Sunday, 12 May 2024
SPECIAL

I care a lot เมื่อห่วง….แต่หวังฮุบ

spoil alert (เนื้อหาในบทความอาจมีการกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญในหนัง I care a lot)

ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง I care a lot ชื่อไทยว่า ห่วง… แต่หวังฮุบ เรื่องราวของมิจฉาชีพในคราบนักธุรกิจ นักธุรกิจสาวที่แสร้งว่าตนเองและธุรกิจของตนเองนั้นเป็นธุรกิจที่ห่วงใย ใส่ใจสิทธิและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แต่ที่ไหนได้ ลับหลังคือการเอาเปรียบหลอกลวงและหวังจะฮุบเอาทรัพย์สมบัติบ้านช่องของผู้สูงอายุมาเป็นของตนเอง โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย จากหนังเรื่องนี้ทำให้มีพูดถึงปัญหาการจัดการทรัพย์สินให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายในประเทศไทยยังไม่มีการรองรับ กฎหมายที่ใกล้เคียงที่สุด คือร่างพระราชบัญญัติบริหารทรัพย์สินส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ ทรัสต์ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ในบทความนี้จะไม่พูดถึงตัวกฎหมาย แต่อยากชวยคุยในประเด็นสังคมและวัฒนธรรมในการดูแลผู้สูงอายุในประเทศตะวันตก ประเทศที่ได้ชื่อว่าให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด แต่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอีกมุมอันตรายจากการคุ้มครองสิทธินี้อย่างคาดไม่ถึง

หากมองสภาพสังคมในตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเราก็จะพบว่ามีลักษณะเป็นสังคมปัจเจกนิยม สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเปรียบเสมือนศีลสำคัญของความดำรงอยู่ในสังคม  ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว  พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น เมื่อโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ก็จะแยกบ้านเรือนออกไปใช้ชีวิตตนเอง ไม่นิยมการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขยายอย่างเช่นสังคมในประเทศในฝั่งตะวันออก อย่างประเทศไทยที่ลูกหลานพ่อแม่ปูยาตายายอยู่รวมกัน ทำให้ผู้สูงอายุในประเทศแถบตะวันตกมักอยู่เพียงลำพัง พอถึงจุดหนึ่งผู้สูงอายุอาจถูกมองว่าต้องอยู่ในสภาวะพึ่งพิงผู้อื่น แต่หันซ้ายหันขวาลูกหลานอยู่ไกล หรือไม่รู้อยู่ไหนกัน รัฐจึงยื่นมือเข้ามาหวังจะช่วยดูแลผู้สูงอายุ  โดยให้อำนาจแก่บริษัทฯดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเอง ได้รวมถึงให้อำนาจบริษัทฯจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุด้วย  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน่าจะดีแต่หนังเรื่องนี้กลับสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายมีช่องโหว่และสังคมเองก็ไม่ได้เชื่อมั่นว่าผู้สูงอายุมีศักยภาพในการดูแลตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเชื่อใจบริษัทตัวแทนเหล่านี้มาก จากกฎหมายที่อยากจะปกป้องสิทธิของผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นผู้ลิดรอนสิทธิของผู้สูงอายุเสียเอง

เรื่องราวน่าหดหู่และชวนให้คิดใคร่ครวญ คือการสะท้อนว่าแม้ผู้สูงอายุยังสามารถดูแลตนเองได้ดีและยืนยันจะดูแลตัวเองต่อไป บริษัทฯก็จัดฉากสร้างเรื่องทำให้ผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อนั้นดูเป็นคนไร้ความสามารถ ให้หมอที่รู้กันกับบริษัทวินิจฉัยว่าผู้สูงอายุมีความจำเลอะเลือนบ้าง หรือมีจิตไม่ปกติบ้างจนไม่สามารถดูแลตนเองได้ เพื่อให้ศาลสั่งบังคับให้มีผู้ดูแล ซึ่งศาลก็มักจะเชื่อตามหลักฐานจากหมอมากกว่าจะเชื่อจากปากผู้สูงอายุ และสุดท้ายผู้สูงอายุก็เข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราที่สมรู้ร่วมคิดกับกับบริษัทฯไว้แล้ว แม้ลูกหลานจะพยายามช่วย หรือแม้แต่จะขอเข้าพบพ่อแม่ยังไม่สามารถทำได้เพราะบ้านพักคนชราและบริษัทฯก็ใช้ข้อกฎหมายมาเล่นแง่จนลูกๆไม่สามารถเข้าพบหรือพาพ่อแม่ออกมาได้ 

สิ่งที่ทำให้มิจฉาชีพใช้กฎหมายมาเล่นแง่กับลูกๆของผู้สูงอายุได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความที่ลูกๆก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดหรือใส่ใจดูแลพ่อแม่มาก่อนหน้านี้ทำให้บริษัทฯใช้เป็นข้ออ้างถึงการไม่ควรให้ลูกเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุรวมถึงทรัพย์สินของผู้สูงอายุ พูดง่ายๆว่าระแวงลูกว่าลูกจะไม่ได้ใส่ใจในการดูแลพ่อแม่และศาลก็เชื่อตามนั้น หนังดำเนินเรื่องแบบตลกร้าย แต่ดูแล้วก็ตลกไม่ออกกับการเห็นผู้สูงอายุต้องตกเหยื่อของธุรกิจที่ชั่วร้ายนี้  ผู้สูงอายุทุกคนสมควรจะได้จะมีชีวิตที่ตามที่ใจปรารถนาในช่วงบั้นปลายชีวิต สมควรที่จะมีอิสระและมีความสุขตามวัย  แต่ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุในเรื่องนี้กลับเป็นการพรากคุณค่าและความสุขทั้งหมดทั้งมวลในช่วงบั้นปลายของมนุษย์คนหนึ่งไปอย่างหน้าชื่นตาบาน ซ้ำยังได้รับการชื่นชมในการของการบริหารธุรกิจในโลกของระบบทุนนิยมที่ผลกำไรเป็นเรื่องใหญ่เสมอ  สุดท้ายผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ผู้ได้รับการคุ้มครองดูแลตามสิทธิอันพึงได้รับ แต่กลับกลายเป็นเหยื่อของธุรกิจค้าความชราจนผู้สูงอายุไม่มีสิทธิแม้แต่จะเป็นเจ้าของชีวิตของตนเองได้เพียงเพราะความเชื่อว่าผู้สูงอายุไม่สามารถพึงพาตนเองได้และจะต้องอยู่ในการดูแลพึงพาอาศัยผู้อื่น

ดูหนังแล้วย้อนดูสังคมไทยกับสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศ  แอบใจชื่นขึ้นมาหน่อยเพราะสังคมไทยเราเป็นสังคมที่มีลักษณะความผูกพันในครอบครัวที่เหนียวแน่นกว่าในสังคมตะวันตก การอยู่รวมกันแบบครอบครัวขยายของคน 3 รุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย  ลูก หลานยังมีให้เห็นมากมาย ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น  ไหนๆก็พูดถึงผู้สูงอายุเลยขอชวนหันมาดูสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุกันสักหน่อย จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 - พ.ศ.2583 พบว่าสัดส่วนของประชากรสูงอายุ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากร้อยละ 13.2 ในปี 2553  จะเพิ่มเป็นร้อยละ 26.6 ในปี 2573 และเพิ่มเป็น 32.1 ในปี 2583

