Sunday, 3 December 2023
POLITICS NEWS

 "พายุ เนื่องจำนงค์" ทีมงาน”จุรินทร์” โบกมือลาปชป. ซบพรรคกล้า

นายพายุ เนื่องจำนงค์ อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตคณะทำงานนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศลาออกจากคณะทำงานรองนายกฯ และคณะที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ หลังจากลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ขอกราบขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ให้ความเชื่อถือและมั่นใจแต่งตั้งผมเข้าเป็นคณะทำงานรองนายกฯ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ผมได้ทำงานและเรียนรู้จากท่านรองนายกฯอย่างใกล้ชิด และดีใจที่มีโอกาสกลับมาทำงานในฝ่ายบริหารประเทศที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง หลังจากที่ต้องออกมาเพื่อมาดูแลธุรกิจครอบครัวเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว 

“วันนี้ผมได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง คณะทำงานรองนายกฯ และคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังจากที่ได้ทำการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นทางการแล้ว เพื่อเลือกเส้นทางการเมืองที่เหมาะสมของตัวผมต่อไป ผมยังเคารพรักท่านรองนายกฯและมีความปรารถนาดีให้กับพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ รวมถึงผู้ใหญ่ทุกๆท่านในพรรคสำหรับความทรงจำและความรู้สึกที่ดีที่มีให้ต่อกันมาเสมอครับ" ทั้งนี้มีรายงานว่านายพายุ เข้าเป็นสมาชิกพรรคกล้าแล้ว

"ผบ.นทพ." ตรวจเยี่ยมกองอำนวยการควบคุมแคมป์คนงานและจุดควบคุมที่พักแรงงานในพื้นที่เขตลาดกระบัง

พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ได้ตรวจเยี่ยมกองอำนวยการควบคุมแคมป์คนงาน นทพ. พื้นที่เขตลาดกระบัง และร่วมประชุมทำความเข้าใจในหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน รับทราบปัญหาข้อขัดข้อง และมอบแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี นางสาวเบญจพร  ศักดิ์เรืองแมน ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตลาดกระบัง, ผู้แทน กรมควบคุมโรค, ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า, ศูนย์บริการสาธารณสุข 46 กันตารัติอุทิศ, สน.ลาดกระบัง, สน.จระเข้น้อย, สน.ฉลองกรุง, สน.ร่มเกล้า, หน.ฝ่ายโยธา, หน.ฝ่ายเทศกิจ, เจ้าพนักงานสาธารณสุข และชุดเฉพาะกิจความมั่นคง กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เข้าร่วมประชุม

พร้อมนี้ได้ร่วมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจชุดควบคุมแคมป์คนงาน ณ จุดควบคุมที่พักแรงงาน นทพ. ซึ่งเป็นกำลังพลที่ นทพ. จัดสนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กทม. ในการดูแลควบคุมแคมป์คนงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดกำลังพลจากสำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สนภ.1 นทพ.), สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สทพ.นทพ.) และสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) สนธิกำลังกับตำรวจ เทศกิจ และเจ้าหน้าที่เขตลาดกระบัง เข้าดูแลควบคุมแคมป์คนงานในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง จำนวน 12 แห่ง เพื่อควบคุมเฝ้าระวังและรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ให้เป็นปัจจุบัน รวมทั้งประสานการปฏิบัติในการส่งผู้ป่วยติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานในพื้นที่เสี่ยง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานโดยพลการหรือหลบหนี ตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และสั่งการของ พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วต่อไป

กมธ.ฯป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจงเหตุโรงงานกิ่งแก้ว-ลาดกระบัง ไฟไหม้ 14 ก.ค.นี้  ชี้ เป็นเป็นเรื่องด่วน ต้องรีบช่วยเหลือ

ที่รัฐสภา นายกัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ(กมธ.)การป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุโรงงานหมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ไฟไหม้และระเบิด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งบ้านเรือนเสียหายเป็นวงกว้าง และเมื่อวันที่ 6 ก.ค.เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตน้ำหอมที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังด้วย ทางกมธ.ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องหาแนวทางช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนกับผู้ประสบภัย โดยที่ประชุมเสนอแนวทางดำเนินงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ 1.แจ้งเตือนข้อความผ่าน sms ในระยะที่เกิดสาธารณภัยให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทราบและอพยพหรือหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง 2.ถอดบทเรียนเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานที่มีการกักเก็บสารเคมีหรือวัตถุอันตรายใกล้ชุมชน และ 3.เปิดช่องทางให้ผู้ได้รับผลกระทบแจ้งปัญหาความเดือดร้อนมายังกมธ.ฯและ 4.แนวทางการให้ความช่วยเหลือและบัญชาการเหตุการณ์ของหน่วยงานภาครัฐ และ 5.การจัดลำดับทีมเข้าให้ความช่วยเหลือและเตรียมพร้อมเผชิญเหตุฉุกเฉิน 

