Sunday, 6 October 2024
POLITICS NEWS

เปิดประวัติ 'อรพินทร์ เพชรทัต' เลขาฯ รมว.พลังงานป้ายแดง หนึ่งในทีมทำงาน 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทย

เมื่อวานนี้ (1 ต.ค. 67) ครม. มีมติเห็นชอบให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วันนี้ THE STAES TIMES จะพาผู้อ่านทำความรู้จักกับ 'เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน' ป้ายแดง

อรพินทร์ เพชรทัตเคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำงานของตนเองไว้ว่า การทำงานของเราจะต้องตอบสนองประชาชนให้ได้มากที่สุด จึงเป็นหลักที่ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน 'ไก่ อรพินทร์' ยังคงทำงานกับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเขตดินแดง-ห้วยขวางอย่างต่อเนื่อง  

ซึ่งสอดคล้องกับครอบครัวของอรพินทร์ที่เป็นครอบครัวการเมืองประจำเขตดินแดง คุณพ่ออย่างชูพงศ์ เพชรทัต เคยดำรงตำแหน่ง สก.เขตดินแดง และคุณแม่อนงค์ เพชรทัตปัจจุบันดำรงตำแหน่ง สก.เขตดินแดง  

การที่เป็นคนทำงานตัวจริงของไก่ เพชรทัตที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องจึงไม่แปลกใจเลยว่าก่อนหน้านี้ช่อของ 'อรพินทร์ เพชรทัต' จะปรากฏในเวทีการเมืองระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงปี 2562-2564 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในยุค พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง และในปี 2565-2566 ได้รับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในยุคของรัฐมนตรี 'ตรีนุช เทียนทอง' 

จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่ปี 2566 จะมีชื่อของ 'อรพินทร์ เพชรทัต' ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็นคนทำงานจริงจัง และรับตำแหน่งเลขานุการในครั้งนี้ต่อเนื่อง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการได้รับความไว้วางใจในฐานะ 'คนทำงานตัวจริง' ของ 'ไก่ อรพินทร์ เพชรทัต'  

นอกจากที่กล่าวมา 'ไก่ อรพินทร์ เพชรทัต' มีประวัติโดยย่อดังนี้ 

>>>อุดมการณ์ทางการเมือง
- ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
- สร้างโอกาสทางสังคมอย่างเท่าเทียม ด้วยข้อมูลข่าวสารและบริการต่าง ๆ ผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อยกระดับ

- คุณภาพชีวิตของประชาชนให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี

- ดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการผลิตและบริการ
- เพิ่มโอกาสได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานของนักเรียน นักศึกษา และประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกที่

- ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
- เตรียมความพร้อมให้บุคลากรทุกกลุ่ม ทุกสายอาชีพ และคนพิการ ให้มีความรู้และทักษะที่

- เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพในยุคดิจิทัล
- เพิ่มบทบาทสตรีทางการเมืองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติอย่างเสรี และเท่าเทียม
- ให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัว เพราะสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่จะผลิตทรัพยากร

- มนุษย์ที่มีคุณภาพ เพื่อพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าต่อไป
- ต่อต้านความรุนแรง และการคุกคามทางเพศทุกประเภท
- ลดอุบัติเหตุบนถนนให้กับเยาวชนและประชาชน

>>>การศึกษา
มัธยมศึกษา : โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์
ปริญญาตรี : คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปริญญาโท : Comunication Arts - Computer Graphic Design NEW YORK INSTITUTE OF TECHNOLOGY NEW YORK, U.S.A.

>>>ประวัติการทำงาน พ.ศ. 2543 - ปัจจุบัน
- กรรมการบริหาร : บริษัท กราฟฟิค ซิตี้ จำกัด
- กรรมการบริหาร : บริษัท ยูกิ เคส จำกัด
- อดีตหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ : หนังสือพิมพ์ สู่มาตุภูมิ
- อดีตผู้จัดการฝ่ายบุคคล : สมาคมทหาร ตำรวจ พลเรือน ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร
- อดีตกรรมการผู้จัดการ : P O 36 ARTS & CRAFTS CO., LTD.

