Thursday, 8 June 2023
POLITICS NEWS

‘ชัยมงคล ไชยรบ’ ว่าที่ ส.ส. สกลนคร เชื่อคว้าชัย เพราะนโยบายพรรค พร้อมทำงาน เร่งเดินหน้าแก้หนี้สิน ให้เกษตรกร

นายชัยมงคล ไชยรบ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.สกลนคร เขต 5 กล่าวว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ขอขอบพระคุณทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ตน ซึ่งเป็นคนสว่างแดนดินให้ได้เป็นผู้แทน การได้รับเลือกครั้งนี้เป็นตนตั้งใจจะเปลี่ยนเพื่อพัฒนาสว่างแดนดินให้ดีขึ้น จะถือโอกาสทำงานพัฒนาเมืองสว่างฯ ให้เจริญก้าวหน้า เรามีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยต้องแก้ไขปัญหาหนี้สิน  ควบคู่กับการสร้างรายได้ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนประสบกับหนี้สินทั้งในและนอกระบบจำนวนมาก

นายชัยมงคล กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนได้บอกกับประชาชนในพื้นที่ก็คือ ตนจะผลักดันให้จังหวัดสกลนครมีการพัฒนาด้านคมนาคมด้วยรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่ง และสกลนครจะต้องอยู่ในแผนของการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะนำรถไฟความเร็วสูง  จากอุดรธานี ผ่านสกลนคร ไปนครพนม แม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม เรื่องนี้คือยุทธศาสตร์ในการพัฒนาที่ตนตั้งใจว่าจะทำให้ได้ และประชาชนก็ขานรับเป็นอย่างดี เพราะสาเหตุที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจให้ตนมาเป็นผู้แทนฯนอกเหนือจากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐแล้ว ก็มาจากนโยบายรถไฟความเร็วสูงด้วย 

"รถไฟความเร็วสูงที่จะเกิดขึ้น จะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน เพราะจะสามารถส่งออกผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การที่ต้องนำเอางบประมาณจากภาครัฐลงไปสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา และก็แก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น" นายชัยมงคล กล่าว

นายชัยมงคล กล่าวต่อว่า ตนยังมีโครงการระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรด้วยที่ตั้งใจจะผลักดันให้สำเร็จเพราะเป็นบริหารการจัดการน้ำและส่งเสริมวิถีชุมชนการเกษตรที่ยั่งยืน โดยจะสูบน้ำจากบ่อบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซล่าเซลล์ ถือเป็นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนทางการเกษตรโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมันอีกด้วย

‘ก้าวไกล’ เปิดรับสมัคสมาชิกพรรค ร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศ ลั่น!! พร้อมสานต่อภารกิจสร้างพรรค เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี 

เมื่อไม่นานนี้ เฟซบุ๊กเพจ ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ ได้โพสต์ข้อความ เรื่อง เป้าหมายในการสร้างพรรค เพื่อเป็นของมวลชน โดยระบุว่า…

[ภารกิจต่อไปของ ‘พรรคก้าวไกล’ คือการสร้างพรรคที่เป็นของมวลชน]

เป้าหมายของเราในการสร้างพรรค คือ เปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อสร้างประเทศไทยให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน สร้างประเทศไทยที่เศรษฐกิจเติบโต ก้าวหน้าและเป็นธรรม สร้างประเทศไทยที่ประชาชนมีเสรีภาพ เท่าเทียม มีคุณภาพชีวิตที่ดี

เพื่อจะบรรลุถึงเป้าหมาย เราต้องทำ 4 ด้าน คือ

1.) การรณรงค์ปักธงทางความคิด เพราะเราเชื่อว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้ ความคิดประชาชนต้องเปลี่ยนก่อน

2.) เชิญชวนผู้คนที่เห็นด้วยกับเรามาร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลง เพราะเราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคนจำนวนมากมาร่วมกันผลักดัน "อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน"

3.) ส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่น โดยยึดถือว่า "ทุกการเลือกตั้งคือโอกาสของการเปลี่ยนแปลง" เพราะเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งแต่ละครั้งประชาชนจะฟัง นี่จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้เปลี่ยนความคิดผ่านการรณรงค์นโยบาย ผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง ส.ส. ล่าสุด ชี้ให้เห็นว่าความคิดของประชาชนเปลี่ยนไปมากแล้ว

4.) การสร้างพรรคให้เข้มแข็ง ทำให้พรรคกลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่สมาชิกร่วมเป็นเจ้าของ หรือที่เราเรียกว่า "พรรคของมวลชน" ซึ่งต้องมี 2 องค์ประกอบหลัก คือ

🍊 เป็นพรรคที่มีแนวคิด-อุดมการณ์ สร้างการเปลี่ยนแปลง โดยพรรคต้องเป็นเบ้าหลอมให้สมาชิกทุกคนมีแนวคิดและอุดมการณ์เดียวกัน

