Friday, 26 April 2024
POLITICS NEWS

‘เต้ มงคลกิตติ์’ โผล่ซบ ‘ประชาธิปัตย์’ ยอมรับ!! มาทดแทนบุญคุณ ‘เฉลิมชัย’

(26 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เข้าพบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อช่วงสายของวันนี้ เพื่อขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายนายมงคลกิตติ์ ได้เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อยแล้ว โดยนายมงคลกิตติ์ จะเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 พรรคประชาธิปัตย์ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ ในวันที่ 27 เม.ย.67 ด้วย

นายมงคลกิตติ์ เปิดเผยว่า ตนได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เรียบร้อยแล้ว โดยพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้ และอยู่ระหว่างการตัดสินใจ เมื่อตนตัดสินใจว่าจะสมัครเป็นสมาชิกพรรค จึงได้ไปพบนายเฉลิมชัย ที่บ้านในเวลา 11.30 น. เพื่อแจ้งความประสงค์ จากนั้นช่วงบ่ายตนจึงเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งได้พบกับนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคด้วย ซึ่งนายชวน ก็บอกยินดีที่มีคนมาช่วยพรรค

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า การที่ตนเลือกเข้าประชาธิปัตย์ เพราะตนเข้าใจกฎระเบียบต่าง ๆ อยู่แล้วและเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการขุนพล รวมทั้งเป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ และเป็นพรรคที่มีการเมืองเยอะที่สุด เมื่อตนเข้ามา ก็จะดึงคนรุ่นใหม่ให้พรรคพอสมควร ตนต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นหลักของบ้านเมือง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้และต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเยอะ ๆ

เมื่อถามว่าทำไมเลือกเข้าพรรคประชาธิปัตย์ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายเฉลิมชัย มาเป็น 10 ปีมีบุญคุณต่อกัน ดังนั้น ตนเลือกเข้ามาเพราะต้องการช่วยพรรค และทดแทนบุญคุณนายเฉลิมชัย ตนได้เป็น สส.ครั้งแรก ก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนายเฉลิมชัย

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยถึงตำแหน่งในพรรคหรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยกัน จะให้ตนทำอะไรก็ได้จะทำเต็มที่ ซึ่งตนสามารถช่วยเหลือพรรคได้เรียกว่าเป็น ม้าเร็ว เคลื่อนที่ไป 77 จังหวัด ซึ่งการลงพื้นที่ตนชำนาญทั้งหมด ไม่ต้องฝึกกันแล้ว

ส่วนการตรวจสอบการทุจริตก็เห็นฝีมือตนอยู่แล้ว และถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ตนก็พร้อมจะลงสมัครทั้งกรุงเทพฯ นนทบุรี และพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม การประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคฯ ในวันที่ 27 เม.ย. นี้ ตนไปร่วมสังเกตการณ์ด้วยแน่นอน

‘กกต.’ เคาะกฎระเบียบแนะนำตัวผู้สมัคร ‘สว.’ กำชับ!! ห้ามออกสื่อ-ยอมให้นักการเมืองหนุน

(26 เม.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงนามในระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ.2567 แล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลใช้บังคับ

โดยสาระสำคัญ กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกสามารถแนะนำตัวได้นับแต่วันที่ระเบียบฉบับนี้มีผลใช้บังคับ โดยผู้สมัครสามารถมีผู้ช่วยเหลือผู้สมัครในการแนะนำตัวได้

และได้กำหนดวิธีการแนะนำตัวว่า กรณีใช้เอกสารแนะนำตัวผู้สมัคร เอกสารต้องมีขนาดไม่เกินเอ 4 หรือขนาด 210 มิลลิเมตร X 297 มิลลิเมตร ระบุข้อความเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ใส่รูปถ่ายของผู้สมัคร ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครเท่านั้น ไม่เกิน 2 หน้า และการแจกเอกสารแนะนำตัวตาม จะกระทำในสถานที่เลือกไม่ได้

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัวของผู้สมัครและเผยแพร่แก่ผู้สมัครอื่นในการเลือกเท่านั้น

