcourt หลังจากครบสามวันของการเฉลิมฉลอง

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1761 เจ้าหญิง Charlotte เสด็จออกเดินทางไปอังกฤษพร้อมกับพระเชษฐาคือ ดยุก Adolphus Frederick IV และคณะผู้ดูแลคุ้มกันของอังกฤษ ในวันที่ 22 สิงหาคมพวกเขาไปถึงเมืองท่า Cuxhaven ซึ่งมีกองเรือขนาดเล็กรอที่จะส่งคณะไปยังอังกฤษ การเดินทางนั้นค่อนข้างยากลำบากมาก กองเรือเจอกับพายุกลางทะเลถึงสามครั้ง และเข้าเทียบท่าที่เมืองท่า Harwich ในวันที่ 7 กันยายน คณะเดินออกเดินทางต่อไปกรุงลอนดอน แวะพักที่เมือง Witham หนึ่งคืนที่บ้านพักของ Lord Abercorn และมาถึงพระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน เวลา 15.30 น. ในวันรุ่งขึ้น โดย พระเจ้า George III และพระบรมวงศานุวงศ์รอต้อนรับที่ประตูสวน ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของเจ้าสาวและเจ้าบ่าว เวลา 21.00 น. ในเย็นวันเดียวกันนั้น (8 กันยายน พ.ศ. 2304) ภายในเวลาไม่ถึงหกชั่วโมงหลังจากเจ้าหญิง Charlotte เสด็จมาถึงก็ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้า George III พระราชพิธีจัดขึ้นที่ Chapel Royal พระราชวังเซนต์เจมส์ โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี Thomas Secker มีเพียงฝ่ายราชวงศ์ของเจ้าหญิง Charlotte ที่เดินทางมาจากเยอรมนีและแขกอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ร่วมเป็นสักขีพยาน และเจ้าหญิง Charlotte ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี Charlotte แห่งอังกฤษ

ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นเจ้าหญิง Charlotte ยังตรัสภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จึงทรงต้องเรียนภาษาอังกฤษอย่างเร่งด่วน ตามเงื่อนไขในสัญญาการอภิเษกสมรสคือ "เจ้าหญิงต้องทรงเข้าร่วมเป็นสมาชิกคริสตจักรแองลิกัน และอภิเษกสมรสกันตามพิธีกรรมของชาวอังกฤษ และต้องไม่ข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย" แม้ว่าสมเด็จพระราชินี Charlotte จะสนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามอิสรภาพระหว่างจักรวรรดิอังกฤษและชาวอาณานิคมในอเมริกา แต่พระองค์ก็ทรงทำตามข้อตกลงในสัญญาการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาสิบห้าพระองค์ โดยสิบสามพระองค์ทรงอยู่รอดจนวัยผู้ใหญ่ พระราชโอรสพระองค์โตคือ พระเจ้า George IV และพระราชโอรสพระองค์ที่สี่คือ เจ้าชาย Edward ดยุกแห่ง Kent และ Strathearn ซึ่งเป็นพระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย

สมเด็จพระราชินี Charlotte ทรงสร้างคุณูปการให้กับอังกฤษไว้อย่างมากมาย ทรงรักการอ่าน และทรงสนพระทัยในศิลปกรรม เป็นที่รู้กันว่า สมเด็จพระราชินี Charlotte ได้ทรงสนับสนุน Johann Christian Bach ทั้งยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ภรรยาของ Bach หลังจากการเสียชีวิตของ Bach อีกด้วย พระองค์ยังทรงได้อุปถัมภ์ Wolfgang Amadeus Mozart ซึ่งตอนอายุแปดขวบได้ถวายบทประพันธ์เพลง 3 ชิ้นให้กับสมเด็จพระราชินี Charlotte ตามพระสงค์ สมเด็จพระราชินี Charlotte ยังทรงเป็นนักพฤกษศาสตร์สมัครเล่นอีกด้วย ทั้งยังทรงช่วยก่อตั้ง Kew Gardens โดยทรงนำต้น Strelitzia reginae (Bird of Paradise) ซึ่งเป็นไม้ดอกจากแอฟริกาใต้ ซึ่งสมเด็จพระราชินี Charlotte ทรงเป็นพระองค์แรกที่ทรงมีดอกไม้พันธุ์นี้ในพระตำหนักที่ประทับ ในปี พ.ศ. 2343 ได้ทรงแนะนำต้นคริสต์มาสให้กับอังกฤษ และกล่าวกันว่า ทรงเป็นผู้นำในการตกแต่งเทศกาลคริสมาสด้วย 'ขนมหวาน อัลมอนด์ ลูกเกด ผลไม้และของเล่น นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งโรงพยาบาล Queen Charlotte Maternity ในกรุงลอนดอน อันเป็นโรงพยาบาลแม่และเด็กที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ

สมเด็จพระราชินี Charlotte สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2361 ที่พระตำหนักดัตช์ในเซอร์เรย์ ปัจจุบันคือ พระราชวังคิว เบื้องพระพักตร์พระราชโอรสพระองค์โต เจ้าชาย Regent ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมศพถูกฝังอยู่ที่โบสถ์เซนต์จอร์จ พระราชวังวินด์เซอร์ งานเขียนส่วนพระองค์เพียงชิ้นเดียวที่คงอยู่รอดมาได้คือพระราชหัตถเลขา 444 ฉบับของสมเด็จพระราชินี Charlotte Queen Charlotte ถึงพระเชษฐาที่สนิทสนิทที่สุด Charles II (Grand Duke of Mecklenburg-Strelitz) ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง สมเด็จพระราชินี Charlotte รับบทโดย Helen Mirren ในภาพยนตร์เรื่อง The Madness of King George ปี พ.ศ. 2557 และโดย Golda Rosheuvel ใน Bridgerton ภาพยนตร์ซีรีส์ของ Netflix ในปี พ.ศ. 2563 ที่บอกเล่าชีวิตสังคมชั้นสูงของอังกฤษในยุคปี พ.ศ. 2356 โดยย้อนยุคโรแมนติกทั้งหมด 8 ตอน

มีสถานที่มากมายซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระราชินี Charlotte ได้แก่ สถานที่ที่ตั้งชื่อตามพระองค์ ได้แก่ หมู่เกาะ Queen Charlotte (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Haida Gwaii) ในมณฑลบริติชโคลัมเบีย แคนาดา และ Queen Charlotte City บน Haida Gwai i; Queen Charlotte Sound (ไม่ไกลจากหมู่เกาะ Haida Gwaii); Queen Charlotte Channel (ใกล้นครแวนคูเวอร์ มณฑลบริติชโคลัมเบีย แคนาดา); Queen Charlotte Bay ใน West Falkland; Queen Charlotte Sound เกาะใต้ นิวซีแลนด์; ป้อมปราการหลายแห่งรวมทั้งป้อมชาร์ลอตต์เซนต์วินเซนต์; ชาร์ลอตส์วิลล์เวอร์จิเนีย; ชาร์ลอตต์ทาวน์, เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด; ชาร์ล็อต นอร์ทแคโรไลนา เมคเลนบูร์กเคาน์ตี้ นอร์ทแคโรไลนา; เมคเลนบูร์กเคาน์ตี้ เวอร์จิเนีย; Charlotte County, Virginia, Charlotte County, Florida, Port Charlotte, Florida, Charlotte Harbor, Florida และ Charlotte รัฐเวอร์มอนต์ Queen Street หรือ Lebuh Queen ตามที่รู้จักกันในภาษามาเลย์เป็นถนนสายหลักในปีนัง มาเลเซีย ซึ่งก็ตั้งชื่อตามพระองค์ ในตองกาพระราชวงศ์รับพระนามว่า Sālote (Charlotte ในภาษาตองกา) เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ได้แก่ Sālote Lupepauʻu และSālote Tupou III