🍊 โครงสร้างทางอำนาจในพรรค ต้องยึดโยงกับสมาชิก เราจึงออกแบบโครงสร้างพรรคผ่านงานเครือข่ายที่สำคัญ 3 เครือข่าย คือ เครือข่ายแรงงาน เครือข่ายชาติพันธุ์ เคือข่ายพื้นที่ (หรือคณะกรรมการจังหวัด) ซึ่งโครงสร้างของเครือข่ายเหล่านี้ยึดโยงกับสมาชิก ที่มาของตำแหน่งต่างๆในโครงสร้างเหล่านี้ ล้วนมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกทั้งหมด

เราตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นยากและต้องใช้เวลา อาจจะเป็น 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น พรรคที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์และต้องไม่ขึ้นกับตัวบุคคลคนใดคนหนึ่ง

ประกาศของนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่องการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและการแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อรูปแบบของคณะกรรมการจังหวัดที่เราเคยออกแบบไว้ ประกอบกับสถานการณ์หลังการเลือกตั้งที่มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จึงถือเป็นโอกาสดีที่คณะทำงานแต่ละจังหวัดจะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สรุปบทเรียนการทำงานที่ผ่านมาร่วมกัน รวมทั้งออกแบบโครงสร้างคณะกรรมการจังหวัดใหม่ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคต่อไป พรรคจึงจัดให้มีสัมนาภายในขึ้น 5 ครั้ง 5 ภูมิภาค ในช่วงเดือนมิถุนายน จนถึงต้นเดือนกรกฎาคมนี้

โครงสร้างของสมาชิกพรรคเป็นโครงสร้างการทำงานที่แยกออกจากที่ประชุม ส.ส. โดยมีภารกิจหลัก คือ การทำงานร่วมกับสมาชิก เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง กลั่นกรองและตัดสินใจส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคทุกระดับ

แน่นอนว่าการทำงานในโครงสร้างของพรรคในฐานะพรรคมวลชนจริงๆ ที่รวมผู้คนจำนวนมากที่มีภูมิหลังหลากหลายมาทำงานร่วมกัน ระบบการทำงานอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังมีพื้นที่ในการพัฒนาและร่วมกันสร้างอีกจำนวนมาก

ถ้าคุณอยากให้พรรคนี้ดีขึ้นอย่ารอ จงร่วมกันทำ โครงสร้างพรรคของเราเปิดให้คนคนหนึ่งที่อยากเข้ามาทำให้พรรคดีขึ้นได้  ผ่านการเลือกตั้งภายในพรรคระดับต่างๆ  เพื่อให้พรรคก้าวไกลเติบโตขึ้นเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนโดยไม่ขึ้นกับคนใดคนหนึ่ง

มีหลายคนมักจะตั้งคำถามว่า ทำไมต้องสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล?

1.) เป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนพรรครวมถึงแนวทางการสร้างพรรคแบบก้าวไกล จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นคือกำลังใจสำหรับคนสร้างพรรค

2.) จำนวนค่าสมาชิก 100 / 200 / 2,000 บาท ของคนจำนวนมาก มีส่วนเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินและสร้างความอิสระในการตัดสินใจครั้งสำคัญของพรรคโดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่

3.) เมื่อเป็นสมาชิกพรรค คุณสามารถเลือกตัวแทนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและตัดสินใจภายในโครงสร้างต่างๆ ของพรรคได้

4.) ในอนาคตพรรคจะเปิดช่องทางให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมให้มากกว่านี้

“อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน" เริ่มง่ายๆ ด้วยการเข้าเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล”

‘ดร.เสรี’ เตือน ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ อย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ชี้!! ตราบใดที่ยังแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่อย่างนี้ จะแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 66 ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยระบุว่า…

“ตราบใดที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมยังแบ่งเป็นหลายพรรคอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ เลือกตั้งอีกกี่ครั้งกี่ทีก็จะพ่ายแพ้กับฝ่ายตรงกันข้าม ที่นำเสนอผลประโยชน์มากมาย

คนกลุ่มหนึ่งก็เสพติดประชานิยม คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่สนใจว่าคนที่นำเสนอนโยบายประชานิยมทำร้ายประเทศชาติแค่ไหน

อีกกลุ่มหนึ่ง ก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง คิดแต่จะเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่สนใจรายละเอียดว่าจะเปลี่ยนไปทางดีหรือทางร้าย

ประกอบกับคนนำเสนอการเปลี่ยนก็หน้าตาดี พูดเก่ง นำเสนอผลประโยชน์ (ที่ทำจริงไม่ได้) มาหลอกล่อให้คนเลือก คนที่อยากได้สิ่งที่เขานำเสนอก็เลือกคนที่เลือก 2 พรรคนี้ เขาไม่คิดมากหรอกค่ะ เขาตั้งใจจะเลือกของเขา ไม่สนใจว่าพรรคอื่นจะนำเสนออะไร เขาปักใจ ยังไงก็เลือกพรรคที่เสนอผลประโยชน์ที่โดนใจ

ส่วนคนที่ไม่เอา 2 พรรคนี้ มีพรรคให้เลือกหลายพรรค แต่ละพรรคก็มีข้อเสนอดีๆ มีคนดีๆ มานำเสนอเป็นผู้แทน สุดท้ายก็เลือกกันแบบเบี้ยหัวแตก แบ่งคะแนนกันเอง

