Friday, 26 April 2024
POLITICS NEWS

“ผบ.ทบ.”ย้ำแนวทาง“ดับไฟใต้”คำนึงหลักสิทธิมนุษยชน ให้ทหารระมัดระวังพลิกแพลงตามสถานการณ์ลดความสูญเสีย กำชับนโยบาย”บิ๊กตู่”ต้องชัดเจนบังคับใช้ กม.ทุกกรณี /พร้อมขอบคุณช่วยเหลือประชาชื่นนทุกบทบาท

กองทัพภาคที่4 ได้เผยแพร่ผลการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ที่มี พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VTC เพื่อมอบนโยบาย และสั่งการ และนำไปปฏิบัติ ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วย กำลังพล ตลอดจนพี่น้องประชาชนในสถานการณ์และภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยก่อนวาระการประชุม พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารบกมอบใบประกาศเกียรติคุณ และประกาศชมเชยให้กับหน่วยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น มีประสิทธิภาพเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาพี่น้องประชาชน

ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 และกองร้อยเสนารักษ์ที่ 1 กองพันเสนารักษ์ กรมสนับสนุน กองพลทหารราบที่ 15 เพื่อเป็นการแสดงความชื่นชม สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพล สมควรได้รับการยกย่องและเชิดชูให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่กำลังพลของกองทัพบกต่อไป ที่ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ทั้งนี้ได้เน้นย้ำแก่หน่วยขึ้นตรงกองทัพบกให้ประเมินสถานการณ์ ดำเนินการตามพันธกิจและนโยบาย พร้อมช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในทุกโอกาส

โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้กล่าวขอบคุณทุกส่วนถึงการปฏิบัติงานให้ห้วงที่ผ่านมา ทั้งในด้านการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในห้วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ขอให้ดำรงความมุ่งหมาย และคงประสิทธิภาพการทำงานต่อไป นำทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ทั้งกำลังพล และยุทโธปกรณ์ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง คงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ระหว่างการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ หน่วยต้องดูแลเรื่องสิทธิ และสวัสดิการแก่กำลังพลอย่างดีที่สุด 

สำหรับภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นย้ำกำลังพลให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง พลิกแพลงสถานการณ์เพื่อลดความสูญที่อาจจะเกิดขึ้น การจับกุมยาเสพติด และการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ยังคงต้องเพิ่มมาตรการคุมเข้ม ตามแนวชายแดน เพื่อสกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเข้ามาภายในประเทศ ขอขอบคุณกองกำลังชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ 

ในส่วนเรื่องการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมเน้นการมีส่วนร่วม ที่ผ่านมาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำมาตลอดให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน และมีความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายทุกกรณี สำหรับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านสาธารณภัยอื่นๆ ห้วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมของทุกปี พื้นที่ภาคใต้เป็นช่วงของฤดูมรสุมขอให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมในการบรรเทาสาธารณภัยเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ชื่นชมกำลังพลที่ได้มีจิตอาสาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของหน่วย และกองทัพบก อันแสดงให้เห็นถึงกำลังพลของกองทัพบกสามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้ทุกโอกาส  

จี้ ศธ. จริงจังปรับหลักสูตรเรียนออนไลน์ ‘วิโรจน์’ แนะประกาศจำกัดการบ้านให้ชัด ตัดวิชาไม่เหมาะออก จัดงบใหม่ เยียวยาความสูญเสีย เพื่อสร้างความปกติใหม่ในระบบการศึกษาจี้ ศธ. จริงจังปรับหลักสูตรเรียนออนไลน์ ‘วิโรจน์’ แนะประกาศจำกัดการบ้านให้ชัด ตัดวิชาไม่เหมาะ

ต่อกรณีที่มีเสียงสะท้อนถึงปัญหาการเรียนออนไลน์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ สร้างภาระให้กับผู้ปกครอง โรงเรียนและครูในหลายด้าน แต่ไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น 

