Tuesday, 18 March 2025
SPECIAL

‘ประกาศิตพญามังกร’ จีนสั่งปิดธุรกิจฝากเงินออนไลน์ ดับฝัน ‘แจ็ค หม่า’ หลัง ‘ระงับไอพีโอแอนต์ กรุ๊ป’ ตัดรายได้หลักของอาลีเพย์และยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ในดาบเดียว

หลังจากเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ‘แอนต์ กรุ๊ป’ เจ้าของแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์อาลีเพย์ ได้ประกาศแผนการเข้าตลาดหุ้นทั้งตลาดเซี่ยงไฮ้และตลาดฮ่องกง โดยฝันหวานด้วยจิตใจที่พองโตว่าการเปิดขายหุ้นสาธารณะครั้งแรก (ไอพีโอ)นี้ จะระดมทุน 34,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หากการเข้าตลาดหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น อาลีเพย์จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกว่า 2 ล้านหยวน ทั้งแจ็ค หม่า ผู้บริหารใหญ่ในแอนต์คือ อีริค จิ่ง และลูซี่ เผิง ไปยันกลุ่มนักลงทุน ก็จะฟันกำไรก้อนโตกันหน้าบาน

แต่ทว่า ก่อนหน้าเพียงไม่กี่วันที่เจ้ามดน้อยอย่าง ‘แอนต์’ จะก้าวเท้าเข้าตลาดขายหุ้นไอพีโอในวันที่ 5 พ.ย. พญามังกรก็ร่อนลงมาสะบัดหางปัดมดกระเด็นออกจากตลาดไป นั่นคือ ‘คำสั่งระงับการเปิดขายไอพีโอ’ ต่อมาธนาคารประชาชนจีนซึ่งเป็นธนาคารกลาง พร้อมด้วยหน่วยงานผู้คุมกฎภาคการเงินและการธนาคาร ก็ ‘นัดคุย’ กับแอนต์ กรุ๊ป

ระหว่างเกิดเรื่องเขย่าวงการหุ้นโลกนี้ อภิหมาเศรษฐีแจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป และแอนต์ กรุ๊ป ก็หายตัวไปจากสาธารณะอย่างปริศนา ท่ามกลางกระแสลือว่าเขาถูกจับกุมตัวไปดำเนินคดีคอรัปชั่น หม่าหายไปสองเดือนกว่า และเพิ่งปรากฏตัวในพิธีมอบรางวัลดีเด่นให้แก่กลุ่มครูชนบทซึ่งจัดผ่านวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา

ไม่กี่วันต่อมา กลุ่มสื่อจีนออกข่าว รองผู้ว่าแบงค์ชาติจีน นาย เฉิน อี่ว์ลู่ออกมาเปิดเผยว่า แอนต์ กรุ๊ปได้จัดตั้งกลุ่มทำงานดำเนินการปรับปรุงธุรกิจตามที่หน่วยงานผู้คุมกฎเรียกร้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้อาลีเพย์ได้ปิดธุรกิจที่ทำรายได้หลักไปตลอดกาล ทำให้ผู้ใช้นับร้อยล้านรายร้องกันระงม “เสียดายจัง...”

กลับมาที่เรื่อง ‘นัดคุย’ ก่อนสิ้นปีที่แล้ว แบงค์ชาติมังกรได้เรียก แจ็ก หม่าไปพบอีก ทั้งกลุ่มยักษ์ใหญ่แพลตฟอร์มการเงิน เทนเซนท์ ไฟแนนเชียล เทคโนโลยี (Tencent Financial Technology) ตงจิง ไฟแนนซ์ (Jingdong Finance) ก็ถูกเรียกไปคุยด้วยพร้อมหน้ากันเพื่อแจ้งกฎข้อบังคับใหม่และการปรับปรุงธุรกิจ

หลังการ ‘นัดคุย’ อาลีเพย์ ก็จัดแจงปิดกิจการฝากเงินออนไลน์ทั้งหมดเป็นรายแรก ตามด้วย เทนเซนท์, จิงตง (JD) เหมยถวน (Meituan)…

กฎข้อบังคับใหม่ของแบงค์ชาติมังกรประกาศิตให้ภาคธุรกิจฝากเงินออนไลน์ของอาลีเพย์และบริษัทรายใหญ่อื่นๆหายวับไปจากโลกออนไลน์แผ่นดินใหญ่อย่างชนิดไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย คงเห็นภาพแล้วว่าธุรกิจที่ทำรายได้หลักของอาลีเพย์ และบรรดายักษ์ใหญ่อย่างเทนเซนท์ จิงตง ถูกแบงค์ชาติฟันฉับดาบเดียวร่วงหมดทั้งยวงในพริบตา

ทั้งนี้ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาคการเงินออนไลน์เบ่งบานสะพรั่งไปทั่วแผ่นดินจีนโดยมีอาลีเพย์เป็นผู้บุกเบิก จากนั้นเหล่ายักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซรายอื่นๆ ทั้ง เทนเซนท์ จิงตง เหมยถวน ก็โดดลงมาชิงส่วนแบ่งตลาดโดยออกแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์ เทียบกับระบบฝากเงินแบบเก่าแล้วระบบการเงินออนไลน์รวดเร็วกว่าและบริการน่าประทับใจ ที่สำคัญคือดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่า

เฉพาะแพลตฟอร์มอาลีเพย์ มีผู้ใช้หลายร้อยล้านราย ผู้ใช้จำนวนไม่น้อยช้อปปิ้งผ่านระบบฝากเงินออนไลน์กันอย่างเมามัน การปิดธุรกิจฝากเงินออนไลน์อย่างสายฟ้าแลบเช่นนี้ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากได้แต่มองตาปริบๆด้วยความเสียดาย

ในด้านพญามังกรที่ออกโรงโดยธนาคารกลางนั้นมองว่าธุรกิจเงินฝากออนไลน์ของอาลีเพย์และยักษ์ใหญ่ไอทีรายอื่นๆ เปรียบดั่ง ‘การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่’ และต้องจัดการให้เข้ามาอยู่ในอาณัติกำกับดูแลของผู้คุมกฎ เนื่องจากระบบฝากเงินออนไลน์มีความเสี่ยงใหญ่สองประการ

หนึ่งคือ ทำลายระเบียบการแข่งขันของตลาดฝากเงิน จากข้อมูลระบุว่าผู้ที่ทำธุรกิจฝากเงินออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลาง-ขนาดเล็กในท้องถิ่นและธนาคารเอกชน กลุ่มธนาคารเหล่านี้ไม่สามารถแข่งขันกับสี่ยักษ์ใหญ่ธนาคารพาณิชย์ของประเทศได้เลย ดังนั้นจึงใช้วิธีการ ‘ให้ดอกเบี้ยสูง’ และอื่นๆ ที่แหกกฎข้อบังคับ

สองคือ สร้างแรงกดดันให้กับการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนหนี้สินของธนาคาร หากกลุ่มธนาคารในท้องถิ่นและธนาคารเอกชนเหล่านี้มีความสามารถในการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินไม่เพียงพอ เมื่อต้องประสบกับสถานการณ์ที่กองทุนเงินฝากมหาศาลถั่งโถมเข้ามา จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัท หากห่วงโซ่ทุนเกิดแตกขึ้นมา ผลกระทบที่ตามมาจะเลวร้ายมากอีกทั้งขยายวงกว้างขวาง

การปิดธุรกิจฝากเงินฯ ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากสูญเสียช่องทางจัดการทรัพย์สินที่สะดวกและรวดเร็วไป แต่ปกป้องทุนให้มีความปลอดภัยมากกว่า ระบบการเงินออนไลน์เป็นนวัตกรรมใหม่ การสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ดี แต่การควบคุมความเสี่ยงและเสถียรภาพสำคัญกว่า


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000008950

ชายชาวมาเลเซีย สั่งอาหารออนไลน์ แต่เมื่อสินค้ามาถึง เล่นเอาผงะ! เมื่อเมนูที่ชื่อ Serundeng กลับกลายเป็นเส้นยาสูบ เหตุที่โดนต้มตุ๋นครั้งนี้ เพราะวัตถุดิบดันหน้าตาคล้ายกัน

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

อวสานเมนูโปรด เตือนสตินักช้อปออนไลน์!!

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ชายหนุ่มที่ปรากฎในภาพได้กลายเป็นไวรัลในเฟซบุ๊ก ที่มาของเรื่องนี้ เมื่อเขาได้สั่งซื้อเมนูอาหารแสนโปรด แต่สิ่งที่ได้รับ กลับทำให้สะเทือนใจ!

มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังเมื่ออาหารที่ตัวเองอยากกินไม่เป็นอย่างที่หวัง เรียกว่าเป็นมื้อที่พังพินาศ! ชายหนุ่มตั้งใจหาซื้อเมนูที่ชื่อว่า "Serundeng" มากินกับข้าว โดยสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ด้วยความที่เข้าใจผิด กลับสั่งเส้นยาสูบมาแทน!