นายกัญจน์พงศ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นกมธ.ฯจะมีหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบถามความชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยส่งเรื่องมายังกมธ.ฯเพื่อติดตามและประสานงานเร่งรัดให้ความช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกมธ.ฯวันที่ 14 ก.ค.จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ผู้ว่าฯสมุทรปราการ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และอธิบดีกรมโรงงานและอุตสาหกรรม เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นและการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า 

ศบค.ชุดเล็ก-กทม. จ่อ เปิดศูนย์วอล์คอินแล็ป ที่อาคารนิมิบุตร รับตรวจหาเชื้อโควิด-19 สั่ง ตจว. ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่ง เฝ้าระวังเข้ม โดยให้คิดว่าสายพันธุ์เดลต้าเข้าพื้นที่นั้นแล้ว

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ยังมีประชาชนที่ร้องเรียนจำนวนมากเนื่องจากไม่สามารถหาที่ตรวจเชื้อ โควิด-19 ได้ เพราะไปโรงพยาบาลแล้วไม่รับตรวจ ศบค. จะปรับแผนอย่างไรเพื่อให้ประชาชนได้รับการตรวจหาเขื้อ ว่า การตรวจทางห้องปฏิบัติการมีประชาชนจำนวนมากที่มีความสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อหรือไม่จึงต้องการเข้ารับการตรวจ แต่ก็ได้เห็นจากข่าวว่าหลายคนไปถึงโรงพยาบาลแล้วได้รับการปฏิเสธ ซึ่งในความจริงรัฐบาลไม่ได้ห้ามการตรวจหาเชื้อ ที่ประชุมพูดย้ำเสมอ และมีการทบทวนว่าแต่ละแล็ปนั้น จะต้องเป็นห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐาน ซึ่งหลายห้องปฎิบัติการทำได้มาตรฐานและแม่นยำ 

ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยได้รับการตรวจยืนยันผลเป็นบวก แล้วไปที่การจัดการเตรียมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการจัดหาเตียงได้ทันทีเพราะผลแล็ปที่ถือมานั้นถูกต้อง แต่ก็จะได้ยินกันบ่อยว่ามีลักษณะการตรวจที่เรียกว่า แรพิดเทสต์ ซึ่งบางทีผู้ป่วยถือผลแล็ปไปโรงพยาบาลจัดเตียงให้ไม่ได้ ต้องให้ไปตรวจซ้ำใหม่เพราะถือว่า แรพิดเทสต์นั้น ยังมีข้อจำกัดในการยืนยันการติดเชื้อ บางแห่งเป็นการตรวจแบบเจาะเลือดปลายนิ้วมือ หากเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีเชื้อปริมาณมากการตรวจแบบแรพิดเทสต์สามารถตรวจจับได้จริงว่าเป็นผลบวก แต่ก็พบว่าความไวของการตรวจแบบแรพิดเทสต์นั้นค่อนข้างต่ำ 

หมายความว่าบางทีผลออกมาลบแต่คนๆนั้นอาจเป็นผู้ติดเชื้อ แต่การตรวจแบบแรพิดเทสต์ งั้นตรวจไม่เจอ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้บอกไว้ว่า สามารถใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ผู้ป่วย ฉุกเฉินจะต้องผ่าตัดเร่งด่วนหลายโรงพยาบาลก็ใช้การตรวจแบบแรพิดเทสต์เหมือนกัน หรือ กรณีคนที่มีอาการหรือมีเชื้อจำนวนมากตรวจแล้วเจอแน่ แรพิดเทสต์ ก็จะรายงานผลได้แม่นยำ แต่ยังมีความ เป็นห่วงว่าการที่ไม่อนุญาตให้บางแล็ปตรวจนั้น เป็นเพราะเริ่มมาตรฐานของการตรวจมากกว่า