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า ต้องยอมรับว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่รุนแรง ยืดเยื้อ ยาวนาน และมีความเป็นไปได้สูงว่า การระบาดของโรคยังคงต้องทอดยาวในระดับที่ไม่สามารถวางใจได้ต่อไปอีกหลายเดือน มาตรการการเรียนออนไลน์ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นเพียงมาตรการในระยะสั้นเท่านั้น เพราะด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เกิดขึ้นกับทั้งโรงเรียน และครอบครัวของนักเรียน การเรียนออนไลน์ภายใต้หลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย นอกจากจะไม่ได้ประสิทธิผลอย่างที่ควรจะเป็นและส่งผลเสียต่อเจตคติต่อการเรียนรู้แล้ว ยังจะเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นักเรียนที่เข้าไม่ถึงทรัพยากรกร ก็จะยิ่งถูกทิ้งห่างมากขึ้น เมื่อเทียบกับนักเรียนที่มีเศรษฐสถานะที่ดีกว่า 

ทั้งนี้ วิโรจน์ จึงมีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงศึกษาธิการว่า กระทรวงศึกษาธิการ ควรปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อการเป็นมาตรการในระยะยาว ที่ตอบโจทย์กับปัญหาความเหลื่อมล้ำได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น

1. ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นกรณีเฉพาะ โดยให้สอนเฉพาะวิชาหลักเท่านั้น ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ สำหรับวิชาอื่นๆ ที่การเรียนการสอนไม่เหมาะกับการเรียนแบบออนไลน์ เช่น สังคมศึกษา ศิลปะ ดนตรี พลศึกษา สุขศึกษา การงานอาชีพ พระพุทธศาสนา หน้าที่พลเมือง ลูกเสือ และเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทดลองในห้องปฏิบัติการ และการฝึกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายอาชีวศึกษา ให้พิจารณาพักการเรียนการสอนไว้ก่อน แล้วให้ปรับรูปแบบการเรียนการสอน ให้อยู่ในรูปแบบที่บูรณาการวิชาเหล่านี้เข้าด้วยกัน แล้วจัดการเรียนการสอนที๋โรงเรียน ในรูปแบบกิจกรรม เมื่อโรงเรียนสามารถเปิดได้ สำหรับนักเรียนที่เรียนในระดับชั้นที่เป็นปลายช่วงชั้นที่ไม่สามารถเลื่อนการเรียนการสอนได้ อาจจำเป็นต้องเรียนแบบออนไลน์ แต่ก็ควรปรับการเรียนการสอนให้อยู่ในรูปแบบบูรณาการหลายวิชาเข้าด้วยกัน เพื่อลดเวลาเรียนลง

2. กระทรวงศึกษาธิการ ควรมีออกประกาศอย่างจริงจัง เพื่อให้โรงเรียนจำกัดการสั่งการบ้าน และรายงาน ที่เป็นภาระแก่นักเรียน โดยการบ้านควรมีเฉพาะในวิชาหลักเท่านั้น และไม่ควรสั่งการบ้านที่เป็นภาระแก่นักเรียน และไม่ตอบวัตถุประสงค์การเรียนรู้ อาทิ การให้นักเรียนถ่ายคลิปการเดาะลูกตระกร้อ ถ่ายคลิปการรำต่างๆ ซึ่งเป็นภาระแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างมาก

3. ปรับเปลี่ยนรูปแบบการประเมินผล ให้ใช้การสอบ กับเฉพาะวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ เท่านั้น สำหรับวิชาอื่นๆ ไม่ได้พักการเรียนเอาไว้สอนในเทอมหน้า ให้ใช้การประเมินผลด้วยวิธีอื่น เช่น การตอบคำถามท้ายคาบ การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่การสอบ และไม่ใช่การมอบหมายรายงาน ที่เป็นสร้างภาระให้กับนักเรียน

4. กระทรวงศึกษาธิการ ควรจัดทำสื่อการเรียนรู้กลางที่มีคุณภาพ พร้อมเอกสารประกอบการเรียนการสอนที่ครบถ้วน ในทุกรายวิชา ทุกระดับชั้น ที่นักเรียนทุกคนทั่วประเทศ สามารถใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันโรงเรียนที่มีเงินทุนสนับสนุน ก็สามารถพัฒนาสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้ แต่จะจำกัดให้แต่นักเรียนของตนเท่านั้น ที่จะเข้าถึงสื่อการเรียนรู้นั้นได้ สำหรับสื่อการเรียนรู้ DLTV และ DLIT ที่มีอยู่ ก็ไม่มีคุณภาพที่มากพอ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังควรจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดซื้อแท็บเล็ต พร้อมซิมอินเตอร์เน็ต เอาไว้จำนวนหนึ่ง สำรองไว้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อจ่ายแจกให้กับนักเรียนที่ขาดแคลนได้ใช้เรียนแบบออนไลน์อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณรายหัวใหม่ โดยเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์การศึกษา และอาจโอนเงินในส่วนของค่าชุดนักเรียนให้มาเป็นค่าอุปกรณ์ทางการศึกษาแทน เพื่อให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถนำเงินดังกล่าวไปจัดซื้อแท็บเล็ต พร้อมกับชำระค่าอินเตอร์เน็ตได้