หลายพื้นที่ เมื่อเอาคะแนนฝ่ายอนุรักษ์นิยมทุกพรรคมารวมกัน คะแนนมากกว่า 2 พรรคที่ได้ ส.ส. มากเป็นที่ 1 และที่ 2 รวมกัน
.
ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พรรคการเมืองเสนอจะให้ ประชาชนเชื่อข้อเสนอ พอใจ อยากได้ สื่อช่วยเชียร์ ในที่สุดพวกเขาก็ชนะ และจะชนะตลอดไป

พูดเรื่องแบ่งคะแนนกันมาตั้งแต่ปี 2548 ไม่มีใครฟัง เลือกตั้งทุกครั้ง พรรคประชานิยมชนะถล่มทลาย และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

เมื่อไหร่จะคิดได้กันเสียทีนะ ถ้ายังคิดกันไม่ได้ ทั้งนักการเมืองและประชาชนผู้ลงคะแนนเลือก ก็อย่าหวังว่าจะชนะคนที่เขากล้าสัญญาว่าจะให้สวัสดิการเกินจริงเลยนะคะ”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน ประกาศพร้อมลงถนน ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพื่อเอื้อสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 โดยระบุว่า…

“ผมไม่ยอมแน่ๆ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมพร้อมจะลงถนนทันที พรรคก้าวไกลต้องการจะคุมกระทรวงกลาโหม เพื่อทำให้ทหารอ่อนแอ ลดงบประมาณทหาร ลดกำลังพล ผมไม่นึกเลยว่า ผมอายุขนาดนี้แล้ว จะเจอความเลวทรามต่ำช้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ หากเห็นด้วยกับผม กระจายคำพูดของผมออกไปหาแนวร่วม ถามทุกคนว่า หากไม่อยากให้มีสงคราม บอกไปเลยว่า พรรคก้าวไกล จะเป็นคนนำสงครามเข้ามา นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในประเทศไทยตอนนี้”

‘เสธหิ’ เตือน!! ‘ก้าวไกล’ อย่าใช้กระแสโซเชียลบริหารประเทศ แนะ ว่าที่นายกฯ ต้องรู้จักวางตัว เพราะสถานการณ์เปลี่ยนได้ตลอด

(3 มิ.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร.หิมาลัย’ ถึงรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ว่ามีมุมมองความคิดเห็นอย่างไร โดย ดร.หิมาลัย ได้กล่าวแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล ที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และได้กล่าวว่า รูปแบบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีความแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เนื่องจากที่ผ่านมา พรรคแกนนำจะต้องทำการติดต่อประสานไปหาพรรคร่วมรัฐบาล และมีส่งผู้ใหญ่ของพรรคแกนนำไปเชิญพรรคร่วมมาเจรจาพูดคุยกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นการให้เกียรติพรรคร่วม และในระหว่างการเจรจาพูดคุยกัน ก็จะไม่มีการออกสื่อ ส่วนมากการดำเนินการค่อนข้างที่จะเป็นความลับ เพราะว่าจะต้องมีการพูดคุย การต่อรองกันในการจัดสรรดูแลกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิไตย คือ เน้นความชำนาญ ใครเก่งด้านไหน ก็ให้ดูแลกระทรวงนั้นๆ ตามความเชี่ยวชาญกันไป ซึ่งวิธีการดำเนินการจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ก่อให้เกิดความกดดัน

แต่การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนึ้ นับเป็นมิติใหม่ อาจจะด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคแกนนำ ตนอาจจะเป็นคนรุ่นเก่า เพราะคนรุ่นเก่า เวลาจะทำอะไร จะค่อนข้างระมัดระวังในการให้ข่าว และให้เกียรติผู้ที่มาร่วมงานกับเราเสมอ

“ผู้ที่เป็นว่าที่นายกฯ ในอดีต หากสังเกตดู ทุกคนจะยังไม่ออกตัวว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ ทุกคนจะบอกว่า ต้องรอดูความชัดเจนต่างๆ ก่อน เพราะ ณ ขณะนี้ ยังอยู่ในห้วงเวลาที่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ที่ผ่านมาจะไม่มีใครกล้าประกาศออกตัวอย่างชัดเจนว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ แต่ครั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างที่ผมเห็นก็คือ การใช้โซเชียลในการดำเนินการต่างๆ ที่มีผลอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเชิญพรรคร่วม หรือการแถลงข่าวต่างๆ ผ่านสื่อ ผ่านโซเชียล ซึ่งผมมองว่าเป็นบริบทใหม่ของสังคมคนรุ่นใหม่ ที่มีต้องการแสดงความชัดเจนให้ประชาชนได้เห็น ในเรื่องการจัดสรรกระทรวง ทบวง กรม ว่าใครจะเป็นผู้ดูแลบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็น มองในแง่ดี ก็อาจจะเป็นความเหมาะสมในเรื่องของกาลเวลาที่มันเปลี่ยนไป ในอดีต วัฒนธรรมในเวลานั้น ความรู้สึกของผู้คนในสมัยนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมาะสม แต่ในวันนี้ ก้าวเข้าสู่ยุคของคนรุ่นใหม่ที่เป็นยุคของความทันสมัย และความรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเหมาะสมกับเขาในเวลานี้ก็ได้ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ การประกาศออกสื่อในการเตรียมตัวจัดตั้งรัฐบาลในลักษณะอย่างนี้ มันเหมือนกับการไปบีบบังคับพรรคร่วม ให้ยอมรับในเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็อาจมองได้ 2 มุม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ เพราะทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย” ดร.หิมาลัย กล่าว