>>>ประวัติการทำงานด้านการเมือง พ.ศ. 2543 - ปัจจุบัน
- อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค) พ.ศ. 25666 - 2567
- อดีตประธานคณะทำงานสื่อสารและประชาสัมพันธ์ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- อดีตคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาแก๊ส NGV สำหรับรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะและรถแท็กซี่ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการพิจารณาปรับลดราคาและปรับปรุงข้อกำหนดคุณลักษณะน้ำมันเบนซิน (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- อดีตกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 -2567)
- อดีตคณะทำงานและเลขานุการคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ และระบบรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการตรวจสอบการผลิตและการแยกก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตคณะทำงานและเลขานุการคณะทำงานติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ (กระทรวงพลังงาน พ.ศ.2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบปริมาณน้ำมันสำรอง(กระทรวงพลังงานพ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยการพลังงานแห่งชาติ (วพช.)(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการติดตามการดำเนินการตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)

- อดีตกรรมการคณะกรรมการโครงการผลิตระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อประชาชน(กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2567)

- อดีตกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการกระทำอันอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายของคณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กระทรวงพลังงาน พ.ศ. 2566 - 2567)
- กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566
- อดีตประธานคณะทำงาน กำกับ ดูแลเรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียน และเรื่องขอความช่วยเหลือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566

- อดีตประธานคณะทำงาน กำกับ ดูแล การสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566
- อดีตประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคน ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2565-2566
- อดีตประธานคณะกรรมการต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center, MOE) กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2564-2566

- อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริม สนับสนุนกีฬา ESPORTS เพื่อการศึกษา พ.ศ.2565-2566
- อดีตที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตโฆษกของกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2562-2563
- อดีตรองประธานคณะกรรมการประสานงานติดตามนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2562-2564
- อดีตคณะทำงานติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) ในกิจกรรม 'ผู้ว่าฯ พบประชาชน' พ.ศ. 2562-2564
- อดีตคณะทำงานติดตามผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง) พ.ศ.2564

- อดีตคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2563-พ.ศ.2564
- อดีตคณะกรรมการบริหารจัดการพื้นที่คลองช่องนนทรีและบริเวณโดยรอบ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2564
- อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2545 (รมว.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์)
- อดีตคณะทำงานรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2548 (รมว.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์)
- อดีตคณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2551 (รมว.สมชาย วงค์สวัสดิ์)

‘พรรคสามนิ้ว’ มุ่งล้มเจ้า เอาพม่า ขี้ข้าฝรั่ง แต่กินเงินเดือนจากภาษีของ..คนไทย

(1 ต.ค. 67) แล้วก็มาถึงวันนี้จริง ๆ วันที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรม 'กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา' ของพรรคการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการปลุกปั่นเด็ก และหลอกต้มผู้ใหญ่ที่คิดไม่เป็นให้ออกไป 'ชูสามนิ้ว' เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเลว ๆ ของตนเอง จนต้องติดคุกในคดี 112 นับไม่ถ้วน

บางคนก็หนีไปต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย 'โรงเรียนสามกีบ' แล้ว 

แม้กระทั่งคนจากจำนวน '14 ล้าน' ที่เคยสนับสนุน ก็ตื่นจากความผิดพลาดในอดีตกันไม่น้อย ด้วยเคยหลงเชื่อ 'เด็กเมื่อวานซืน' ที่อวดอ้างว่าจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไปในทางที่ดี เพราะคือ “คนรุ่นใหม่” แต่สิ่งที่เผยให้เห็นพฤติกรรมมาตลอดก็คือ มุ่งแต่ทำลายสถาบัน คิดแต่ล้มเจ้าล้มแผ่นดิน หวังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดีลลับกับตะวันตก ไม่มีสักนิดที่จะเผยนโยบายในทางสร้างสรรค์ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี 

หนำซ้ำในวันที่หลายจังหวัดกำลังน้ำท่วมใหญ่ คนไทยจำนวนมากไร้ที่อยู่ ไร้อาหาร แต่ 'พรรคส้มสามกีบ' ก็ยังด้อยค่าหน่วยงานที่ออกหน้าเสียสละมาช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทยด้วยกัน