5. ต้องยอมรับว่า เงินเยียวยานักเรียน 2,000 บาท เป็นเพียงเงินเยียวยาเบื้องต้นเท่านั้นปัจจุบันนักเรียนจำนวนไม่น้อยกำลังประสบกับภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในระยะยาว ในสถานการณ์โรคระบาด ที่โรงเรียนไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติ กระทรวงศึกษาธิการ จึงควรหารือกับนายกรัฐมนตรี ในการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดสรรเงินรายหัวที่อุดหนุนโรงเรียนส่วนหนึ่ง จ่ายเป็นค่ายังชีพให้แก่นักเรียน สำหรับโรงเรียนเอกชนที่รับเงินอุดหนุนรายหัว ซึ่งเงินอุดหนุนดังกล่าวมีเงินเดือนของครูผู้สอนรวมอยู่ในนั้นด้วย ให้รัฐบาลพิจารณาใช้งบกลาง หรืองบประมาณจากเงินกู้ อุดหนุนเพิ่มเติม โดยให้ใช้มาตรการนี้ทั้งในเทอมนี้ และเทอมถัดไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลาย

6. กระทรวงศึกษาธิการควรเสนอต่อรัฐบาล ให้พิจารณาตรา พ.ร.ก. กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยให้ผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถกู้ยืมเงินในระยะสั้น แบบปลอดดอกเบี้ย เพื่อการศึกษา ผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยให้รัฐบาลรับผิดชอบดอกเบี้ย และค้ำประกันเงินกู้ให้

7. กระทรวงศึกษาธิการควรเสนอต่อรัฐบาล ให้พิจารณออก พ.ร.ก. ชดเชยเยียวยาแก่เด็ก และเยาวชนที่สูญเสียพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2010 (COVID-19) โดยให้รัฐบาลอุดหนุนงบประมาณเพื่อเลี้ยงดู และส่งเสริมการศึกษา ให้กับเด็กเหล่านี้ โดยให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นผู้จ่ายเงิน และติดตามผล

8. เร่งจัดหาวัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิผลต่อเชื้อกลายพันธุ์ มาฉีดให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยมีกำหนดการ และแผนการฉีดวัคซีนที่ชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนสามารถกลับมาเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ ให้เร็วที่สุด

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ณ วันนี้ เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับแล้ว เราอาจจะไม่สามารถกำจัดให้โรคๆ นี้ออกไปจากโลกใบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กๆ และประชาชนคนไทย มีความจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ กระทรวงศึกษาธิการ มีความจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ใหม่ วางหลักสูตรใหม่ กำหนดแผนการเรียนการสอนใหม่ จัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อสร้างความเป็นปกติใหม่ (New Normal) ของระบบการศึกษาไทยได้แล้ว” วิโรจน์ ระบุ

นายกฯ ประชุม บอร์ดบีโอไอ ย้ำรัฐบาลเร่งหาแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีและภาคธุรกิจ ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุน และการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ บรรเทาผลกระทบโควิด-19 

ณ ห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ 3/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเอสเอ็มอีและภาคธุรกิจผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนและการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ ของบีโอไอ ที่จะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะไม่อาจคาดได้ว่าโควิด-19 จะอยู่ไปอีกถึงเมื่อไร โดยต้องทำทุกอย่างให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นรูปธรรม โปร่งใส เป็นธรรม ดำเนินการอย่างสุจริต สามารถตรวจสอบได้ทุกประการ ทุกหน่วยงานต้องบูรณาการการทำงานให้มีผลสัมฤทธิ์ ตามเป้าหมาย สิ่งที่ทำได้ขอให้ทำทันที ที่สำคัญ คือ การระวังไม่ทำให้คนตกงาน พร้อมหาแนวทางให้คนมาทำงานร่วมกับเครื่องจักรได้มากขึ้น เพื่อคนไทย มีอาชีพสุจริต มีความมั่นคง นายกรัฐมนตรีย้ำด้วยว่า เราต้องเดินหน้าประเทศไปด้วยกัน ทั้งการพัฒนาคน 4.0 อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งความคิดก็ต้อง 4.0 ด้วย หากยังปฏิบัติแบบเดิม ๆ ก็จะเดินหน้าไปไม่ได้  