เมื่อถามว่า คิดว่า ‘พิธา’ ออกตัวแรง แซงโค้งไปหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ที่ผ่านมา คนที่จะเป็นว่าที่นายกฯ นั้น ค่อนข้างที่จะถนอมตัว แบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้เปิดตัวชัดเจนแบบนี้ รวมถึงพรรคอันดับ 2 ที่ได้คะแนนเสียงห่างกันไม่มาก ผมว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก พรรคอันดับ 2 มักจะตั้งรัฐบาลแข่งกันทั้งนั้น

เมื่อถามว่า พรรคเสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตย ตั้งรัฐบาลได้หรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในระบอบรัฐสภา ประชาธิปไตย พรรคที่ได้เสียงข้างน้อย หากสามารถรวมเสียงได้มาก ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในประเทศไทยรวมถึงหลายประเทศทั่วโลกก็เคยมีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ในประเทศไทยเอง สมัยก่อนก็เคยมีมาแล้ว อย่างเช่นในสมัยของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้คะแนนเสียงเพียง 18 เสียง แต่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิดในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า การที่ก้าวไกล แสดงเจตนารมณ์อย่างนี้ เป็นการสร้างกระแสหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า หากเราเริ่มต้นที่จะบริหาร และปกครองประเทศด้วยการใช้กระแสนำเมื่อไรก็ตาม ย่อมน่าเป็นห่วงในหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เพราะในกระแสเหล่านั้น มีผู้คนที่รับสื่อ รับข่าวสารต่างๆ ไม่ครบถ้วน ในบางครั้งอาจอยู่ที่การโปรโมต การทำการตลาด เพื่อให้เป็นไปในทิศทางตามที่ตัวเองต้องการ หากเราเริ่มต้นการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการบีบบังคับพรรคร่วมโดยการใช้กระแสนำ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหากบริหารประเทศโดยการใช้กระแสนำอย่างเดียว นั่นอาจหมายถึงความไม่รอบคอบ หรืออาจเกิดข้อผิดพลาดจนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติได้ในอนาคต”

เมื่อถามถึง หลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการเลือกตำแหน่งประธานสภา ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนมาก แต่ในเรื่องของการเลือกประธานสภานั้น ตนมองว่าควรจะต้องเลือกบุคคลมีความอาวุโส หรือเป็นบุคคลที่ในรัฐสภาให้ความเคารพนับถือ นอกจากนี้ ประธานสภาควรเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ ผ่านการเป็น ส.ส.มาหลายสมัย มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องของกฎข้อบังคับ และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ในขณะประชุมสภา เพราะในการประชุมสภา มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ประธานสภาจึงจำเป็นต้องเป็นบุคคลที่สามรถควบคุมสถานการณ์ได้ หากคนที่มาดำรงตำแหน่งประธานสภาคนต่อไปได้รับความเคารพจากสมาชิกฯ น้อย ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายในการประชุมสภาได้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การไม่ได้มองความสำคัญในเรื่องของความอาวุโส การให้ความเท่าเทียมกับทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิด เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องรอดูบริบทกันต่อไป

เมื่อถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับตำแหน่งประธานสภา ว่าจะต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความคิดเห็นของตนนั้น เป็นเรื่องของรัฐสภา หากใครรวมคะแนนเสียงส่วนมากได้ตามกฎข้อยังคับของสภาฯ ก็ควรต้องได้รับการบรรจุตำแหน่งเป็นประธานสภา

เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานสภา จะทำให้เกณฑ์การเมืองเปลี่ยนหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า จริงๆ แล้วก็อาจจะสามารถดึงเกมได้ ขนาดการจัดตั้งรัฐบาลยังจัดตั้งผ่านโซเชียล ทุกอย่างชัดเจนหมด กระแสโซเชียลสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็นจะต้องไปกลัวการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเลย”

‘อรรถวิชช์’ ฝาก รบ.ใหม่ควบคุมค่าการกลั่น เก็บภาษีลาภลอย ชี้!! ดีเซลต้องไม่ขึ้น 5 บาท เหตุน้ำมันดิบราคาลดลง

(30 พ.ค. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่กำลังจะสิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค.2566 นี้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นจาก 32 เป็น 37 บาทต่อลิตร ว่า เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะจริงๆ แล้วราคาน้ำมันต้องกลับมาลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง เดือน พ.ค.ปีที่แล้ว ราคา 113.87 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันเหลือ 76.94 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงมาถึงร้อยละ 32.43 (https://www.opec.org/opec_web/en/data_graphs/40.htm) ขณะที่โรงกลั่นหลายโรงโกยกำไรไม่หยุดตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงไตรมาสหนึ่งปีนี้ (Q1/2566) เป็นหมื่นล้านบาท บางส่วนก็มีการนำกำไรไปขยายธุรกิจอื่นเพิ่มแล้ว