จากข้อมูลการสำรวจประชากร จะพบว่าตอนนี้ประเทศไทยเราเดินมาไกลเกินกว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) แล้ว ( สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ)  แต่เรากำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)  ภายในปี 2564นี้  ซึ่งหมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ เพราะจากข้อมูลสถิติประชาการศาสตร์ในปี 2562  ไทยมีประชากรรวม 66,558,935 คน  ในจำนวนนี้ มีประชากรวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งหมดจำนวน 11,136,059 คน คิดเป็นร้อยละ 16.73   หรือนึกภาพเป็นตัวเลขกลมๆ ให้นึกว่าหากมีคนเดินมา 10 คน  2 คนใน 10 นั้นคือผู้สูงอายุ  และมีแนวโน้มที่ประชาชนจะมีอายุขัยที่ยาวขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุวัยปลายมากขึ้นด้วย ดังนั้นภาครัฐของเรานั้นต้องหันมาเร่งดำเนินการเพื่อรองรับกับกับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร 

ประเทศไทยมีการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2 ฉบับแล้ว ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 แผนฉบับนี้มีวิสัยทัศน์ว่าผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสมควรส่งเสริมให้คงคุณค่าไว้ให้นานที่สุดแต่ในกรณีที่ตกอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิงผู้อื่นครอบครัวและชุมชนจะต้องเป็นด่านแรกในการเกื้อกูลเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงอยู่ในชุมชนได้อย่างมีสุขภาพที่เหมาะสมที่สมเหตุสมผลได้นานที่สุดโดยมีสวัสดิการจากรัฐเป็นระบบเสริมเพื่อให้เกิดหลักประกันในวัยสูงอายุและความมั่นคงของสังคม  แม้จะมีแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2  ฉบับแล้วแต่ภาครัฐต้องเร่งกำลังเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ การส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ การคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุซึ่งก็ต้องเร่งพัฒนากันต่อไปให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เกิดขึ้น   

นอกจากการดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อผู้สูงอายุแล้ว สิ่งรัฐต้องเร่งดำเนินดำเนินการควบคู่ไปด้วยคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคมว่า การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) นั้นไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกครอบครัวและทุกคนในสังคม  เป็นเรื่องของคนทุกช่วงวัยที่ต้องทำความเข้าใจและพึ่งพาอาศัยกันต่อไปด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน  ค่านิยมในการมองผู้สูงอายุเป็นบุคคลไร้ความสามารถ เป็นวัยที่ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ เป็นวัยที่เป็นภาระ หรือทัศนคติเชิงลบต่อผู้สูงวัยว่า คือคนที่ไม่สามารถปรับตัวหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้  โดยเปรียบเทียบผู้สูงวัยให้เป็นไดโนเสาร์เช่นนี้ อาจทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในหนังที่กล่าวถึงขั้นต้นเข้าสักวัน 

ดังนั้นการสื่อสารเพื่อสร้างทัศนคติในการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ของคนทุกช่วงวัยจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในสถาบันครอบครัว ความรักความห่วงใยการดูแลเอาใจใส่กันและกันของคนในครอบครัว คือเกราะป้องกันชั้นดีให้กับผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน มิใช่แค่เพียงเด็กๆหรือลูกหลานที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่  ในขณะเดียวกันเมื่อกาลเวลาผ่าน พ่อแม่ในวัยผู้สูงอายุก็ยิ่งต้องการความรัก ควาวมห่วงใยและน้ำใจจากลูกๆ เช่นเดียวกัน ผู้เขียนเชื่อว่าวัฒนธรรมความรักในครอบครัวจะช่วยให้ผู้สูงอายุของไทยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง

ช่วงนี้เห็นมีโฆษณาบ้านพักผู้สูงอายุหลักเกษียณมากมายมาใช้เลือกใช้บริการทั้งราคาย่อมเยาจนถึงราคาสูงลิบ โฆษณาว่าอยู่ดีอยู่สบายครบวงจรทั้งการดูแลสุขภาพ หมอพยาบาลและอาหารการกิน …. แว๊บหนึ่งแอบคิดถึงหนัง I care a lot ห่วง… แต่หวังฮุบ ขึ้นมาทันที  หวังว่าเราจะไม่เจอสภาพเช่นผู้สูงอายุในหนังเรื่องนี้  แต่คิดๆไปก็เบาใจ ผู้เขียนคงไม่เจอสถานการณ์อย่างในหนัง เพราะไม่มีเงินและสมบัติพอให้ใครมาฮุบ  ถ้าจะทำหนังคงต้องชื่อว่า  “ห่วงได้ แต่ไม่มีให้อะไรให้ฮุบ” 


ที่มา

สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย (ด้านประชากร) – FOPDEV

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย (dop.go.th)  กรมกิจการผู้สูงอายุ

แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564)  คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับภาคใต้

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563  สำหรับภาคใต้

โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์  ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวรายงานการจัดพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมเป็นเกียรติ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ ๖๐ ปี  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยแบ่งเป็น 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้  จำนวน 2,367 ราย ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆจัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในสถานที่ที่เหมาะสม

สำหรับภาคใต้ มีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย จำนวน 150 ราย ประกอบด้วย ราชบัณฑิตและกรรมการ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกอบด้วย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) จำนวน 4 ราย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) จำนวน 28 ราย 

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) จำนวน 21 ราย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) จำนวน 97 ราย

โดยมีผู้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย และมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

เชียงราย ซ้อมรับมือชาวเมียนมา ทะลักข้ามแดนจากสถานการณ์การเมือง

วันที่ 19 มี.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง นำโดย พันเอก สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3  นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอแม่สาย ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนราชการ หน่วยงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครกิจการพลเรือน ในพื้นที่ อ.แม่สาย อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้จัดการฝึกซ้อมแผน และ การฝึกเฉพาะหน้าที่ ตามแผนการฝึกอพยพพลเรือน ปี 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การข้ามพรมแดนของประชาชนจากประเทศเมียนมา จากสถานการณ์การเมือง

โดยมีการแบ่งหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายเพื่อรับมือกับกลุ่มคนที่อาจจะทะลักเข้ามาจากชายแดนประเทศเมียนมา จำนวนมาก โดยจะต้องมีการคัดกรองโรค ในอันดับแรก เพื่อป้องการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด - 19 และการคัดแยกผู้คนตามกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีทั้ง ประชาชนชาวเมียนมา ประชาชนชาวไทย นักการเมืองชาวเมียนมา และบุคคลสำคัญ ซึ่งจะต้องซักซ้อมในการลำเลียงบุคคลต่าง ๆ ไปยงสถานที่ที่รองรับของแต่ละกลุ่ม

การฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นแผนการฝึกซ้อมประจำปี ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากเกิดความรุนแรงและมีประชาชนอพยพเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จะได้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ และเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นไปตามแผนที่ซักซ้อมเอาไว้


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

ตม.จว.ตาก ไล่หนุ่มใหญ่ขนคนจีน ซิ่งกระบะหนีชนรถตำรวจยับ จับอีกนายจ้างชาวไทยแอบซุกเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองไว้ใช้แรงงานพร้อมบุตร 16 ชีวิต

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม., พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 , พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

1.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจสอบพบนายพิทยาการฯ  ขับรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทตั้น สีดำ ทะเบียน เชียงใหม่ ขับขี่มาด้วยความเร็วสูง เจ้าหน้าจึงได้แสดงตัวขอทำการตรวจสอบ แต่นายพิทยาการฯ ได้ขับรถหลบหนีและเฉี่ยวชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ขับขี่ได้หยุดรถและวิ่งหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถไล่ติดตามจับกุมได้ และตรวจสอบภายในรถพบคนต่างด้าวสัญชาติจีน หลบหนีเข้าเมือง จำนวน 5 ราย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงจับกุมตัว นำส่ง สภ.แม่ท้อ เพื่อดำเนินคดี

โดยกล่าวหา นายพิทยาการฯ ว่า “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม” และ “ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน” และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติจีน จำนวน 5 ราย ว่า “เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