ผลการประชุมบอร์ดบีโอไอที่สำคัญ 
1. บอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ ดังนี้ 1) การผ่อนผันขยายเวลาดำเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 9002, CMMI หรือมาตรฐานอื่นที่เทียบเท่า 2) การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน
2. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 
3. อนุมัติปรับปรุงประเภทกิจการการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ รถสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และอนุมัติเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (ELECTRIC BICYCLE/ E-BIKE) 

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไออนุมัติการขอรับการส่งเสริม (ขยายกิจการ) ผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบ COGENERATION ของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 6,046 ล้านบาท (ไม่รวมที่ดินและทุนหมุนเวียน 5,568.0 ล้านบาท) เป็นหุ้นไทยทั้งสิ้น ที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง  และรับทราบภาวะการส่งเสริมการลงทุนใน 6 เดือนแรกของปี 2564 จำนวนโครงการ เพิ่มขึ้น 14% การขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 801 โครงการ อยู่ในพื้นที่ EEC 232 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 29 ของโครงการทั้งหมด เงินลงทุน เพิ่มขึ้น 158% เงินลงทุนทั้งสิ้น 386,200 ล้านบาท อยู่ในพื้นที่ EEC 126,640 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33 ของเงินลงทุนทั้งหมด 

"พรรคกล้า" เปิดเคมเปญ "รวมพลผู้กล้า" รับสมัครลงผู้สนใจลงเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ก. สอดรับสัญญาณเลือกตั้งท้องถิ่น - ระดับชาติ เตรียมพรรคให้พร้อมทุกสถานการณ์ 

เพจเฟสบุ๊ก "กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij" หัวหน้าพรรคกล้า และเพจ "อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี" เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์รูปว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ก. พร้อมข้อความ รวมพล ผู้กล้า รับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.- ส.ก. พรรคกล้า ประกาศเดินหน้าเต็มตัวสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง พร้อมเน้นย้ำอุดมการปฏิบัตินิยม ทำการเมืองสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ต่อสู้ระบบราชการหลัง พร้อม QR Code และลิงค์ candidate.klaparty.org ให้ผู้สนใจสมัครกรอกประวัติในระบบออนไลน์ได้ทันที 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า สัญญาณเกี่ยวกับการเลือกตั้งเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งรัฐสภาเตรียมลงมติวาระ 3 แก้ไขระบบเลือกตั้ง ส่วนกระทรวงมหาดไทยก็เตรียมให้ ครม. พิจารณากำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นระดับ อบต. เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร พรรคกล้าเป็นพรรคการเมืองใหม่ ส่วนอายุรัฐบาลก็เหลืออยู่เพียง 1 ปี 10 เดือน และยังมีกระแสข่าวยุบสภาเกิดขึ้นเรื่อย ๆ พรรคกล้าในฐานะพรรคการเมืองใหม่ ต้องเตรียมความพร้อมโดยเร็ว 

"ที่หัวหน้าและเลขาธิการพรรคกล้า โพสต์รูปข้อความประกาศรับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็เพราะต้องการเปิดกว้างให้ผู้สนใจในทุกช่วงอายุ ทุกสาขาอาชีพ ได้มีช่องทางเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง บนแนวทางที่ยึดถือหลักปฏิบัตินิยม ลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมสื่อสารในทางสาธารณะว่าพรรคกล้าเอาจริง ไม่ได้หวังเป็นแค่พรรคการเมืองขนาดเล็ก รวมถึงเป็นการเตรียมพรรคให้พร้อมทุกสถานการณ์ หากมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นในอนาคต" โฆษกพรรคกล้ากล่าว

"ชัยธวัช" เผย "ก้าวไกล" รอหยั่งเชิง มติครม. เคาะเลือกตั้งท้องถิ่น ก่อนเปิดตัวผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม. ชี้ คุณสมบัติจะต้องบริหารกทม.ช่วงวิกฤต-หลังวิกฤตโควิดได้ จ่อ ผลักดันแก้กม.เพิ่มอำนาจให้กทม. หลังพบปัญหาบริหารงานซับซ้อน