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาปลายเหตุเพื่ออุ้มราคาน้ำมันโดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน รายได้ภาษีหายไป 158,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุนน้ำมัน แม้จะมีการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องไปแล้ว 1.1 แสนล้าน แต่สถานะยังคงติดลบอยู่ถึง 72,731 ล้านบาท นั่นหมายความว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องไม่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเหมือนที่ผ่านมา

“ผมขอให้กล้าตัดสินใจ ควบคุมค่าการกลั่น ที่เป็นราคาสมมติให้เหมาะสม หรือออกกฎหมายเก็บภาษีลาภลอย ขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น แล้วนำภาษีส่วนนั้นเก็บกลับไปใช้หนี้กองทุนน้ำมัน ลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนผู้ใช้น้ำมัน เหมือนที่หลายประเทศเขาทำกัน” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวอีกว่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนแล้วที่มาตรการอุ้มราคาดีเซลจะสิ้นสุดลง ผมมีความหวังที่จะเห็นรัฐบาลใหม่ได้เจรจากับโรงกลั่น เตรียมกฎหมายรื้อโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรม

‘นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ’ ว่าที่ ส.ส. เชียงใหม่ ลุยสานงานต่อ โครงการสร้างแหล่งน้ำ ผลักดัน พ.ร.บ.ลำไยแก้ปัญหาราคาตกต่ำ

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 9 จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาตนได้รับคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน จนสามารถเป็นหนึ่งในว่าที่ ส.ส. พลังประชารัฐ อีก 1 สมัย จาก 10 เขตในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งเป็นผลมาจากทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในหลายแห่งที่เป็นนโยบายของพรรค โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มุ่งการแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่ จนสามารถมีโครงการแหล่งกักเก็บน้ำให้ประชาชนได้มีน้ำกิน น้ำใช้ เพื่ออุปโภค บริโภคตลอดปีรวมถึงภาคการเกษตร และยังมีโครงการต่อเนื่องที่ต้องสานต่อ อาทิ อ่างเก็บน้ำโป่งจ้อ อ่างเก็บน้ำแม่วาง และโครงการทำน้ำประปา เพื่อประชาชน การจัดหาแหล่งน้ำบาดาล ในโครงการเกษตรแปลงใหญ่ พร้อมกับติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปอน ซึ่งจะเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่เข้ามาแก้ไขปัญหา เพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนให้กับประชาชนในพื้นที่

นายนเรศ กล่าวต่อว่า เรายังมีแผนที่ต้องเร่งผลักดันในระยะต่อไป ในเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะปัญหาราคาลำไย ที่ต้องเผชิญกับราคาตกต่ำในแต่ละปี จำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.ลำไย เพื่อมาดูแลราคาผลผลิตให้ได้รับความเป็นธรรม เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการหารือในพรรค ว่าจะวางแนวทางให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ให้สามารถ ออก พ.ร.บ.เพื่อแก้ปัญหาราคาลำไย ของเกษตรกร 8 จังหวัดของภาคเหนือ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ในฐานะเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมพิจารณาแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำซึ่งเป็นความเดือดร้อนที่เกษตรกรได้รับมาอย่างต่อเนื่อง 

“การที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน เนื่องจากการทำงานที่เห็นผลงานเป็นรูปธรรม และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ทั้งการหาแหล่งน้ำ แก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการประกอบอาชีพ ของพี่น้องชาวภาคเหนือ ทำให้ผมสามารถฝ่าฟัน สนามการแข่งขันเลือกตั้งใน พื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่มีความรุนแรงและเข้มข้นของ สองพรรคใหญ่ จนได้รับชัยชนะ และต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เชื่อมั่นในการทำงานของตนและพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไป ยังคงมุ่งมั่น พร้อมทำงานอย่างหนัก เพราะบางพื้นที่ยังต้องได้รับการแก้ไข และเยียวยา เพื่อเข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น” นายนเรศ กล่าว

จับตา!! บรรดา ‘งูเห่า-อนาคอนดา’ ส่อแว้งฉก ‘เพื่อไทย’ อาจพลิกเกมหนุน ‘ลุงตู่’ คนเดิม หากผลประโยชน์ไม่ลงตัว

ผ่านมาได้ 20 วัน กระบวนท่าและขบวนทัพการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ ของ 8 พรรค 312 เสียง ยังดำเนินไป ซึ่งในวันที่ 30 พ.ค.นี้ จะมีการนัดเจรจาหารือกันที่พรรค 9 เสียง คือ ‘พรรคประชาชาติ’ ด้วยความเชื่อกันว่าบรรยากาศต่างๆ จะดีขึ้น หลังจาก ‘ประดาบ’ กันมา 2 สัปดาห์…