ระยอง จัดกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ และเที่ยวชมความงามสถานที่ท่องเที่ยว “ปั่นราย็อง ท่องริมเล” เรียกความเชื่อมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยว หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.64 ที่บริเวณสนามสวนศรีเมือง อ.เมืองระยอง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานเปิดกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ และเที่ยวชมความงามสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด “ปั่นราย็อง ท่องริมเล” มีว่าที่ ร.ต.พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายอินทรีย์ เกิดมณี ปลัดจังหวัดระยอง นางสาวสายทอง จิตต์สว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดระยอง นายพงษ์อนันต์ จันทร์ไพร ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดระยอง หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และนักปั่นจำนวน 1,000 คนร่วมกิจกรรมฯ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะทาง ได้แก่ 30 กิโลเมตร 60 กิโลเมตร และ 100 กิโลเมตร บนเส้นทางเลียบแนวชายฝั่งทะเลหาดแม่รำพึงถึงชายหาดแหลมแม่พิมพ์ รวมทั้งแวะเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ 15 จุดของจังหวัด เช่น เรือรบประแสร์ สะพานรักษ์แสม ทุ่งโปรงทอง สวนพฤษศาสตร์บ้านเพ ลานหินขาว หาดแม่รำพึง

นางสาวสายทอง จิตต์สว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดระยอง กล่าวว่า จังหวัดระยอง ได้ประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมรวมถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดระยอง ซึ่งสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว จึงได้มีการจัดกิจกรรมปั่นจักรยาน “ปั่นราย็อง ท่องริมเล” ขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดระยอง ส่งเสริมกิจกรรมด้านสุขภาพและความตระหนึกถึงความสำคัญการออกำลังกายจนนำไปสู่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง


ภาพ/ข่าว : วฐิต กลางนอก  / ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครนายก จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบของ Event Maketing ให้คนไทยท่องเที่ยวในภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดนครนายก เพื่อการกระจายรายได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ

ที่บริเวณลานอเนกประสงค์เขื่อนขุนด่านปราการชล ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก นายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลกินกุ้ง กินปลาและของดีเมืองนครนายก ในวันที่ 20 - 21มีนาคม 2564 โดยมี จ่าสิบตำรวจสกล ทอง คำ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครนายก พร้อมคณะให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน

ทั้งนี้เพื่อกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบของ  Event Maketing ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครนายก เพื่อการกระจายรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดนครนายก อาทิ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านค้า รานอาหาร สินค้าของฝากของที่ระลึกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 กระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้หมุนเวียนตามแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในวิถีปกติใหม่ New Nomal ที่จะสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว เป็นการยกระดับการท่องเที่ยวที่สะอาด สะดวก ปลอดภัย และคนในพื้นที่ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นรูปแบบมหกรรมอาหารเมนู กุ้ง ปลา และของดีของฝากจากนครนายก โดยรวบรวมร้านอาหารจกกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง-ปลาในพื้นที่ และสินค้าชุมชน จากชุมชนที่มีเอกลักษณ์ในท้องที่ เพลิดเพลินไปกับการแสดงศิลปะพื้นบ้าน ลิเกชื่อดัง ”ศรราม น้ำเพชร” และวงดนตรีข้าวเปลือก ที่จะมาสร้างสีสันในงาน


ภาพ/ข่าว : สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่  ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

ดอกแบบเบี้ยใหม่ ได้ใจลูกหนี้เต็ม ๆ

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา หลายท่านอาจจะเห็นข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ คือ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงเรื่องดอกเบี้ยในรอบเกือบ ๆ 100 ปีนับแต่ที่ ป.พ.พ. เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468

โดยสาระสำคัญของการแก้ไขดังกล่าว คือ การปรับลดดอกเบี้ยในกรณีที่คู่สัญญาไม่ได้ตกลงกันไว้จากร้อยละ 7.5 ต่อปี เหลือเพียงร้อยละ 3 ต่อปี และปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เหลือเพียงร้อยละ 5 ต่อปี รวมทั้งเปลี่ยนวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดให้คิดบนฐานของเงินต้นที่ผิดนัดจริง ไม่รวมส่วนของเงินต้นหรือค่างวดในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

แต่ลูกหนี้ทั้งหลายอย่าพึ่งดีใจไปนะครับ เพราะ กฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับในตอนนี้ เพราะหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำร่างกฎหมายนั้นเข้าไปสู่กระบวนการพิจารณาของดังกล่าวยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีก 3 วาระ แล้วหลังจากนั้นถึงจะมีผลเป็นกฎหมายออกมาให้เราได้ใช้กัน ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. จะยังไม่มีผลใช้บังคับ แต่เมื่อปีที่แล้ว (2563) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ออกประกาศ เรื่อง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ ออกมาโดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 แล้ว

แปลว่า การกู้ยืมเงินกับธนาคารหรือสถาบันการเงินใด ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. จะต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวแล้ว ไม่ต้องรอให้สภาผู้แทนมีมติแก้ไข ป.พ.พ. แต่อย่างใด

สาระสำคัญของประกาศ ธปท. นั้นจะคล้ายกับร่างแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. นั่นแหละครับ คือ มีการปรับปรุงแก้ไขวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน รวมถึงกำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ให้มีความเป็นธรรมกับลูกหนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งประกาศของ ธปท. ดังกล่าวจะมีแนวปฏิบัติที่สำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้ครับ

หนึ่ง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะ “ต้องคิดบนฐานของเงินต้นที่ผิดนัดจริง” ห้ามนำเงินต้นที่คงค้างทั้งหมด หรือเงินค่างวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระเข้ามารวมเพื่อคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าว

มาลองดูตัวอย่างกันครับ สมมุติว่านายสมชายกู้เงินซื้อบ้าน 5 ล้านบาท กำหนดผ่อนชำระ 20 ปี คิดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 8 ต่อปี ตกลงค่างวดไว้ 42,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันนายสมชายผ่อนชำระไปแล้ว 24 งวด งวดที่ 25 เกิดผิดนัด และมาชำระล่าช้าไป 1 เดือน ทั้งนี้ ในสัญญาได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้ร้อยละ 10 ต่อปี นายสมชายจะต้องชำระหนี้ดอกเบี้ยผิดนัด ดังนี้

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม แม้นายสมชายผิดนัดชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่ง แต่ธนาคารจะถือว่านายสมชายผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาทั้งหมด การคิดดอกเบี้ยผิดนัดนั้น ธนาคารจะนำเงินต้นคงค้างทั้งหมดมาคิดดอกเบี้ยจากนายสมชาย เช่นกรณีนี้ นายสมชายยังเหลือหนี้เงินต้นอีก 4.77 ล้านบาท นายสมชายจะต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 10 ต่อปี จากยอดเงินต้น 4.77 ล้านบาท

ดังนั้น นายสมชายจะต้องชำระเงินดอกเบี้ยผิดนัด 1 เดือน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น

                                     4,770,000 x 2% x 30/365 = 7,841.10 บาท

และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยค้างชำระในงวดที่ 25 นายสมชายจะต้องชำระดอกเบี้ยรวม 32,000 + 7,841.10 = 39,841.10 บาท

แบบใหม่ ตามประกาศของ ธปท. ที่แก้ไขใหม่ ธนาคารจะไม่สามารถนำเงินต้นคงค้าง 4.77 ล้านบาทมาคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ ธนาคารจะต้องพิจารณาก่อนว่าในงวดที่ 25 ที่นายสมชายผิดนัดชำระหนี้นั้น งวดดังกล่าวมีเงินต้นที่นายสมชายจะต้องชำระอยู่เท่าไหร่ แล้วหลังจากนั้นธนาคารค่อยเงินต้นในงวดดังกล่าวมาคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้

จากตัวอย่าง งวดที่ 25 ที่นายสมชายผิดนัดชำระหนี้นั้น ความจริงแล้วมีเงินต้นที่ค้างชำระเพียง 10,000 บาท แปลว่าธนาคารจะคิดดอกเบี้ยผิดนัดกับนายสมชายได้เพียง