ส่วนการมีผู้ช่วยเหลือผู้สมัครนั้น ให้ผู้สมัครแจ้งชื่อผู้ช่วยเหลือผู้สมัคร หรือแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ช่วยเหลือผู้สมัคร เป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ก่อนวันดำเนินการ ยกเว้น สามี ภรรยาหรือบุตร

ระเบียบดังกล่าวยังกำหนดข้อห้ามในการแนะนำตัวที่สำคัญไว้ อาทิ

1.ห้ามผู้สมัคร หรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการแนะนำตัว

2.นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มีผลใช้บังคับการแนะนำตัวไปจนถึงวันที่ กกต.ประกาศผลการเลือก ห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครแนะนำตัวอันเป็นการกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

3.ห้ามผู้ประกอบอาชีพทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ สื่อมวลชน หรือสื่อโฆษณา เช่น นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร ใช้ความสามารถ หรือวิชาชีพดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ ในการแนะนำตัว

4.ห้ามแจกเอกสารเกี่ยวกับการแนะนำตัวโดยวิธีการวางโปรยหรือติดประกาศในที่สาธารณะ

5.แนะนำตัวโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในพื้นที่

6.ห้ามแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี หรือสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน นักข่าว หรือสื่อโฆษณาซึ่งเผยแพร่ผ่านบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล

7.ห้ามจงใจไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบนี้

8.ห้ามผู้สมัครยินยอมให้ผู้สมัครอื่น กรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใด ในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง เข้ามาช่วยเหลือผู้สมัครไม่ว่ากรณีใด ๆ 

‘บิ๊กป้อม’ ประกาศ ‘พลังประชารัฐ’ เป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย อุดมการณ์แน่วแน่ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’

(26 เม.ย. 67) พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2567 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพปชร., ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค, พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา, นายสกลธี ภัททิยกุล, นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์, นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดการประชุมว่า สวัสดี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกท่าน วันนี้เป็นการประชุมใหญ่สามัญของพรรคพลังประชารัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 43 กำหนดให้พรรคการเมืองต้องจัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา เพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองเพื่ออนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขา พรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมือง ประจำจังหวัด สมาชิกพรรค จำนวนทั้งหมด เกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุม ตามที่กฎหมายกำหนด

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ช่วงเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ คณะกรรมการยุทธศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามอุดมการณ์และเจตจำนงของพรรคทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีสวัสดิการที่ดี มีรายได้ มีความสุข ทุกครอบครัว และเพื่อเร่ง พัฒนาประเทศ ให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้พรรคฯ เป็นที่ศรัทธาของพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น พรรคจึงได้เตรียมปรับตัวเองให้สอดรับกับสถานการณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ ของพี่น้องประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มอาชีพ ให้มากยิ่งขึ้น

”วันนี้พรรคพลังประชารัฐจึงขอประกาศตัวเองว่า เราขอเป็นพรรค ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’ ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่ ในการปกป้องสถาบันและบริหารเศรษฐกิจ ที่ทันสมัยเพื่อสร้างชีวิตที่สดใส ให้กับคนไทย ทั้งประเทศ 66 ล้านคน ด้วยสโลแกนใหม่ ที่เห็นอยู่บนเวทีนี้ คือ ‘ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส’ โดยเมื่อถึงเวลา ที่เหมาะสมซึ่งอีกไม่นานนัก พรรคจะได้ประกาศรายละเอียดทั้งหมดอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง”

สำหรับการประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกำหนดให้พรรคการเมืองมีการจัดประชุมเพื่อรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีและงบการเงินของพรรคการเมือง ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาในหลายประเด็น โดยเฉพาะการแก้ไขข้อบังคับเรื่องระเบียบการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการขับเคลื่อนพรรคให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวทาง ‘อนุรักษ์นิยมทันสมัย’

จากนั้น นายไพบูลย์ ได้แถลงผลการประชุม ซึ่งในการประชุมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีวาระการพิจารณาที่สำคัญ เรื่องการแก้ไขข้อบังคับพรรคให้เป็นไปตามกรอบกฎหมาย แก้ไขข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2566 มีการแก้ไข 9 ข้อ และจากการพิจารณาตรวจสอบงบการเงินประจำปี 2566  ผลการดำเนินงานได้ดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานการดำเนินงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ ซึ่งพรรคพปชร. มีรายได้ทั้งสิ้น 321.875 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 328 ล้านบาท ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 60,970 ราย