เป็นนักการเมืองไทยที่ไร้ความสามารถยังไม่พอ ยังแล้งน้ำใจ ไร้เมตตาธรรม วัน ๆ คิดจ้องแต่จะกัดเซาะดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ไม่เคยมีความคิดหรือสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้สังคมไทยเลยแม้แต่น้อย 

ห้วงเวลาที่คนไทยด้วยกันกำลังขาดที่พึ่งพิง แต่กลับมีแนวคิดจะให้สังคมไทยโอบอุ้มคนพม่า ไม่รู้ว่าเอา “นิ้วโป้งเท้า” จากขาเน่า ๆ ที่เอาไว้ราน้ำข้างใดคิด ในหัวจิตหัวใจจึงไร้แนวทาง ที่จะทำให้สังคมไทยดีขึ้นได้เลย ถือเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ต่างจากขยะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งรายวัน และไร้ประโยชน์ต่อสังคมไทย และโลกใบนี้ 

การได้เกิดเป็นคน ได้มีชีวิต มีหน้าที่การงาน มีเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แต่กลับมุ่งทำร้ายสถาบัน และพี่น้องคนไทยด้วยกัน ตามสถิติไม่เคยมีที่ชีวิตจากนี้จะจบสวย อาจจะไม่เชื่อว่าแผ่นดินไทยนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก จึงไม่เคยปล่อยให้ 'ขี้ข้าต่างชาติ' ชูคอผงาดได้โดยไม่ได้รับผลกรรม 

นับเวลาถอยหลังกันได้เลย 

'เพนกวิน' โพสต์เฟซบุ๊กครั้งแรกหลังได้รับสถานะผู้ลี้ภัย เผยได้รับทุนเรียนต่อ ป.โท-เอก มหาวิทยาลัยระดับโลก

(2 ต.ค. 67) หลังจากเงียบหายไปตั้งแต่ 14 พ.ค. 67 เพนกวิน หนึ่งในแกนนำการชุมนุมเมื่อปี 2562 ได้แจ้งข่าวบนเฟซบุ๊กเป็นครั้งแรกใน 'สถานะผู้ลี้ภัย' ว่า 

สวัสดีครับ เพื่อนพ้องและพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกคน

วันนี้ผมมีข่าวดีมาแจ้งให้พี่น้องทุกคนได้ทราบว่าผมได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกแบบเต็มจำนวนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศโลกเสรี การได้ศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั้นถือเป็นโอกาสสำคัญยิ่งของชีวิตผม แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การใช้กฎหมายปิดกั้นเสรีภาพและปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงจำเป็นต้องเดินทางไปศึกษาต่อโดยไม่ได้ร่ำลาและแจ้งให้พี่น้องได้ทราบกันล่วงหน้า ตัวผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

นับจากวันนี้ไป ผมเชื่อว่าคงจะมีหลายคนซึ่งอาจยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทางการเมืองกับผมออกมาเย้ยหยันว่าผมเป็นนักโทษหนีคดี เหมือนกับที่เคยเย้ยหยันคนอื่น ๆ มาก่อน ขอใช้โอกาสนี้เรียนไปถึงกลุ่มคนเหล่านั้นว่าการดำเนินคดีความทั้งหลายกว่า 30 คดีที่ผมตกเป็นจำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหานั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการยอมรับในสังคมนานาชาติว่าเป็นการดำเนินคดีความทางการเมือง ไม่ใช่การดำเนินคดีทางอาญา อีกทั้งกฎหมายที่ใช้กล่าวหาและดำเนินคดีผม โดยเฉพาะกฎหมายมาตรา 112 นั้น เป็นกฎหมายป่าเถื่อน ล้าหลัง และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมนานาชาติ ผมจึงมิได้เป็นอาชญากรในสายตาสังคมอารยประเทศทั้งหลาย ในทางตรงกันข้าม บุคคลและระบอบที่ใช้กฎหมายป่าเถื่อนล้าหลังดำเนินคดีผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อปราบปรามทางการเมืองต่างหากที่จะถูกถือว่าเป็นอาชญากร