                                           10,000 x 2% x 30/365 = 16.44 บาท

และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยค้างชำระในงวดที่ 25 นายสมชายจะต้องชำระดอกเบี้ยรวม 32,000 + 16.44 = 32,016.44 บาท แปลว่าตามประกาศใหม่ของ ธปท. นายสมชายจะสามารถประหยัดดอกเบี้ยผิดนัดลงได้เกือบ ๆ 8 พันบาทเลยทีเดียว

สอง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ได้แค่ “อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวกไม่เกิน 3%” เท่านั้น ไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดได้เองอีกต่อไป

สมมุติว่านายสมชายกู้เงินธนาคาร 1 แสนบาท โดยตกลงดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 8 ต่อปี หากนายสมชายผิดนัดชำระหนี้

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม ธนาคารสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดชำระหนี้เท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เช่น ธนาคารอาจกำหนดไว้ที่อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ก็ได้

แบบใหม่ ตามประกาศของ ธปท. ที่แก้ไขใหม่ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวก 3% ดังนั้นในกรณีตามตัวอย่างที่ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นายสมชายไว้ร้อยละ 8 ต่อปี ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากนายสมชายได้สูงสุดเพียงร้อยละ 8 + 3 = 11 ต่อปีเท่านั้น

สาม กำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะ “ต้องตัดชำระค่างวดที่ค้างขำระนานที่สุดเป็นลำดับแรก” ไม่ใช่นำเงินที่ชำระเข้ามาไปตัดค่าธรรมเนียม ตามด้วยดอกเบี้ยก่อน แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือไปตัดเงินต้นแบบในอดีต

ตัวอย่างเช่น นายสมชายขอสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคาร และตกลงกันชำระเงินค่างวดกัน 10,300 บาทต่อเดือน โดยค่างวด 10,300 บาทนั้น ความจริงแล้วเป็นการชำระคืนเงินต้น 6,000 บาท ดอกเบี้ย 4,000 บาท และค่าธรรมเนียม 300 บาท หากนายสมชายค้างชำระ 3 งวด แล้วนำเงินมาชำระ 10,300 บาท

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม ธนาคารจะนำเงิน 10,300 บาทนั้นไปชำระค่าธรรมเนียมที่ค้าง 3 งวดก่อน จากนั้นนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระดอกเบี้ย และถ้ามีเหลือถึงจะไปชำระคืนเงินต้น

                             เงินที่นายสมชายชำระเข้ามา                   10,300 บาท

                             ชำระค่าธรรมเนียม 3 งวด                     10,300 – (300 x 3)   =   9,400 บาท

                             ชำระดอกเบี้ยที่ค้าง 3 งวด                     9,400 – (4,000 x 3)  = - 2,600 บาท

แปลว่าเงิน 10,300 บาทนั้นจะชำระได้เพียงค่าธรรม 900 บาท และดอกเบี้ย 9,400 บาทเท่านั้น นายสมชายยังคงค้างดอกเบี้ยอีก 2,600 บาท และที่สำคัญ คือ เงินที่นายสมชายชำระเข้ามาดังกล่าว ไม่ได้ไปชำระคืนเงินต้นเลยแม้แต่บาทเดียว

แบบใหม่ ธนาคารจะต้องนำเงิน 10,300 บาท นั้นไปชำระค่างวดที่ค้างชำระเก่าที่สุดก่อน ซึ่งค่างวดนั้นจะหมายความรวมถึงค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และเงินต้น

แปลว่าตามประกาศ ธปท. ฉบับใหม่ เงิน 10,300 บาทที่นายสมชายจ่ายเข้ามานั้นจะไปชำระค่าธรรมเนียม 300 บาท ดอกเบี้ย 4,000 บาท และเงินต้น 6,000 บาท ของงวดเก่าสุดที่ค้างอยู่ ซึ่งจะต่างจากแบบเดิมที่เงิน 10,300 บาท ของนายสมชายจะไม่ถูกนำไปชำระคืนเงินต้นเลย

จะเห็นได้ว่าประกาศของ ธปท. ฉบับใหม่นี้ช่วยให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้คืนได้มากขึ้น ไม่เจอสภาวะหนี้สินแบบดินพอกหางหมู ที่ชำระเข้าไปเท่าไหร่ เงินนั้นก็ถูกนำไปชำระแต่ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย โดยเงินต้นไม่ลดลงเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะสามารถชำระหนี้คืนทั้งหมดได้เมื่อไหร่ และสุดท้ายก็อาจถูกฟ้องบังคับยึดทรัพย์สิน หรือต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายไป

สุดท้ายนี้ ผมก็ต้องขอฝากท่านผู้อ่านเอาไว้ว่า แม้กฎหมายจะออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ เราจะต้องไม่ก่อหนี้เกินตัว และเมื่อมีหนี้แล้วเราก็ต้องมีวินัยในการชำระหนี้คืนด้วย เพราะปัญหาหนี้สินนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมากจริง ๆ

ศึกษาประกาศ ธปท. เพิ่มเติมได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2563/ThaiPDF/25630272.pdf

อย่ามองข้าม “ตลาดชนบทอินเดีย”

คนทั่วไปมักจะมองว่าอินเดียมีแต่ผู้คนที่ยากจนไม่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท ซึ่งแน่นอนว่าผู้บริโภคอินเดียในเขตชนบทย่อมมีกำลังซื้อต่ำกว่าคนในเขตเมือง แต่ถ้าคิดให้ดีจะพบว่าไม่ว่าคนรวยหรือคนจน ยังไงๆก็ต้องกินต้องใช้สินค้าที่จำเป็นขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งก็คือสินค้าอุปโภคบริโภคที่นิยมเรียกกันว่า FMCG หรือ Fast-Moving Consumer Goods นั่นเอง โดย FMCG จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขายได้เร็วเพราะคนทั่วไปต้องใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป

ที่สำคัญก็คือ แนวโน้มการบริโภคสินค้า FMCG ในเขตชนบทของอินเดียกลับมีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดชนบทอินเดียประกอบไปด้วยหมู่บ้านประมาณ 650,000 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 850 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของประชากรทั้งหมดของอินเดียและมีสัดส่วนของ GDP อยู่ที่ประมาณ 50% ของ GDP รวมทั้งประเทศ

และด้วยแนวโน้มการขยายตัวในอัตราสูงอย่างต่อเนื่องรวมทั้งมีผู้บริโภคจำนวนมหาศาล ก็เลยส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทจําหน่ายสินค้า FMCG  หลายบริษัทในอินเดียกลับมาบุกตลาดชนบทอินเดียอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าผู้บริโภคในชนบทจะเลือกซื้อสินค้าที่มีแบรนด์แทนสินค้าขายปลีกที่ไม่มีแบรนด์ ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทเหล่านี้ในการผลักดันผลิตภัณฑ์อาทิ สบู่ แชมพู บิสกิต เครื่องดื่ม และอาหารแปรรูปในบรรจุภัณฑ์ แม้ว่าอาจจะต้องตั้งราคาต่ำกว่าก็ตาม โดยอุปสงค์ในสินค้า FMCG จากตลาดชนบทเติบโตเร็วกว่าจากตลาดในเมืองมาหลายไตรมาสแล้ว และคาดว่าอุปสงค์ในเมืองเล็กและเขตชนบทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Nestle India วางแผนที่จะขยายการเข้าถึงผู้บริโภคในเขตชนบทเพิ่มขึ้น 120,000 หมู่บ้านภายในปี 2567 โดย Nestle India พยายามที่จะขยายตลาดไปยังเขตชนบทมาหลายปีแล้ว โดยในปี 2560 สินค้าของบริษัทฯ วางจําหน่ายอยู่ในหมู่บ้านราว 1,000 หมู่บ้านทั่วประเทศ แต่ในปี 2561 ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 89,000 หมู่บ้าน ทั้งนี้ ยอดขายราว 75% ของ Nestle India มาจากเขตเมือง และที่เหลือมาจากเขตชนบท เพราะฉะนั้นการขยายตลาดไปยังเขตชนบทเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปรับสัดส่วนสินค้าหรือการออกสินค้าใหม่ที่ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัท Nielsen ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดระบุว่ายอดขายสินค้า FMCG ในเขตชนบทคิดเป็น 39% ของยอดขายสินค้า FMCG ในอินเดียทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าตลาดชนบทอินเดียยังเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ Nielsen ยังระบุอีกว่าตลาด FMCG ในเขตชนบทยังขยายตัวอยู่ในอัตราสูงราว 14.2% ในเดือนธันวาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนในเขตเมืองเติบโตเพียง 0.8% เท่านั้น ซึ่งตลาดชนบทในช่วงก่อน COVID-19 เติบโตอย่างเชื่องช้าเนื่องจากข้อจํากัดด้านรายได้ แต่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทําให้มีการอพยพออกจากเมืองใหญ่มากขึ้น และการบริโภคในเขตเมืองเล็กและชนบทก็เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการขยายตัวของรายได้ต่อหัวในตลาดเหล่านี้อาจมีความท้าทายอยู่ บริษัท FMCG จึงอาจจะใช้กลยุทธ์ในการออกสินค้าแบบเน้นความคุ้มค่า (Value Pack) เพื่อที่จะแข่งขันกับคู่แข่งในท้องถิ่นได้