'เช็ค-สุทธิพงษ์' ทึ่ง!! กรณีทุกข์ 'นุจรีย์' ถูก 'พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ' ช่วย สะท้อน!! การเมืองแบบสุภาพบุรุษ-ไม่ขุดคู่แข่ง-ทำงานตาม DNA 'ลุงตู่'

(25 เม.ย. 67) นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ หรือพี่เช็ค อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดังจากรายการคนค้นคน หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ ‘อาสามาด้วยใจ’ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suthipong Thamawuit' ที่ทำให้ตัวเขาเข้าใจคำว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' มากขึ้น โดยระบุว่า...

ได้ฟังอาจารย์พีหรือพี่ตุ๋ย (พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน) พูดถึงกรณีการช่วยเหลือ 'นุจรีย์' ในงานประชุมใหญ่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจ (ติดตามคลิป 'นุจรีย์ ร้องขอความเป็นธรรม' ได้ที่นี่ >> https://youtu.be/-y-qpFrsZqc?si=Ito14ExcUxzx0LMI)

…………………………………………………..

1.ก่อนตัดสินใจมาหาพี่ตุ๋ย เธอบากหน้าไปมาแล้วหลายที่ โดยเฉพาะพรรคที่เธอบูชา 

- ผลที่ได้รับคือ คำสัญญาที่ว่างเปล่า

2.บังเอิญเธอไถติ๊กต็อกไปเจอคลิปหาเสียงที่มีข้อความ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ทำให้ตัดสินใจมาหาพี่ตุ๋ย

- เหมือนการเปิดทางของพระเจ้า

3.แต่พี่ตุ๋ยขอให้ตัดเนื้อหาที่พาดพิงคนอื่นออก เพราะไม่ใช้การโจมตีคนอื่นในการเล่นการเมือง

- ได้ฟังแล้วยิ่งนับถือ

4.ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเรียกรับ และอาศัยเส้นสาย คนไร้เส้นอย่างนุจรีย์ นึกให้ตายก็นึกไม่ออก ว่าจะไปวิ่งเต้นหาใครได้

- กลายเป็นว่า ที่พึ่ง (เส้น) ของนุจรีย์ คือ เส้นก๋วยจั๊บ

5.คำสัญญาหรือการหาเสียงของนักการเมืองที่มีความจริงใจ ทำให้ประชาชนอย่างนุจรีย์มีที่พึ่ง

- ช่วยด้วยเมตตาธรรม ไม่เรียกรับผลประโยชน์ แต่พร้อมรับผล (คะแนนเสียง) จากการรับผิดชอบคำพูด (ในการหาเสียง)

6.ช่วยโดยการขอความร่วมมือจากกลไกราชการหลายหน่วยงาน ประสานความร่วมมือ 

- ให้กลไกได้ (ช่วยกัน) ทำงาน ไม่สั่ง ไม่ป๋า ไม่ข้ามหน้าข้ามตา 

7.ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่คือ เจตนาที่จะสื่อความหมาย ให้ทั้งสมาชิกพรรคและประชาชนที่จะเป็นผู้สนับสนุนพรรคในวันข้างหน้าเห็นว่า พรรคนี้ จริงใจที่จะ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ตามที่พูดไว้

- ไม่ว่าจะในหรือนอกสภา

8.ไม่ทำ IO ไม่สร้างเฟกนิวส์ ไม่ล้างสมอง ไม่สร้างความแตกแยก แต่ใช้ความจริงใจ 

- ในการสร้าง (ให้เกิด) แนวร่วม ขบวนการด้อมลุงตุ๋ย ทั่วทุกภูมิภาค ทุกสาขาอาชีพ เพื่อมาช่วยกัน

9.ผมเป็นสมาชิกพรรคกรีน แต่โดนลุงตุ๋ยตกเรียบร้อยแล้ว

- นายหัวอย่าน้อยใจ ยังไงก็เขียวทั้งตัวและหัวใจ

***ใครที่อยากรู้ว่า 'นุจรีย์ ร้องขอความเป็นธรรม' เรื่องอะไร และช่วยได้จริงแค่ไหน ติดตามรับชมคลิปนี้ได้ที่นี่ >> https://youtu.be/-y-qpFrsZqc?si=Ito14ExcUxzx0LMI 