ทุกโรงพยาบาลตอนนี้มีการรับตรวจแต่จะเน้นไปยังสองกลุ่มหลัก คือ ทุกโรงพยาบาลตรวจเป็นมาตรฐานในกลุ่มที่เตรียมการผ่าตัด การคลอดลูก ทำฟัน หรือจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เข้าห้องไอซียู แต่ละโรงพยาบาลมีมาตรฐานที่จะต้องตรวจกลุ่มนี้อยู่แล้ว

กลุ่มที่สองคือให้ความสำคัญกับกลุ่มที่ถือได้ว่ามีประวัติเสี่ยงสูง เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง เช่น มีประวัติว่าสามีติดเชื้อเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วแจ้งประวัติกับบุคลากรทางการแพทย์ เขา ก็จะรับตรวจเพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ติดเชื้อ ซึ่งการตรวจของโรงพยาบาลในสองกลุ่มนี้ตัวเลขอยู่ที่ 300-400 รายต่อวัน ถือว่าเป็นภาระหน้างานเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าคนที่วอล์คอินเข้าไปขอตรวจโดยไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องผ่าตัดหรือไม่ได้มีประวัติเสี่ยงสูงใด ๆ บางครั้งโรงพยาบาลก็อาจจะบอกว่าขอให้สิทธิคิวกับผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องตรวจก่อน 

ที่ประชุมศบค.เล็กได้หารือกันว่าการที่กรุงเทพมหานครลงตรวจจะมีสองส่วนด้วยกันคือถ้าผู้ป่วยวอล์คอินเดินเข้ามาด้วยประวัติสัมผัสเสียงสูงกับผู้ติดเชื้อที่ยืนยันก่อนหน้านี้ พบว่าในจำนวนตรวจ 100 คน มี 90 คนเป็นผลบวก ถือว่าแม่นยำ 90% ขณะที่อีกส่วนหนึ่งทางกรุงเทพมหานครรายงานว่ามีการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนที่ตลาด โรงงาน เมื่อไปตั้งจุดตรวจตาม6กลุ่มเขต พบว่าอัตราการตรวจจับการระบาดในระบบเฝ้าระวัง พบผู้ติดเชื้อเพียง 10% ดังนั้นกรุงเทพมหานครจึงจะมีการปรับระบบการตรวจ คือเน้นย้ำไปในการค้นหาสองส่วนคือส่วนการระบาด และตรวจตามไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อ เพื่อติดตามไปว่าอยู่ครอบครัวกับใครบ้าง ทำงานสัมผัสเสียงใกล้ชิดกับใครบ้าง แต่ประชาชนที่ไม่เข้าข่าย คือไม่ได้เป็นผู้สัมผัสเสียงสูง ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน แต่ต้องการตรวจเอง ในที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องนี้เหมือนกันว่าในระยะอันใกล้นี้จะเปิดศูนย์วอล์คอินแล็ป ที่อาคารนิมิบุตร เพื่อให้ไปตรวจได้ หากตรวจพบมีผลติดเชื้อก็จะมีการจัดการพิจารณาเป็นผู้ป่วยสีเขียว สีเหลือง ก็จัดสรรไปยังศูนย์พักคอย 17 จุดของ กทม. และยังจะมีเพิ่มขึ้นอีก ส่วนสีแดง ก็หาเตียงรักษาในโรงพยาบาลต่อไป จึงขอให้ติดตามข้อมูลในระยะนี้ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการตรวจหาเชื้อ และการจัดการเตียง หรือการแยกกักที่บ้านมาให้ติดตาม

ขอเน้นย้ำไปยังจังหวัดปลายทาง เพราะขณะนี้มีรายงานทุกวันว่าต่างจังหวัดมีการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น และในวันเดียวกันนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อเป็นสายพันธุ์เดลต้า จึงมีความเป็นไปได้ว่าแต่ละพื้นที่เหล่านั้นมีเดลต้าเข้าไปแล้ว ดังนั้น จึงขอความร่วมมือไปยังทีมสาธารณสุข มหาดไทย ในพื้นที่จังหวัดให้มีการเตรียมทีม และเตรียมพื้นที่รองรับ เตรียมเตียงรับ ดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ให้เหมาะสมรวมทั้งทีมสอบสวนโรค ถ้าเจอหนึ่งคนจะต้องรีบตามไปว่าใครเป็นผู้ที่สัมผัสเสียงสูง และให้ประชาสัมพันธ์ต่อชุมชนนั้นเฝ้าระวังว่าขณะนี้มีบุคคลพื้นที่เสี่ยงเดินทางเข้ามาในพื้นที่พี่น้องประชาชนในละแวกนั้นจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังและพยายามที่จะเน้นย้ำมาตรการดูแลตนเอง เพื่อดูแลไปยังบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