2.) เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ตชด.346 ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณถนนหน้าสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 หมู่ 2 บ้านริมเมย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จว.ตาก พบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 10 ราย พร้อมบุตรผู้ติดตามอีก จำนวน 6 ราย รวมทั้งสิ้น 16 ราย จึงทำการจับกุมตัว จากการซักถามคนต่างด้าวดังกล่าวให้การสอดคล้องกันว่าได้ลักลอบหลบหนีเข้ามารับจ้างทำงานกับพ่อเลี้ยงชื่อ “เสาร์” ต่อมาแรงงานชาวเมียนมาอยากกลับบ้านที่เมียนมา เมื่อเวลา 07.00 น. ของวันเดียวกัน พ่อเลี้ยงเสาร์จึงมาพวกตนขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อสีเขียว มาส่งบริเวณที่เกิดเหตุ

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบสวนติดตามอย่างต่อเนื่องจนพบ นายอินเสาร์ฯ พร้อมรถที่ใช้ขนแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ที่บริเวณบ้านแม่จะเรา ม.6 อ.แม่ระมาด จว.ตาก จึงได้เชิญตัวมาที่ ตม.จว.ตาก ซึ่งคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาดังกล่าวได้ชี้ยืนยันว่าเป็นพ่อเลี้ยงเสาร์จริง  เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมตัว นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดี

โดยกล่าวหา นายอินเสาร์ฯ ว่า “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตากที่ 724/2564 เรื่อง มาตรการป้องกันควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สอด และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 10 ราย ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำ

ความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างสูง

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ไล่ล่าข้ามประเทศ ติดตามผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับประวัติสุดแสบ 4 ราย จากประเทศเมียนมา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5,พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม.,  พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ แสงเดือน ผกก.ตม.จว.เชียงราย ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดว่ามีผู้ต้องหาสำคัญหลายราย หลบหนีหมายจับคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มาหลบซ่อนตัวอยู่ใน เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จึงได้ประสานงานหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย – เมียนมา (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก)

ในการสืบสวนจับกุม โดยนำตำหนิรูปพรรณและข้อมูลประสานการปฏิบัติในการติดตามตัวผู้ต้องหาดังกล่าว ต่อมาได้รับแจ้งจากตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้จับกุมตัวคนไทย 4 ราย ได้แก่

1.) นายกฤษณะ อายุ 28 ปี

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี

3.) นายยุทธนา  อายุ 35 ปี

4.) นายปราการ  อายุ 34 ปี

ในความผิดฐานยาเสพติดและหลบหนีเข้าเมือง โดยได้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดเรียบร้อยแล้ว

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ประสานรับมอบตัวผู้ต้องหา ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากนั้นได้ทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคลในระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) และระบบสารสนเทศสถานีตํารวจ(CRIMES) พบว่ามีข้อมูลยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับตามที่ได้ประสานไว้ ดังนี้

1.) นายกฤษณะ  อายุ 28 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร ที่ จ 146/2559 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ลักทรัพย์นายจ้าง หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11),357”

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพะเยา ที่ จ. 182/2553 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2553 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และ หมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 308/2552 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)โดยไม่ได้รับอนุญาต”

3.) นายยุทธนา อายุ 35 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ 79/2563 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ยักยอกทรัพย์” และ หมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 115/2563 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“พยายามในข้อหาฆ่าผู้อื่น”

4.) นายปราการ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 228/2560  ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ไฮโตรคลอไรด์)มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไปโดยผิดกฎหมายฯ” และ หมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 310/2560 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ผู้ต้องหาทั้ง 4 รายเป็นเครือข่ายยาเสพติดที่หลบหนีในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะนาย กฤษณะ เป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดมันทุกเม็ด

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก เด้งรับนโยบายปราบปรามอบายมุขแหล่งมั่วสุมเสี่ยงโควิด-19 กวาดพนันออนไลน์ 6 เว็บไซต์ รวบผู้ต้องหา รวม 41 คน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม., พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 , พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

1.) เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดแม่สอดเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหา จำนวน 2 คน คือ นายชินกฤต และนายวันเฉลิม อยู่บริเวณบ้านหลังดังกล่าวและรับว่าได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันประเภทเกมสล็อตจริง ผ่านเว็บไซต์ “wallet.etnallslot.com” โดยผู้ต้องหาทั้งสองทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมระบบ ดูแลบริหารจัดการการเงิน โดยใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือสนทนาระหว่างพนักงาน และสรุปยอดเงินที่ทำได้ ในกลุ่มไลน์ใช้ชื่อว่า “etnallslot (Service)”  จากนั้นได้ทำการขยายผล

และนายชินกฤต รับว่ายังมีแหล่งมั่วสุมทำการโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันอีกจุดหนึ่งคือบ้านบริเวณ หมู่ 5 ต.แม่กาษา อ.แม่สอด จว.ตาก จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบผู้ต้องหาอีก 1 คน คือนายนำศักดิ์ แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน จึงได้ทำการตรวจค้นพบผู้ต้องหาเป็นกลุ่มคนไทย อีก 29 คน กำลังจัดให้มีเล่นพนันออนไลน์ประเภทเกมสล็อต ผ่านเว็บไซต์ อีกจำนวน 4 เว็บไซต์ โดยรับว่าทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลลูกค้า เติมเงิน ถอนเงิน ตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้า และชักชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นได้ผ่านระบบออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่น Line และ Facebook  จึงจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 32 คน นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดี

ในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันฯ” และ “ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ที่กระทำการใดอันเป็นยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548”

2.) เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้นำหมายค้นศาลจังหวัดแม่สอด เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งภายใน ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จว.ตาก  ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหา จำนวน 4 คน คือนายพิชนะ พร้อมพวกรวม 4 คน พร้อมของกลางเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และสมุดบัญชีเงินฝาก ซึ่งใช้ทำธุรกรรมโอน รับโอนเงิน เกี่ยวกับพนันออนไลน์ และรับว่าได้ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันประเภทเกมสล็อตจริง ผ่านเว็บไซต์ ZODIAC888.com จากนั้นได้ทำการขยายผล

และนายพิชนะฯ รับว่ายังมีแหล่งมั่วสุมทำการโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันอีกจุดหนึ่งคือบ้านหลังหนึ่งใน หมู่ 10 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบผู้ต้องหาอีก 5 คน โดยรับว่าทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลลูกค้า เติมเงิน ถอนเงิน ตอบคำถามและข้อสงสัยของลูกค้า และชักชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นได้ผ่านระบบออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่น Line จึงจุบกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 9 คน รวมของกลางทั้งสิ้น 47 รายการ นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดี ในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันฯ” และ “ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ที่กระทำการใดอันเป็นยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548”

โดย 1 ในผู้ต้องหาจำนวนดังกล่าว คือ นายมนัสชัย หรือแก้ว กล่าวหาว่า “ร่วมกันจัดให้มีเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนันฯ” และ “ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ที่กระทำการใดอันเป็นยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548” และ “มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (เคตามีน 1.36 กรัม) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” ของกลางยาเคตามีน น้ำหนัก 1.36 กรัม

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th ขอบพระคุณอย่างสูง

สมุทรปราการแตก พบโควิดรวดเดียว 12 ราย รอผลอีก 40 ราย

วันที่ 19 มีนาคม 2564 เจ้าหน้าสาธารณสุข จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ซอยสุขุมวิท 117  (ซอยภานุวงศ์) ภายในไซค์งานก่อสร้าง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ไปนำตัวแรงงานก่อสร้าง จำนวน  12 ราย แยกเป็นพม่า 1 ราย กัมพูชา 6 ราย คนไทย 5 ราย ที่ติดโควิด 19 ไปรักษาตัวตามสถานที่ที่จัดไว้

โดยสื่บเนื่องจากเมื่อวานนี้ทาง ทีมสาธารณสุข จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก (active case finding) กับ กลุ่มแรงงานก่อสร้างไซค์ดังกล่าว จำนวน 600 คน ผลปรากฏว่า มีผู้ติดเชื้อ จำนวน 12 คน และ รอการยืนยันผลการติดเชื้ออีก 40 คน ในช่วงเย็นนี้  จึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ กำชับ แจ้งการห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน และแจ้งแนวทางปฏิบัติกับผู้ประกอบการทราบ