Marico เป็นอีกหนึ่งบริษัท FMCG ของอินเดียที่ได้เพิ่มจํานวนผู้ค้าส่งในเขตชนบท ซึ่งทําให้บริษัทฯอาจจะสามารถขยายการกระจายสินค้าได้ถึง 20% ในอีกไม่กีปีข้างหน้า เช่นเดียวกับบริษัทผลิตบิสกิต Britannia Industries ที่ได้เพิ่มจํานวนผู้จัดจําหน่ายในตลาดชนบทจาก 19,000 รายในเดือนมีนาคม 2563 เป็น 23,000 รายในเดือนธันวาคม 2563

ทั้งนี้ การบริโภคในเขตชนบทอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากระดับรายได้และความต้องการสินค้าใหม่ๆที่เพิ่มขึ้น โดยตลาดสินค้า FMCG ในเขตชนบทคาดว่าจะเติบโตจาก 2.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ  ในปี 2561 เพิ่มเป็น 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม การซื้อขายในตลาดชนบทส่วนใหญ่ยังเป็นการค้าขายแบบค้าปลีกตามร้านค้าขนาดเล็กและไม่เป็นระบบ (Kirana Store) หรือเรียกง่ายๆแบบบ้านเราก็คือร้านโชห่วยนั่นเอง ผู้ค้าสินค้า FMCG ขนาดใหญ่ที่เป็นระบบจึงอาจจะวางแผนเจาะตลาดโดยการสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านร้านค้าปลีกที่ทันสมัย และมีการกระจายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซไปพร้อมกัน เนื่องจากคาดว่าการจับจ่ายเพื่อซื้อสินค้า FMCG ในอินเดียในปี 2563 กว่า 40% จะเป็นการซื้อขายออนไลน์ ทั้งยังคาดว่าตลาด FMCG ออนไลน์ในอินเดียในปี 2563 มีมูลค่ากว่า 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2560

อย่างไรก็ตาม แม้การบริโภคสินค้า FMCG ส่วนใหญ่จะมาจากเขตเมือง แต่การบริโภคสินค้า FMCG บางประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์ดูแลเสื้อผ้า และเครื่องดื่มร้อนราว 40% มาจากเขตชนบท ส่วนสินค้าประเภทอาหาร เบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม คาดว่าจะเติบโตทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท โดยผู้เล่นสําคัญในตลาด FMCG อินเดียในปัจจุบัน ได้แก่ HUL (Hindustan Unilever Ltd.), ITC (Indian Tobacco Company), Nestle India, GCMMF (AMUL), Dabur India, Asian Paints (India), Cadbury India, Britannia Industries, Procter & Gamble (P&G) Hygiene and Health Care, Marico Industries, Nirma, Coca-Cola และ Pepsi เป็นต้น โดย HUL และ Dabur India มียอดขายกว่าครึ่งมาจากเขตชนบทของอินเดียซึ่งมีประชากรราว 850 ล้านคน และเป็นคนที่อยู่ในวัยทํางานราว 400 ล้านคน

โดยเฉลี่ยแล้วชาวอินเดียในเขตชนบทมีกําลังซื้อน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของชาวอินเดียในเขตเมือง แต่ก็ถือเป็นตลาดใหม่ (Untapped Market) ที่ผู้เล่น FMCG หลายรายกําลังพยายามเข้าไปตีตลาดให้ได้ และด้วยสาเหตุที่หลายบริษัทยังคงมีมาตรการให้พนักงานทํางานที่บ้าน ประกอบกับการอพยพย้ายกลับเมืองเล็กหลังมาตรการล็อคดาวน์ในเดือนมีนาคม 2563 ทําให้การบริโภคในเมืองรองและชนบทเติบโตขึ้น นอกจากนี้ การเข้าถึงสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตรวมถึงความนิยมในอีคอมเมิร์ซก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทําให้ตลาดชนบทเป็นที่น่าสนใจไม่แพ้ตลาดในเมืองใหญ่เช่นกัน

ก็ขอฝากส่งท้ายไว้ว่าอินเดียยังมีอะไรให้เราแสวงหาอีกมากมายโดยเฉพาะ “โอกาส” ที่รอให้เราเปิดใจที่จะพบและคว้าไว้...แม้แต่ “ตลาดชนบท” ที่เรารู้สึกว่ายากจน แต่สุดท้ายก็ยังมี “โอกาส” ให้ทุกคนวิ่งเข้าไปแย่งชิงกันในที่สุด

อบจ.สุโขทัย ชวนเที่ยว ชมไม้งาม รับลมคลายร้อนในทะเลหลวง

"ดอกเสลา" ม่วงขาวพราวสีสัน สวยทั้งวันบานพลิ้วลมไสว "กัลปพฤกษ์"ชมพูอ่อนเย้ายวนใจ "เหลืองปรีดียาธร" สดใสรับอรุณ มาเช็คอิน ถ่ายรูป ดอกไม้บานรับลมร้อน ที่บริเวณแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ ทุ่งทะเลหลวงสุโขทัย

เกาะกลางรูปหัวใจ เป็นที่รู้จักกันคือบริเวณทุ่งทะเลหลวง ตั้งอยู่ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชมธรรมชาติ และเก็บน้ำขนากกลาง  “แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ” หรือเรียกโดยทั่วไปว่า “เกาะรูปหัวใจ” พื้นที่แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางทุ่งทะเลหลวง มีเขตติดต่อกันถึง 3 ตำบล ต.ปากแคว ต.บ้านกล้วย ต.ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจแห่งนี้ ได้เกิดจากแนวคิดโครงการแก้มลิง ซึ่งเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซากในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยได้เริ่มทำโครงการสร้างแหล่งเก็บน้ำขึ้น ในปี พ.ศ. 2545 โดยใช้บริเวณทะเลหลวงซึ่งเป็นแหล่งเก็บน้ำในอดีต โดยได้มีการขุดลอกพื้นที่และขุดคลองเผื่อผันน้ำเข้ากักเก็บไว้ในพื้นที่เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ เเละได้มีการออกแบบให้เป็นรูปหัวใจ

จนถึงปัจจุบันนี้ โครงการแก้มลิงทุ่งทะเลหลวง และแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ ซึ่งมีนายมนู พุกประเสริฐ นายกอบจ. ได้ส่งเสริมให้ “เกาะกลางรูปหัวใจ” ทุ่งทะเลหลวงแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อน สถานที่ท่องเที่ยว แขกบ้านต่างเมือง และส่งเสริมให้เป็นที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสุโขทัย ในเชิงสุขภาพ ความสดชื่นเบิกบานใจเชิงธรรมชาติร่มรื่น  สร้างความสุขให้กับผู้มาเยือนและคนในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย มีแหล่งท่องเที่ยว มีที่พักผ่อน มีสวนสุขภาพที่ทำให้หายเหนื่อยจากการทำงาน และสภาวะต่าง ๆ มาเติมพลังและเพิ่มความสุขยังทุ่งทะเลหลวงแห่งนี้

ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุโขทัยไปแล้ว โดยบริเวณพื้นที่บนเกาะนั้น ได้มีการปลูกต้นไม้เพื่อความร่มรื่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยว และผู้คนที่มาออกกำลังกาย เเละยังได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ในการจัดงานในวันสำคัญต่าง ๆ อาทิ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา นอกจากเป็นที่ตั้งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัยแล้ว ยังมีส่วนราชการสำคัญ ๆ หลายหน่วยงานได้เข้ามาทำการปลูกสร้างและจัดเป็นส่วนราชการในอนาคตต่อไป เพื่อความคล่องตัวและขยายพื้นที่ของจังหวัดสุโขทัยให้กว้างและคล่องตัวมากขึ้น  และสร้างอาคารสำคัญเช่น สนามกีฬา สนามฟุตบอลสโมสรสุโขทัยเอฟซีที่โด่งดัง และสวนสาธารณะไว้ในพื้นที่โดยรอบ ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญแห่งใหม่ของจังหวัดสุโขทัยในอนาคตข้างหน้า

ลักษณะเด่นแก้มลิง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ ทะเลหลวงเป็นแหล่งเก็บน้ำ โอบล้อมด้วยทิวเขาหลวงมีเกาะกลางเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ เป็นความงดงามเพียงหนึ่งเดียวในโลก โดดเด่นจากการสร้างสรรค์จากน้ำ  อยากให้นักที่องเที่ยวทั้งต่างจังหวัด และในพื้นที่ เดินทางมาพักผ่อน  คลายร้อน รับโอโซนของของธรรมชาติ และดอกไม่เด่น ๆ สวยงาม ที่ผลิดอก ออกใบ สวยงามสะพรั่งขณะนี้  มีทั้ง "ดอกเสลา" ม่วงขาวพราวสีสัน สวยทั้งวันบานพลิ้วลมไสว "กัลปพฤกษ์" ชมพูอ่อนเย้ายวนใจ "เหลืองปรีดียาธร" สดใสรับอรุณ มาเช็คอิน ถ่ายรูป ดอกไม้บานรับลมร้อน ที่บริเวณแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์รูปหัวใจ ทุ่งทะเลหลวงสุโขทัย


ภาพ/ข่าว  สุริยา ด้วงมา สุโขทัย

ผู้ว่าฯ ระยอง เปิดงานมหกรรมรวมพลังขับเคลื่อนจังหวัด น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยพลัง “บวร”

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 18.00 น. ที่วัดละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมรวมพลังขับเคลื่อนจังหวัดคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยพลัง “บวร”

จังหวัดระยอง มีพระเทพสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดระยอง มหานิกาย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระราชปริยัติโมลี เจ้าคณะจังหวัดระยอง ธรรมยุตนิกาย นายอนันต์ นาคนิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายวรวุฒิ ด่านสมพงศ์ วัฒนธรรมจังหวัดระยอง นายดาระใน ยี่ภู่ นายอำเภอบ้านค่าย หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ภายใต้วิถีนิวนอร์มอล  ภายในงานมีกิจกรรมแสง สี เสียง สื่อผสม การแสดงวัฒนธรรม การออกร้านจำหน่ายอาหารและของดีทั้ง 8 อำเภอ การแสดงดนตรีแบบผสมผสานวงกะหลุกแบนด์ คิดบวกสิบป์ และการแสดงจากกุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ 

นายอนันต์ นาคนิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรม คุณธรรม สร้างค่านิยมจิตสำนึกที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกลไก “ประชารัฐ” ให้ครอบคลุมมิติด้านศาสนา ด้านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และวิถีวัฒนธรรมไทย โดยเน้นสร้างความเข้มแข็งจากภายในและใช้คุณธรรมในการพัฒนาสร้างคนไทยและสังคมคุณธรรมที่เกื้อกูลและแบ่งปัน 

นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า จังหวัดระยองมีอำเภอคุณธรรม 8 อำเภอ และชุมชนคุณธรรม 170 แห่ง โดยการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมชุมชนคุณธรรม เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมด้านหลักธรรม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วัฒนธรรมไทย ส่งเสริมให้วัด ศาสนสถาน ชุมชน และสถานศึกษา เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมด้านคุณธรรม รวมทั้งน้อมนำหลักธรรมทางศาสนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติปรับใช้ในชุมชนให้มีรายได้ ทั้งผลิตภัณฑ์ชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ภายหลังจากสถานการณ์โควิด19 ในจังหวัดระยองคลี่คลาย


ภาพ/ข่าว : เดชา สุวรรณสาร ทีมข่าวภาคตะวันออก

ผู้ว่าฯ ปู คืนสู่สาคร คนแห่ต้อนรับเนืองแน่น ด้านพ่อเมืองบอกรักและคิดถึงที่สุดสมุรสาคร อีก 1 เดือนพร้อมสู้ต่อ

เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 19 มีนาคม 2564  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์  แพทย์ผู้ให้การดูแลฯ ได้เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี (ภริยา) นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร และ นางสาววีราพร หรือ น้องน้ำหวาน วิจิตร์แสงศรี (บุตรสาว) เพื่อพบปะกับ นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนที่มาร่วมกันต้อนรับอย่างเนืองแน่น

โดยเมื่อขบวนรถของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครมาถึง คนที่มาต้อนรับก็ปรบมือส่งเสียงดีใจ ที่ท่านเดินทางกลับมาที่สมุทรสาครด้วยใบหน้าที่สดใส มีรอยยิ้มและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น แม้จะยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดและครอบครัว ก็ได้โบกมือทักทายทุกคน พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณที่ทุกคนรักและมารอต้อนรับ ก่อนที่จะเข้าห้องประชุมพันท้ายนรสิงห์ฯ เพื่อพบปะกับผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ประมาณ 30 คน

สำหรับในห้องประชุมหลังจากที่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ ได้เล่าให้ฟังถึงอาการท่านผู้ว่าฯ และแนวทางการรักษา ตลอดจนกำลังใจที่มีส่วนสำคัญทำให้ท่านผู้ว่าฯ ฟื้นคืนร่างกายกลับมาได้โดยเร็วแล้วนั้น ทางนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกตั้งแต่เริ่มแรกที่รู้ว่าติดเชื้อโควิด – 19 จนกระทั่งนอนอยู่ในโรงพยาบาลแบบไม่รู้สึกตัว 43 วัน และต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชทั้งหมด 82 วัน

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการเล่าเรื่องจากแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของโรงพยาบาลสนามที่ตนมุ่งหวังและเชื่อมั่นว่าจะเป็นแนวทางในการป้องกันแก้ไขสถานการณ์โควิดให้ลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน จนกระทั่งเมื่อตนเองรู้สึกตัวและสามารถขยับร่างกายได้แล้วนั้น ก็ได้อ่านข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิดที่สมุทรสาครมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รับรู้ความเคลื่อนไหว ความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำใจจากทุกภาคส่วนที่หลั่งไหลสู่สมุทราสคร และความรัก ความสามัคคีของคนสมุทรสาคร ตลอดจนกำลังใจที่ส่งต่อมาให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครอย่างล้นหลาม