“วิษณุ” เผย “ผจว.-อปท.” ไม่ต้องมา เซ็นร่างงบ 65 ได้ ชี้ อยู่ที่สภาฯ ผ่อนสั้นผ่อนยาว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จากทั่วประเทศ ที่ต้องเดินทางเข้ากทม. เพื่อเซ็นลงนามในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สภาผู้แทนราษฎร แต่มีความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะมีแผนรองรับหรือไม่ ว่า ไม่รู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีปัญหาอย่างไร ส่วนวิธีการอื่นที่ไม่ต้องเดินทางมาเซ็นที่สภาฯสามารถทำได้ แต่กมธ. ไม่ยอมเท่านั้นเอง ตนก็ไม่รู้และไม่ทราบเรื่องว่ามาเซ็นอะไร แต่สามารถเซ็นผ่านทางช่องทางอื่นได้ เพราะไม่ได้ผิดข้อบังคับ หรือรัฐธรรมนูญ อยู่ที่จะผ่อนสั้นผ่อนยาวกันอย่างไร 
 

“ศรีสุวรรณ” ยื่น “ปลัดสปน.” ตรวจสอบองค์กรผู้บริโภคทิพย์

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะนายทะเบียนกลาง ตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 หลังจากที่มีเครือข่ายสื่อมวลชนปกป้องผลประโยชน์ชาติ ได้นำข้อมูลการจัดตั้งองค์กรผู้บริโภคจังหวัดต่าง ๆ 16 องค์กรมาให้เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เป็นที่ตั้งข้อสังเกตถึงองค์กรเหล่านี้อาจถูกจัดตั้งขึ้นมาลอย ๆ หรือไม่ เพื่อให้ครบตามจำนวนและจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้ จึงได้ทำการสุ่มตรวจสอบองค์กรผู้บริโภคตามบัญชีรายชื่อที่ สปน.ประกาศในระดับจังหวัด พบว่าองค์กรผู้บริโภคที่แจ้งไว้กับทางราชการนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเลย และเมื่อตรวจสอบเชิงลึกโดยการพูดคุยกับผู้นำท้องถิ่น ชาวบ้าน พบว่าหลายองค์กรไม่มีที่ตั้งตามที่แจ้งไว้ หรือไม่มีการทำกิจกรรมตามที่จดแจ้ง ชาวบ้านในพื้นที่ไม่รู้จักเลย ซ้ำร้ายกว่านั้นที่อยู่ที่จดแจ้ง ในทะเบียนราษฎร์ไม่มีเลขที่นี้ในสารบบเลย บางองค์กรไม่มีที่ตั้ง ไม่มีคนที่อ้างว่าเป็นประธานเครือข่ายอยู่ในพื้นที่เลย อาจถือได้ว่ามีคุณลักษณะไม่เป็นไปตาม ม.6 ประกอบ ม.5 ของกฎหมายข้างต้น จึงได้ทำบันทึก เก็บหลักฐานทั้งหมดมามอบให้นายทะเบียนกลาง หรือปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในวันนี้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตาม ม.8 แห่ง พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคฯ กำหนดไว้ว่า ผู้ใดเห็นว่าองค์กรของผู้บริโภคที่ได้แจ้งไว้ตาม ม.6 มีลักษณะไม่ถูกต้อง ตาม ม.5 ให้มีสิทธิยื่นคำคัดค้านพร้อมทั้งหลักฐานต่อนายทะเบียนกลางได้ เมื่อนายทะเบียนกลางได้รับคำคัดค้านแล้ว ต้องดำเนินการสอบข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยโดยเร็ว ในกรณีที่เห็นว่าองค์กรของผู้บริโภคนั้นมีลักษณะไม่ถูกต้องตาม ม.5 ให้เพิกถอนการรับแจ้ง พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ร้องและองค์กรของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องทราบ