'รทสช.' เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไข รธน.ของรัฐบาลทุกประการ เพราะมั่นคงในการแก้ไข โดยไม่แตะต้องหมวด 1 หมวด 2

(24 เม.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการ เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญและเห็นควรจัดให้มีการออกเสียงประชามติ จำนวน 3 ครั้ง รวมถึงควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือทางประชาธิปไตยที่จะช่วยส่งเสริมประชาชนแสดงเจตจำนงในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยตรงว่า พรรค รทสช.เห็นด้วยกับแนวทางของ ครม.ทุกประการ

นายอัครเดช กล่าวอีกว่า การออกเสียงประชามติ 3 ครั้งแม้จะถูกติติงว่า จะใช้งบประมาณจำนวนมากก็ตาม แต่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามเนื่องจากการทำประชามติรอบแรกศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วต้องทำ ตามที่มีผู้เคยยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งคำวินัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันทุกองค์กร ส่วนครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 เป็นการทำประชามติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ดังนั้นการทำ 3 ครั้งเป็นการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญ

“พรรครวมไทยสร้างชาติขอย้ำจุดยืนเดิมที่มั่นคงให้ไว้ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด พรรคได้ยืนหยัดในจุดยืนนี้มาโดยตลอดและจะยืนหยัดต่อไป ส่วนเนื้อหาอื่นจะแก้ไขอะไรบ้างก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นเดียวกัน” โฆษกพรรค รทสช.ย้ำ

‘ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ’ ส่งหนังสือด่วนถึง ครม. เตือน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ก่อหนี้มหาศาล

(24 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เม.ย.67 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 เม.ย.67 มองว่าโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคตดังนี้…

1. ความจำเป็น โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ 

1.1 ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง โดยความจำเป็นกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างมีไม่มาก โดยในปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนของไทยขยายตัวร้อยละ 7.1 เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2553 - 2565 ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 3 ต่อปี

1.2 โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก่อให้เกิดภาระทางการคลังจำนวนมากในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้กำหนดอัตราส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้ของประเทศในกลุ่ม Baal (Rating ของไทยในปัจจุบัน) ไว้ว่าไม่ควรเกินร้อยละ 11 มองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะทำให้มีอัตราสูงกว่าเกณฑ์ในปี 2568 หากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น

1.3 การเพิ่มวงเงินกู้ปีงบประมาณ 2568 จนเกือบเต็มกรอบที่กฎหมายกำหนด ทำให้เหลือวงเงินกู้ได้อีกราว 5,000 ล้านบาท เทียบกับวงเงินคงเหลือเฉลี่ยในปีก่อนๆ มากกว่า 100,000 ล้านบาท อาจกระทบการจัดสรรวงเงินจากงบประมาณปี 2567 ทำให้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นลดลงจนอาจไม่เพียงพอรองรับกรณีฉุกเฉิน ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกความไม่แน่นอนสูงและภาวะภัยธรรมชาติมีความรุนแรงมากขึ้น

1.4 รัฐบาลควรคำถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 500,000 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตัวอย่างการใช้งบประมาณที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการพัฒนาบุคลากรการแพทย์ (ใช้งบเฉลี่ย 3.8 ล้านบาทต่อตำแหน่ง) สร้างบุคลากรการแพทย์ได้กว่า 130,000 ตำแหน่ง โครงการ เรียนฟรี 15 ปี สำหรับนักเรียนทั่วประเทศ (83,000 ล้านบาทต่อปี) สนับสนุนได้นานถึง 6 ปี โครงการรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม - ชุมพร (40,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 10 สาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (190,000 ล้านบาทต่อสาย) พัฒนาได้กว่า 2 สาย