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะบอกกับคนสมุทรสาครคือ “รักและคิดถึงสมุทรสาครมากที่สุด” แม้ตนเองจะไม่ใช่คนสมุทรสาคร แต่การที่ได้มาทำงานที่นี่กว่า 1 ปี ก็รักและคิดถึงที่นี่มากแม้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านก็เสมือนบ้านของตนเอง โดยสถานการณ์โควิด – 19 วันนี้ เป็นบททดสอบที่สำคัญยิ่ง ซึ่งคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมสถานการณ์ ทั้งนี้ตนก็เชื่อว่าการระบาดครั้งนี้จะต้องมีจุดจบ สมุทรสาครจะต้องสามารถกลับขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของคนสมุทรสาคร ที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้ชนะโควิดได้ในเร็ววันนี้ ส่วนตัวนั้นขอเวลาอีกประมาณ 1 เดือนในการพักฟื้นร่างกายตามคำสั่งของแพทย์ หลังจากนั้นจะกลับมาทำงานรับใช้พี่น้องชาวสมุทรสาคร 

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ยังบอกทิ้งท้ายด้วยอารมณ์แห่งความสุขและเรียกรอยยิ้มด้วยว่า ถ้าวันที่หายเป็นปกติสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว คิดว่าจะลงพื้นที่ไหนเป็นจุดแรกนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะทุกพื้นที่สำคัญเหมือนกันหมด หากจะระบุไปที่ใดที่หนึ่งกลัวจะทำให้พื้นที่อื่นเกิดความน้อยใจ เพราะการทำงานเลือกพื้นที่ไม่ได้ คงต้องดูความเหมาะสมหรือความจำเป็นในขณะนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ บอกไม่ได้ตอนนี้ เพราะกลัวภริยาจะรู้ ห้ามไม่ให้ไปทำงาน

ทั้งนี้หลังจากที่ใช้เวลาในห้องประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ได้มีการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อแรกที่สมุทรสาคร โดยมีเมนูโปรดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคือ ข้าวผัดปู ต้มส้มปลากระบอก ปลาหมึกผัดกะปิ กุ้งซอสมะขาม ลอดช่องวัดเจษ และลำไยพวงทอง ส่วนการรับประทานอาหารนั้นก็จัดเป็นเซ็ตสำหรับแต่ละท่าน มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการ New Normal


ภาพ/ข่าว  ชูชาต แดพยนต์ สมุทรสาคร

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันน้ำโลก 22 มี.ค. 64 ขอให้ประชาชนทุกพื้นที่ใช้น้ำอย่างมีคุณค่า เลี่ยงปัญหาภัยแล้ง เพื่ออนาคตมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์กุดเมืองฮาม ต.กุดเมืองฮาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ นายวราวุธ   ศิลปะอาชา  รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์  ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ คณะผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาตรวจราชการโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5  ได้รับงบประมาณตามแผนปี พ.ศ. 2560 ดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม โดยการขุดลอกพื้นที่ความยาวรวม 3,921.38  เมตร เพื่อเป็นแก้มลิงไว้กักเก็บน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ในการบรรเทาความเดือดร้อนด้านการอุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร โดยใช้งบประมาณ 23,900,000 บาท สำหรับประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือมีปริมาณความจุเก็บกักน้ำเพิ่มจำนวน 6,648,792 ลบ.ม. พื้นที่การเกษตรได้รับประโยชน์ 800 ไร่  ครัวเรือนได้ประโยชน์ 200 ครัวเรือน โดยมีนายวิชัย    ตั้งคำเจริญ รอง ผวจ.ศรีสะเกษ และนายสุพร  ธีรโรจน์ชาลี  นายอำเภอยางชุมน้อย  พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ประชาชนชาวบ้านกุดเมืองฮาม มาให้การต้อนรับ

นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นี้เป็นการดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้ และเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีลักษณะโครงการดังนี้ ติดตั้งถังไฟเบอร์กลาส ขนาดความจุ 100,000ลิตร จำนวน 3 ถัง แผงเซลล์แสงอาทิตย์พร้อมโครงสร้าง ขนาดแผงละ 330 วัตต์ จำนวน 96  แผงชุดเครื่องสูบน้ำ สามารถสูบน้ำได้ 60 ลบ.ม/ชม ระบบกระจายน้ำด้วยท่อ HDPE ความยาว 2,430  เมตร งบประมาณ 16,998,100  บาท  ผลงานก่อสร้างปัจจุบันร้อยละ 55.09 เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการทำเกษตร จำนวน 1,225 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 418  ครัวเรือน และยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จากการเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อย เช่น พริก และหอมแดง เป็นต้น

นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 64 ซึ่งเป็นวันน้ำโลก ตนเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีเพราะมีน้ำต้นทุนที่เรียกว่าน้ำฝนเพียงพอ แต่วันนี้เราคงต้องมาตระหนักในเรื่องของน้ำ จะต้องใช้น้ำทุกหยดอย่างมีคุณค่า และรักษาคุณภาพของลำน้ำที่เรามีอยู่นั้นให้มีคุณภาพสะอาดมีความใส  ซึ่งในวันนี้ทางรัฐบาลกำลังร่วมกันรณรงค์ทำอย่างไรที่จะให้น้ำเข้าถึงพี่น้องประชาชนมากที่สุด ในขณะเดียวกันพี่น้องประชาชนก็จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ในการเก็บน้ำฝนลงดิน ในการทำน้ำใต้ดิน ซึ่งตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับคนไทยของเรา ขอฝากพี่น้องประชาชนชาวไทยในเรื่องนี้

นายวราวุธ ศิลปะอาชา  รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเห็นโครงการที่มีประโยชน์ และพี่น้องได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมุ่งมั่นในการบริหารจัดการน้ำ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ชุมชนของเราพัฒนาเจริญอย่างยั่งยืน โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ เป็นโครงการที่กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการต่อยอดจากโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม ซึ่งแต่เดิมมีปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก จึงได้พัฒนาเป็นพื้นที่แก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำ ซึ่งสามารถลดผลกระทบจากภาวะน้ำแล้ง น้ำท่วมแต่ประชาชนในพื้นที่ยังไม่สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวก จึงต่อยอดดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ 

รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 64  ซึ่งเป็นวันน้ำโลก ตนขอฝากถึงประชาชนชาวไทยทั่วประเทศว่า  น้ำทุกหยดนับวันจะมีค่ามากขึ้นและหายากมากขึ้น ทรัพยากรน้ำเป็นทรัพยากรที่มีความหมายต่อชีวิตมนุษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอุปโภคบริโภค เพื่อการเกษตร การทำอุตสาหกรรม และแม้แต่การรักษาระบบนิเวศน์ ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำแล้ว การอนุรักษ์น้ำ การเพิ่มเติมน้ำเข้าไปในใต้ดิน หรือแม้แต่โครงการธนาคารน้ำใต้ดินเข้าไปเป็นสิ่งที่มีความสำคัญพอ ๆ กัน  ตนจึงขอฝากพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ว่า ขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและใช้น้ำอย่างมีคุ้มค่า และให้ช่วยกันปลูกป่า เพื่อว่าในอนาคตเราจะได้มีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์  จะได้ไม่ต้องเจอปัญหาภัยแล้งอย่างที่เราเคยเจอมาอย่างในอดีตที่ผ่านมา


ข่าว/ภาพ : บุญทัน ธุศรีวรรณ  ศรีสะเกษ

เริ่มแล้ว "งานกระบี่นาคาเฟส" สัมผัสสายลมเสียงเพลงอิ่มอร่อยอาหารซีฟู๊ดหาดคลองม่วง บรรยากาศคึกคัก คาดเงินสะพัด 10 ล้าน

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 19.30 นาฬิกา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ร่วมเปิดการจัดงานกระบี่นาคาเฟส 2021 ครั้งที่ 7 ชวนชม เชียร์ ชิม ช๊อป ชิว กับบรรยากาศชายทะเล ภายใต้วิถีนิวนอมอลและมาตรฐานเอสเฮชเอ