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากการสอบข้อเท็จจริงและวินิจฉัยองค์กรผู้บริโภคเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติหรือคุณลักษณะตามที่กฎหมายบัญญัติ ผู้ที่ร่วมจัดตั้งย่อมเข้าข่าย “แจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่รัฐ” ตาม ป.อ.มาตรา 137 ที่บัญญัติไว้ความว่า “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” สมาคมฯ จึงขอให้นายทะเบียนกลางดำเนินการเอาผิดบุคคลและหรือองค์กรผู้บริโภคนั้น ๆ ตามกฎหมายข้างต้นหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไปด้วย และถือเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคที่ผ่านมาไม่สมบูรณ์ อาจถือเป็น “โมฆะ” ตามกฎหมาย การทำนิติกรรมใดๆขององค์กรดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะและจะกระทำมิได้ด้วย

“ธีรรัตน์” จี้ รัฐเร่งชดเชยผู้ประสบภัยเหตุโรงงานกิ่งแก้วระเบิด เหน็บอย่าทำงานแบบผักชีโรยหน้า ขอให้ดูสถานการณ์จริง เตรียมลงพท.โรงงานน้ำหอมไฟไหม้

ที่รัฐสภา น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. เขตลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานหมิงตี้เคมีคอล จำกัด อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ว่า สำหรับพื้นที่เขตลาดกระบังมีวัดหลายแห่งที่รับช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งตนได้รับการประสานนำข้าว อาหาร น้ำ และเครื่องนุ่งห่ม เข้าไปช่วยเหลือ เนื่องจากยังขาดแคลนอยู่ และจากการลงพื้นที่ก็ยังไม่เห็นการดำเนินการใดที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐเลย ทั้งการเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุ การชดเชยผู้ประสบภัยและผู้อพยพ ดังนั้น อยากให้รัฐเร่งดำเนินการชดเชยผู้ประสบภัยหรือดำเนินการด้านกฎหมาย และสอบถามข้อเท็จจริงว่าเหตุใดโรงงานจึงตั้งอยู่เขตพื้นที่ชุมชนหรือถ้าโรงงานก่อตั้งมาก่อนเหตุใดจึงปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ เพื่อป้องกันเกิดปัญหาเช่นนี้อีก รัฐต้องมาทำงานอย่างจริงจัง 

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหามลพิษส่วนตัวมีความกังวล รัฐอย่าทำงานแบบผักชีโรยหน้าหรือลูบหน้า ปากจมูก แต่ขอให้มาดูสถานการณ์จริงและแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเผยแพร่ข่าวสารและประชาสัมพันธ์ทำให้ได้รับความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือจากภาคประชาชนด้วยกันเอง ส่วนเหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานน้ำหอมที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังนั้น ตนจะลงพื้นที่ไปมอบหน้าหากอนามัยให้แก่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 

ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ฯ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทุกส่วนราชการได้เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ระเบิด ตามบัญชาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ไม่ให้เกิดซ้ำ พร้อมยืนยันจะให้การดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและความเสียหายตามสิทธิ รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ได้เกิดเหตุขึ้นอีกในอนาคต   

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือจากส่วนราชการ อาทิ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคมจะได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 38  มาตรา 39 และมาตรา 40 ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิอื่น ๆ ที่พึงได้ โดยแยกเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ซึ่งมีสิทธิได้รับสิทธิความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น และค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัว ร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีลูกจ้างสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกาย จะจ่ายร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนตามระยะเวลาที่กำหนดแต่ไม่เกิน 10 ปี ในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ให้เงินช่วยเหลือสำหรับการย้ายบ้านชั่วคราว จากไม่สามารถอยู่อาศัยในที่พักเดิมได้ ครอบครัวละ 18,000 บาท การเคหะแห่งชาติ จัดหาโรงแรม/ห้องพักราคาถูก สำหรับผู้ต้องการที่อยู่อาศัยเร่งด่วน หากไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่าย การเคหะแห่งชาติจะจัดสรรห้องพักเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยติดต่อที่สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง สำหรับกระทรวงศึกษาธิการจัดหาที่พักให้ครู บุคลากร และครอบครัว ของโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 

นางสาวรัชดา กล่าวว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย บูรณาการร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันภัย ตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัยของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยอย่างเร่งด่วน เพื่อบูรณาการการจ่ายสินไหมทดแทนให้กับประชาชนผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สำหรับรายที่ไม่ได้ทำประกันภัยครอบคลุมความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ จะได้รับการชดใช้จากการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งโรงงานได้ทำประกันภัยดังกล่าวรองรับไว้ด้วยวงเงินเอาประกันภัย 20 ล้านบาท 