เรื่องโอละพ่อนี้มันมีที่มา โดยลักษณะของเมนูที่ชื่อว่า Serundeng (เซอรุนเด็ง) นั้น เป็นเมนูที่ทำมาจากมะพร้าวขูด และนำมาคั่วกับสมุนไพรต่าง ๆ เช่น ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้ และอื่น ๆ มักทานกับข้าวหรือ topping บนน้ำแกงกระหรี่ต่างๆ

แต่จากภาพระยะใกล้ที่เห็นในโพสต์ เส้นยาสูบ กับ เซอรุนเด็ง มันก็ช่างเหมือนกันซะเหลือเกิน!

หลังจากไวรัลนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ก็มีหลายคนที่รู้สึกเห็นใจหนุ่มคนนี้ ที่ต้องอดกินเซอรุนเด็งแสนอร่อยพร้อมกับข้าว (ครั้นจะกินเส้นยาสูบกับข้าวแทนก็ไม่ไหวจะเคลียร์)

แต่หลายคนก็ให้ความเห็นเชิงเตือนสติว่า จริง ๆ แล้วเขาควรอ่านรายละเอียดหรือตรวจสอบสิ่งที่เขาจะซื้อให้ดีก่อน จะได้ไม่ต้องพบความผิดหวังแบบนี้

หวังว่าข่าวนี้จะช่วยเตือนสติขาช้อปออนไลน์ทั้งหลายได้มากขึ้น จะสั่งซื้ออะไร อย่าดูแต่รูปภาพ ควรจะตรวจสอบรายละเอียดก่อนการซื้อ จะได้ไม่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับหนุ่มคนนี้นะคะ

Info via @kuyangeropa2.0/Facebook


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

ธุรกิจโรงแรมยักษ์ใหญ่เมืองไทย ‘เซ็นทารา’ เดินหน้าขยายเชนโรงแรมใน สปป.ลาว เข้าบริหาร 2 โรงแรมที่เมืองวังเวียง คาดเปิดบริการปลายปี 2564

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

เซ็นทารา #รุกขยายธุรกิจในลาว ลงนามสัญญาบริหารโรงแรมใหม่ 2 แห่งที่วังเวียงในลาว และ 1 แห่งที่เขาใหญ่ในไทย

นายธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า

"..เซ็นทาราได้ลงนามสัญญา  บริหารร่วมกับ ทวีสุข โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เพื่อเข้าบริหาร 2 โรงแรมสวยวิวแม่น้ำในเมืองวังเวียง

โดยโรงแรมทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับแม่น้ำซองและมีสะพานเชื่อมตรงกลางระหว่าง 2 โรงแรม ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปี 2564..

โรงแรมทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรา บาย เซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท วังเวียง (ชื่อเดิม โรงแรมทวีสุข ไอส์แลนด์) และทวีสุข ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ทและสปา วังเวียง เซ็นทารา บูติกคอลเลกชัน (ชื่อเดิม โรงแรมทวีสุข ริเวอร์ไซด์)

“เซ็นทารารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับทวีสุข โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท"

 #เราเชื่อมั่นว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดลาวของทวีสุขโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จะสามารถนำความสำเร็จมาสู่เซ็นทาราและการท่องเที่ยวในลาวได้อย่างแน่นอน” นายธีระยุทธกล่าว

“ลาวเป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ทางธรรมชาติอันสวยงามและกำลังเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว เรามุ่งมั่นที่จะนำประสบการณ์การบริการอันอบอุ่นเสมือนครอบครัวของเซ็นทาราก้าวไปสู่ระดับสากลในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก”


เรื่องโดย: หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

สิ้นชื่อ ‘Sergi Mingote’ นักปีนเขาชื่อดัง ประสบอุบัติเหตุในขณะปีนยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลก จบชีวิตลงในวัยเพียง 49 ปี

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

เกิดข่าวช็อคกับแวดวงนักปีนเขา เมื่อ Sergi Mingote ยอดนักปีนเขาที่มีชื่อเสียง พลาดประสบอุบัติเหตุขณะขึ้นปีนยอดเขาก็อดวิน ออสเท็น (Godwin Austen) หรือยอดเขาเคทู (K2) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของโลก ส่งผลให้เจ้าตัวเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

Sergi Mingote ได้ชื่อว่าเป็นนักปีนเขาที่มีความเชี่ยวชาญในการปีนเขาโดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน รวมทั้งเป็นหนึ่งในนักปีนเขาที่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้นิยมกิจกรรมชนิดนี้อย่างมาก โดยล่าสุด เจ้าตัวได้ขึ้นไปปีนยอดเขา K2 แต่เกิดประสบอุบัติเหตุโดนหินตกใส่ ภายหลังเกิดเหตุ มีเพื่อนนักปีนเขาพยายามช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เสียชีวิตลง นำความโศกเศร้า และถือเป็นการสูญเสียบุคลากรในแวดวงการนักปีนเขาไปอย่างกระทันหัน

กล่าวถึง Godwin Austen หรือยอดเขา K2 ถือเป็นยอดเขาสูงที่อยู่ในเทือกเขาคาราโคราม (Karakoram) ซึ่งเป็นเทือกเขาสาขาของเทือกเขาหิมาลัย ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของประเทศปากีสถานและประเทศจีน สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 8,611 เมตร หรือ 28,251.3 ฟุต และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสองของโลก รองจากยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่เป็นหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

‘แจ็ค หม่า’ ปรากฏตัวผ่านวิดิโอลิงก์ครั้งแรกหลังโดนข่าวลือหนัก พร้อมทิ้งปริศนา จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิด-19 จบลง

ทันทีที่มีการนำเสนอคลิปวิดิโอของอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน แจ็ค หม่า ที่คนทั้งโลกกำลังตามหาว่าเขาหายไปไหน ก็กลายเป็นข่าวด่วนไปทั่วโลกว่า แจ็ค หม่า กลับมาแล้ว หลังจากที่เขาหายไปนานเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เกิดเรื่องระงับ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนอาจนำไปสู่การตรวจสอบบริษัท Alibaba ทั้งเครือข่าย

ล่าสุด มีการนำเสนอคลิปวิดิโอสั้น ผ่านทางสำนักข่าว Tianmu News ที่เป็นสำนักข่าวท้องถิ่นของรัฐบาลมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นมณฑลบ้านเกิดของ แจ็ค หม่า และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Alibaba ได้ออกมาแสดงความยินดีกับครูชนบทดีเด่น 100 คนที่ได้รับรางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ในปีนี้ ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ แจ็ค หม่า และจัดต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงปี 2021 นี้เป็นปีที่ 6 แล้ว

อย่างที่ทราบกันดีว่า แจ็ค หม่า เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะผันตัวเองเข้ามาอยู่ในธุรกิจ e-Commerce และกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจ Alibaba ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน แต่แจ็ค หม่า ยังคงรัก และสนับสนุนอาชีพครู เท่าที่เขาทำได้ และ รางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ก็เป็นหนึ่งในโครงการของเขา ซึ่งจัดมอบรางวัลที่เมืองซานย่า ในเกาะไหหลำทางตอนใต้ของจีนตั้งแต่ปี 2015

ในคลิปวิดีโอ แจ็ค หม่า ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัล และบอกว่า เขาจะกลับมาพบทุกคนแน่นอนหลังจากที่โรคระบาด Covid-19 สิ้นสุดลง และยังมีภาพแจ็ค หม่า ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมในเมืองหังโจว บ้านเกิดตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสบายดี ไม่ได้หายไปไหน

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นคลิปเก่าที่อัดไว้นานแล้ว ตัวแจ็ค หม่า จะยังอยู่ที่เมืองหังโจว อยู่หรือไม่ ก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัด และยังคงต้องรอจนกว่าแจ็ค หม่า จะพร้อมออกสื่อให้ได้เห็นตัวเป็น ๆ ซึ่งก็อาจจะต้องรอจนกว่า Covid-19 จะหมดอย่างที่เขาพูดไว้ก็เป็นได้


แหล่งข่าว

https://edition.cnn.com/.../jack-ma-appearance.../index.html

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213348.shtml

เรื่องเล่าจากแดนไกล ’เมือง Sost’ แห่งปากีสถาน เมืองท่าชายแดนที่มีชื่อเล่นว่า เมืองขี้เกียจ วันนี้แม้จะต้องต่อสู้กับโควิด-19 รอบข้าง แต่เมืองนี้ไม่มีใครติดโควิด-19 แม้แต่คนเดียว

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

วันนี้จะพาไปเที่ยวเมือง​ Sost เมืองท่าแห่งการคมนาคมของประเทศปากีสถานกับประเทศจีน (เส้นทางสายไหมโบราณ)  บนถนนคาราโครัมไฮเวย์​ จริง ๆ แล้วภารกิจหลักคือ มาซื้อถ่านหินไปใช้หน้าหนาวจัด​ ขาดไม่ได้ไม่อย่างนั้น แข็งตายแน่นอน