โดยสร้างความสุขในบรรยากาศทะเล เสียงดนตรี หาดทราย สายลม ชมทะเล ฟังเสียงคลื่น รื่นเริงเสียงดนตรี ชิวๆรายล้อมรอบกายด้วยอ้อมกอดแห่งขุนเขาและทะเลอันดามัน วันที่ 19 – 21 มีนาคม 2564 เวลา 17.00 – 24.00 นาฬิกา ที่ชายหาดคลองม่วง ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับจังหวัดกระบี่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ และองค์การบริหารส่วนตำบลหนองทะเล ตลอดจนภาคีเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวจัดขึ้น

งานดังกล่าว เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจังหวัดกระบี่ ที่ได้พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงดนตรีผสมผสานกับความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจ มีประสบการณ์ใหม่ที่เหมาะกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นการกระตุ้นการเดินทางและเพิ่มการใช้จ่าย ในการสร้างงานสร้างรายได้สู่จังหวัดกระบี่  และช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 คลี่คลายลง

ให้ชาวกระบี่และนักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสสายลมเสียงเพลงแห่งท้องทะเล ฟังบทเพราะๆสนุกสนานกับบรรยากาศยามเย็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และค่ำคืนแห่งดวงดาวเคล้าคลอไปกับเสียงเกลียวคลื่น พร้อมอิ่มอหร่อยกับสุดยอดเมนูซีฟู๊ดอาหารจากโรงแรมระดับ 4 – 5 ดาวที่มาร่วมออกบูธ  ทั้งบูธสินค้าโอท๊อป และอาหารพื้นบ้านจากทะเล สด ๆ รวมถึงสินค้าชุมชนที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกระบี่ ที่ปลอดโฟมช่วยลดปริมาณขยะ รักษาสิ่งแวดล้อมและลดมลพิษทางอากาศ

ส่วนกิจกรรมภาคกลางวัน การเล่นกีฬาทางน้ำเพ็ตเดิ้ลบอร์ด การสอนวิธีเล่นเซิฟบอร์ด  การออกร้านของผู้ประกอบการโรงแรมและร้านค้าชุมชน ส่วนภาคกลางคืนพบกับมินิคอนเสิร์ตและสุดยอดศิลปินนักร้องคุณภาพตลอดทั้ง 3 คืน เช่นวงดนตรีจากวงฉ่อย วงดิอันดามัน ดีเจสเตย์โกล การแสดงกระบองไฟ มินิคอนเสิร์ตป๊อป ปองกูล อะตอม ชนะกันต์ อินดิโก้ วัชราวลี ลิปตา เบน ชลาทิศและมาเรียมบีไฟว์  ส้ม มารี เดอะทอย และมินิคอนเสิร์ตบอยพีชเมคเกอร์

ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานจังหวัดกระบี่ คาดว่ามีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมงาน 3 วัน 20,000 คน เป็นนักท่องเที่ยวไทย 15,000 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 500 คน สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท....


ภาพ/ข่าว : ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง

ผู้ว่าฯสุราษฎร์ ชวนเที่ยวสัมผัสอากาศที่ดีที่สุด ติด 1 ใน 5 จังหวัดของประเทศ 2 ปีต่อเนื่อง คาดดมีนักท่องเที่ยวสงกรานต์คึกคัก ชมทะเลใส รับอากาศบริสุทธิ์

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า กรณีศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) รายงานคุณภาพอากาศ 5 จังหวัดอากาศดีที่สุดในประเทศไทยปี 2563 โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีติดอันดับเป็น 1 ใน 5 จังหวัดร่วมกับจังหวัดสตูล ยะลา ภูเก็ตและสงขลา เนื่องจากมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM2.5 ต่ำที่สุด และมลพิษอากาศอื่นๆอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ซึ่งเกิดจากความร่วมมืออย่างดียิ่งของประชาชนไม่สร้างมลพิษในพื้นที่จนส่งผลดีและสร้างความเชื่อมั่นต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นอย่างมาก

นายวิชวุทย์ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็น 1 ใน 5 จังหวัดของประเทศที่อากาศบริสุทธิ์ปราศจากมลพิษทางอากาศ PM2.5 ซึ่งเป็นจังหวัดที่อากาศดี 2 ปีติดต่อกัน แสดงถึงคุณภาพอากาศที่เหมาะสมท่องเที่ยวได้ทั้งปี และระยะนี้แหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งอากาศดีมาก โดยเฉพาะเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะแตน และเกาะมัดสุม(เกาะที่มีสุกร) ทะเลใสสวยงามมาก ส่วนบนฝั่งแผ่นดิน เช่น อ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชชประภา อุทยานแห่งชาติเขาสก บ้านถ้ำผึ้ง ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด คลองน้ำใส ฯลฯมีน้ำใสสวยงาม

“ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวหลายวัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย เดินทางมาพักผ่อนท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจำนวนมากและได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ด้วย ” นายวิชวุทย์ กล่าว

บรรยากาศสุดฟินที่เพชรบูรณ์ กับสีสัน ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง “TAIDONG WALKING STREET”

นายนาวิน สังฆมาตร นายอำเภอวังโป่ง เป็นประธานเปิด “TAIDONG WALKING STREET”( ถนนคนเดินท้ายดง ) ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในแนวคิดในการพัฒนาชุมชน ให้เป็นที่รู้จักและการกำหนดให้แหล่งเรียนรู้ของตำบล เป็นแหล่งตลาดใหม่

โดยองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายดง ให้ความสำคัญของเด็กและเยาวชนพร้อมด้วยผู้สูงอายุในสังคมปัจจุบัน โดยการพยายามหาแนวทางในการขับเคลื่อนกลุ่มของสภาเด็กเยาวชนตำบลท้ายดง และโรงเรียนสร้างสุขผู้สูงวัยตำบลท้ายดง จึงจัดกิจกรรม “TAIDONG WALKING STREET”( ถนนคนเดินท้ายดง ) ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง โดยมีนางสาวฉัตรนภา เมืองแป้น นายก อบต.ท้ายดง เป็นผู้กล่าวรายงาน  เพื่อเป็นการผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวของตำบลท้ายดง และสนับสนุนการแสดงกิจกรรม สืบทอดศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและการแสดงของกลุ่มเด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน

นอกจากนี้ ภายในกิจกรรม ก็ได้มีอีกหนึ่งสีสันและไฮไลท์เด็ด ให้ผู้ร่วมงานและนักท่องเที่ยวได้รับชม โดยมีการแสดงของสภาเด็กและเยาวชนตำบลท้ายดง ที่ออกมาโชว์สเต๊ปการเต้นเข้าจังหวะ ด้วยท่วงท่าที่หลากหลาย น่ารัก สมวัย สร้างความสนุกสนาน และตามด้วยการแสดงที่อ่อนช้อย ของโรงเรียนสร้างสุขผู้สูงวัยตำบลท้ายดง ที่ต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยผ้าซิ่น สวมใส่เสื้อสีชมพู มีผ้าขาวม้าพาดไหล่ สะพายกระติ๊บข้าวเหนียว ออกมาโชว์ในชุด เซิ้งกระติ๊บอย่างพร้อมเพียง งดงาม

และนอกจากนั้น ยังมีร้านขายอาหาร ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านเสริมความงาม รวมทั้งกิจกรรมกีฬาและสันทนาการต่างๆ มาคอยให้บริการอย่างครบครัว และที่จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อใครได้มาถึงที่นี่แล้ว จะต้องมาร่วมเช็คอิน ถ่ายรูปกับมุมเซลฟี่ต่างๆ ที่ทางถนนคนเดินท้ายดง ได้จัดแต่งไว้ให้อย่างหลากหลาย โดยจะเปิดให้บริการ ในทุกวันพฤหัสบดี เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป จนถึงช่วงเวลา 19.00 น.