“หน่วยงานยังมีการเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อไม่เกิดเหตุซ้ำรวมทั้งหาทางกำจัดสารเคมีที่เหลืออยู่ และหลังจากนี้ จังหวัดสมุทรปราการจะร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสำรวจความเสียหายและผลกระทบกับประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย เพื่อให้การเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินต่อไป” นางสาวรัชดา กล่าว 

พรรคกล้า จี้ นายก ขยายมาตรการช่วยเหลือครอบคลุมผู้ประกอบการในหัวเมืองใหญ่ที่เดือนร้อนไม่น้อยกว่า 6 จังหวัดที่รัฐประกาศชดเชย พร้อมเสนอแผนเยียวยาละเอียดยิบแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็ก พร้อมด้วยนางสาวภรณี วัฒนโชติ รองโฆษกพรรคฯ เข้า ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ จันทร์นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ในวงกว้าง และด้วยมาตรการที่ครอบคลุม โดยมีนายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับเรื่อง  

โดยนายวรวุฒิ ได้ระบุถึงข้อเสนอในหนังสือ ว่า สืบเนื่องจากการประกาศราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 27 มิถุนายน 2564 มีคำสั่งปิดสถานที่ก่อสร้าง ห้ามรับประทานอาหารในร้าน รวมกลุ่มสังสรรค์ งานเลี้ยงรื่นเริง และห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดได้ถึง 3 ทุ่ม ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการออกประกาศดังกล่าว ในวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ด้วยหลักการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือลูกจ้างกิจการก่อสร้างและร้านอาหารใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อคน ส่วนนายจ้างในระบบประกันสังคมที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน ได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาท ต่อคน กรณีผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้าง ช่วยเหลือจ่ายผ่านแอปฯ ถุงเงิน ในโครงการคนละครึ่ง รายละ 3,000 บาท

ทั้งนี้พรรคกล้าได้ทำการสำรวจสถานการณ์ผลกระทบและความต้องการความช่วยเหลือจากธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงบุคคลในอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ทำให้สามารถสรุปความจำเป็นในการขยายมาตราการเยียวยาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ได้รับความเดือดร้อนให้มากขึ้น และครอบคลุมทั่วประเทศ จึงขอเสนอแนวทางเพื่อช่วยเหลือดังนี้

1.) ขยายเขตพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ จากประกาศฯ 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี ให้ครอบคลุมจังหวัดที่ได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน เช่น พัทยา ภูเก็ต สงขลา หาดใหญ่ สมุย เป็นต้น นอกจากนี้ควรขยายวงเงินช่วยเหลือจาก 2,000 บาท นาน 1 เดือน เป็น 5,000 บาท นาน 3 เดือน 

2.) เพิ่มการเข้าถึงเงินกู้ในระบบ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจสำหรับสภาวะวิกฤตของผู้ประกอบการขนาด Micro ที่มีพนักงานน้อยกว่า 10 คน โดยผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ และพิจารณาการให้สินเชื่อในรายที่เป็นหนี้เสีย (NPL) อันเกิดมาจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด    

3.) เยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระ และผู้ให้บริการในวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานตาม
ประเพณี งานรื่นเริง ทั้งห่วงโซ่ เช่น ผู้จัดการการจัดงาน ผู้วางแผนงาน ช่างแต่งหน้า นักร้องนักดนตรี ผู้ให้บริการเช่าชุด ช่างจัดดอกไม้ ผู้ให้บริการเครื่องเสียงและแสงสว่าง เป็นต้น ด้วยเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกับผู้ประกอบการร้านอาหารและลูกจ้างร้านอาหาร 

4.) รัฐฯ ออกสัดส่วนเงินประกันสังคมให้เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกันตน และรักษาสภาพการประกันตนไม่ให้หลุดออกจากระบบ

5.) ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ลง 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย ครัวเรือนของประชาชน 

6.) กำกับการเรียกเก็บค่า GP ที่ร้านอาหารจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการส่งอาหาร ที่ไม่เกิน 15% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกอบการร้านอาหารที่ไม่สามารถเปิดจำหน่ายให้ลูกค้านั่งรับประทานในร้านได้ตามปกติและต้องปรับรูปแบบการให้บริการด้วยการส่งอาหารแทน 

