Wednesday, 26 March 2025
POLITICS NEWS

มติ ป.ป.ช. 3:3 ตีตกคำร้องเอาผิดจริยธรม กรณี ‘มงคลกิตติ์-พีระวิทย์-ณัฐชา’ ร่วมชุมนุมม็อบ ชู 3 นิ้ว

เมื่อวันที่ (24 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ตีตกข้อกล่าวหา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคไทรักธรรม และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคก้าวไกล กระทำการอันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธธรรมนูญและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2563 ที่บริเวณท้องสนามหลวง และได้แสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว อันเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รายงานข่าวแจ้งว่า คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 3 ต่อ 3 เสียง เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม และผิดจริยธรรมเท่ากัน โดยกรรมการ 3 เสียง ที่เห็นว่าไม่ผิดจริยธรรม คือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง , นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

ส่วนกรรมการ อีก 3 เสียง ที่เห็นว่า ผิดจริยธรรม คือ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายประภาศ คงเอียด ขณะที่ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ  ลาการประชุม

ขณะที่ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ข้อ 19 ระบุว่า การลงมติของที่ประชุมเพื่อมีความเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

เมื่อคะแนนเสียงเท่ากันถือว่าข้อกล่าวหาตกไป

กล่าวสำหรับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ก่อนหน้านี้ ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนคดี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จำนวน 2 กรณี คือ

1. กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม จากการลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปชมภาพยนต์เรื่อง “4 KINGS อาชีวะ ยุค 90” เมื่อปี 2564

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงส่วนใหญ่เห็นว่า พฤติการณ์ของนายมงคลกิตติ์ เข้าข่ายไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมแต่ไม่ร้ายแรง ขณะที่ปัจจุบัน นายมงคลกิตติ์ พ้นจากตำแหน่ง สส.ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อบังคับของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก

2.กรณีใช้เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “มงคลกิดดิ์ สุขสินธารานนท์” โพสต์รูปภาพและข้อความโดยเจตนาใส่ร้ายผู้กล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวและเป็นหญิงให้ความบันเทิงแก่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้บุคคลทั่วไปเชื่อว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อและเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2009 (COVID-19) ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทำให้ผู้กล่าวหาและนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้รับความเสียหาย

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นว่า นายมงคลกิตติ์ มีความผิด ป.ป.ช.จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาโดยตรงต่อไป

ขณะที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น สส.กทม. พรรคประชาชน

ส่วน นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค เป็นอดีต สส. และหัวหน้าพรรคไทรักธรรม เคยปรากฏข่าวถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี เนื่องจากจูงใจชาวบ้านให้สมัครเป็นสมาชิกพรรคและตั้งสาขาพรรคในทางที่มิชอบตามกฎหมาย

ใบแดง ‘สส.มุก’ ทำสนามเขต 8 นครศรีฯเดือด อีกหนึ่งเวทีเลือกตั้งวัดพลังพรรคการเมืองในภาคใต้

(26 มี.ค. 68) ชัดเจนแล้วว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ ‘สส.มุก-มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย นับเป็น สส.คนที่สองของพรรคภูมิใจไทยต่อจาก สส.สุวรรณ แห่งจังหวัดบึงกาฬ ที่โดนใบแดง และมี สส.ชุดปัจจุบันเพียงสองคนเท่านั้นที่โดนใบแดง

หลังจากนี้ไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงกับวาระที่เหลืออยู่เพียง 2 ปี

แน่นอนว่า สำหรับสนามเลือกตั้งซ่อมเพียง 1 เขตของนครศรีธรรมราชจะเป็นสนามเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมาฟาดฟันกันเองอย่างหลักหนีไม่พ้นคำว่า ‘มารยาท’ ที่เคยกล่าวอ้างกันของพรรคการเมือง หลีกทางให้พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน คราวนี้น่าจะเป็นข้อยกเว้น สู้กันเต็มอัตราศึก