ภาพ/ข่าว : เดชา มลามาตย์ และ ยุทธ ศรีทองสุข

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 2

ในตอนแรกได้กล่าวถึงสาเหตุหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจในการคอร์รัปชั่น คือ ทรัพย์แผ่นดินหรือสาธารณสมบัติ ซึ่งรัฐหรือประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ผู้อ่านก็คงสงสัยว่า บ้านเมืองมีขื่อมีแป ซึ่งหมายถึง มีกฎหมาย กฎเกณฑ์ในสังคม ก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่คอยยับยั้งการกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบได้ ในตอนนี้จึงขอกล่าวถึง ช่องว่างของกฎหมาย โดยใช้แว่นขยายทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ยิ่งไปกว่านั้น การคอร์รัปชั่นโดยถูกกฎหมายนั้น “เบ่งบาน” มากขึ้นเนื่องจากความไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมหรือกลโกงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

มีสุภาษิตเยอรมันบทหนึ่งกล่าวว่า “Der Teufel steckt im Detail.”  ซึ่งใกล้เคียงกับสำนวนในภาษาอังกฤษว่า “The devil is in the details.” แปลเป็นไทยว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด” เมื่อนำมาประยุกต์กับการคอร์รัปชั่นมักจะพบว่า กฎหมายหรือระเบียบที่ออกมามักจะให้อำนาจในกฎหมายลูก หลายครั้งต้องตามไปดูว่า รายละเอียดที่แท้จริงเป็นอย่างไร และให้อำนาจใดกับใคร แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนทั่วไปในการทำความเข้าใจตัวบทกฎหมาย

ความไม่เท่าเทียมในข้อมูลข่าวสาร (Incomplete Information) ความไม่รู้กฎหมาย จึงเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นที่ง่ายและเร็วมากขึ้น

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ การฟ้องคดีทางปกครองที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืน ไม่ว่าจะเพื่อการสร้างรถไฟฟ้า ถนน ทางด่วน สะพานลอย เสาไฟ หรือการกำหนดรูปแบบรายการ รายละเอียดอุปกรณ์ เครื่องมือประกอบแบบ ล้วนต้องอาศัยอำนาจรัฐและกฎหมายในการดำเนินการ หากผู้ใช้อำนาจนั้นกระทำการโดยสุจริตปัญหาการฟ้องร้อง ร้องเรียน จะมีไม่มาก แต่หากลองสวมหมวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ตรงไปตรงมาแล้ว การใช้อำนาจรัฐและกฎหมาย สามารถสร้างประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นโดยง่าย การเรียกรับผลประโยชน์จากการกำหนดจุด การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบ เป็นกรณีที่พบมากในการร้องเรียนแต่มีช่องว่างทางกฎหมาย

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันบัญญัติว่า “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผล แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

การกำหนดจุดเสาตอม่อรถไฟฟ้า สะพานลอย ทางออกของถนน มีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนและเกี่ยวพันทั้งด้านวิศวกรรม ความปลอดภัย ความสวยงาม แต่มีช่องว่างที่เอื้อต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยถูกกฎหมาย เพราะในขั้นตอนสำรวจจะมีทีมลงพื้นที่ก่อนการเวนคืน มีกระบวนการทางเอกสารและการเวนคืน ทำให้หากเกิดการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบแล้วประชาชนทั่วไปจะฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ แต่สุ่มเสี่ยงในการถูกยกฟ้องเพราะพ้นกำหนดการฟ้องคดีที่มีระยะเวลา 90 วัน

วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี อาจถูกนับตั้งแต่วันที่ทีมสำรวจมาแจ้งด้วยวาจา หรือหน่วยงานออกเอกสารว่าอยู่ในเขตทางแต่ยังไม่เวนคืน เป็นต้น “รายละเอียด” เหล่านี้ ประชาชนทั่วไปไม่มีทางรู้เท่าทันกลโกงเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าหน้าที่รัฐที่คดโกง และสำคัญที่สุดคือ ประชาชนไม่อยากเป็นความ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “กินขี้หมาดีกว่าเป็นความ” ก็ได้แต่นึกโทษโชคชะตา ทั้งที่การทุจริตประพฤติมิชอบเป็นกรรมปัจจุบันและเป็นการกระทำผิดของทุรชน

ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรูปแบบรายการโดยมิชอบและขู่กรรโชกเรียกผลประโยชน์จากผู้รับเหมาโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบโครงการหรือเป็นกรรมการตรวจรับ เป็นกรณีที่ผู้รับเหมาพบบ่อยครั้ง และปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีเรื่องราว ทำให้การกระทำทุจริตประพฤติมิชอบเติบโตขึ้นและแทรกซึมลงไปใน “รายละเอียด”

อีกเรื่องหนึ่งคือ ประเด็นเรื่อง การงด หรือ ลดค่าปรับ หรือ การขยายเวลา ของโครงการรัฐนั้น ที่ปรากฏว่า ผู้มีอำนาจที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานมักใช้ช่องทางนี้ในการเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ทั้งที่กฎหมายระบุรายละเอียดชัดแจ้งตั้งแต่เป็น ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จนพัฒนามาเป็น พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560

มาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 บัญญัติว่า

“การงดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอํานาจที่จะพิจารณาได้ตามจํานวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณี ดังต่อไปนี้

(๑) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐ

(๒) เหตุสุดวิสัย

(๓) เหตุเกิดจากพฤติการณ์อันหนึ่งอันใดที่คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย

(๔) เหตุอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง

หลักเกณฑ์และวิธีการของดหรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา หรือการขยายเวลาทําการตามสัญญาหรือข้อตกลง ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด”

ยังมีประเด็นเรื่อง “ค่าโง่” ซึ่งมีรายละเอียดมาก และน่าจะนำขึ้นมาเขียนเพราะสังคมควรได้เรียนรู้เรื่องการบริหารสัญญาภาครัฐ ที่เจือด้วยการทุจริตประพฤติมิชอบ นำไปสู่การเสียประโยชน์ของรัฐโดยไม่ควรเสีย ซึ่งพบว่าพัวพันกับผู้มีอำนาจและนักกฎหมายที่เลว

ผู้สันทัดในทางกฎหมายเคยให้ความรู้ผู้เขียนว่า “นักกฎหมายที่เลว จะบิดเบือนข้อกฎหมาย หรือ บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือ ทำทั้งสองอย่าง” เช่น การขยายเวลาให้เนื่องจาก ฝนตกเยอะ เป็นต้น เพราะนักกฎหมายที่เลวจะรู้ว่า ผู้มีอำนาจที่อาจสมรู้ร่วมคิดมักจะตัดตอนคดีให้ได้และปกปิดนั่งทับเอาไว้ได้ ตัวอย่างที่ผู้มีอำนาจร่วมกับนักกฎหมายที่เลว หรืออาจเป็นคนเดียวกันได้ ก็คือ การกล่าวอ้างว่ามีอำนาจทั้งที่ไม่มี การละเว้นการพิจารณาของคณะกรรมการที่ราชพัสดุโดยอ้างว่าเอกชนให้ผลประโยชน์เหมาะสม เป็นต้น

ดังนั้น การกระทำทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีนักกฎหมายที่เลวผสมโรง หรือมีคราบนักกฎหมายนั้น จึงมักจะจับได้ไล่ทันยาก เพราะความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ความไม่รู้ของหน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแล รวมถึงทัศนคติของประชาชนทั้งเรื่อง การเป็นความ และความเชื่อเรื่องกรรมเก่า

ในความเป็นจริง ยังมีทางออก สำหรับการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดจาก “ช่องว่างทางกฎหมาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดเผยข้อมูล เพราะ “ผีกลัวแสงสว่าง” ซึ่งคอลัมน์นี้จะมาลงรายละเอียดในภายหลัง

ทิ้งท้ายด้วยการขอน้อมนำพระบรมราโชวาท ของรัชกาลที่ 9 มาไว้เพื่อเตือนสติว่า

“...กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากแต่เป็นบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม

ผู้ใดก็ตามแม้ไม่รูกฎหมายแต่ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความสุจริตแล้วควรจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอย่างเต็มที่

ตรงกันข้าม คนที่รู้กฎหมาย แต่ใช้กฎหมายไปในทางทุจริต ควรต้องถือว่าทุจริต...”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top