สำหรับเพื่อนพ้องและพี่น้องทุกคนที่ได้ร่วมฝัน ร่วมต่อสู้ และร่วมเป็นกำลังใจกับผมในตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและการสนับสนุนที่ทุกท่านมีให้ผมตลอดมาไม่ขาด หลังปี 2565 เป็นต้นมา เงื่อนไขทางกฎหมายได้จำกัดเสรีภาพทางการแสดงออกของผมเป็นอย่างมาก ผมขอให้คำมั่นว่าไม่ว่าตัวผมจะอยู่ ๆ แห่งหนตำบลใดหรือในสถานการณ์ใด ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิมที่ทุกท่านรู้จัก หัวใจของผมยังคงอยู่กับสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตยของประชาชนไทย รวมถึงความก้าวหน้าของประเทศชาติเราเหมือนที่เป็นตลอดมา

ในโอกาสนี้ ผมขอส่งใจให้กับมิตรสหายเพื่อนร่วมอุดมการณ์และพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญหน้ากับการละเมิดสิทธิและปิดกั้นเสรีภาพโดยใช้กฎหมายที่ไร้ความเป็นธรรมเป็นข้ออ้าง โดยเฉพาะทนายอานนท์ นำภาและนักโทษทางการเมืองที่ถูกคุมกว่า 40 คน ผมขอเรียกร้องให้รัฐไทยยุติการดำเนินคดีทางการเมืองและปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองทั้งหมด เพื่อลดความตึงเครียดในสังคมและฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมนานาชาติ ผมเชื่อว่าผู้คนในอารยประเทศนั้น หากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทยก็จะเรียกร้องเหมือนกันกับผมเช่นกัน

ท้ายที่สุดนี้ ผมเชื่อว่าหากพวกเราคนไทยยังไม่หยุดใฝ่ฝันถึงเสรีภาพ เสรีภาพและความเป็นธรรมที่แท้จริงก็จะมาถึงพี่น้องคนไทยทุกคนในเร็ววัน

ขอฝากรัก ศรัทธา และความนับถือมาถึงเพื่อนพ้องและพี่น้องทุกคนจนกว่าวันที่เราจะได้พบกันอีก

พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้นายภาณุพงศ์ มะณีวงศ์ หรือ ไมค์ ระยอง ได้เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว 

4 รัฐมนตรีรวมไทยสร้างชาติ ลุย!! ตรวจราชการ จ.เชียงราย เร่งดูแลเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย

(2 ต.ค. 67) ที่สนามบินกองทัพอากาศ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะ พร้อมเดินทาง ด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ ไปตรวจราชการ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่จังหวัดเชียงราย หลายพื้นที่ เพื่อกำกับดูแลและเยียวยาผลกระทบที่ประชาชนได้รับจากเหตุอุทกภัย พร้อมบูรณาการความช่วยเหลือให้สำเร็จด้วยความรวดเร็ว 

ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.เชียงราย ล่วงหน้าแล้ว และจะร่วมลงพื้นและพร้อมกับคณะ

โดยกำหนดการในการลงพื้นที่ครั้งนี้อยู่ที่ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า โดยคณะ 4 รัฐมนตรีพร้อมทีมงานจะทำการตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยที่พื้นที่หมู่ที่ 9 บ้านแม่ปูนล่าง และสำรวจความเสียหายเส้นทางสัญจรของประชาชน

'สุริยะ' เล็งเพิ่มมาตรการป้องกันไฟไหม้รถโดยสาร พร้อมสั่งระงับใบอนุญาตฯทันที – ลั่นเอาผิดขั้นสูงสุดหากผิดจริง

(1 ต.ค.67) 'สุริยะ' มอบหมาย 'สุรพงษ์' จัดประชุม ขบ. ด่วน เล็งเพิ่มมาตรการป้องกัน ลั่นต้องไม่เกิดเหตุซ้ำ พร้อมสั่งระงับใบอนุญาตผู้ประกอบการทันที หากพบผิดจริงจะดำเนินการขั้นสูงสุด เตือน! รถโดยสารทุกคัน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยผู้โดยสาร 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์รถบัสชั้นเดียวไฟไหม้ บริเวณหน้าเซียร์รังสิต โดยบนรถบัสคันที่เกิดอุบัติเหตุมีนักเรียน จำนวน 39 คน และครู จำนวน 6 คน สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ล่าสุดอยู่ในขั้นตอนของการหาข้อเท็จจริง เบื้องต้นคาดว่าภายในวันนี้จะได้ข้อสรุปข้อมูลเบื้องต้น 