>> 2. แหล่งเงินสำหรับดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

วงเงิน 500,000 ล้านบาท นำมาจากงบประมาณรายจ่าย และกู้เงินจาก ธ.ก.ส. โดยรัฐบาล รับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ต้องไม่ขัดแย้งกับการควบคุมระบบเงินตรา และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร ควรมีความชัดเจนทางกฎหมายว่าการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้หน้าที่และอำนาจและอยู่ภายใต้กฎหมาย วัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง และรอบคอบ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลความเสี่ยงและฐานะของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีข้อกังวลว่า การที่รัฐบาลจะมอบหมายให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยยังมีภาระหนี้คงค้างกับ ธ.ก.ส. ถึงประมาณ 800,000 ล้านบาท

>> 3. ผู้พัฒนาระบบสำหรับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

นับว่ามีความซับซ้อนและต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก จึงต้องเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ มีความเสถียร และมีความมั่นคงปลอดภัยเพียงพอ เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ธปท. จึงห่วงใยในการพัฒนาและดำเนินการระบบ จึงควรใช้ระบบพร้อมเพย์ และ Thai QR Payment เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ลดต้นทุนในการพัฒนาระบบ และใช้ประโยชน์สูงสุด จากโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีอยู่

ด้วยเงื่อนไขของการใช้สิทธิที่มีความซับซ้อนในหลายมิติ รวมทั้งเป็นระบบเปิด (Open-loop) ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการหลากหลาย ควรกำหนดโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมของระบบที่ชัดเจน ตลอดจนวางแผนการพัฒนาและทดสอบที่รัดกุมครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ รองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก ไม่ให้ติดขัด หรือเกิดการใช้จ่ายที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการ

>> 4. การบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต

หน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำหนดกลไกลดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริต ในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่ปัญหาพึงคาดหมายได้ตั้งแต่เริ่มแรก เช่น แนวทางการตรวจสอบรายได้และทรัพย์สินของผู้เข้าร่วมโครงการให้เป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนด การป้องกันการลงทะเบียนเป็นร้านค้าปลอม การกำหนดประเภทและขนาดของร้านค้าเพื่อรองรับเงื่อนไขการใช้จ่ายประเภทสินค้าต้องห้าม

ธปท. มีความเห็นว่า การพิจารณากรอบหลักการและ รายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการมีรายละเอียดซับซ้อน ใช้งบประมาณจำนวนมาก กระทบต่อภาระการคลังในระยะยาว มีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ จึงต้องรัดกุมอย่างเต็มที่ จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนและนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดทำแนวทางหรือมาตรการแก้ไขประเด็นปัญหาหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมด้วย

'ดร.นิว' ชำแหละ!! 'ธนาธร' ชี้นำการเลือก สว. ชุดใหม่ ทำให้นึกถึงหัวหน้าปรสิตใน Parasyte: The Grey

(24 เม.ย.67) นายศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุว่า...

เห็นนายธนาธรชี้นำการเลือก สว. ชุดใหม่ ทำให้นึกถึงหัวหน้าปรสิตใน Parasyte: The Grey ที่กระเสือกกระสนดิ้นรนให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยการครอบงำองค์กรมนุษย์ วาทกรรม สว. ประชาชน ที่กล่าวอ้าง ความจริงเป็นขบวนการชี้นำการสมัครเพื่อฮั้วโหวตแบบพวกมากลากไป หวังนำไปสู่การผลิต สว. ธนาธร ใช่หรือไม่?

'ประเทศไทย' ไม่ตกต่ำ เพราะนักการเมืองชั่ว แต่อาจพังพินาศ เมื่อมีคนมัว 'หลงเลว' ไม่เลิก

คนไทยยุคสมัยนี้มีจำนวนไม่น้อย มักจะยึดเอา 'สิ่งที่ถูกใจ' วางอยู่เหนือ 'ความถูกต้อง' เป็นเหตุให้บ้านเรามีแต่ความขัดแย้ง ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องที่ดูง่ายที่สุด คือ เรื่องรสนิยมในทางการเมือง 

คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะชอบพรรคการเมืองใด ก็จะ 'หน้ามืดตามัว' ใครจะมาแตะต้องก็จะออกหน้ารับแทน เวลาพรรคการเมืองที่ตนเองเชียร์ทำผิดขนาดว่ามีหลักฐานมัดแน่น ก็ยังกล้ามาแก้ตัวให้แบบข้าง ๆ คู ๆ 