จากการสอบถาม นายสุรัตน์ พัศดุ เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขชำนาญการ สาธารณะสุข อำเภอเมืองสมุทรปราการ กล่าว่า ตอนนี้มีผู้ติดเชื่อโควิด 19 จำนวน 12 ราย แบ่งเป็นพม่า 1 ราย กัมพูชา 6 ราย คนไทย 5 ราย โดยทามไลน์อยู่ระหว่างการสอบสวน โดยในไซค์งานก่อสร้างนี้ก่อนเข้ามาก็มีการตรวจสุขภาพมาแล้วโดยทางไซค์งานนี้ก็มีมาตรการป้องกันอยู่แล้ว

โดยการพบครั้งนี้เป็นการตรวจเชิงรุก โดยเมื่อวานตรวจ 600 ราย ผลออกมาเมื่อเช้านี้ พบ 12 ราย และรอยืนยันอีก 40 ราย ในเย็นวันนี้ ว่าติดหรือไม่ติด  โดยตอนนนี้พื้นที่ดังกล่าวได้ปิดกั้นไม่ให้เข้าออกในส่วนของคนงาน และจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจเพิ่มเติมในรัศมี 500 เมตร ถ้ามีทามไลน์กับชุมชนด้วยทางเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติม โดยทั้ง 12 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการแสดง โดยเจ้าหน้าที่สวอตเจอเชื้อ ไม่ได้ป่วยไปโรงพยาบาล 


ภาพ/ข่าว ก๊วก สมุทรปราการ

ม.อุบลฯ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล เปิดตลาดออนไลน์ซื้อ-ขาย ผลิตผลเกษตรอินทรีย์

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จัดเวทีนำเสนอความก้าวหน้าและผลการดำเนินโครงการวิจัย “การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการจับคู่อุปสงค์และอุปทานสินค้าเกษตรในจังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดศรีสะเกษ”

โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรมและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และหัวหน้าชุดโครงการวิจัย นำทีมนักวิจัยรายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินโครงการวิจัยฯ ดังกล่าว พร้อมทดลองใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัล Omart รับเกียรติจาก นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานภาครัฐเอกชน และกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ เข้าร่วมรับฟังสรุปผล ณ ห้องประชุมปทุมวรราช ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา

รองศาสตราจารย์ ดร.ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยฯ และหัวหน้าชุดโครงการวิจัย  กล่าวว่าตามที่ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในการดำเนินโครงการวิจัยฯ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการซื้อขายผลิตผลทางการเกษตร (เกษตรอินทรีย์) จับคู่และรองรับการซื้อขายผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์

โดยมีผลผลิตเกษตรอินทรีย์ภายในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางและศักยภาพในการซื้อและขายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ แพลตฟอร์มดิจิทัลจะให้สารสนเทศต่าง ๆ ของทั้งฝั่งอุปสงค์ เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร ประเภทผลผลิตที่เพาะปลูก ปริมาณของผลผลิตที่เพาะปลูกได้ วันเวลาในการเก็บเกี่ยวผลผลิต มาตรฐานหรือวิธีการเพาะปลูก ราคาขาย เป็นต้น และฝั่งอุปทาน เช่น ประเภทของผลผลิตที่ต้องการ ปริมาณของผลผลิตที่ต้องการ วันเวลาที่ต้องการผลผลิต ราคาซื้อ เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว แพลตฟอร์มดิจิทัลจะทำหน้าที่ในการจับคู่ระหว่าง อุปสงค์ และอุปทาน โดยนำเสนอผู้ผลิต (อุปสงค์) หรือผู้บริโภค (อุปทาน) ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้ใช้ได้ป้อนเข้าไป จากแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะพัฒนาขึ้นมา ในโครงการวิจัยนี้ ผู้ผลิตจะสามารถวางแผน และตัดสินใจในการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากมีสารสนเทศเกี่ยวกับความต้องการของผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง และได้มีผลผลิตเกษตรอินทรีย์

เนื่องจากมีสารสนเทศเกี่ยวกับผู้ผลิตและผลผลิตเกษตรอินทรีย์ แพลตฟอร์มดิจิทัลนี้จะสามารถช่วยให้การซื้อขายผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ได้ในทุกโอกาส รวมถึงในสถานการณ์ที่มีเกิดเหตุภัยพิบัติหรือโรคระบาด ซึ่งโครงการดำเนินการมาแล้วเป็นระยะเวลา 5 เดือน โดยความร่วมมือทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศุภฤกษ์ จันทร์จรัสจิตต์ นักวิจัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า เป้าหมายของโครงการวิจัย เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางที่เป็นแหล่งสารสนเทศดิจิทัลที่เชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร (ผู้ขาย) และผู้บริโภค โดยเกษตรกรผู้ขายสามารถรวบรวมข้อมูล รายชื่อ แหล่งที่ตั้ง ปริมาณของผลิตผลเกษตรอินทรีย์ เพิ่มข้อมูลกระบวนการผลิต ในระบบสารสนเทศได้ เพื่อเป็นประโยชน์กับทั้งตัวเกษตรกรเองและผู้บริโภคที่สามารถคาดการณ์ และจับจองซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ โดยรวบรวมข้อมูลกำลังการผลิตผลผลิตทางการเกษตร (เกษตรอินทรีย์) ความต้องการผลผลิตทางการเกษตร และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการซื้อขายผลิตผลทางการเกษตร

ทีมวิจัย ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการซื้อขายสินค้าเกษตร พร้อมทดสอบและปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ซื้อ สามารถประกาศซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ต้องการ เลือกสินค้า รวบรวมสินค้าก่อนจะทำการยืนยันและชำระเงิน  ผู้ขาย สามารถเลือกขายสินค้าตามความต้องการ หรือประกาศขายสินค้าของตนเองได้ ทั้งนี้ ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องลงทะเบียนเข้าใช้งานในระบบ ใช้ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือ ID line ในการยืนยันข้อมูลเพื่อความปลอดภัย เมื่อเป็นสมาชิกแล้วสามารถค้นหาสินค้า แล้วทำการซื้อขายสินค้าได้ "สะดวก สบาย ปลอดสารพิษ ชีวิตมีสุข"

นับเป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยที่สอดคล้องกับพันธกิจมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี “สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่นำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” และยุทธศาสตร์ที่ 2 “สร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น และพัฒนาสู่ระดับสากล”

ลิ้งค์ข้อมูลเพจ และเว็ปไซต์ www.facebook.com/omart.ubu  

http://omart.ubu.ac.th/about/


ภาพ/ข่าว กฤษณะ วิลามาศรายงาน

น้องหมาเจ้าเล่ห์ใส่แว่นดำ โป๊ะแตก ที่แท้แอบหลับ

ไปดูความน่ารักแบบเจ้าเล่ห์ ของ เจ้าไวท์ น้องหมาเพศผู้วัย 8 ขวบสีขาวเหมือนชื่อ ที่นั่งใส่แว่นตาดำช่วยเจ้าของเรียกลูกค้า เพื่อขายแครอทให้กระต่ายในงานวันมะปรางหวานปราจีนบุรี

ใครที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าก็อดที่ยิ้มให้ความน่ารักของมันไม่ได้ ด้วยท่าทีที่นั่งอย่างเรียบร้อยเหมือนหุ่นแบบไม่ไหวติง นิ่งซะจนคล้ายหลับ แม้จะมีเสียงดังจากเสียงเพลงและประกาศอึกทึกคึกโครมจากร้านค้าใกล้ ๆ หรือจะมีใครมาลูบหัวก็ตามที เจ้าไวท์ก็ยังคงนั่งนิ่ง