เมือง​ Sost  อ่านว่า ซอส​ หรือบางคนออกเสียงว่า ซูส  ซึ่งแปลความหมายในภาษาอูรดู แปลว่า ขี้เกียจ

ผู้คนในเมืองใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เกือบทั้งหมดเป็นชาววาคี มีบางส่วนเป็นชาวบูเชสกี้ มาจากฮุนซ่า ภาษาที่ใช้เลยจะเป็นภาษาวาคี และบูเชสกี้

เราอาศัยอยู่เมือง​ Passu ห่างจากเมือง Sost ประมาณ​ 40​ กิโลเมตร แต่ไม่ใช่ ​40 กิโลเมตร​ จากกรุงเทพ​- นครปฐม​ ​นะ เพราะวันนี้ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมงกว่า เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยหิมะ และถนนลื่นมาก ๆ เลยต้องใส่โซ่ที่ล้อรถ และใช้ความระมัดระวังมาก​ ไม่สามารถทำความเร็วได้

ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยหิมะสีขาว ตัดกับแม่น้ำกุลจิราฟ ที่สีฟ้าสดใส ท่ามกลางหุบเขาสูงใหญ่ของเทือกเขาคาราโครัม จะพบเจอฝูงแกะ และฝูง Yak (จามรี) ตลอดเส้นทาง โชคดีหน่อย ก็จะเจอแพะภูเขา (Himalayan Ibex) ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เดินลงมาหาหญ้ากินข้างล่าง

ในฤดูหนาวจะเห็นฝูงแพะภูเขาได้ง่ายกว่าฤดูร้อน เดินทางมาสักพัก ก็เห็นฝูงแพะภูเขา สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เรามากเลย​ นี่ขนาดเดินทางเข้าออกปากีสถานตอนเหนือมาหลายปี​ เห็นกี่ครั้งก็อดตื่นเต้นกับธรรมชาติ​ที่อุดมสมบูรณ์​ของดินแดนหลังคาโลกไม่ได้

สักพักเดินทางมาถึงเมือง ​Sost ปกติเมืองนี้จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจจากประเทศจีน แต่เพราะโควิด-19 ตัวดี​ ทำให้รัฐบาลปิดด่านชายแดนกุลจิราฟ​ ซึ่งเป็นชายแดนที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงประมาณ 4700 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ทำให้ผู้คนทั้งสองประเทศไปมาหาสู่กันไม่ได้ และที่สำคัญรถสินค้าจากจีนก็มาปากีสถานไม่ได้เช่นกัน  การท่องเที่ยวที่คึกคักทั้งฝั่งปากีสถานและจีน​ก็เงียบสนิท

ปกติเมือง​ Sost คือศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่ง จะมีรถรับจ้างคอยบริการจากเมืองนี้ ข้ามไปเขตปกครองตนเอง​ซินเจียง ประเทศจีนได้ไม่ยาก เข้าไปเมืองทัชคาร์กันและเมืองหลวงอุรุมมูฉี

นักท่องเที่ยวจะจองรถบัสประจำทาง Hunza-Xinjiang  หรือจะเช่ารถส่วนตัวข้ามไปเขตซินเจียงก็ได้ ที่นี่มีคนขับผู้ชำนาญเส้นทางเยอะมาก ๆ

และเมือง Sost ยังมี​ Dry Port หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ท่าเรือบก​ ท่าเรือนี้เป็นที่เก็บสินค้าจีนที่ส่งมาขายที่ปากีสถาน เป็นเหมือนโกดังสินค้าขนาดมหึมา

ตามข้อมูล ท่าเรือบกที่นี่​มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกปี​ เพราะมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศจีน​และปากีสถาน​ผ่านด่านกุลจีราฟ​ มีตัวเลขเพิ่มขึ้นทุกปี​ และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักของนโยบาย​ One Belt, One Road. ของจีน​ที่ขยายเส้นทางการค้าสมัยใหม่

ปากีสถาน​คือประเทศหลักประเทศหนึ่งตามยุทธศาสตร์​การค้าของจีน

ท่าแห่งนี้ห้ามคนนอกเข้า เราเลยไม่เคยได้เข้าไป แต่ชาวบ้านบอกว่าสินค้าจีนเยอะมาก ๆ คุณอาของสามีเราก็เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานที่นั่นด้วย

ทุกอย่างในเมืองนี้ เหมือนเป็น​  Mini China ทีเดียว

ที่นี่ได้รับผลกระทบจากโควิดเข้าขั้นรุนแรง สาหัส​ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดร้าน โรงแรมมากมายที่ปิดกิจการ ​(บางโรงแรมเปิดรับเฉพาะคนจีน) ร้านอาหารก็เปิดเพียงไม่กี่ร้าน และผู้คนเป็นหมื่นคนตกงาน ไม่ว่าจะเป็นล่าม พ่อค้า ไกด์ คนงาน คนขับรถประจำทาง คนขับรถสิบล้อ และคนอื่น ๆ ต่างรอคอยการกลับมาของการเปิดด่านชายแดนอีกครั้ง รถสิบล้อที่ข้ามด่านไปไม่ได้จอดรอที่เมืองนี้เป็นร้อย ๆ คัน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก บางเวลาขณะเราเดินอยู่ในเมืองจะได้ยินเสียง Go Corona Go ไปโคโรน่า ไปโคโรนา​ เสียงนี้มาจากคนที่ตกงาน​จนไม่มีกินจริงๆ

แต่ก็มีความโชคดีจากการปิดด่านชายแดน คือผู้คนที่นี่ไม่มีใครเป็นโควิด-19 ไม่เป็น และไม่เคยเป็น ไม่มีตัวเลขนับ ​1 ด้วย

มันมหัศจรรย์มากนะคะ ที่มีพื้นที่ติดชายแดนจีนเพียงแค่เอื้อม แต่กลับไม่มีโควิด-19 ที่นี่​ อาจจะเป็นเพราะมณฑลซินเจียง ​คือดินแดนตะวันตก​สุด ​ไกลสุดจากอูฮั่น ​มณฑลหูเป่ย​ ที่มีข่าวว่าเป็นต้นทางของโควิด-19 ​ก็ได้

ถนนคาราโครัมไฮเวย์ที่เคยเต็มไปด้วยรถเล็ก รถใหญ่ วันนี้กลายเป็นสนามฟุตบอลให้ชาวบ้านได้เล่นฟุตบอลคลายหนาวแทน

เราเดินซื้อของสักพัก ตั้งใจมาซื้อถ่านหินจากเมืองนี้ เพื่อไปก่อไฟที่บ้านให้ความอบอุ่น และเราก็เดินไปเจอเพื่อน ๆ ไกด์ที่ตกงานมากมาย ทุกคนก็รอความหวังให้โควิด-19 หายไปสักที ในฐานะที่ตัวเองก็ทำทัวร์ ก็อยากให้โควิด-19 หมดไปเช่นกัน

แต่สิ่งที่พบเจอวันนี้ในระหว่างการเดินทาง​ ทุกคนที่เจอยังมีความหวังในการต่อสู้ชีวิตต่อไป​ และคอยการมาของวัคซีน​เพื่อป้องกันไวรัสตัวร้าย​ ให้มนุษย์​ได้ทำมาหากินกันตามปกติสักที

เราจะรอดไปด้วยกัน​ และผู้หญิงไทยคนเดียวบนถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ดินแดนหลังคาโลก​ ก็ต้องรอดเหมือนกัน​ เพราะแม่คอยเราอยู่ที่เมืองไทยอันเป็นที่รัก


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

ออสเตรเลีย โอเพ่น ป่วนหนัก กักตัวนักเทนนิสกว่า 47 คน หลังพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ร่วมเดินทางในเครื่องบินลำเดียวกัน

เป็นเรื่องซะแล้ว สำหรับงาน ออสเตรเลีย โอเพ่น หนึ่งในงานแข่งขันเทนนิสระดับแกรด์สแลม ที่จัดขึ้นที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีการตรวจพบผู้โดสาร 2 คน ที่ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินเหมาลำด้วยกันกับทีมนักเทนนิสติดเชื้อ Covid-19 และไม่ใช่แค่เที่ยวบินเดียว แต่พบถึง 2 เที่ยว

เที่ยวบินแรก ไฟล์ท  QR7493 เดินทางมาจากลอส แองเจิลลิส ถึง เมลเบิร์น เมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา และตรวจพบผู้โดยสาร 2 คน ติดเชื้อ Covid-19 ซึ่งเที่ยวบินนี้ มีนักเทนนิสที่กำลังจะเข้าแข่งขันออสเตรเลีย โอเพ่น ถึง 24 คน รวมถึง วิคตอเรีย อซาเรนกา อดีตแชมป์รายการถึง 2 สมัย