ส่วนพวกที่ 'หน้าไม่ด้านพอ' ก็มักจะหายศีรษะไปเงียบ ๆ หันไปสายลมแสงแดดก่อน รอเวลาที่พรรคของตัวเองทำเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น ก็จะพากันออกมา 'รวมพลังบาป' เขียนชื่นชมจนเกลื่อนโซเชียล คนที่เลือกเป็น 'ทาสพรรคการเมือง' ก็มักจะมีพฤติกรรมเน่า ๆ เช่นนี้ให้เห็นเสมอ 

หาได้น้อยมาก ๆ ที่เราจะเห็น 'คนเต็มคน' ดำเนินชีวิตไปด้วยวิจารณญาณ ที่เวลาจะรักใคร สนับสนุนใคร ก็ด้วยเหตุผลที่มาจาก 'ความจริงแท้' มิใช่เมื่อพบเห็นว่าทำชั่วกับสังคม ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทรยศประชาชนด้วยกันแล้ว ก็ยังปกป้องชนิดไม่ลืมหูลืมตา

ตัวอย่างง่าย ๆ ขนาด 'นักโทษหนีคดี' เจ้าของพรรคเผาเมืองตัวจริง พูดจาโกหก หลอกลวงคนไทยมานับไม่ถ้วน ก็ยังมี 'ประชาชนผู้เบาปัญญา' หลงเชื่อขี้ปาก ลืมสิ้นความเลวที่เคยทำไว้กับแผ่นดินไทย พากันโหมกาเลือกจน 'พรรคโกงจำนำข้าว' สามารถกลับมามีอำนาจต่อรองได้อีกครั้ง 

ตัวอย่างถัดมา พรรคการเมืองรุ่นใหม่ ที่เดินหน้า 'ล้มล้างสถาบัน' เป็นงานหลัก 'ซุกกระโปรงเด็กให้ทำชั่วแทน' เป็นงานรอง มี สส. หนีการเกณฑ์ทหาร ทั้งผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรมรุนแรง ยังถือเป็นการ 'เอาเปรียบชายไทยร่วมชาติเดียวกัน' อย่างหน้าด้าน ๆ หลอกคนทั้งประเทศเพื่อเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน คนที่รักความชอบธรรม มีสำนึกของความเป็นคน ก็ไม่ลืมที่จะร่วมมือกันเอาผิด ยกเว้น 'คนใจบอด' ที่ยังคงส่งเสียงให้กำลังใจ 'สส.หนีทหาร' ไม่เว้นวัน 

ผมค่อนข้างเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่มีวันตกต่ำยากแค้นเพราะ 'นักการเมืองชั่ว' แต่แผ่นดินทองจะพังพินาศเพราะเรามี 'ประชาชนที่โง่'

คนโง่ที่ยัง 'หลงเลวไม่เลิก' ต่างหาก ที่เป็นอันตรายตัวจริง 

'โฆษกรัฐ' แจงเสียงวิจารณ์ 'เงินดิจิทัล' เทเข้ากระเป๋าเจ้าสัว ยกตัวเลขร้านค้ามีตั้ง 1.2 ล้านร้าน ของเจ้าสัวแค่หลักหมื่น

(23 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย​ วัชรงค์​ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ภายหลังจากที่มีการประชุมหารือไปหลายรอบ สุดท้ายได้ข้อสรุปเป็นหลักการ ของโครงการเงื่อนไขผู้ที่ได้รับ 50 ล้านคน​ อายุ 16 ปีขึ้นไป​ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท​ มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และจะต้องมีการลงทะเบียนผ่าน Application บน Smartphone