สอบถามสองสามีภรรยาเจ้าของน้องหมา บอกว่า ด้วยอาชีพขายของตามงานคาราวานสินค้าจึงต้องเดินทางจากบ้าน สุพรรณบุรี ครั้งละหลาย ๆ วันจึงจำเป็นต้องเอาเจ้าไวท์ไปด้วยทุกที่เพราะหากทิ้งไว้ที่บ้านมันคงอดตาย มีคนมองว่าเอาน้องหมามาทรมาน แต่ความจริงไม่ใช่เพราะตนรักเจ้าไวท์เหมือนลูกเพราะฉะนั้นไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน และทุกครั้งเจ้าไวท์ก็จะมานั่งคลอเคลียไม่ห่างแม้จะเอาไปนอนเดี๋ยวก็ออกมาหาอีกแล้ว เลยต้องหาเก้าอี้ไว้ให้นั่งเป็นส่วนตัว

เห็นว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็เลยหาแว่นตาดำเท่ ๆ มาใส่ให้เจ้าไวท์เพื่อให้ดูหล่อคนที่เดินผ่านไปมาเห็นก็จะมักจะยิ้มให้ จนเป็นปกติเจ้าไวท์เองเมื่อได้แว่นมาใส่ก็ไม่ได้ขัดขืนหรืออะไรกลับชอบใส่แล้วนั่งเฉยดูเป็นที่ชื่นชอบของคนรักหมา คุณหนึ่งและภรรยาบอกว่า เจ้าไวท์ใส่แว่นแล้วไม่ใช่ว่าจะหลับนะ มันยังนั่งคอยรับแขกเหมือนเดิม แต่พอเราสังเกตเห็นว่า ร่างเจ้าไวท์โยกไปเยกมา เหมือนถูกลมพัดเราเลยขอให้ภรรยาคุณหนึ่งช่วยถอดแว่นตาให้หน่อยเพื่อจะได้รู้ว่า เจ้าไวท์ หลับหรือนั่งคอยรับแขกอย่างว่า 

ปรากฏว่างานนี้ โป๊ะแตก พอถอดแว่นออกมาปรากฏว่า เจ้าไวท์ น้องหมานั่งหลับจริงๆ ไม่ใช้โยกเยกเพราะลมพัด แหม อุตส่าห์คุยอย่างดิบดีว่า เจ้าไวท์คอยเรียกแขกมาซื้อแครอทเลี้ยงกระต่าย ที่ไหนได้นั่งหลับโดยอาศัยแว่นตาดำพลางซะนี่ แหม ๆ เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยน้ะเจ้าไวท์


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัฒน์  กุลเศรษฐ์สุวภา ผู้สื่อข่าว

กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย ยกทัพมะม่วงคุณภาพดีให้คนกรุงได้ลิ้มลองในงาน “Mango of SIAM ที่สุดแห่งมะม่วงไทย ถูกใจทั่วโลก”

ระหว่างวันที่ 2 - 6 เม.ย. 2564 นี้ ณ ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM พร้อมรณรงค์แคมเปญ “ซื้อสินค้าเกษตรไทย เกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด” อุดหนุนชาวสวนผลไม้

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้นโยบายเกี่ยวกับการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนถึงความร่วมมือและความเป็นไปได้ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ได้แก่ ICONSIAM, Central Pattana, The Mall, Tops Market, Makro, Lotus, Big C เพื่อวางแผนภาพรวมทั้งปีในการเปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำสินค้าเกษตรเข้าไปจำหน่ายตามฤดูกาล ภายใต้ความร่วมมือการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2564 และช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19

สำหรับในช่วงระยะเวลานี้สิ่งที่จำเป็นต้องเร่งทำเป็นกรณีพิเศษคือเรื่องผลไม้ ซึ่งผลไม้เขตร้อนเริ่มออกสู่ตลาดแล้ว และจะออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมถัดจากนี้ไป ผลไม้ไทยถือว่ามีคุณภาพมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งทางด้านการตลาดต้องดำเนินการทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องดำเนินการช่วยระบายผลไม้ทั้งในส่วนตลาดออฟไลน์และตลาดออนไลน์ควบคู่กันไปด้วยเพื่อไม่ให้ผลผลิตกระจุกตัว โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องการส่งออกผลไม้ในภาพรวมยังทำได้ไม่ 100% จึงต้องหันมาส่งเสริมด้านการตลาดในประเทศเพื่อช่วยชาวสวนเพิ่มให้มากขึ้น

กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับ ICONSIAM ได้กำหนดจัดงาน “Mango of SIAM ที่สุดแห่งมะม่วงไทย ถูกใจทั่วโลก” ระหว่างวันที่ 2 – 6 เมษายน 2564 ณ บริเวณชั้น G ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM โดยเชิญ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้เพื่อช่วยชาวสวนผลไม้กระจายผลผลิต โดยเฉพาะระยะนี้เป็นเทศกาลของมะม่วงซึ่งมีผลผลิตจากหลายพื้นที่ทยอยออกสู่ตลาด กรมฯ จึงร่วมกับสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยคัดสรรผลผลิตและผลิตภัณฑ์มะม่วงคุณภาพดีที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมาร่วมออกบูธจำหน่าย รวม 25 บูธ

ประกอบด้วย สินค้ามะม่วงจากสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย 8 บูธ ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา (ผลสดและผลิตภัณฑ์), จ.พิจิตร (ผลสด ผลิตภัณฑ์ และกิ่งพันธุ์), จ.พิษณุโลก (ผลสดและกิ่งพันธุ์), จ.เพชรบูรณ์ (ผลสด), จ.ราชบุรี (ผลสด), จ.นครราชสีมา (ผลสด), จ.สระแก้ว (ผลสด GI) สินค้าเกษตรจากตลาดเกษตรกร 5 บูธ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะม่วงมหาชนก จ.เชียงใหม่, มะม่วงดองแช่อิ่ม จ.ชลบุรี, มะม่วงน้ำปลาหวานต้นหอม จ.สมุทรปราการ, มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศ อบแห้ง จ.ลำพูน, มะม่วงน้ำปลาหวานมะดัน มะดันแช่อิ่ม จ.นครนายก

สินค้าเกษตรจากกลุ่มแปลงใหญ่ 6 บูธ ได้แก่ แปลงใหญ่มะพร้าวน้ำหอม จ.สมุทรสาคร, แปลงใหญ่ส้มโอ ลิ้นจี่ จ.สมุทรสงคราม, แปลงใหญ่ทุเรียน มังคุด จ.จันทบุรี, แปลงใหญ่อะโวคาโด จ.ตาก, แปลงใหญ่สับปะรด (พันธุ์ใหม่) จ.ระยอง, แปลงใหญ่ขนุน จ.ชลบุรี และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวกับมะม่วงและการบริการต่าง ๆ จำนวน 5 บูธ ได้แก่ อุปกรณ์ทางการเกษตร ปุ๋ย สารชีวภัณฑ์ ฮอร์โมน ที่เหมาะสมสำหรับชุมชนเมือง รวมทั้งการให้บริการขนส่ง เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry เป็นต้น

กิจกรรมภายในงาน นอกจากจะมีการออกร้านจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ยังได้จัดแสดงนิทรรศการประกอบเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมงาน เช่น เทคโนโลยีการผลิตมะม่วงคุณภาพดี ตั้งแต่การปลูก การดูแลรักษามะม่วง ศัตรูสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง การพัฒนาคุณภาพมะม่วงส่งออก/ดัชนีการเก็บเกี่ยวมะม่วง การแสดงความหลากหลายทางสายพันธุ์มะม่วง และมะม่วงที่ได้รับการรับรองเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)