ส่วนอีกเที่ยวบินหนึ่งนั้น เดินทางมาจากนครอาบู ดาบี ถึง เมลเบิร์น มีนักเทนนิสในเที่ยวบินนี้อีก 23 คน ก็พบว่ามีผู้โดยสาร 1 รายติดเชื้อ Covid-19 เช่นกัน

แม้ว่าจะมีการยืนยันแล้วว่ากลุ่มที่ติดเชื้อ Covid-19 บนเที่ยวบินไม่ใช่นักเทนนิส แต่ก็ประมาทไม่ได้ จึงสั่งให้นักกีฬา และทีมงานกักตัว 14 วันตามมาตรที่โรงแรมพิเศษ

นั่นหมายความว่านักเทนนิสที่ถูกกักตัวทั้ง 47 คน จะมาซ้อมภายนอกไม่ได้เลย ต้องอยู่แต่ในห้องพัก ที่อาจทำให้เกิดความเสียเปรียบเมื่อลงแข่งสนามจริงได้

นับเป็นเรื่องวุ่นๆอีกครั้ง ที่เกิดขึ้นใน ออสเตรเลีย โอเพ่น หลังจากที่ปี 2020 ที่ออสเตรเลียต้องเผชิญไฟป่าครั้งเลวร้ายเกือบทั่วประเทศ และทำให้เกิดค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นจนถึงระดับอันตรายในกรุงเมลเบิร์น ช่วงเวลาที่มีการแข่งขันออสเตรเลีย โอเพ่น พอดี จนเป็นเหตุให้มีนักเทนนิสเป็นลมระหว่างการแข่ง จนต้องถอนตัวไป

ปีนี้ก็มีเหตุ Covid-19 ที่ทำให้วุ่นวาย ก็หวังว่าจะสามารถจัดการแข่งขันได้อย่างราบรื่นในท้ายที่สุด


แหล่งข่าว

The Guardian

https://www.theguardian.com/sport/2021/jan/16/australian-open-players-locked-down-as-two-test-positive-for-covid-19-after-flight-from-us

CNN

https://edition.cnn.com/2021/01/16/tennis/australian-open-covid-19-flights-spt-intl/index.html

สปป.ลาว เริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกผู้บริหารประเทศอีกครั้ง หลังรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดวาระ 5 ปี รู้ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดสำคัญภายในวันที่ 15 มกราคมนี้

คอลัมน์ "เบิ่งข้ามโขง"

การประชุมใหญ่ของ ผู้แทนทั่วประเทศของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว จัดเป็นประจำทุก 5 ปี ในระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม 2564

โดยเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2564 กองประชุมใหญ่ ได้ทำการลงคะแนน ในการคัดเลือกคณะกรรมการกลางพรรค และคณะกรรมการกรมการเมือง ซึ่งผลการเลือกตั้งจะแถลงอย่างป็นทางการในวันนี้ 15 มกราคม 2564

การเลือกคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ จำนวน 11 คน ซึ่งถือเป็นคณะผู้บริหารสูงสุดของพรรค และ เลือกคณะเลขาธิการศูนย์กลางพรรคชุดใหม่อีก 9 คน รวมถึงผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค

ซึ่งเมื่อได้รายชื่อคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดใหม่ ขั้นตอนต่อไป เป็นการคัดเลือกตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการบริหารของประเทศ ประกอบด้วย ประธานประเทศ โดยปกติผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค คือ ผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง

ที่สำคัญ คือ การคัดเลือกบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การประชุมพรรคนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดวาระการทำหน้าที่ของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีอายุครบ 5 ปี

การจัดกองประชุมครั้งนี้ นายบุนโจม อุบนปะเสิด เลขาคณะบริหารงานพรรค กระทรวงการเงิน และหัวหน้าอนุกรรมการงบประมาณ ใช้งบประมาณเบื้องต้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพร้อมของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จนถึงวันประชุม เป็นเงิน 70,000 ล้านกีบ หรือ ประมาณ 209 ล้านบาท

มีองค์กรทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ จำนวน 26 แห่ง แสดงเจตจำนงให้การสนับสนุนทั้งในรูปเงินสดและวัตถุปัจจัย เพื่อให้การประชุมประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

มี 8 บริษัทที่ให้สนับสนุนเป็นเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านกีบ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ขึ้นไป ซึ่งบริษัทเอสทีและธนาคารเอสที สนับสนุนมากที่สุด 1,200 ล้านกีบ และบริษัทเอสวี กรุ๊ป อีก 100 ล้านกีบ (บริษัททั้งสองอยู่ในกลุ่มเดียวกัน)

รองลงมาเป็น บริษัทลาวโทละคมมะนาคม 1,100 ล้านกีบ ยังมีรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐ ร่วมมอบเงินสนับสนุน โดยบริษัทเบียร์ลาว ธนาคารการค้าต่างประเทศลาว และธนาคารแห่ง สปป.ลาว (แบงก์ชาติลาว) สนับสนุนหน่วยงานละ 500 ล้านกีบ บริษัทรัฐวิสาหกิจหวยพัฒนา มอบเงินสนับสนุน 300 ล้านกีบ กลุ่มบริษัทดาวเรือง ไม่ได้มอบเป็นเงิน แต่ได้นำผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำดื่ม กาแฟ ชา ผลไม้อบแห้ง มาร่วมสนับสนุนคิดเป็นมูลค่า 120 ล้านกีบ

ผู้สนับสนุนเหล่านี้ ในทางการเมืองบ้านเรา ก็ถือว่า เป็นกลุ่มทุน และย่อมมีบทบาทต่อไป หลังการประชุมครั้งนี้ เสร็จสิ้นลง


หนุ่มโคราชคลุกคลี กับเมืองลาวทั้งด้านธุรกิจเอกชนและภาครัฐมานานหลายปี ยินดีแนะนําภาคเอกชนไทย บุกตลาดอินโดจีน สรรหาเรื่องเล่า วีถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจ

แม้จะผ่อนคลายจากการล็อคดาวน์ แต่ชาวออสเตรเลียยังต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากมาย ตามไปดูว่ามีอะไรกันบ้าง

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

หลังจากประกาศล็อคดาวน์รอบสองเป็นเวลา 3 วันติด ควีนส์แลนด์ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จึงมีการคลายล็อคดาวน์ตามกำหนดการเดิมเวลา 18.00 น. เย็นวันจันทร์ที่ 11 มกราคม แต่จะมีการบังคับใช้มาตรการใหม่อีก 10 วันเพื่อเฝ้าระวังในพื้นที่ Brisbane , Ipswich , Logan Moreton Bay และ Redlands จนถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 22 มกราคม มาดูกันสิว่า เราทำอะไรกันได้บ้าง

1.) เรายังคงออกไปทำงานได้ตามปกติ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป ใครมีงานไปทำงาน ไม่มีงานก็พยายามหากันต่อไป ขับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ขี่จักรยานไปทำงาน ไม่จำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย แต่ถ้าขึ้นรถโดยสารสาธารณะเมื่อไร หน้ากากอนามัยจำเป็นที่จะต้องครอบจมูกไปจนถึงคาง ไม่มีใส่ไว้ใต้จมูก หรือเอาไว้แค่ปิดปาก ระยะห่างทางสังคมยังเหมือนเดิม มาเป็นคู่ก็ต้องนั่งแยกคู่ นั่งห่างกันให้ได้อย่างต่ำ 1.5 เมตร คนขับรถเมล์บางคนค่อนข้างเคร่งครัด ถ้าเผลอนั่งติดกันเมื่อไร รถจะไม่แล่นจนกว่าคนขับจะสั่งสอนเรื่อง Social distancing จนเป็นที่พอใจ

2.) ไปช้อปปิ้งซื้อของในห้างสรรพสินค้าได้ เข้าใจว่าโควิดทำให้เครียด และนี่คือหนึ่งในวิธีบำบัดความเครียดของสาว ๆ เครียดมากซื้อมาก เครียดน้อยซื้อน้อย แต่ก่อนออกจากบ้านต้องพกหน้ากากอนามัยไปด้วย เป็นข้อบังคับว่าคุณต้องใส่หน้ากากอนามัยในขณะเดินช้อปอย่างสำราญใจ หรือจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ใด ๆ ก็ตาม พื้นที่ในอาคารมีกฎว่าทุกคนต้องสวมหน้ากาก บางห้างร้านถึงกับปิดประกาศไว้หน้าประตู “ No mask No service” ยังดีนี่แค่เตือน แต่ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้า คุณอาจไม่ได้แค่โดนตักเตือน เผลอ ๆ อาจจะโดนค่าปรับเอาด้วย