ถึงวันนี้จับความได้ว่า… สองพรรคใหญ่คือ ก้าวไกลกับเพื่อไทยยังตกลงปลงใจกันไม่ได้ว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นของใคร… ขณะที่ข่าวการจัดตั้งรัฐบาลสูตร 14+1 ที่หมายถึง ก้าวไกลเอาไป 14 รัฐมนตรีกับ 1 นายกรัฐมนตรี เพื่อไทยเอาไป 14 รัฐมนตรีกับ 1 ประธานสภานั้น เชื่อกันว่า น่าจะถูกโยนออกมาจากฝั่งพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่จากฝั่งพรรคก้าวไกลอย่างแน่นอน เพราะวันนี้ ‘ด้อมส้ม’ ยังยืนกรานให้ก้าวไกลยึดเก้าอี้ประธานสภาไว้ให้มั่น…

อย่างไรก็ตาม ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังขอแทงหวยเหมือนเดิมว่า ประธานสภาจะเป็นของพรรคเพื่อไทย โดยมี ชลน่าน ศรีแก้ว คือ เต็งหนึ่ง, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ คือ เต็งสอง, สุชาติ ตันเจริญ คือเต็งสาม…

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ยอม แล้วเกมไถลไปถึงขั้นฟรีโหวต รับรองพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้กิน โอกาสยังเป็นของพรรคเพื่อไทยอยู่ดี และดีไม่ดี เกมอาจพลิกไถลไปเป็นของอีกฝั่ง ดังนั้น ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็คงต้องยอมพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยเองก็จะโอบอุ้มนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปถึงที่ประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตชิงนายกฯ ซึ่ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้ฟันธงไปแล้วว่าเสียงโหวตพิธาจะไม่ถึง 376 เสียง… สอบไม่ผ่าน…

เมื่อพิธาสอบไม่ผ่าน ไปไม่ถึงดวงดาว โอกาสก็เป็นของพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุด สูตรหลักก็คือ จับมือข้ามขั้วกับภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา… ยอมถูกด่าว่าผสมพันธุ์กับพรรคลุง… มุ่งหน้าทำงานสร้างผลงานทดแทนเสียงด่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษในพรรคเพื่อไทยยามนี้ ก็คือทิศทางความเป็นไปของพรรค หลังจากพรรคพ่ายแพ้หมดรูปเหลือ 141 เสียง แยกเป็น ส.ส.เขต 112 บัญชีรายชื่อ 29 สายข่าว รายงานว่า แนวคิดของปีกคนรุ่นใหม่ที่นำโดย ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั้น ต้องการให้ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่ ซึ่งตามแนวทางจะกระเทือนกับบรรดาผู้เฒ่าชแรแก่ชราในพรรคกันโดยทั่วถ้วน

ดังนั้น วาระนี้บรรดาซุ้มบ้านใหญ่ ส.ส.ผู้เฒ่าทั้งหลายโดยเฉพาะ 70 กว่าคนจากภาคอีสาน คงจะสำแดงเดช ต่อรองผลประโยชน์กันเต็มแม็กซ์… และหากพรรคไม่ตอบสนอง โอกาสที่จะเกิดการรวมตัวรวมมุ้ง พลิกเกมไปหนุนขั้วรัฐบาลเดิม ก็อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ดูเหมือนว่า ‘เดอะเต้น’ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงกิตติมศักดิ์ของพรรคเพื่อไทยจะจับสัญญาณและส่งสัญญาณได้ชัดกว่าใครเพื่อน ว่าขณะที่ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค ต้องการอีก 65 เสียงเพื่อให้ผ่าน 376 เสียง ฝ่ายอนุรักษ์หรือขั้วรัฐบาลเดิม 118 เสียง ต้องการอีกเพียง 62 เสียง เพื่อให้ครบ 250 เสียงเพื่อพลิกเกมจัดตั้งรัฐบาล ได้ 250 เสียง ส.ส.เมื่อไหร่ บรรดา ส.ว.250 คนก็พร้อมจะโหวตหนุนให้เป็นนายกฯ และตั้งรัฐบาล… ดีไม่ดี นายกฯ คนนั้นอาจจะชื่อ “ประยุทธ์” ณ รวมไทยสร้างชาติ คนเดิม....

ตามไทม์ไลน์ที่ ดร.วิษณุ เครืองาม กางเอาไว้นั้น คือ วันที่ 25 ก.ค. จึงจะถึงวันเลือกประธานสภา เดือนหน้า มิ.ย.และต้นเดือน ก.ค. ก็ทยอยรับรองผลเลือกตั้งไปเรื่อยๆ วันไหนที่มีการรับรองผลและไปรายงานตัวเรียบร้อย วันนั้นแหละ บรรดา ส.ส.ของแต่ละพรรคจะสำแดงฤทธิ์เดช… โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทย หากจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว ดังกล่าวมา อะไรก็เกิดขึ้นได้..ปรากฎการณ์งูเห่าอาจจะน้อยไป อาจจะถึงขั้นอนาคอนดากันเลยทีเดียว.. หมอมิ้งค์,หมอชลน่าน,บิ๊กอ้วน,คุณอุ๊งอิ๊ง… โปรดอย่ามองข้ามความปลอดภัยเป็นอันขาด สิบอกให้!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

‘บิ๊กตู่’ ปัดรอ ‘ส้มหล่น’ จัดตั้ง รบ. ชี้!! ต้องเคารพกติกา ดักคอสื่อ อย่าตั้งคำถามเรื่องอนาคตทางการเมือง