นอกจากนี้ยกเลิกการกำหนดขั้นต่ำของการสั่งซื้ออาหารในแต่ละครั้ง เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสั่งอาหาร ในขณะกักตัวอยู่ที่พักอาศัยเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโควิด และ     

7) เริ่มใช้มาตรการวัคซีนพาสพอร์ตภายในประเทศ อนุญาตให้มีการจัดงานด้วยมาตรการตรวจสอบการได้รับวัคซีน ทั้งผู้ให้บริการในงานและผู้เข้าร่วมงาน เพื่อนำผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วกลับเข้าระบบเศรษฐกิจ

นอกจากนี้รองหัวหน้าพรรคกล้า ยังกล่าวย้ำด้วยว่า กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจการจ้างงานในประเทศ และเป็นตัวแปรสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด รัฐฯ ยังมีความจำเป็นต้องมีแผนเยียวยา เพื่อพยุงและฟื้นฟูกิจการอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านมาตรการผ่อนปรนทางภาษีและสินเชื่อ ดังนี้  

1.) งดเว้นการเรียกเก็บภาษีป้าย ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 ที่ระบุว่าหากไม่ได้ประกอบกิจการแต่ยังมีป้ายโฆษณาให้เห็นอยู่ เจ้าหน้าที่จะต้องทำการจัดเก็บภาษีตามหน้าที่  

2.) ค่าธรรมเนียมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตาม พรบ. สาธารณสุข เช่น ร้านเสริมสวย ร้านขายยาฆ่าหญ้า ร้านซ่อมรถ ฟาร์มปศุสัตว์ เป็นต้น เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรายเล็กที่ต้องหยุด หรือ ปิดกิจการชั่วคราว เพื่อทำตามมาตรการรัฐฯ

3.) นโยบายคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำส่ง โดยคำนวณคืนจากยอดนำส่งภาษีของผู้ประกอบการแต่ละราย ร้อยละ 50 เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการแต่ละราย โดยเร็ว

4.) การลด ยกเว้น หรือยืดระยะเวลาการจ่ายชำระ ภาษีเงินรายได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) เพื่อช่วยรักษาเงินทุนหมุนเวียนในสภาวะวิกฤตให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาสภาพคล่องได้มากขึ้น

5.) เงินกู้ยืมระยะยาวเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนกิจการในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถดำรงกิจการต่อได้ โดยใช้ข้อมูลประวัติการชำระภาษีจากกรมสรรพกรร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาให้สินเชื่อด้วย ผ่านธนาคาร SME Bank เป็นสินเชื่อแบบปลอดดอกเบี้ยในช่วงวิกฤตโควิด-19 และปรับเป็นดอกเบี้ยขั้นต่ำหลังจากสภาวะการขาดทุนสะสมลดลง เพื่อลดอัตราการปิดกิจการอย่างถาวรของผู้ประกอบการรายย่อย และ

6.) สินเชื่อระยะสั้นเพื่อกลับมาเปิดกิจการ ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และหลักเกณฑ์ที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมพาศ กล่าวภายหลังการรับเรื่องว่า จะเร่งนำข้อเสนอดังกล่าว นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป

“เสกสกล” อัด “เพื่อไทย” ไม่เหมาะยื่นญัตติซักฟอกครม.ช่วง วิกฤต 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่พรรคเพื่อไทย เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ในเดือน ส.ค.นี้ และคาดว่าจะมีการอภิปรายก่อนปิดสมัยประชุมในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ว่า การขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิ สามารถทำได้แต่ในสถานการณ์ประเทศที่กำลังเกิดการระบาดเชื้อโควิด-19 ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่ และญัตติที่จะอภิปรายเพื่อประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย หวังโจมตีนายกรัฐมนตรี ต้องการกลับเข้ามามีอำนาจ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ในขณะที่ทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงาน และประชาชนร่วมมือกันเพื่อให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายลง

นายเสกสกล กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่าย อย่าเอาเวลาการทำงานของนายกฯมาใช้ในสภาฯและบิดเบือนกล่าวหาโจมตีใส่ร้ายป้ายสีในข้อมูลเดิมโดยไม่มีเนื้อหาสาระ เพราะตนเสียดายเวลาในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนในยามวิกฤต หรืออยากมีอำนาจรัฐจนทำทุกวิถีทางเพื่อล้มนายกฯและรัฐบาล ทั้งที่ควรเตรียมตัวไปหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป ว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกตั้งมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top