3.) ไปกินข้าวนอกบ้านได้ มาม่ากับไข่เจียวไหม้ ๆ ที่ทำกินเองทุกวันคงไม่ทำให้คุณเจริญอาหารแน่ ๆ คลายล็อคคราวนี้คุณสามารถจะจองโต๊ะดินเนอร์หรูริมฝั่งแม่น้ำบริสเบนหรือจะเดินไปนั่งชิลล์ ๆ ดื่มกาแฟที่คาเฟ่หน้าปากซอยก็ได้แน่นอนพนักงานให้บริการรับออเดอร์เสิร์ฟอาหารมีข้อบังคับว่าต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเพื่อความสบายใจ คุณจะใส่หน้ากากสั่งอาหารก็ไม่มีใครว่า แต่ก็อย่าลืมถอดออกมาก่อนรับประทานอาหาร ที่สำคัญก่อนเข้าร้านต้องสแกนบาร์โค้ดและกรอกประวัติข้อมูลว่ามารับประทานอาหารที่ร้านนี้ วันนี้ เวลานี้เผื่อมีใครติดโควิดขึ้นมาเขาจะได้ตามเช็คตามแจ้งตามตรวจคุณได้ทัน

4.) เข้าไปใช้บริการห้องสมุดได้ โควิด-19 ไม่มีผลกระทบกับเด็กเนิร์ดอย่างเรา ถ้าจะเข้ามาอ่านหนังสือ ใช้ Wi-Fi ฟรี ทำการบ้าน ลอกการบ้าน ส่งงานอาจารย์ ก็มาใช้บริการห้องสมุดกันได้ ห้องสมุดทุกที่ในบริสเบนยังเปิดให้บริการตามปกติทุกวัน เพียงแต่คุณจะต้องกรอกประวัติการเข้ามาใช้บริการและสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะเข้าใช้บริการ พื้นที่ในการนั่งทำงาน ก็จะเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างที่ทราบกันดี ส่วนห้องประชุมงดให้บริการ เพื่อความปลอดภัยของทุก ๆ คน

5.) ออกกำลังกายได้ ถ้าคุณเกิดอยากจะฟิตแอนด์เฟิร์มในช่วงนี้ สิ่งที่ควรรู้ในการออกกำลังกายคือ ถ้าคุณเล่นกีฬาในร่ม (ที่มีผู้คน) เช่น เข้ายิม เล่นโบว์ลิ่ง ยิงธนูในอาคาร ทุกอย่างที่ว่ามา คือต้องเว้นระยะห่างทางสังคมและคุณยังจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาในขณะออกกำลังกาย แต่ถ้าหากคุณเล่นกีฬากลางแจ้ง เช่น วิ่งจ้อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ตีแบดกลางแจ้ง ยิงปืน ยิงธนูกลางแจ้ง พวกนี้ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย แต่ถ้าคุณกลัวว่าไวรัสจะปลิวตามกระแสลมแล้วล่ะก็ จะสวมไว้ก็ไม่มีใครว่าอะไร เอาที่คุณสบายใจแล้วกัน อย่างไรก็ตาม จำกัดจำนวนคนในสนามกีฬากลางแจ้งได้ไม่เกิน 50% ของความจุ และเป็นไปตาม COVID Safe-plant      

6.) ดูซีรีส์เกาหลีอยู่บ้านได้ ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีโอปป้าอยู่เคียงข้าง แม้บางเวลาจะทำเราเสียน้ำตาบ้าง แต่โอปป้าก็จะเป็นคนเดียวที่คอยเคียงข้าง ทำให้เราไม่เหงา ให้เรามีกำลังใจในทุก ๆ วัน ขอแค่มีตังค์จ่ายค่าอินเตอร์เน็ตและ Netflix ก็พอ (เออ…อันนี้อินได้แต่ไม่ต้องใส่หน้ากากดู Netflix ก็ได้นะคะ) ดูซีรีส์ที่บ้านไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่ถ้าหากไปชมคอนเสิร์ต ดูละครในโรงละคร และดูหนังในโรงหนังเมื่อไร ก็จำเป็นจะต้องหาหน้ากากมาใส่กันนะจำกัดจำนวนคน คอนเสิร์ตในร่ม โรงละครไม่เกิน 50% ของความจุหรือ 4 ตารางเมตรต่อคน

 

7.) รวมตัวกันทั้งในที่สาธารณะและที่พักอาศัยไม่เกิน 20 คน จำกัดจำนวนคนงานแต่งงาน งานศพ ไม่เกิน 100 คน ทางที่ดีไม่ควรเสียชีวิตตอนนี้เพราะคนที่จะมาร่วมแสดงความเสียใจในงานศพเราเขามากันได้ไม่เกิน 100 คน ดังนั้นควรหมั่นดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจให้ดี ที่ไหนที่คนเยอะ ก็ไม่ต้องไปสุ่มเสี่ยง ปาร์ตี้สังสรรค์ งานวันเกิด งานอะไรต่อมิอะไรที่ไม่จำเป็นต้องพักไว้ก่อน เก็บร่างที่ยังแข็งแรงไว้ต่อสู้กับปัญหาปากท้อง เพราะเจ้าโควิดนี้ยังอยู่กับเราอีกนาน ตายตอนนี้คงดูเหงา ๆ ชอบกล มีคนไม่ถึง 100 คนที่มาร่วมงาน     

8.) งดการเข้าเยี่ยมในสถานดูแลผู้สูงอายุโรงพยาบาล ที่พักผู้พิการและทัณฑสถาน สถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวมามีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก หากมีคนใดคนหนึ่งติดเชื้อขึ้นมา การแพร่ระบาดก็จะลุกลามไปอย่างรวดเร็วและยากที่จะยับยั้งโดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ การงดเข้าเยี่ยมจึงเป็นมาตรการที่ถูกนำมาใช้ในการควบคุมการระบาดในครั้งนี้

9.) งดการเต้นรำ การเต้นรำเป็นสิ่งต้องห้ามในยามนี้ คือการไม่เต้นในผับในบาร์ แต่ถ้าคุณจะเต้นคนเดียวที่บ้านนั้นก็ไม่เป็นไร หรือยกเว้นกรณีคู่บ่าวสาวเต้นในงานแต่งงาน อันนั้นเขาอนุโลมให้ แม้จะมีข้อบังคับห้ามเต้นรำในผับบาร์ แต่ผับ บาร์ ร้านอาหาร คาเฟ่ ยังคงเปิดให้บริการได้ เพียงแต่ต้องมีที่นั่งให้รับประทานเท่านั้น ห้ามยืน มุง หรือเต้นโดยเด็ดขาด

ยังมีข้อจำกัดอีกหลายหลายอย่างในการคลายล็อคดาวน์ครั้งนี้ เช่น ธุรกิจต่าง ๆ ให้เว้นระยะห่าง 4 ตารางเมตรต่อคนสำหรับพื้นที่กลางแจ้ง และ 2 ตารางเมตรต่อคนสำหรับพื้นที่ในอาคาร สำหรับสถานที่ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร ให้ใช้กฎ 2 ตารางเมตรต่อคน แต่รับสูงสุดได้ไม่เกิน 50 คนต่อครั้ง ฯลฯ เพื่อความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางสังคม ก็คอยติดตามข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง ขอให้ทุกคนปลอดภัยห่างไกลจากโคขวิด เอ๊ย !! โควิด


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

สภาคองเกรสสหรัฐ ลงดาบยื่นถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ว่าจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเหลือเพียงแค่สัปดาห์เดียว

หลังจากเกิดเหตุการณ์จราจลครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่มีผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ บุกยึดสภาคองเกรสเพื่อขัดขวางการลงมติรับรอง โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก สภาผู้แทนสหรัฐส่วนใหญ่จึงเห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะยื่นถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่โดนยื่นเรื่องถอดถอนถึง 2 ครั้งขณะที่ดำรงตำแหน่งเพียงแค่สมัยเดียว

และการยื่นมติถอดถอนครั้งนี้มีขั้นตอนรวบรัดตัดความกว่าครั้งที่แล้วมาก เมื่อย้อนมาดูขั้นตอนการยื่นถอดถอนทรัมป์ในครั้งแรก ต้องรวบรวมเอกสาร หลักฐาน และพยานนานถึง 5 เดือนกว่าประธานสภาล่าง แนนซี เปอโรซี จะเห็นสมควรว่ามีมูลแน่นหนาพอที่จะชงเรื่องเข้าสู่สภา