(29 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองว่า หลายๆ อย่างก็ขอร้องให้ช่วยกัน อย่ามัวแต่ฟังเรื่องวุ่นๆภายในประเทศเราในขณะนี้ ฟังต่างประเทศเขาบ้างจะได้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน และต้องแก้กันอย่างไร

เมื่อถามว่า แต่สถานการณ์การเมืองที่วุ่นๆ ในขณะนี้ พัวพันมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีความพยายามที่จะโยงว่ารอส้มหล่นอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ส้มหล่น ส้มที่ไหนหล่น หล่นเรื่องอะไรล่ะ”

เมื่อถามย้ำว่า เป็นส้มหล่นทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับร้องเสียงดังว่า “ฮู้!! อย่ามาพูดการเมืองกับผม ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร ผมก็อยู่ของผมอย่างนี้ ผมก็ทำหน้าที่ของผมให้เรียบร้อยแค่นั้น ก็เมื่อเขาส่งมอบให้ใครเป็น ก็เป็นไปสิ ไอ้ที่ว่าผมจะเป็น ผมจะเลิกอะไรต่างๆ ผมไม่ตอบอะไรสักนิด ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามกฎกติกา ตามกฎเกณฑ์ของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็ว่ากันไป”

เมื่อถามย้ำว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจริงๆ และตั้งรัฐบาลไม่ได้จริงๆ ท่านพร้อมหรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ต้องมาถ้า อย่ามาถ้าผม ถ้าไม่ได้หรอก ไม่มีถ้า ก็เป็นเรื่องของอนาคตใช่หรือไม่ เพราะถ้าทางโน้น ก็ต้องมีถ้าตรงนี้ ถ้า 1 ถ้า 2 ถ้า 3 ถ้า 4 ฉันจะไปตอบเธอได้อย่างไรเล่า ใช่ไหม พอแล้ว โอเค”

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะไปต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์เดินออกจากโพเดียม พร้อมกล่าวว่า “ถ้า”

การเมืองไทย’ น่าเป็นห่วง เมื่อคนรุ่นใหม่เชิดชูแนวคิดสุดโต่ง หลงตัวเองว่าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน สุดท้ายจะกลายเป็นคนที่ไร้ราก

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ‘ผักกาดหอม’ คอลัมนิสต์ ได้เขียนบทความ ‘สุดโต่ง-สุดตรีน’ ที่กล่าวถึงประเด็นที่กลุ่มคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าในปัจจุบัน มีแนวคิดที่สุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนดูเหมือนจะเป็นการฝืนธรรมชาติ โดยเนื้อหาบทความระบุว่า…

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง FC พรรคเพื่อไทย เดินทางไปรวมตัวที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกมาจากการร่วมรัฐบาล

ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ?

มิตรรักแฟนเพลงทุกพรรค อยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรให้ FC พรรคเพื่อไทยกลุ่มนี้ อยากให้พรรคที่รักไปเป็นฝ่ายค้าน

ไปดูข้อเสนอ 5  ข้อกันครับ

1.) ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้
2.) ให้เกียรติพรรคอันดับ 1 ได้รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมือง
3.) ให้โหวตสนับสนุนแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคที่ได้อันดับ 1
4.) ให้โหวตสนับสนุนกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
5.) ถ้าพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิในการเป็นพรรคอันดับ 2 รวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน มาผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป หรือแล้วแต่พรรคจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น

เป็น 5 ข้อเสนอที่ลึกซึ้งทีเดียวครับ

ไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริง ไม่มีทางเขียนข้อเสนอที่ซับซ้อนในการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ โดยเฉพาะข้อ 3 ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับข้อ 1

FC กลุ่มนี้เก่งครับ วางเพื่อไทยไว้เหนือทุกพรรคการเมือง สปิริตสูงครับ แต่หลังฉากเป็นคนละเรื่องครับ กะกินรวบ เป็นเรื่องยากมากครับ ที่ก้าวไกลจะล็อบบี้ ส.ว. กว่า 60 คน ให้ช่วยโหวต ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น การที่เพื่อไทยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ จะได้ใจสีส้มไปเต็มๆ แต่ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่ต่างออกไป

เพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้ว เสียงสนับสนุน ‘พิธา’ เป็นนายกฯนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การวางหมากถอยออกมาจากก้าวไกล และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอับดับ 2 คือ แผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

ที่มีข่าวว่าเริ่มได้กลิ่นตุตุ ก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน มันถูกกำหนดตั้งแต่หลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว

FC เพื่อไทยกลุ่มนี้มาช่วยโยนหินถามทางถึงหน้าพรรค ให้ทบทวน และถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ช่วยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ เป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถูกด่าน้อยที่สุด ใครจะบอกว่าทรยศหักหลังก็ไม่ได้ เพราะก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เอง

สอดคล้องกับการเดินสายพบปะผู้คนของว่าที่คณะรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้รับเสียงตอบรับสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่มีคำถามว่า ‘พัฒนา’ หรือ ‘หายนะ’ ???