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีในวันที่ 7 ก.ย.นี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 ประเภท ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา ว่า พรรคก้าวไกลจะส่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ส่วนสนาม อบต. และเมืองพัทยา จะเป็นของคณะก้าวหน้า 

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อใด นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอดูความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง แผนเดิมที่เราทราบคือจะมีการเลือกตั้ง อบต. ก่อน ถัดมาจะเป็น กทม. และเมืองพัทยา แต่ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยเตรียมเสนอให้เลือกตั้งพร้อมกันทั้ง 3 ประเภท 

เมื่อถามถึงกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัยธวัช กล่าวว่า ขณะนี้จะอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือก จึงยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้ว่ามีตัวเลือกกี่คน เราขอดูมติครม. ในวันพรุ่งนี้ (7 ก.ย.) ก่อน โดยคุณสมบัติของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่พรรคก้าวไกลจะเสนอนั้น จะต้องมีความเป็นผู้นำ สามารถบริหารกทม.ในช่วงสถานการณ์วิกฤตและหลังวิกฤตโควิด-19 ได้ และต้องเข้าใจปัญหาพื้นฐานของกทม.ว่าจะสามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาพื้นฐานได้อย่างไร ทั้งเรื่องการจัดการเมืองและเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ เราจะพยายามผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้กทม. เพื่อให้คนกทม.มีอำนาจมากขึ้น เพราะการบริหารกทม.ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องการบริหารงานซ้อนทับกันระหว่างการบริหารส่วนกลางของรัฐบาล และกทม. 

“ประวิตร” เร่ง “ยุทธศาสตร์ 5G” พัฒนาโครงการสำคัญ ลดเหลื่อมล้ำ เห็นชอบโครงการ ส่งเสริมการบริการปชช.-เข้าถึงการแพทย์ 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 4/2564  ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ มีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)เข้าร่วม 

โดยที่ประชุมเห็นชอบโครงการตามที่ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯแล้ว  อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการการแพทย์ทางไกลเพื่อขยายการเข้าถึงการบริการประชาชน โครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์5G Smart City ในพื้นที่อีอีซี โครงการฐานบิ๊กดาต้า ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบริหารพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน โครงการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ,โครงการพัฒนาประสิทธิภาพการวัดมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล และโครงการดีมีเดีย เป็นต้น และเห็นชอบโครงการตามมาตรา 26 (6) สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทยในการต่อยอดการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีที่สำคัญ 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ 2.โครงการนำร่องเกษตรดิจิทัล เพื่อการพัฒนาระบบส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผมนางและปลากะพงขาวในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 3.โครงการนำร่องการพัฒนาด้านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบสำหรับให้บริการประชาชน จ.เชียงใหม่ และ 4.โครงการ 5G เพื่อการคัดกรองและแจ้งเตือนสำหรับ เตรียมความพร้อมการเปิด เศรษฐกิจท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กรรมการกองทุนฯและคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ให้กำกับ ติดตาม การดำเนินโครงการที่ผ่านความเห็นชอบแล้ววันนี้ ให้เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้กรอบเวลา และงป.ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องเกิดประโยชน์ เป็นรูปธรรม ตามวัตถุประสงค์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริการประชาชน และส่งเสริมการเข้าถึงทางการแพทย์ เพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 และ ลดความเหลื่อมล้ำประชาชน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ของประเทศ

"พรรคกล้า" เปิดเคมเปญ "รวมพลผู้กล้า" รับสมัครลงผู้สนใจลงเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ก. สอดรับสัญญาณเลือกตั้งท้องถิ่น - ระดับชาติ เตรียมพรรคให้พร้อมทุกสถานการณ์ 