แต่มาครั้งนี้ แนนซี เปอโรซี ประธานสภาคนเดียวกันใช้เวลาพิจารณาเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น แถมยังจี้ให้เตรียมเปิดสภาพิจารณาอย่างเร่งด่วนอีกด้วย เพราะอะไรนะหรือ  ? ก็เพราะว่าเห็นความผิดเป็นประจักษ์ แถมมีพยานเพียบ ที่เป็นผู้แทนสหรัฐทั้งสภาบน และ สภาล่าง อยู่เต็มอาคาร The Capital ที่กำลังเริ่มพิจารณารับรองผลเลือกตั้งให้กับโจ ไบเดน ในวันเกิดเหตุนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ มี สส. และ วุฒิสมาชิกสหรัฐจำนวนมากทั้ง 2 พรรค ออกมากดดันให้ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีใช้มาตรา 25 ยึดอำนาจจากทรัมป์เลยทันที ซึ่งมาตรา 25 ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐจะให้สิทธิ์รองประธานาธิบดีรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ด้วยเหตุผลว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสภาพที่จะดำรงตำแหน่งได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุการอสัญกรรม ถูกลอบสังหาร มีปัญหาเรื่องสุขภาพทางร่างกาย หรือ จิตใจ โดนถอดถอน ลาออก หรือ ด้วยความเห็นของรองประธานาธิบดี และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นว่า ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ซึ่งถ้ามีการใช้มาตรา 25 ขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมติถอดถอนให้เสียเวลา แต่ว่า เสือไม่กินเนื้อเสือฉันใด ไมค์ เพนท์ ก็คงไม่ทำกับทรัมป์ฉันนั้น แต่มาคราวนี้ สภาข้างมากของสหรัฐเป็นของเดโมแครต ที่ส่วนใหญ่มองว่า มาตรา 25 ไม่ต้องแล้วก็ได้ ยื่นถอดถอนไปเลยดีกว่า แม้ว่าเวลาในตำแหน่งของทรัมป์จะเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม ในเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ อยากสร้างตำนาน ก็จะจัดให้

เพราะนอกจากจะทำให้ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่โดน Double Impeachment โดนคดีถอดถอน 2 เด้งภายในสมัยเดียว และมีโอกาสสูงมากที่จะสำเร็จด้วย และจะทำให้ชื่อของทรัมป์ ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐด้วยว่า เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนสำเร็จด้วย

แต่นอกเหนือจากการถูกถอดถอน ที่ดูเหมือนทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงทรัมป์ก็อยู่ในตำแหน่งได้อีกไม่กี่วัน แต่คดีถอดถอนประธานาธิบดีมีความหมายมากกว่านั้น เพราะหากถอดถอนทรัมป์ได้จริง จะมีผลทำให้ทรัมป์ไม่สามารถลงชิงตำแหน่งการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ได้อีก

ก็ต้องมาติดตามกันดูว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มาเพื่อสร้างปรากฏการณ์หลายอย่างในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ แม้จะดำรงตำแหน่งเพียงแค่ 4 ปี แต่เป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยความระทึกขวัญทั้งกับคนสหรัฐ และคนทั่วโลก และจะเป็นตำนานให้ชาวโลกได้เม้าท์มอยกันไปอีกนานแสนนาน


แหล่งข่าว
https://edition.cnn.com/2021/01/11/politics/donald-trump-democrats-impeachment-capitol-riot/index.html

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-55611630

https://www.usnews.com/news/national-news/articles/2017-02-10/10-things-you-didnt-know-about-the-25th-amendment

ไม่ใช่แค่เมืองไทย ประเทศบรูไนก็ใช้แอปฯ ติดตามการระบาดโควิด-19 แถมจัดเต็มตรวจทุกสถานที่

คอลัมน์ เสียงจากเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ บรูไน

ประเทศไทยมีประเด็นข่าวเรื่องการโหลดแอปพลิเคชั่น ‘หมอชนะ’ เพื่อใช้ในการติดตามและป้องกันการระบาดโควิด-19 สำหรับที่ประเทศบรูไน มาตรการในการป้องกันโควิด-19 ก็ถือว่าเข้มงวดอย่างมาก โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศบรูไน ได้แจ้งว่า มาตรฐานการป้องกันโควิด-19 ของบรูไนถือว่าเข้มข้นที่สุด มีการปิดประเทศมาตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงตอนนี้ และจะไม่เปิดประเทศจนกว่าจะมีวัคซีน

ฉะนั้น ใครจะเดินทางเข้าออกบรูไนในช่วงนี้ ต้องทำหนังสือขออนุญาต และทุกคนต้องกักตัว นอกจากนี้เวลาไปไหนก็จำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชั่นที่ชื่อ bruhealth ด้วยทุกครั้ง ทุกที่ เนื่องจากจะมีการขอตรวจดูอยู่ตลอดเวลา หากใครที่ไม่สแกนผ่านแอปพลิเคชั่นตัวนี้ จะมีโทษปรับหนัก

เคยมีกรณีตัวอย่างมาแล้ว คนไทยในบรูไน เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร จะด้วยความลืมหรือความขี้เกียจก็สุดแท้ ปรากฎว่าไม่ได้สแกนตอนเข้ามา ซึ่งตามกฎระเบียบคือ ต้องสแกนก่อนเข้าร้านทุกครั้ง ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาปิดประตูร้าน ขอเช็กมือถือทุกคน สุดท้ายลูกค้าคนไทยถูกปรับไป 100 เหรียญบรูไน

แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือทางร้านก็โดนด้วย ถูกปรับไปถึง 200 เหรียญ! นี่คือตัวอย่างของการเอาจริงเอาจังของเจ้าหน้าที่ที่ประเทศบรูไน ปฏิบัติงานกันอย่างแข็งขันมาก เพื่อไม่ให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง


อะมีนะห์

สาวไทยมุสลิม เกิดใจกลางกรุงเทพ ชีวิตผกผันแต่งงานกับหนุ่มบรูไน ตั้งรกรากปากกัดตีนถีบแต่มีความสุขดี ยังชีพกับการเผยแพร่อาหารไทย มีความรักผูกพันบ้านเกิดทุกลมหายใจ เลี้ยงลูกสองคน วันนึงจะพาลูกมารู้จักแผ่นดินที่เเม่เกิดให้มากขึ้น แนะนำเพื่อนบ้านบรูไนจากกรุงเสรีเบการ์วันให้คนไทยรู้จักมากขึ้น

10 วิธีง่าย ๆ สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

คอลัมน์ "ข้างครัวริมแม่น้ำบริสเบน"

ปีใหม่ถือเป็นฤกษ์ดีในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ หลาย ๆ คนอาจมีแผนในปีเก่าไว้ว่าฉันจะทำนั่นทำนี่ แต่สุดท้ายแล้วแผนที่วางไว้ก็ไม่ได้ลงมือทำหรือทำไม่สำเร็จเสียที วันนี้เชฟก็เลยขอเขียนอะไรง่าย ๆ เป็นแนวทางในการ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่อยากจะลงมือทำอะไรจริง ๆ จัง ๆให้สำเร็จเสียทีไว้ให้ 10 ข้อตามนี้

1.) เขียนลิสต์แพลนและเป้าหมายที่ชัดเจน

เข้าใจว่าในหัวเรามีอะไรมากมายที่อยากจะทำ และอยากจะประสบความสำเร็จมันทุกอย่าง แต่เมื่อของหลายสิ่งอยู่ในหัว แน่นอนว่ามัน ก็จะดูมั่วๆ ในที่สุดก็ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น ปีใหม่นี้คุณคิดจะทำอะไรบ้าง เขียนมันออกมาให้เห็นในกระดาษ แปะ ไว้ที่ฝาบ้านหรือจะที่ไหนก็ได้ให้เห็นว่าฉันจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ เขียนถึงสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือ การควบคุมเช่นฉันจะถูกหวย 30 ล้านนั่นเขียนให้ตายสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ก็ไม่มีทางเป็นจริง

2.) ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

โอเค เมื่อเขียนถึงสิ่งที่เราต้องการทำแล้ว ลำดับต่อมาคือต้องหาแนวทางในการ ทำสิ่งนั้น ให้เป็นจริงแบบเป็นขั้นเป็นตอน กำหนดวัน เวลาในการเริ่มปฏิบัติการ กำหนดระยะเวลาที่จะทำ สำเร็จแบบคร่าวๆ เวลาที่กำหนดกับเวลาที่ทำได้จริงอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้างก็อย่าไปซีเรียส แต่ไม่ใช่ วางแผนปีนี้จะทำสำเร็จอีก 50 ปีข้างหน้า นั่นก็นานไป สำหรับผู้เริ่มหัดวางแผนใหม่ควรกำหนดแผนระยะ สั้น ๆ และทำสำเร็จได้ง่าย ๆ ก่อน เหนืออื่นใดคือ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เพราะถ้าผัดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ผัดอีกไปผลสุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำเสียที

3.) มีไอดอลเป็นของตัวเอง

เลือกให้ดีเลือกให้โดนเลือกคนที่คุณรักและเทิดทูนบูชาที่ว่าชาตินี้จะต้องเป็น แบบเขาให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ก็ให้หาว่าเป้าหมายในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ฉันเขียนขึ้น มานี้ฉันต้องการทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไรเพราะการที่คุณมีไอดอลหรือมีเป้าหมายในสิ่งที่ทำอย่างชัดเจนมันจะเป็นแรงผลักดันให้คุณ ทำสิ่งนั้น ได้อย่างเต็มที่แบบที่ไม่รู้จัก เหน็ดจัก เหนื่อย ยกตัวอย่างเช่น ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม ภายในปีนี้เพราะฉันอยากจะหุ่นดีแบบพี่อั้ม พัชราภา ถ้าคุณเป็นแฟนคลับพี่อั้มตัวยงและอยากสวยอย่างเธอ คุณก็จะมีแรงบันดาลใจไปส่องภาพเธอชุดเธออาหารที่เธอรับประทานและการออกกำลังกายที่เธอทำเป็นประจำ และเมื่อคุณรักเธอ อินกับสิ่งที่เธอทำมาก ๆ คุณ ก็จะพยายามทำในสิ่งนั้น ๆ ให้ได้อย่างที่เธอทำ

4.) มั่นคงในเป้าหมายและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

ความฝันที่วาดไว้อย่างสวยงามจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคุณทำแล้วล้มเลิก ไม่ว่าคุณ จะลงมือทำมันมาอย่างยาวนานเพียงใด ถ้ามันยังไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ คุณจำเป็นต้องเดินทางต่อไปจนกว่าจะถึงเป้าหมายนั้น ๆ แต่ถ้าหากคุณ เกิดล้มเลิกกลางคันเส้นทาง สู่เป้าหมายนั้นก็จะมลายหายไปในทันทีงานแต่ละงานเป้าหมายแต่ละอย่างคนแต่ละคนใช้เวลาในการเดินทางไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทำได้คือ Keep walking while being patient จนกว่าจะถึงเป้าหมายนั้น

5.) ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

เราจะไม่ดูถูกความสามารถของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่คิดว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีกว่าคนอื่นเราทาในสิ่งที่เราทำได้มองเฉพาะเป้าหมายที่เราวางไว้และพัฒนา ต่อไปในแต่ละวัน ๆ ยกตัวอย่างง่าย ๆ คุณทำอาหารไม่เป็นเลยและคุณตั้งใจว่าคุณจะเริ่มต้นทำอาหารให้ได้ จากวันแรกที่ทำอะไรไม่เป็นเลย วันต่อมาคุณ ทอดไข่ได้ คุณ ควรภูมิใจในตัวเอง ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองไป เปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านที่เป็นมาสเตอร์เชฟแล้วบ่นกับตัว เองว่าฉันมันไม่เอาไหนเลย ๆ ไข่ดาวของฉันสู้อาหารที่เขาทำก็ไม่ได้หรือในอีกมุมหนึ่งเมื่อคุณทอดไข่ได้แล้วคุณก็ไม่ควรที่จะหลงระเริงคิดว่าฉันมันสุดยอดจนปิดหูปิดตารับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบกายไม่เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม สุดท้ายคุณก็จะเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ทอดไข่ ได้เท่านั้นเอง แต่อาหารอย่างอื่นคือทำไม่เป็น

6.) ไม่บ่นว่าเหนื่อย ยาก ลำบาก

ทุกครั้งที่เราบ่นว่าเหนื่อย มันก็เหมือนกับการ repeat ความเหนื่อยให้เพิ่มขึ้นมาอีกเท่า บ่นว่ายาก บ่นว่าลำบากก็เช่นกัน ยิ่งบ่นยิ่งตอกย้ำว่าเราทำมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ เลิกบ่นกับความเหนื่อยยากลำบากใด ๆ คิดว่าเราทำได้แทนที่จะบั่นทอนตัวเองด้วยพลังลบ ก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองซะ

7.) เหนื่อยก็หยุดพักสักพัก แต่ไม่ใช่ล้มเลิก

ในบางเวลาสถานการณ์แม้ว่าเราจะคิดบวกแบบสุด ๆ แล้วแต่มันก็ต้องมีบางจังหวะหละน่าที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยเราท้อจริง ๆ เหนื่อยมาก ๆ ก็หยุดพัก หันไปทำอบ่างอื่นที่ตัวเองชอบที่จะเป็นการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเองเสียก่อน เมื่อหายเหนื่อยหายท้อแล้วก็หันกลับมาสานต่อสิ่งที่ทำไว้กันต่อ เหนื่อยก็พัก พักได้แต่อย่านานเสียจนสุดท้ายคือล้มเลิกไม่ทำมันดื้อ ๆ เสียเลย

8.) เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ให้พิจารณาตัวเองเพื่อปรับปรุงแก้ไข

เป็นปกติที่คนเรามักจะโทษสิ่งต่าง ๆ รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ โอกาส ดวง หรือแม้กระทั่งบุคคลที่เป็นอุปสรรคทำให้พวกเขาเหล่านั้นไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้สักที ซึ่งจริง ๆ แล้วการโทษสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้นเป็นแค่ข้ออ้างหรือจข้อแก้ตัวว่าเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่สำเร็จเพราะอะไรเท่านั้นเอง แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราหันกลับมามองตัวเอง สำรวจตัวเองแทนที่จะโทษนั่นโทษนี่ เราก็จะเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายของเราได้มากขึ้น เพราะการสำรวจตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเองคือการควบคุมในสิ่งเราควบคุมได้ เมื่อเราแก้ไขมันให้ถูกทิศถูกทางแล้ว สิ่งที่หวังไว้ก็จะไม่ไกลเกินความเป็นจริง

9.) อยู่ใกล้ ๆ คนคิดบวกและห่างให้ไกลพวกลบ ๆ

การมองโลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้เช่นเดียวกับการเข้าสังคม ทุกเป้าหมายมีอุปสรรคระหว่างการเดินทาง ดังนั้นเราจึงต้องหัดเป็นคนมองโลกที่มองโลกในแง่ดีและไม่ท้อถอยกับแม้ปัญหาและอุปสรรคจะถาโถมเข้ามามากมายสักแค่ไหนก็ตาม เราต้องคิดเสมอว่าเราทำได้ และในขณะเดียวกันพยายามรายล้อมตัวเองด้วยผู้คนที่มองโลกในความเป็นจริงและมีพลังบวกให้กับเรา ไม่ใช่ว่า”ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็อย่าทำ ความสามารถอย่างเธอทำงานนี้ไม่ได้หรอก อย่าทำเลยเสียเวลา” อะไรทำนองนี้ ถ้าเจอเพื่อนหรือคนประเภทนี้ควรอยู่ให้ไกลซะ

10.) ให้รางวัลกับตัวเองแม้เป็นความสำเร็จเพียงเล็ก ๆ

ความสำเร็จเพียงก้าวเล็ก ๆ ในแต่ละวันอาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้น เราควรให้รางวัลกับตัวเองแม้มันจะเป็นความสำเร็จเพียงก้าวเล็ก ๆ ก็ตาม ใครไม่เห็นความสำคัญของมันแต่ขอให้ตัวเรา เห็นก็พอ รางวัลสำหรับตัวเองนั้นอาจรวมถึงสิ่งของ หรือ อาจเป็นคำชมเชยตัวเองก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งเป้าหมายไว้ปลายภาคปีนี้เราจะกวาดเกรด 4 ให้ได้ในทุกวิชา แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ถึงปลายภาคเรียน เราทำคะแนนเก็บได้ดี เรามีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน เราก็ควรภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำลงไปให้รางวัลกับตัวเองด้วยการพักผ่อนบ้าง ออกไปข้างนอกหาอะไรอร่อย ๆ ที่เราชอบทาน ชมเชยตัวเองบ้าง เสร็จแล้วเราก็มานั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคกันต่อไป

การสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในแต่คนอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะใช้ทั้ง 10 ข้อนี้ ขณะที่บางคนอาจใช้เพียง 2 หรือ 3 ข้อก็ได้ แต่ไม่ว่าแรงบันดาลใจของคุณจะเป็นอะไร ก็ขอให้คุณหามันให้เจอและนำพาคุณไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีใหม่นี้ค่ะ


แพร

อดีตผู้ประกาศข่าว สำนักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชีวิตดิ้นรนมาเป็นเชฟในเมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ประเทศออสเตรเลีย สรรหามุมมองเรื่องเล่าจากดินแดนดาวน์อันเดอร์ มาให้อ่านกันบ่อย ๆ

สาวจีนมาเลย์เครียด! ทำไมจ่ายค่าไฟแพงมา 5 ปี พอรู้ความจริงถึงกับเงิบ!