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เรียกกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ประชุมโดยด่วนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ รวมถึงเตรียมเพิ่มแนวทางมาตรการการป้องกันที่เข้มข้นขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำอีก และจะทำการถอดบทเรียนอย่างละเอียด เพื่อนำมาแก้ไขกระบวนการดำเนินงานอย่างถูกต้อง ซึ่งจะคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารในระดับสูงสุด

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อว่า สำหรับการหาข้อเท็จจริง ในขณะนี้ หากพบว่าเป็นความผิดของผู้ประกอบการขนส่ง นางสาวปาณิสรา ชินบุตร รถโดยสารคันหมายเลขทะเบียน 30-0423 สิงห์บุรี จะดำเนินการระงับใบอนุญาตประกอบการขนส่งทันที และจะดำเนินตามข้อกฎหมายระดับสูงสุด ซึ่งขณะนี้ได้สั่งระงับใบอนุญาตผู้ประกอบการชั่วคราว อยู่ในช่วงของการสอบสวนถึงอุบัติเหตุเพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเตือนถึงผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ต้องคำนึงถึงด้านความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก สำหรับการตรวจสอบรถโดยสารคันดังกล่าว ขณะนี้ได้สั่งการให้วิศวกรเข้าตรวจสอบ พร้อมทั้งเช็กอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับด้านความปลอดภัยอย่างละเอียด 

นายจิรุตม์ กล่าวต่อถึงแนวทางการเยียวยานั้น รถโดยสารชั้นเดียวคันดังกล่าวมีประกันภัยตามข้อกฎหมาย โดยภายหลังจากนี้จะดำเนินการเยียวยาผู้ประสบเหตุทันที และจะมีการติดตามสถานการณ์เพื่อดูแลสภาพจิตใจและสภาพร่างกายอย่างใกล้ชิด

‘เท้ง-ณัฐพงษ์’ รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ ลั่น!! จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่

‘ณัฐพงษ์’ รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ ลั่น จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่-พร้อมสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แม้รัฐบาลเสนอก็ตาม

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 ตุลาคม ที่รัฐสภา มีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 สส.พรรค ปชน. รวมถึงข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ร่วมพิธีดังกล่าว และร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้ นายภราดรได้มอบแจกันดอกไม้แสดงความยินดีให้กับนายณัฐพงษ์ 

ภายหลังพิธี นายณัฐพงษ์ แถลงว่า ขอบคุณที่ทุกคนให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จากนี้ตนจะหารือกับพรรคฝ่ายค้านถึงการทำงานในสภาฯ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ตรงไปตรงมาที่สุดให้คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน ให้สมกับที่ประชาชนเลือกมาไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านก็ตาม 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เราพร้อมเดินหน้าเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน และร่วมพร้อมสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์แม้จะมาจากฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายไหนก็ตาม ตราบใดที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ พรรค ปชน. และพรรคร่วมฝ่ายค้านเราจะหารือกันภายในวิปฝ่ายค้านเพื่อสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว

”แม้จะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่เชื่อว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย หลังจากนี้การทำงานในสภาผู้แทนราษฎรจะครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะที่วันนี้ผมได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ ก็จะขอทำหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

‘พีระพันธุ์’ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน ทำให้ผลคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง-มั่นคง

(30 ก.ย. 67) พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและขอบคุณประชาชน หลังมีการรายงานคะแนนนิยมจาก ‘นิด้าโพล’ และปรากฏว่าตนและพรรครวมไทยสร้างชาติได้รับคะแนนนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยระบุว่า…

ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ตอบการทำโพลของสถาบันนิด้าทุก ๆ ครั้ง และที่สนับสนุนผมและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เสมอมา ทำให้คะแนนนิยมจากการสำรวจเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงตลอดมาเป็นลำดับ 