เช่น ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงวิสัยทัศน์ตามตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ประสบการณ์เชิงบริหารยังไม่มี วิสัยทัศน์จึงขาดๆ เกินๆ

ตัวดึงก้าวไกล อย่าง ‘อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ก็สร้างปัญหาให้พรรคห่างจากการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ

รู้อยู่แล้วว่า ม.112 คือ ‘จุดตาย’ ของก้าวไกล แต่กลับเอามาตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของก้าวไกล ว่าไม่เคยลดราวาศอกแม้แต่นิดเดียว

‘อมรัตน์’ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กข้อความว่า

“ม.112 นี่ครอบคลุมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยรึเปล่า?”

คิดว่าคนโพสต์มีทัศนคติกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ม.112 อย่างไรครับ? ถึงได้เอาพระสยามเทวาธิราช มาล้อเล่นกับการเมือง พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ห้ามกันไม่ได้

แต่ ‘พระสยามเทวาธิราช’ มีที่มาที่ไป และผูกโยงกับความเป็นไทย

สยามตอนต้นรัตนโกสินทร์หวุดหวิดจะกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาทุกครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยนี้มีเหตุการณ์หวิดๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้รอดพ้นภัยมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาไว้ จึงเห็นสมควรจะทำรูปเทพองค์นั้นขึ้นถวายสักการะบูชา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ 1) นายช่างสิบหมู่ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นขึ้น แล้วหล่อด้วยทองทั้งองค์

ทรงถวายพระนามว่า ‘พระสยามเทวาธิราช’

คนไม่เชื่อก็มองว่าเป็นแค่ ‘ทองคำหล่อ’ มิได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่อย่างใด

คนที่เชื่อ ก็รู้ครับว่าเป็น ‘ทองคำหล่อ’ แต่มีมูลค่าทางจิตใจเหลือคณานับ เป็นศูนย์รวมทางจิตใจยามที่ประเทศมีปัญหาไร้ซึ่งทางออก

จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ หากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตใจทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปัญหาจะทุเลาเบาบางลง

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุด จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การเสียสมดุลจะบังเกิด สุดท้ายจะกลายเป็นประชาชนที่ไร้ราก

ฉะนั้น ฝากไปถึงก้าวไกล ใช่ ส.ว.จะมองแค่เรื่องแก้หรือไม่แก้ ม.112 อย่างเดียว ท่าทีที่ไม่เป็นมิตร และก้าวร้าวต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำกันมาต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ ส.ว.จะยกมือเลือกหรือไม่เลือก ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เริ่มกลัวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะก่อปัญหาเรื่องต้นทุนจนไม่อาจสู้ ประเทศเพื่อนบ้านได้

อ่านโพสต์ของ ‘นันทิวัฒน์ สามารถ’ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง ‘Gang of 4’ แล้วอดคิดไม่ได้

“... สภาพการณ์การเมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นยัน เป็นช่วงของการต่อรองเพื่อผลประโยชน์และความได้เปรียบทางการเมืองของนักการเมือง จะจบยังไงปล่อยวางไว้ก่อน น่าเป็นห่วงต่อแนวความคิดของกลุ่มวัยรุ่น ที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘มวลชน’ ของคนก้าวหน้าที่นิยมความรุนแรง ชอบการข่มขู่ ขยันลงถนน แถมชื่นชมแนวคิดพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูก ไม่ถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ไม่ต้องนับถือผู้อาวุโสกว่าด้วยการเรียกขาน ‘ลุง ป้า น้า อา’ ให้ใช้สรรพนาม ‘คุณ ผม’ แทน

ประการสำคัญ ปลุกระดมต่อต้านให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ที่ใช้ปกป้องสถาบันฯ อยากสะท้อนพัฒนาทางการเมืองของไทยในเวลานี้ คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในจีน ในยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน มีกลุ่มบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พยายามที่จะยึดอำนาจการนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพยายามทำลายล้างคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มนึ้ประกอบด้วย เจียงชิง เมียของประธานเหมาเจ๋อตุง จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน และหวังหงเหวิน และถูกเรียกว่า ‘Gang of Four’ หนึ่งหญิงสามชาย เหมือนหรือคล้ายกับเมืองไทยหรือไม่?

ในช่วงปี 1966 – 1976 แก๊ง 4 คนของจีน ได้ตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ที่มุ่งมั่นทำลายระบบความเชื่อเดิมๆ ของจีน ทำลายแนวคิดทุนนิยม รื้อเลิกระบบครอบครัว ให้เยาวชนเรดการ์ดตรวจสอบพ่อแม่ ลากพ่อแม่เอาแห่ประจานกลางเมืองในข้อหาเป็นนายทุนจักรวรรดินิยม รวมทั้ง เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เป็นตัวแทนของการพัฒนาจีนให้ทันสมัย

แต่สุดท้ายแก๊งออฟโฟร์ถูกกำจัดและติดคุก ผู้นำแนวความคิดทุนนิยม คือ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ได้กลับเข้ามามีอำนาจและพัฒนาประเทศจีนด้วยนโยบายสี่ทันสมัย ฟื้นฟูจีนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม

อะไรที่มันสุดโต่ง ไปไม่รอดหรอก ฝืนธรรมชาติ…”

วันนี้เราเผชิญกับนักการเมืองสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พระสยามเทวาธิราช ยังคงคุ้มครองให้ประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top