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

หญิงสาวชาวจีนมาเลย์รายหนึ่งได้โพสต์บน Facebook ส่วนตัวจนกลายเป็นกระแสไวรัล ซึ่งเธอเปิดเผยว่า เธอรู้สึกเครียดกับบิลค่าไฟของเธอมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าไฟมันแพงเกินกว่าความน่าจะเป็นมาก ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะพยายามลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านให้น้อยที่สุด แต่จนในที่สุดเธอก็สามารถไขปริศนาคาใจนี้ได้

โดยหญิงสาวรายนี้ใช้ชื่อบนเฟซบุ๊กว่า อีฟ ลิม เธอโพสต์ระบายว่า เธอพบว่ามันแปลกมากที่บิลค่าไฟฟ้าของเธอในทุกเดือนมีจำนวนไม่น้อยไปกว่า 700-800 ริงกิต (ประมาณ 5,000 - 6,000 กว่าบาท) เธอพยายามโทรหาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าหลายต่อหลายครั้งเพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบปัญหาบิลค่าไฟแพงแม้กระทั่งขอความช่วยเหลือไปยังรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

เธอพยายามทุกอย่างตั้งแต่การดึงปลั๊กตู้เย็นออก ไปจนถึงลองไปอาศัยอยู่บ้านเพื่อนเพื่อลองลดค่าไฟ แถมยังหมดเงินไปจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่คิดว่ามันอาจเกิดการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า แต่ก็ไม่นำพา !!

“ฉันคาดหวังถึงผลลัพธ์ทุกครั้ง แต่มันไม่ได้ผลเลย ค่าไฟยังคงแพง แต่จะทำยังไงได้ ฉันไม่ต้องการให้ไฟฟ้าถูกตัด ฉันจึงต้องจำใจจ่ายต่อไป และพยายามหาวิธีแก้ปัญหาในเวลาเดียวกัน” เธอกล่าว

แต่แล้วความอดทนของเธอเริ่มสิ้นสุดลง! หลังจากที่เธอได้รับบิลค่าไฟจำนวนถึง 1,500 ริงกิต หรือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาทในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา! เธอจึงตัดสินใจเรียกช่างไฟฟ้ามาตรวจสอบอีกครั้งว่าตู้เย็นนั้นเป็นสาเหตุของปัญหาหรือไม่ แต่ช่างไฟไม่พบปัญหาใด ๆ กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ จึงขอให้เธอลองขอให้ TNB (Tenaga Nasional Berhad) ซึ่งเป็นหน่วยงานการไฟฟ้ารัฐวิสาหกิจ ลองตัดมิเตอร์ไฟแทนเพื่อดูว่ามิเตอร์ยังคงทำงานอยู่หรือไม่

และนั่นนำมาซึ่งคำตอบที่เธอพยายามไขปริศนามาโดยตลอด...

หลังจากตัดสวิตช์มิเตอร์หลักของเธอแล้ว ก็พบว่าไฟและเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเธอยังคงทำงานอยู่ และเจ้าหน้าที่ TNB ก็หัวเราะ อีฟถึงกับงง ถามพวกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น! และเขาขอให้เธอรอ เดี๋ยวคงจะมีใครสักคนออกมา!

และไม่กี่นาทีต่อมา...สาวใช้จากบ้านเพื่อนบ้านของเธอก็ออกมาถามว่า "ทำไมไม่มีไฟฟ้าอ่ะคะ"

ปรากฎว่ามิเตอร์ไฟฟ้าของเธอมีเลขที่สลับกับของเพื่อนบ้านที่คงติดสลับกันตั้งแต่ตอนทำโครงการบ้าน ซึ่งทำให้เธอต้องจ่ายค่าไฟของเพื่อนบ้านแทนเป็นเวลาถึงห้าปี! OMG!

“บางวันฉันต้องยอมไม่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นเพื่อประหยัดค่าไฟ…” อีฟบอกเพิ่มเติม (คนที่นี่ติดการอาบน้ำจากเครื่องทำน้ำอุ่นมาก ๆ นี่ขนาดไม่ใช่เมืองหนาวนะ 555)

เธอบอกว่า...ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องเครียดกับเรื่องนี้อีกต่อไป และโชคดีที่ทาง TNB จะคืนเงินส่วนต่างให้เธอเป็นเงินราว ๆ 15,000 ริงกิตที่เธอต้องจ่ายเกินจริงไปให้เพื่อนบ้านโดยไม่รู้ตัว และชี้แจงว่าเพื่อนบ้านก็ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ตั้งใจขโมยใช้ไฟของเธอ!

ในที่สุดเราก็ดีใจกับเธอที่แก้ปัญหาที่ทำให้เธอเครียดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา...เฮ้ออออ


Info via: Eve Wei-Jia Lim / Facebook

https://hitz.com.my/trending/trending-on-hitz/woman-pay-neighbour-tnb-bill-electric-malaysian-vi


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

ความเปลี่ยนแปลงของเมียนมาในปี 2020

คอลัมน์ AEC ภาคปฏิบัติ

ในช่วงเวลาที่เรามีการพูดถึงการแพร่ระบาดกันมากของโควิด-19 ในประเทศไทย โดยพุ่งประเด็นไปที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาที่ทำงาน ณ ตลาดกุ้งในจังหวัดสมุทรสาครนั้น จะว่าไปแล้ว ปี 2020 ก็เป็นปีที่มีความตื่นเต้นไม่น้อยในเมียนมา

โดยครึ่งปีแรก ในช่วงเวลาที่มีการระบาดของโควิด-19 ในหลาย ๆ ประเทศ  เมียนมาเองกลับเป็นชาติที่มีอัตราการติดเชื้อที่ค่อนข้างต่ำ และอยู่ในอัตราที่น้อยกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำไป   เหตุการณ์เริ่มมาพลิกผันในช่วงไตรมาสที่สามของปีที่การระบาดเริ่มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นจากการติดเชื้อมาจากการเดินทางระหว่างพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมายังนครย่างกุ้ง และขยายไปเมืองอื่น ๆ ในระยะต่อมา

ปีที่ผ่านมา ไทยเราติดอันดับ 4 ในการเป็นผู้นำเงินไปลงทุนในเมียนมา โดยที่ผู้ลงทุนมากที่สุดได้แก่ สิงคโปร์  ตามด้วยจีน  และฮ่องกง ที่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนมาลงทุนกันมาก กลับกันในปีนี้ ไทยเรากลับไม่ติดในTop 5 ของการลงทุน แต่กลับมีอังกฤษและญี่ปุ่นสอดแทรกเข้ามาในฐานะผู้ลงทุนรายใหญ่ในเมียนมาตามลำดับ 

เมียนมา เป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงขึ้นทุกปี โดยรัฐบาลมองการเพิ่มขนาดของGDP ให้โตได้เท่าตัวภายในปี 2029 รัฐบาลเองได้วาง 10 กลยุทธ์ 76 แผนปฏิบัติการภายใต้ชื่อ CERP (COVID19 Economic Relief Plan) โดยใช้ Digital economy เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อน (Digital Trading เติบโตถึง 183% ในเมียนมา โตเป็นลำดับ 7 ในอาเซียน)

นอกเหนือจากการวางรากฐานทางการเงิน และอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ การปรับโครงสร้างเรื่องแรงงาน   การจัดการด้านครัวเรือน ประชากรศาสตร์  และให้ความสำคัญด้านระบบสาธารณสุข ปัจจุบัน เมียนมามีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านสาธารณสุขอยู่เพียง 130,000 คน มีหมอ 35,000 คน  พยาบาล 35,000 คน  หมอฟัน 12,000 คน และอื่น ๆ อีกไม่มาก

ซึ่งจะต้องเร่งเพิ่มปริมาณให้มีจำนวนมากขึ้นกว่านี้ ล่าสุดเมียนมาได้อัดฉีดเงินเข้าระบบสาธารณสุข โดยทำให้ยอดเงินลงทุนด้านสาธารณสุขปรับมาอยู่ที่ระดับ 5USD ต่อประชากรหนึ่งคน  และนอกจากนี้รัฐบาลยังได้อนุมัติในการกู้เงินเพื่อนำมาซื้อวัคซีนป้องกันโรคระบาด COVID-19 ไว้อีกระดับหนึ่ง  

ท่านผู้อ่านครับ ระบบโรงพยาบาลและสาธารณสุขในเมียนมายังค่อนข้างล้าหลัง และผู้คนต้องออกมารักษากันนอกประเทศปีหนึ่งถึง 250,000 คนโดยประมาณ ซึ่งเราจะพบว่า 56% ที่มาตรวจรักษาในประเทศไทย จนโรงพยาบาลเอกชนเราต้องรับชาวเมียนมา มาเป็นเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและไปเปิดสำนักงานตัวแทนกันถึงเมียนมาในหลากหลายเมือง

ตอนต่อไปจะกลับมาพูดถึงการเติบโตของเศรษฐกิจในหมวดอื่น ๆ กันต่อครับ


จิรวัฒน์

ผู้บุกเบิกการตลาด อินโดจีน พม่า อาเซียนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ ตั้งแต่ยุคที่อาเซียนยังไม่ได้รวมตัวกัน เอาประสบการณ์ตรงมาเล่าแบ่งปัน ในวันที่โควิด - 19 ล็อคประตูเพื่อนบ้าน เรายิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top