ส่วนการใช้จ่าย​ จะใช้จ่ายในเขตอำเภอตามทะเบียนบ้าน และใช้ในร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โดยรายละเอียดกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้กำหนดว่าร้านค้าขนาดเล็กหมายถึงร้านใดบ้าง และประชาชนมือ​ 1 มีกรอบนี้เวลาการใช้จ่ายเงิน​ 10,000 บาทภายใน 6 เดือน​ เพื่อให้จบในโครงการ​ ขณะที่ร้านค้ามือที่ 1 ที่ขายของให้ประชาชนที่นำเงินดิจิทัลไปใช้ ร้านค้ากลุ่มนี้เป็นร้านอะไรก็ได้​ แม้กระทั่งหาบเร่​ แผงลอย​ ก็สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์เป็นร้านค้าได้ แต่เมื่อขายของแล้ว​ ได้เงินดิจิทัลมาแล้ว​ ยังไม่สามารถนำไปขึ้นเป็นเงินได้​ โดยจะต้องนำไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ซึ่งร้านค้าที่ขายให้ประชาชนมือ 1 ที่ผ่านมาแล้ว จะนำไปซื้อของต่อที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตอำเภอ แต่จะสามารถซื้อ​ข้ามเขตจังหวัดได้ และผู้ที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นเงินดิจิทัลที่ผ่านการใช้ 2 รอบมาแล้ว​เป็นขั้นต่ำ และร้านค้านั้นๆจะต้องอยู่ในระบบภาษีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม​ ภาษีนิติบุคคล​ หรือภาษีบุคคลธรรมดา​ ตามมาตรา 40 ( 8)​ ของประมวลรัษฎากร

ซึ่งสินค้าที่ยกเว้น​ไม่สามารถซื้อได้​ เช่น​ สินค้าบริการ​ เชื้อเพลิง​ อบายมุข​ สลากกินแบ่ง​รัฐบาล​ เครื่องประดับ โดยจะต้องเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นส่วนใหญ่​ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ปีนี้​ และจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินทั้งหมด 5 แสนล้านบาท จะมาจากงบประมาณทั้งหมด โดยเป็นงบประมาณปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท งบประมาณปี 2568​ วงเงิน​ 157,200 ล้านบาท และงบประมาณที่มาจากการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร​ (ธกส.) อีก 172,300 ล้านบาท ส่วนร้านค้าจะกำหนดเวลาให้แน่นอนอีกครั้ง แต่ระยะเวลาการดำเนินโครงการโครงการแลกเงินคืนทั้งหมดไม่เกินเดือน ก.ย.2569

นายชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการ ประโยชน์ที่จะได้ในโครงการนี้ปีงบประมาณ 2568 จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2 -​ 1.8% ประโยชน์ของโครงการนี้ จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลาย ๆ โครงการในอดีตที่ผ่านมา ผลของการกระตุ้นไม่ได้จบเพียงปีเดียว ในทางเศรษฐกิจนักวิชาการกระทรวงการคลัง​ ได้จับตัวเลขมาโดยตลอดว่า แนวโน้มของการกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนใหญ่ครอบคลุม 3-4 ปี ไม่ใช่ปีแรก 1.2 ถึง 1.8 แล้วจบปีที่ 2 ถึงปีที่ 3 ก็จะยังมีการเติบโต ซึ่งตนได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ​ ทางด้านเศรษฐกิจการคลังมาแล้วว่า การกระตุ้นเที่ยวนี้​ โดยนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต​ ซึ่งกำกับควบคุมว่าจะต้องใช้กับการซื้อสินค้าที่มีผลต่อ GDP สูง จะก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 3.2 -​ 3.5 รอบ หรือ money multiplier แต่จะก่อให้เกิดตัวทวีคูณทางการคลังจะเกิดขึ้นประมาณ 1.2 -​ 1.4 เท่าของเม็ดเงิน 5 แสนล้านที่ใส่ไป​ นั่นหมายถึง​ 650,000 ล้านบาท​ ซึ่งจะเป็นตัวเลข GDP ที่จะโตใน 3 ปี