สำหรับมะม่วงที่นำมาจัดแสดงครั้งนี้จำแนกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 มะม่วงไทยพันธุ์การค้า จำนวน 16 พันธุ์ ได้แก่ น้ำดอกไม้เบอร์สี่ น้ำดอกไม้สีทอง เขียวเสวย ฟ้าลั่น โชคอนันต์ มหาชนก อกร่อง (อกร่องทอง อกร่องเขียว อกร่องพิกุลทอง) แรด ขายตึก เพชรบ้านลาด มันเดือนเก้า มันขุนศรี มะม่วงเบา น้ำดอกไม้มัน แก้ว หนังกลางวัน

กลุ่มที่ 2 มะม่วงไทยพันธุ์หายาก/โบราณ จำนวน 10 พันธุ์ ได้แก่ ยายกล่ำ สายฝน เจ้าคุณทิพย์ พิมเสนมัน พิมเสนเปรี้ยว งาช้างแดง นาทับ สาวน้อยกระทืบหอ ลิ้นงูเห่า แก้วลืมรัง

กลุ่มที่ 3 มะม่วงพันธุ์ต่างประเทศ/ลูกผสม จำนวน 6 พันธุ์ ได้แก่ อ้ายเหวิน อี้เหวิน จินหวง อาร์ทูอีทู แดงจักรพรรดิ แก้วขมิ้น

กลุ่มที่ 4 มะม่วงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ยายกล่ำนนทบุรี น้ำดอกไม้สระแก้ว น้ำดอกไม้ฉะเชิงเทรา และการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมบนเวที เช่น การแข่งขันแกะสลักผลไม้ ตำผลไม้ลีลา เชฟชื่อดังมาร่วมโชว์ปรุงเมนูมะม่วงเลิศรส การถาม-ตอบความรู้มะม่วง สาธิตต่าง ๆ กิจกรรมนาทีทอง ลุ้นโชควงล้อมะม่วงมหาสนุก เป็นต้น จึงขอเชิญชวนผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง ร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรไทยช่วยสนับสนุนชาวสวนผลไม้ภายใต้ Campaign “ซื้อสินค้าเกษตรไทย เกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด” พร้อมชมบรรยากาศดี ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศได้ที่ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM

กองเรือยุทธการ จัดตั้งฝึกหลักสูตรพันจ่าเอกอาชีพเหล่าทหารสามัญ ภาคปฎิบัติในทะเล เพื่อสร้างความรู้ต่อการปฏิบัติงาน

กองเรือยุทธการ โดย กองการฝึก กองเรือยุทธการ จัดตั้งหมู่เรือฝึกหลักสูตรพันจ่าเอกอาชีพเหล่าทหารสามัญ ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยมี นาวาเอก สืบสันต์ เรียนรู้ เป็น ผบ.มฝ.พจ. และ นาวาโท นรเศรษฐ์ พนาสถิตย์ รอง ผบ.มฝ.พจ. ประกอบด้วย ร.ล.วังนอก และ ร.ล.วังใน สนับสนุนการฝึกภาคปฎิบัติในทะเลของหลักสูตรพันจ่าเอกอาชีพเหล่าทหารสามัญ ระหว่างวันที่ 17 - 25 มี.ค 64 โดยมีนักเรียน จำนวนทั้งสิ้น 48 นาย เข้ารับการฝึก

สำหรับการฝึกในครั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรพันจ่าเอกอาชีพเหล่าทหารสามัญ ประจำปีงบประมาณ 2564 เกิดประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจต่อการปฏิบัติงาน และเพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในเรือและสอบเพื่อเลื่อนเป็นนายทหารสัญญาบัตรต่อไป และในวันที่ 18 มี.ค.64 หมู่เรือฝึกหลักสูตรพันจ่าเอกอาชีพเหล่าทหารสามัญ ได้จอดเทียบท่าเรือเกาะสีชัง และได้สนับสนุนน้ำจืดให้กับเทศบาล ต.เกาะสีชัง เพื่อแก้ไขการขาดแคลนน้ำจืด อุปโภค และบริโภค


ภาพ/ข่าว : สมนึก เชื้อสนุก

ทนไม่ไหว ! ชาวบ้านเพชรบูรณ์ร้องศูนย์ดำรงธรรม เร่งแก้ปัญหากลุ่มฌาปนกิจหมู่บ้านไม่โปร่งใส

ที่วัดศรีจันดาธรรม หมู่ 12 ตำบลปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ นายชาครินทร์ อินอิ่มวรปราชญ์ นายอำเภอหล่มสักเป็นประธานการประชาคมชาวบ้านเพื่อหาข้อยุติ ในกรณี นายกิจสุพัฒน์ ฉัตรวิโรจน์ ผู้ร้องขอความเป็นธรรมต่อศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหล่มสัก

กล่าวว่า นายสุเทพ พั้วพวง ประธานกลุ่มฌาปนกิจหมู่บ้านน้ำดุกป่าฉำฉา (น้ำดุกหลังศูนย์ฯ) พร้อมคณะกรรมการ ปฏิบัติหน้าที่ไม่โปร่งใส เลือกปฏิบัติเป็นสองมาตรฐาน มีพฤติกรรมฉ้อฉล ไม่เคยจัดการประชุมสมาชิกในแต่ละปี ให้รับทราบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของกลุ่มรวมฌาปนกิจหมู่บ้านทั้งไม่ชี้แจงรายละเอียดการเงินกับสมาชิก

ทางผู้ร้องจึงได้จัดประชุมสมาชิกกลุ่ม และกรรมการกลุ่มฯ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาโดยสันติวิธีร่วมกัน โดยมีสักขีพยานได้แก่นายอำเภอหล่มสัก นายปรัชญา ปิยะวงษ์ ปลัดอำเภอหล่มสัก ผู้กำกับการ สภ.บ้านกลาง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหล่มสัก นายไกร แรงงาน กำนัน ต.ปากช่อง ผู้ใหญ่บ้านในตำบลปากช่อง ผู้สังเกตการณ์จากหลายหน่วยงาน ฯลฯ และสมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มฯจาก 7 หมู่บ้านใน ตำบลปากช่อง กว่า 400 ครอบครัว

ทั้งนี้ผู้ร้องขอความเป็นธรรมได้กล่าวในที่ประชุมว่านายสุเทพ พั้วพวง ประธานกลุ่มฌาปนกิจหมู่บ้านน้ำดุกป่าฉำฉา (น้ำดุกหลังศูนย์ฯ) ปฏิบัติหน้าที่ไม่โปร่งใส เลือกปฏิบัติเป็นสองมาตรฐานต่อสมาชิกที่สูญเสียบุคคลในครอบครัว มีพฤติกรรมฉ้อฉลส่อแววทุจริต เช่นการพิจารณาจ่ายเงินค่าทำศพมีความเหลื่อมล้ำ บางศพได้รับ บางศพไม่ได้รับ  โดยนายกิจสุพัฒน์ ฉัตรวิโรจน์  ซึ่งเป็นผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเองสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มและส่งเงินสมทบค่าทำศพมาตลอด จนเมื่อปลายปี 2563 บุตรชายของตนซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านได้เสียชีวิตลง ทางคณะกรรมการกลุ่มฌาปนกิจไม่จ่ายเงินให้

โดยอ้างว่า บุตรชายตนเองไปตั้งถิ่นฐานอยู่ กทม นานแล้ว เสมือนได้แยกครอบครัวออกไปจากครอบครัวของตนเองที่เป็นสมาชิกกลุ่มอยู่ ซึ่งทำให้สมาชิกจำนวนมากเกิดความกังวลว่าจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้หรือไม่ เพราะมีหลายครอบครัวที่ลูกหลานได้ออกไปทำงานอยู่ต่างถิ่น หากเสียชีวิตทางกลุ่มจะจ่ายเงินให้หรือไม่ รวมทั้งที่ผ่านมาทางกลุ่มไม่เคยมีการประชุมชี้แจงการดำเนินงานให้สมาชิกทราบ รวมถึงสถานะทางการเงินกับสมาชิก ตนจึงร้องขอความเป็นธรรมกับทางศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ทางศูนย์ดำรงธรรมได้เชิญนายสุเทพ พั้วพวง มาให้ปากคำเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 และได้ชี้แจงข้อร้องเรียนให้ผู้ร้องได้รับทราบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564