เพจเฟซบุ๊ก "กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij" หัวหน้าพรรคกล้า และเพจ "อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี" เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์รูปว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ก. พร้อมข้อความ รวมพล ผู้กล้า รับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.- ส.ก. พรรคกล้า ประกาศเดินหน้าเต็มตัวสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง พร้อมเน้นย้ำอุดมการปฏิบัตินิยม ทำการเมืองสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ต่อสู้ระบบราชการหลัง พร้อม QR Code และลิงค์ candidate.klaparty.org ให้ผู้สนใจสมัคร กรอกประวัติในระบบออนไลน์ได้ทันที 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า สัญญาณเกี่ยวกับการเลือกตั้งเริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งรัฐสภาเตรียมลงมติวาระ 3 แก้ไขระบบเลือกตั้ง ส่วนกระทรวงมหาดไทยก็เตรียมให้ ครม. พิจารณากำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นระดับ อบต. เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร พรรคกล้าเป็นพรรคการเมืองใหม่ ส่วนอายุรัฐบาลก็เหลืออยู่เพียง 1 ปี 10 เดือน และยังมีกระแสข่าวยุบสภาเกิดขึ้นเรื่อย ๆ พรรคกล้าในฐานะพรรคการเมืองใหม่ ต้องเตรียมความพร้อมโดยเร็ว 

"ที่หัวหน้าและเลขาธิการพรรคกล้า โพสต์รูปข้อความประกาศรับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็เพราะต้องการเปิดกว้างให้ผู้สนใจในทุกช่วงอายุ ทุกสาขาอาชีพ ได้มีช่องทางเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง บนแนวทางที่ยึดถือหลักปฏิบัตินิยม ลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมสื่อสารในทางสาธารณะว่าพรรคกล้าเอาจริง ไม่ได้หวังเป็นแค่พรรคการเมืองขนาดเล็ก รวมถึงเป็นการเตรียมพรรคให้พร้อมทุกสถานการณ์ หากมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นในอนาคต" โฆษกพรรคกล้ากล่าว

'ชัยชนะ'  ชี้ 'ณัฐวุฒิ' อ้างเรื่องโควิดทำให้คนไม่ออกมาชุมนุมไล่ 'บิ๊กตู่'  เพื่อกลบเกลื่อนเป้าหมายทางการเมืองของตัวเอง - แนะควรเอาเวลาเดินหน้าหาสมาชิกพรรคฯ เพื่อลงเลือกตั้ง  ดีกว่าสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อ้างว่า การชุมนุมที่แยกอโศก เมื่อวานนี้ (5 กันยายน)  ประชาชนไม่สามารถมาชุมนุมแสดงพลังขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด - 19 ว่า ถือเป็นเรื่องที่ตนคิดไว้แล้วว่า นายณัฐวุฒิ จะต้องหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุที่แท้จริง เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วที่คนออกมาชุมนุมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย ไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้น เนื่องจากว่า คนส่วนใหญ่ต่างรู้ทันแล้วว่า นายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนเพื่อเป็นเงื่อนไขและข้อต่อรองทางการเมืองของตนเอง และการไปจัดกิจกรรมย่านใจกลางธุรกิจเหมือนที่เคยทำเมื่อปี 2553 นั้น สะท้อนว่า นายณัฐวุฒิ ยังใช้วิธีการเดิมๆ ที่จะก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย

เพื่อหมายของตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของผู้คนที่ทำมาหากินและดำเนินธุรกิจอยู่ในย่านอโศก รวมทั้ง คนที่เคยหลงลมปากของนายณัฐวุฒิ คงเข็ดขยาดหากจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต เพื่อแลกกับโอกาสทางการเมืองของผู้อื่น ดังนั้น ตนทราบมาว่า นายณัฐวุฒิ ได้จับมือกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนักการเมืองบางส่วน เพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้น แทนที่เอาเวลาที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นายณัฐวุฒิ ควรเดินหน้าเพื่อหาคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯ เพื่อส่งตัวแทนลงแข่งขันในสนามการเลือกตั้ง มากกว่าการใช้มวลชนลงถนนเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้น 