แม้ผลการสำรวจความนิยมดังกล่าวจะไม่ใช่เครื่องแสดงความสำเร็จของผลการเลือกตั้งในอีกสามปีข้างหน้า แต่ก็ทำให้พวกเราทุกคนใน รทสช. รู้สึกดีใจและมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น 

ผมบอกกับทุกคนในพรรคเสมอมาว่าสิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากการเมืองและพรรคการเมืองในวันนี้คือการทำงานอย่างจริงจัง ไม่ใช่การแย่งชิงอำนาจการเมือง 

ผมบอกกับทุกคนว่าการที่ประชาชนยังชื่นชมและคิดถึงลุงตู่เป็นเพราะผลงานและความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานให้ประเทศและประชาชนของท่าน และการคิดถึงแต่ประโยชน์ชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่พวกเรา รทสช. จะต้องสืบทอดต่อ ต้องเอา DNA ของลุงตู่มาอยู่กับพรรคอยู่กับเราตลอดไป

หนึ่งปีที่ผ่านมาเราไม่เคยตีกัน ไม่เคยแย่งชิงตำแหน่งการเมืองกัน พวกเราทุกคนพยายามมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่และอย่างจริงจัง แบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำ ในรัฐบาลเป็นหน้าที่ของคนที่เป็นรัฐมนตรี ในสภาฯ เป็นหน้าที่ของคนที่เป็น สส. และในพื้นที่เป็นหน้าที่ของสมาชิกพรรคแต่ละคน ตามมอตโต้ ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ และจากการทำงานแบบลุยจริงตามแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’

ความสำเร็จในคะแนนนิยมของพรรค รทสช. วันนี้จึงมาจากพวกเราทุกคนที่เป็น รทสช. ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าเราเป็นพรรคการเมืองแบบที่ประชาชนอยากให้มีอยากให้เป็น 

ผมขอขอบคุณท่านเลขาธิการพรรค ผู้บริหารพรรค สส. และสมาชิกพรรค ทุกคนที่ช่วยกันทำให้มีวันนี้ของพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ที่สำคัญกราบขอบพระคุณ DNA ของลุงตู่ที่ส่งต่อมายังพวกเราทุกคนครับ

'เทพไท' ชี้!! ‘เท้ง’ เด่นไม่เท่า ‘พิธา-ไหม-ไอติม’ หลังผลโพลบุคคลตามหลัง ’นายกฯ อิ๊งค์’ ห่าง

(30 ก.ย. 67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เทพไท-คุยการเมือง’ หัวข้อ ทำไม ‘อุ๊งอิ๊ง’ โดดเด่นกว่า ‘เท้ง’ ระบุว่า…

ผลสำรวจของ ‘นิด้าโพล’ เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567’ ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-23 กันยายน 2567 นั้น ผลปรากฏว่า 

อันดับ 1 ร้อยละ 31.35 เป็น นางสาวแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) 
อันดับ 2 ร้อยละ 23.50 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 
อันดับ 3 ร้อยละ 22.90 เป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) 
อันดับ 4 ร้อยละ 8.65 เป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) 
อันดับ 5 ร้อยละ 4.80 เป็นคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย)

แต่ผลการสำรวจความนิยมของพรรคการเมือง พบว่า…
อันดับ 1 ร้อยละ 34.25 เป็น พรรคประชาชน 
อันดับ 2 ร้อยละ 27.15 เป็น พรรคเพื่อไทย 
อันดับ 3 ร้อยละ 15.10 ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ 
อันดับ 4 ร้อยละ 9.95 เป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ 
อันดับ 5 ร้อยละ 4.40 เป็น พรรคประชาธิปัตย์

จะเห็นได้ว่าคะแนนนิยมตัวบุคคล นางสาวแพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีคะแนนอันดับ 1 ชนะนายณัฐพงศ์ หัวหน้าพรรคประชาชน อยู่อันดับ 3 และยังมีคะแนนเสียงที่ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้ 23.50% ซึ่งจะตัวแปรสำคัญ ทั้งนางสาวแพทองธารและนายณัฐพงษ์สามารถช่วงชิงได้ แต่ถ้านายณัฐพงษ์ พัฒนาตัวเองให้เร็วขึ้น น่าจะมีโอกาสช่วงชิงคะแนนกลุ่มนี้ได้มากกว่า