ผลสรุปว่าผู้ถูกร้องยอมเจรจาว่าจะจ่ายเงินสงเคราะห์ศพให้ทางผู้ร้องแต่ต้องรอมติจากสมาชิกในการประชุมใหญ่  ที่จะประชุมกันในวันที่ 18 มีนาคมนี้ก่อน โดยทางผู้ร้องมีข้อต่อรอง 2 ประการคือให้ปลดล็อคการสืบทอดอำนาจของประธานและกรรมการโดยให้มีการเลือกตั้งเป็นวาระ ให้ประธานและกรรมการกล่าวขอโทษในการทำงานผิดพลาดต่อสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม แต่พอมาวันที่ 14 มีนาคม ทางผู้ร้องมีพฤติกรรมที่ส่อว่าจะไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงโดยออกแบบกฎกติกาข้อบังคับของกลุ่มฌาปนกิจขึ้นมาใหม่และแจกให้สมาชิกบางส่วน ซึ่งทางผู้ร้องเกรงว่าเหตุการณ์จะบานปลายและจะจบด้วยสันติวิธีไม่ได้

ในการประชุมทางกลุ่มฌาปนกิจได้ชี้แจงข้อสงสัยต่าง ๆ ของผู้ร้องและสมาชิก แต่ก็ยังไม่กระจ่างในหลายกรณี โดยนายประสิทธิ์ จงธรรม์ กรรมการกลุ่มได้กล่าวกลางที่ประชุมว่า สมาชิกอย่ากังวลกับการทำงานของกรรมการ หากมีการเสียชีวิตของสมาชิกสามารถจ่ายเงินได้ทันที 3 ศพ ส่วนกรณีการเสียชีวิตบุตรชายของนายกิจสุพัฒน์ เนื่องจากบุตรชายของนายกิจสุพัฒน์ไม่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนของกลุ่มจึงไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ หากสมาชิกอยากให้จ่ายก็ให้สมาชิกรับผิดชอบหาเงินมาจ่ายเอง ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการ พร้อมทั้งประกาศยุติการดำเนินงานของกลุ่มฌาปนกิจที่ตั้งมานนกว่า 25 ปีลง และจะเปิดกลุ่มใหม่ หากใครสนใจจะเข้าให้มายื่นความจำนงกับกรรมการแต่ละเขตต่อไป

ทางด้านนายอำเภอหล่มสัก กล่าวว่า ในส่วนกรณีของปัญหาการจ่ายเงินค่าศพของสมาชิก เป็นสิทธิ์ที่ทางคณะกรรมการจะพิจารณา ทางอำเภอจะเข้าดูในด้านเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น รายชื่อคณะกรรมการ หลักฐานทางการเงินและการจดแจ้งขึ้นทะเบียนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับกลุ่มให้มีชัดเจน ถูกต้องและโปร่งใส โดยจะให้ปลัดอำเภอเข้ามาให้คำแนะนำและดำเนินการให้ถูกตามตามระเบียบทางราชการภายในสองอาทิตย์ ทั้งนี้กลุ่มฌาปนกิจหมู่บ้านน้ำดุกป่าฉำฉา (น้ำดุกหลังศูนย์ฯ) รวมตัวดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2538 มีสมาชิกแรกเริ่ม 100 ครอบครัว ในพื้นที่ หมู่ 2,5,11,12,13,14,17 ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ปัจจุบันมีสมาชิก 458 ครอบครัว


ภาพ/ข่าว  มนสิชา  คล้ายแก้ว

หัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาสุโขทัย จากบรรพบุรุษ สู่ความภาคภูมิในยุคปัจจุบัน

เมื่อพูดถึงเครื่องปั้น ดิน เผา คีรีมาศสุโขทัย ใครๆก็ต้องเคยได้ยินว่า มีชื่อเรื่องปั้นดินเป็นหม้อ เป็นโอ่ง เป็นไห่ เป็นแจกัน เป็นถ้วย เป็นชาม หรือเป็นกระถางต้นไม้ ปัจจุบันปั้นเป็นรูปสัตว์นานาชนิดต่างๆ ตุ๊กตา หุ่นจำลอง ปั้นเป็นภาชนะจากดินต่าง ๆ มากมายหลากหลาย 

หมู่บ้านที่เป็นถิ่นฐานเริ่มๆในการทำเครื่องปั้นจากดินอาชีพนี้ มานานนม จะมาเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา คือบ้านหน้าวัดลาย ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 ของตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย  เป็นหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุโขทัย กว่า 200 ครัวเรือน  ที่ยังคงรักอาชีพในการผลิต เครื่องปั้นดินเผาเพื่อเป็นอาชีพเสริม และอาชีพหลักของคนพื้นที่นี้มาต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่าหมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา หน้าวัดลายหมู่บ้านนี้ มีความเชี่ยวชาญในการปั้น เพราะได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี 

จากอดีตที่เป็นเครื่องปั้นดินเผาใช้ในครัวเรือน เช่น หม้อ เตา กระทะ โอ่งน้ำ ปัจจุบันรูปแบบการปั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่น กระถางแคคตัส หม้อดินจิ้มจุ่ม และของประดับสวนต่างๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นหัตกรรมทางฝีมือของชุมชนให้คงไว้ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงตามยุค ตามความนิยม ทันสมัย รูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของสิ่งที่ปั้นขึ้นมา แต่ยังคงไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์รูปแบบ รูปทรง และลวดลาย ลักษณะดั่งเดิมให้คงไว้เสมอไป

เรียกได้ว่า แบบใหม่ก็จัดให้ แบบเดิม แบบเก่าก็จัดได้ ภาพที่เห็นแก่นักท่องเที่ยว และลูกค้าที่เดินทางมาจับจ่ายซื้อของเครื่องปั้นดินเผา และมาเยี่ยมชมผลงานของทางร้านและหมู่บ้านแห่งนี้ จะพบภาพคุณยายโหง เหน่งแดง นั่งตกแต่งเครื่องปั้นดินเผา เป็นภาพที่จะพบเห็นมาตลอด "ในช่วงเวลาที่ท่านทำเครื่องปั้นดินเผามากว่า 50 ปี"

แม่จันแรม อ้นทอง กล่าวว่า "ความภูมิใจ ที่ได้สานต่อการปั้นดิน และวิธีการปั้นดินจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาที่นี้ ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถลงมือทำเครื่องปั้นดินเผาได้ด้วยตัวเอง ในกิจกรรมสร้างสรรค์เครื่องปั้นดินเผา ด้วยการขึ้นรูปบนแป้นหมุน กิจกรรมเพ้นท์กระถางแคคตัส และกิจกรรมปัดเงินปัดทองลงบนเครื่องปั้นดินเผา"

ติดต่อสอบถามหรือจะมาชมงานที่ศูนย์การเรียรู้วิทยาลัยใต้ถุนบ้าน  และชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนทุ่งหลวง ตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย โทร 085-973-7080 , 081-281-1367 เฟซบุ๊ค เครื่องปั้นดินเผาบ้านทุ่งหลวง & โฮมสเตย์ บ้านทุ่งหลวง Sukhothai


ภาพ/ข่าว สุริยา ด้วงมา

"คำรณวิทย์" เดินหน้าสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย พร้อมดันเด็กปทุมเป็นทีมชาติ ให้นานาชาติยอมรับ