"ยอมรับว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลและทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้นำเสียงสะท้อนเหล่านั้น มาเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอปัญหาและนำมาแก้ไขเพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจมากที่สุด ทั้งนี้ การที่นายณัฐวุฒิ ออกมาอ้างเรื่องการระบาดไวรัสโควิด - 19 ทำให้คนออกมาน้อยนั้น ก็ต้องถามกลับไปว่า นายณัฐวุฒิ ได้จัดกิจกรรมที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและการควบคุมโรคระบาด ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อผู้เข้าร่วมหรือไม่ หรือจำนวนคนไม่พอที่จะสร้างเงื่อนไขต่อรองเพื่อประโยชน์ของตนเอง จึงต้องออกอาการหงุดหงิดถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผมเห็นว่า หากนายณัฐวุฒิ ต้องการมวลชนที่สนับสนุนแนวคิดของตนเองจริงๆแล้ว ควรดำเนินการหาสมาชิกพรรคฯ ที่นายณัฐวุฒิ ร่วมก่อตั้งกับนายจาตุรนต์และบุคคลอื่นๆ และคัดเลือกผู้เหมาะสมลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคฯ จะดีกว่าการหาวิธีการเพื่อสร้างภาพว่า มีคนมาร่วมกิจกรรมกับนายณัฐวุฒิ และเครือข่าย เพราะนอกจากมีคนจับได้ไล่ทันแล้ว นายณัฐวุฒิ ก็ต้องเหนื่อยที่จะต้องหาเหตุผลอื่นๆ มากลบเกลื่อนความล้มเหลวของนายณัฐวุฒิ ที่ไม่สามารถระดมคนเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้"  นายชัยชนะกล่าว

“โฆษก ปชป.” เชื่อมั่น “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ด้วยยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” มุ่งมั่นทำประโยชน์ให้เกษตรกรและพี่น้องประชาชนทุกคน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการชี้แจงของรัฐมนตรีของพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา สามารถชี้แจงได้ดี มีเหตุผล และไม่ปรากฎเรื่องทุจริตใดๆ ซึ่งได้ทำให้พี่น้องประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจในการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่น คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกรเป็นที่ตั้ง  โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบภายใต้วิสัยทัศน์ “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด” ใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”

ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ จับมือกันทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตร รวมถึงเป็นประเทศที่มีอาหารคุณภาพของโลก มีหลักสำคัญเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและผู้ประกอบรวมถึงพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการค้าให้กับประเทศ

ทั้ง 2 กระทรวงมีจุดหมายร่วมกันคือการสร้างฐานข้อมูลเพื่อให้มีการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกัน มีระบบฐานข้อมูลกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และควบคุมความสมดุลของจำนวนและคุณภาพการผลิตควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนมากที่สุด โดยจะเห็นว่าพืชผลการเกษตรในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบการผลิตและทำการตลาด มีตัวเลขปรากฏผลเป็นไปด้วยดี

นายราเมศ ยังกล่าวต่ออีกด้วยว่า การร่วมกันทำงานของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นความตั้งใจที่ยึดเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศเป็นหลักสำคัญ โดยสินค้าเกษตรที่พี่น้องเกษตรกรผลิต จากการดูแลของกระทรวงเกษตรฯ จะได้ส่งต่อไปยังช่องทางที่ก่อให้เกิดรายได้โดยกระทรวงพาณิชย์ที่จะดูแลเรื่องการตลาด ทั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าหลัก “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

ปชป. นัดประชุม ส.ส. เตรียมลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนได้นัด ส.ส. ของพรรครวมทั้งรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมร่วมกันในวันอังคารที่ 7 ก.ย. นี้ เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ซึ่งเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติในวาระที่สาม

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตั้งแต่วาระรับหลักการ จนถึงการพิจารณาในวาระที่สอง ไม่ใช่เพราะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเป็นผู้เสนอ และผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระรับหลักการเท่านั้น แต่เป็นเพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะช่วยทำให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้การแก้ไขครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมองโดยทั่วไปแล้วดูเหมือนว่า ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนเพราะการเลือกตั้งแบบเดิมจะใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน แต่เมื่อแก้ไขแล้วจะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ เลือก ส.ส. เขต 1 ใบ เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือเลือกพรรคอีก 1 ใบ เท่ากับเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัด

นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น และทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งตามไปด้วย

ส่วนที่บางฝ่ายวิตกว่าการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จะทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้เปรียบว่าเราไม่ควรมองการได้เปรียบเสียเปรียบเฉพาะการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่เราควรมองเรื่องของหลักการพื้นฐานเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยระยะยาวมากกว่าการคิดถึงประโยชน์จากการเลือกตั้งเฉพาะหน้าเท่านั้น

สำหรับการที่พรรคการเมืองบางพรรคจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำได้หรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะยื่นเรื่องให้วินิจฉัย แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่มีอะไรขัดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top