แต่ถ้าดูผลการสำรวจเกี่ยวกับพรรคการเมือง พบว่า ความนิยมของพรรคประชาชน เหนือกว่าพรรคเพื่อไทย ถ้าถามว่าทำไมคะแนนนิยมตัวบุคคลและพรรคการเมืองไม่มีความสัมพันธ์กัน

ผมอยากจะวิเคราะห์ว่า การที่คะแนนของนางสาวแพทองธาร โดดเด่นขึ้นมา เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีส่วนหนึ่ง แต่ส่วนสำคัญก็คือไม่มีตัวบุคคลโดดเด่นพอที่จะเทียบเคียงกับนางสาวแพทองธารได้ เพราะนายณัฐพงษ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนคนใหม่ ก็ยังไม่มีบทบาทโดดเด่นและภาพลักษณ์ยังไม่เป็นที่นิยมของประชาชน ถ้าเปรียบเทียบกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งดูจากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพลพบว่า นายพิธา มีคะแนนนิยม 38.43% สูงกว่านายณัฐพงษ์ ที่ได้ 34.10%

ในส่วนของพรรคการเมืองนั้น พรรคประชาชนยังมีคะแนนนิยมชนะพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม เพราะจุดยืนและอุดมการณ์พรรคได้สืบทอดมาจากพรรคก้าวไกล ไม่เปลี่ยนแปลง จึงทำให้คะแนนนิยมยังไม่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

สิ่งที่พรรคประชาชน จะต้องพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขนั่นก็คือ บทบาทของนายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมของประชาชน บทบาททางการเมืองต้องโดดเด่นกว่านี้ ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับบทบาทของคนในพรรคประชาชน เห็นว่านายณัฐพงษ์ ยังโดดเด่นน้อยกว่านายพิธา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล หรือนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ด้วยซ้ำไป

จึงเป็นปัญหาสำคัญที่พรรคประชาชน จะต้องขบคิดว่าจะทำอย่างไร ให้บทบาทของหัวหน้าพรรค โดดเด่นควบคู่กับคะแนนนิยมของพรรคในทิศทางเดียวกัน

'อัครเดช' ขอบคุณประชาชน เชื่อมั่น 'พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำจุดยืนปกป้องสถาบัน-เดินหน้า 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ปฏิรูปพลังงานไทย

(29 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึง  'การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567' ซึ่งสำรวจโดยนิด้าโพล ว่า 

ในลำดับแรกต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่เชื่อมั่น และไว้วางใจในการดำเนินงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงทำให้ผลสำรวจทั้งสองส่วนคือ ส่วนของคะแนนนิยมที่มีต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ และคะแนนนิยมต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คะแนนนิยมทั้งสองส่วนต่างสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับเหตุผลที่ทำให้คะแนนนิยมทั้งสองส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ตนเชื่อมั่นว่ามาจากการที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' ซึ่งเป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญต่อชาติ รวมถึงการที่ บุคคลต่าง ๆ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และสมาชิกพรรคที่เป็นรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหัวหน้าพรรคยังมีนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานเพื่อคืนความเป็นธรรมด้านพลังงานให้ประชาชน และ นโยบาย 'เศรษฐกิจแบ่งปัน' ซึ่งใช้หลักการแบ่งปันจากคนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็กที่ขาดโอกาสในสังคมนับเป็นแนวคิดหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

การมุ่งมั่นตั้งใจทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นทำให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นผลงานในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ผลงานในรัฐสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผลงานการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรของพรรค 

และสำหรับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นอกจากคุณสมบัติที่ได้กล่าวถึงในรายงานของนิด้าโพลแล้ว ตนยังเห็นอีกว่าประชาชนสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจทำงานโดยเฉพาะในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน 

สุดท้ายนี้พรรครวมไทยสร้างชาติขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจในจุดยืนและแนวทางการดำเนินการของพรรคที่จะปกป้อง 'ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์' อันเป็นสถาบันหลักของชาติ และจะดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

'ธนกร' ฉะ!! 'ปชน.' หมกมุ่นเสนอ 'แก้ไขรัฐธรรมนูญ-ปฏิรูปสถาบัน' ไม่สนใจปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง-ความเดือดร้อนของประชาชน

(29 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่พรรคประชาชนเสนอ 7 แพ็กเกจในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับควบคู่กับการแก้เป็นรายมาตรา ว่า...