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 15:30 น.  พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นประธานในการมอบทุนการศึกษา ที่สนามกีฬา สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนยากไร้ในโครงการ  “ มอบทุน มอบรัก มอบใจ สู้ภัยโควิด-19 ” พร้อมถุงพอเพียงให้กับนักเรียนจาก 13 โรงเรียน จำนวน 26 ทุน โดยมี พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล อุปนายกและเลขาธิการสนามกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย , นายสมนึก เกกีงาม เป็นประธานคณะกรรมการมูลนิธิครอบครัวพอเพียง สาขาจังหวัดปทุมธานี และ นายพงศธรรศ รุจิพุฒธันยพัต นายกสมาคมนักข่าวปทุมธานี กล่าวรายงาน โครงการมอบทุน มอบรัก มอบใจ สู้ภัยโควิด-19

ในวันนี้เกิดจาก สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย , มูลนิธิครอบครัวพอเพียง สาขาจังหวัดปทุมธานี , พุทธสมาคมจังหวัดปทุมธานี , มูลนิธิมงคลจงกล ธูปกระจ่าง และสมาคมนักข่าวปทุมธานี ได้ตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จึงได้ร่วมมอบทุนการศึกษาพร้อมถุงพอเพียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมชมการฝึกซ้อมของเยาวชนทีมชาติไทยที่ได้ฝึกซ้อมภายในกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยแห่งใหม่

ด้าน พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล อุปนายกและเลขาธิการสนามกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ชมรมกรีฑาเดิมตั้งอยู่หลังสนามกีฬาแห่งชาติปทุมวัน ต่อมาบริเวณนั้นเริ่มแออัดใกล้ศูนย์การค้า เห็นว่ามีผลกระทบต่อความมุ่งมั่นของนักกีฬาเรา หลังเอเชียเกมส์ปี 2541 ได้ย้ายออกมาอยู่ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต  โดยที่ดินบริเวณนี้ซื้อตั้งแต่ ปี 2553 จากนั้นเมื่อ 3 ปี ที่แล้วเริ่มทำลานกีฬา จากนั้นเมื่อปี 2563 ได้สร้างสนามลู่วิ่ง ที่มีมาตรฐานเทียบระดับโลก เราสามารถจัดการแข่งขันระดับนานาชาติได้  เราได้จัดชิงแชมป์ประเทศไทยได้รับถ้วยพระราชทานจากในหลวง เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา

สำหรับในอนาคตสนามกรีฑาแห่งนี้จะเป็นที่ทำการของ สมาพันธ์กีฑาเอเชีย ที่ได้ย้ายมาจากประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อที่นี่มีอาคารพร้อมที่พักพร้อมจะได้ย้ายเข้ามาทันที ประกอบด้วย สมาพันธ์กรีฑาเอเชีย สมาพันธ์กรีฑาเซาท์อีสเอเชีย และสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ที่แห่งนี้จะเป็นศูนย์พัฒนาการกรีฑาของประเทศไทย และเป็นศูนย์ฝึกของนักกีฬากรีฑาทีมชาติรวมถึงนักกีฬากรีฑาจากนานาชาติที่จะมาซ้อมกับเราที่นี่ด้วย

โดย ที่ท่าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ได้มีนโยบายพัฒนาเยาวชนของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเราคิดว่ากีฬานั้นเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่สร้างกรอบวินัยและสุขภาพที่แข็งแรงให้เยาวชน คนใดที่มีพรสวรรค์ก็จะก้าวสู่ทีมชาติในอนาคต คนที่มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอถึงจะไม่เก่งจนไปถึงระดับทีมชาติแต่ก็จะมีสุขภาพที่ดี ครั้งนี้โอกาสมาถึงแล้ว เพราะเรามีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ที่ใส่ใจเยาวชน และรักกีฬาจริง ๆ วันนี้เรานับหนึ่งเพื่อเดินไปด้วยกัน ที่จะส่งเสริมเอาลูกหลานชาวปทุมธานีออกมาเล่นกีฬาอย่างทั่วถึง และพัฒนาจะไปสู่ระดับชาติได้อย่างแน่นอน


ภาพ/ข่าว : ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

เกษตรกระบี่ พาไปชมการผลิตกาแฟขี้ชะมดและการจัดการสวนกาแฟอย่างมืออาชีพ ในงาน Field Day 2564 ที่อำเภอลำทับ

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายธนากร ชูจิตต์ นายอำเภอลำทับ เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 มีนายอนุชา ยาอีด เกษตรจังหวัดกระบี่ พบปะพี่น้องเกษตรกรที่มาร่วมงาน และนางสาวจันทร์ฉาย เพ็ญเขตวิทย์ เกษตรอำเภอลำทับ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศูนย์เครือข่าย) หมู่ที่ 3 ตำบลดินแดง อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่

นายธนากร ชูจิตต์ นายอำเภอลำทับ กล่าวว่า การจัดงานในวันนี้เป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรเกิดความตระหนักในการทำการเกษตร ซึ่งต้องมีการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตและเชื่อมโยงตลาด มีการพัฒนาให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

โดยใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เป็นแหล่งเรียนรู้ของอำเภอ ดังนั้น การเริ่มต้นปีการเพาะปลูกใหม่ ถ้าเกษตรกรนำองค์ความรู้ที่เหมาะสม ในแต่ละพื้นที่ไปประยุกต์ใช้ในไร่นาและสวนของตนเองได้ จะทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ หากมีการขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกษตรกรได้เข้าถึงและนำไปใช้ ก็จะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงสังคมก็จะมีแต่ความสุข

นางสาวจันทร์ฉาย เพ็ญเขตวิทย์ เกษตรอำเภอลำทับ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริการการเกษตรเพื่อเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 ในวันนี้ สืบเนื่องมาจากภาคการเกษตรของไทยได้เข้าสู่ฤดูการผลิตใหม่แล้ว  ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี  เป็นวันเริ่มต้นปีเพาะปลูก  ดังนั้นเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีการใช้องค์ความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยมีองค์ประกอบของศูนย์ ได้แก่ เกษตรกรต้นแบบ แปลงเรียนรู้  หลักสูตรการเรียนรู้ และฐานการเรียนรู้ 

อำเภอลำทับได้คัดเลือกพื้นที่ของนายพิศิษฎ์  เป็ดทอง หมู่ที่ 3 ตำบลดินแดง เป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเครือข่าย กลุ่มผลิตกาแฟขี้ชะมด มีเป้าหมายในการพัฒนาเรื่องกาแฟ รวมถึงการทำการเกษตรโดยนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต

สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ มีดังนี้

1.) เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่

2.) หน่วยงานต่าง ๆ มีการให้บริการด้านการเกษตรตามภารกิจเพื่อสนับสนุนเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่

3.) เพื่อเผยแพร่ให้เกษตรกรรู้จักและใช้ประโยชน์จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่มีอยู่ในพื้นที่

กิจกรรมภายในงาน จัดให้มีสถานีเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละสถานี จะมีเนื้อหาที่สอดคล้องกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมายของการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ   โดยมีจำนวน 5 สถานีเรียนรู้ ดังนี้

      สถานีที่ 1 บริการด้านวิชาการ

      สถานีที่ 2 การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตกาแฟ

      สถานีที่ 3 การจัดการและตกแต่งสวนกาแฟ

      สถานีที่ 4 การปลูกไม้เศรษฐกิจในสวนกาแฟ

      สถานีที่ 5 การเลี้ยงชะมด

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงองค์ความรู้  กิจกรรมทางการเกษตร และการให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่ม/สถาบันเกษตรกร ภาคเอกชน  ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในการถ่ายทอดความรู้

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้มีเกษตรกรในพื้นที่อำเภอลำทับ และพื้นที่ใกล้เคียงมาร่วมงานไม่น้อยกว่า 120 คน ซึ่งเกษตรกรจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตรในพื้นที่ของตนเอง  โดยยึดหลักพอเพียง ความพอดีกับศักยภาพของตนเอง บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง รวมทั้งมีความเอื้ออาทรต่อคนอื่นๆ ในสังคมเป็นประการสำคัญ


ภาพ/ข่าว : มโนธรรม ใจหาญ  รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top