นายชัย​ ยังระบุอีกว่า​ จากการที่ตนได้ไปศึกษาข้อมูลถึงข้อห่วงใย และข้อครหาว่าโครงการนี้ถูกออกแบบ และจะทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าเจ้าสัว และร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น จากการตรวจสอบร้านสะดวกซื้อปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 14,500 สาขา ซึ่งมีเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นของบริษัทเอกชน (บริษัท​ ซีพีออลล์) ​โดยตรง แต่ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ และเมื่อเทียบกับจำนวนร้านค้าขนาดเล็ก และร้านค้าย่อย จากการลงตัวเลขในโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลที่ผ่านมา กระทรวงการคลังรายงานว่า มีตัวเลขร้านลงทะเบียน 1.2 ล้านร้าน​ ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าร้านค้าเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดังนั้น ร้านค้าที่ประชาชนจะนำเงินดิจิทัลไปใช้ได้รอบแรกประมาณ​ 1.2 ล้านร้าน​ ส่วนข้อกังวลว่าจะผูกขาดร้านสะดวกซื้อ 14,500 บาทสาขา อีกครึ่งหนึ่งเป็นของแฟรนไชส์ ขอให้เปรียบเทียบดูร้านค้า 1.2 ล้านแห่งกับหมื่นกว่าแห่ง มันไกลกันเยอะ ดังนั้น โอกาสที่ประชาชนจะไปใช้จ่าย โดยที่ไม่เข้ากระเป๋าของเจ้าสัวจึงมีสูง​ ในข้อเท็จจริงจึงไม่เป็นไปอย่างที่กังวลใจ

นายชัย ยังระบุว่า รัฐบาลไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ​ ว่าเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ​ ไม่ควรเข้ากระเป๋าใคร​ หรืออย่างไร​ เราไม่ได้มองอย่างนั้น รัฐบาลมองว่า ถ้าเม็ดเงินนี้ผ่านมือประชาชนไปแล้ว เอาไปใช้จริงร่วมกันใช้อย่างเต็มที่ ผ่านกลไกทางด้านการค้า และในที่สุดเงื่อนไขการเบิกเงินก็ต้องเป็นผู้เล่นที่เป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี จึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยคิดที่จะตั้งเงื่อนไข​ กีดกันใครก็ตามที่ทำมาหากินแล้วประสบความสำเร็จ​ เติบโตขึ้นมาบนระบบที่ถูกต้อง​ ยอมเสียภาษี​ และวันหนึ่งจะมาถูกต้องข้อรังเกียจว่าคุณหมดสิทธิ์เราจะไม่ทำอย่างนั้น

นายชัย​ กล่าวว่า​ วันนี้มติครม.เห็นชอบในหลักการทั้งหมด​ ที่คณะกรรมการฯ เสนอมา แต่คำว่าเห็นชอบในที่นี้​ คือเห็นชอบในตัวหลักการ แต่เวลาปฏิบัติจากนี้ไปทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง กระทรวงการคลัง​ กระทรวงพาณิชย์​ จะต้องไปทำรายละเอียด โดยมีการคำนวณไทม์ไลน์​แล้วว่าจะทันในการลงทะเบียนในไตรมาส​ 3 อย่างแน่นอน​ การจ่ายเงินการโอนรัฐบาลจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน​ ทั้งกฎหมายการเงิน​ การทำโครงการใดก็ตามจะต้องมีเม็ดเงินที่เรียกว่า เม็ดเงินครบเต็มจำนวน การจะใช้เงินตามมาตรา 28 รัฐบาลจะมีการสอบถามอย่างถูกต้อง เช่นประเด็นธกส.​ นายกรัฐมนตรีสั่งในที่ประชุมว่าให้ทำเรื่องเป็นทางการประเด็นไหนให้ถามกฤษฎีกาให้กฤษฎีกาตอบอย่างเป็นทางการให้ชัดเจน และรัฐบาลจะทำให้โปร่งใสให้สิ้นข้อสงสัย 

'บิ๊กโจ๊ก' ส่งตัวแทนยื่นหนังสือ ป.ป.ช. ขอถอนคำร้องเอาผิด 'เศรษฐา'  ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีปมแต่งตั้ง 'ผบ.ตร.' 

(23 เม.ย.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 23 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ได้ส่งตัวแทนมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอถอนเรื่องที่ยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เมื่อวันที่ 22 เม.ย. กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในการสกัดกั้นไม่ให้เป็น ผบ.ตร. โดยขัดต่อ พ.ร.บ.ตำรวจ โดยระบุเหตุผลว่า ไม่ติดใจจะดำเนินการเอาผิดนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนกรณีการเอาผิดพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้ยื่นถอนเรื่องแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม กรณีการยื่นให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี แม้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะไม่ติดใจดำเนินการ แต่ ป.ป.ช.ก็ยังต้องดำเนินการตรวจสอบต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เคยมายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรีในข้อกล่าวหาทำนองเดียวกัน ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top