ตนก็สงสัยการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนเหมือนที่หลายฝ่ายสงสัยเช่นกัน ว่า ที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้แทนนั้น เพื่อเข้าสภาไปทำงานแก้ปัญหาความเดือดร้อน แก้ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจของประชาชนจริงหรือไม่ หรือหวังจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อพรรคการเมืองของตัวเองเท่านั้นหรือไม่ 

เพราะจากที่ตนดูการเสนอกฎหมาย เสนอแนวทางต่าง ๆ ของพรรคประชาชน หลายเรื่องที่ผ่านมา ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนเรื่องความเป็นอยู่คุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง มุ่งแต่จะแก้ปัญหาการเมือง แก้รัฐธรรมนูญบ้าง จ้องปฏิรูปสถาบัน ปฏิรูปกองทัพบ้าง อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระมีอำนาจมากเกินไป  และอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาจากการรัฐประหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย ท่องอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามของหลายฝ่ายทั้งนักวิชาการและฝ่ายการเมืองก็ตาม ว่า แท้จริงแล้วพรรคประชาชนมีจุดมุ่งหมายการทำงานการเมืองเพื่ออะไรกันแน่  

ทั้งนี้ตน มองว่าอำนาจ 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ควรมีอำนาจติดตามตรวจสอบเพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอำนาจฝ่ายตุลาการ ที่ควรจะต้องคงไว้เพื่อตรวจสอบนักการเมือง ข้าราชการที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม คดโกง ทุจริตคอร์รัปชัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมและถูกต้องแล้วตามรัฐธรรมนูญปราบโกงปี 2560 ที่ร่างป้องกันไว้ จึงขอคัดค้าน หากพรรคประชาชน หรือพรรคใดเสนอให้มีการปรับแก้ไข ลดอำนาจองค์กรอิสระลง เพราะจะทำให้เป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองที่ไม่ดีเข้ามาคดโกงงบประมาณแผ่นดิน เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องตัวเองได้ 

เมื่อถามว่า แต่การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมืองพรรคประชาชนก็ยอม 'พัก' เรื่องนี้ไว้ก่อน  นายธนกร กล่าวว่า พักไว้ ไม่ได้แปลว่าจะล้มเลิกหรือถอดร่างที่เสนอต่อสภาออก แต่อาจเป็นเพราะถูกสังคมต่อว่าอย่างหนักว่า ต้องการแก้กฎหมายเพื่อตัวเอง  ไม่ก็อาจจะกลัวทำผิดกฎหมายเสียเอง เพราะการแก้ประเด็นจริยธรรมนักการเมืองจะถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้พรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศจุดยืนชัดเจนแล้วว่าขอคัดค้านในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องดังกล่าว เพราะต้องการสนับสนุนให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ไม่ลดมาตรฐานจริยธรรมผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำบริหารราชการแผ่นดิน 

“สังคมตั้งคำถามว่า พรรคประชาชนมัวทำอะไรกัน วนเวียนคิดแต่จะแก้ปัญหาการเมือง แก้รัฐธรรมนูญ ติดกรอบความคิดเดิม ๆ เรื่องการลบล้างผลพวงรัฐประหารของคสช. อ้างแต่เรื่องประชาธิปไตย โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อน ความยากจน ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่พี่น้องประชาชน ประสบอยู่ตอนนี้ แต่ยังก้าวไม่พ้น คสช. ต้องการยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนวางกรอบไว้ให้การพัฒนาประเทศเกิดความยั่งยืน ซึ่งก็ถือว่าดีอยู่แล้ว ดังนั้นการเสนอ 7 แพ็กเกจของพรรคประชาชน มองว่าเป็น 7 แพ็กเกจสุดซอย สุดโต่ง มุ่งทำเพื่อพรรคการเมือง ทำเพื่อตัวเอง ยังไม่ได้นึกถึงประชาชนชาวบ้านที่เดือดร้อนจริง ๆ" นายธนกร กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top