ให้เกียรติเจ้าของพื้นที่เดิม คือพรรคภูมิใจไทยคงจะไม่ได้ยิน เขต 8 ประกอบด้วย อ.ฉวาง นาบอน ช้างกลาง และพิปูน

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นสนามวัดดวง ชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองในภาคใต้ของทุกพรรค พรรคไหนมีศักยภาพส่งได้ ส่งแน่นอน และจะระดมทุกสรรพกำลังลงไปช่วยกัน ให้หลับตานึกถึงสนามเลือกตั้งซ่อม เขต ครั้งก่อน ที่เทพไท เสนพงศ์ ถูกศาลตัดสินจำคุก ‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ จากพรรคพลังประชารัฐ กรำศึกกันหนักหน่วงกับ ‘พงศ์สิน เสนพงศ์’ น้องชายของเทพไท เสนพงศ์

พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ในฐานะเจ้าของพื้นที่เดิมเมื่อครั้งกระโน้น ยืนยันจากปากของ ‘ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์’เองว่า จะย้ายกลับมาลงสมัครเขต 8 ทวงคืนแชมป์ด้วยตัวเอง ซึ่งตรงกับ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ก็ยืนยันว่า ต้องให้เกียรติพี่ชินเจ้าของพื้นที่

พรรคกล้าธรรม ‘บิ๊กโอ’ สจ.ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ยืนจ้องรอคิวอยู่แล้ว แต่ในฐานะลูกเขยของชินวรณ์ ก็ทำใจลำบากหน่อย ช่วงหลังบิ๊กโอใกล้ชิดกับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ รอ.ธรรมนัส ก็สนับสนุนบิ๊กโอเต็มที่ด้วยบุคลิก และอะไรที่เข้ากันได้ดี เมื่อจังหวะ และโอกาสมาถึงบิ๊กโอ จึงขอลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคกล้าธรรม แม้จะต้องสู้กับพ่อตาก็ตาม

บิ๊กโอ ตั้งใจจะลงสมัคร สส.ตั้งแต่คราวที่แล้ว ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่การจัดสรรคนไม่ลงตัว เมื่อบุณยเกียรติ์ ลงสมัครถึงสองเขต ทำให้บิ๊กโอพลาดโอกาสนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ลาออกจาก ส.อบจ.มานั่งรออยู่แล้ว 

สนามเลือกตั้งเขต 8 จะเป็นสนามแรกของพรรคกล้าธรรมในการกรุยศึกเลือกตั้ง เพราะเป็นพรรคใหม่ที่มี สส.จากพรรคพลังประชารัฐย้ายมาสังกัดถึง 23 คน และมี สส.เดิมที่ย้ายมาเช่นกันอีก 1 คน

สนามเลือกตั้งเขต 8 จึงเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือ เพื่อเดินหน้าลุยสำหรับการเลือกตั้งปี 70 และสนามเลือกตั้งภาคใต้น่าจะเป็นสนามหลักที่พรรคกล้าธรรม จะเข้ามาหวังเสียบแทนพรรคเก่าที่ค่อยๆอ่อนแอลง 

พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังพอมีพลังในการสู้ศึกกับผลงานของสองขุนพล ‘พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ รมว.พลังงาน และ ‘ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ รมว.อุตสาหะกรรม ที่จับมือกันสร้างผลงาน สู้กับทุนพลังงาน รื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ ถ้าผลงานผ่าน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคขนส่งลงไปได้มาก ลดต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าก็จะลดลง สามารถแปรมาเป็นคะแนนเสียงได้

ทราบว่า ดร.คมเดช มัชฌิมวงค์ ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 7 ทุ่งใหญ่ ในนามพรรคพลังประชารัฐ เสนอตัวย้ายมาลงเขตนี้ เนื่องจากเป็นคนพิปูน เคยเป็นนายกฯอบต.อยู่ที่พิปูน ช่วงหลังเห็นภาพทางโซเขี่ยล ลงพื้นที่ถี่ยิบ

พรรคประชาชน กรรมการบริหารพรรคประชาชน มีมติให้ณัฐกิตต์ อยู่ด้วง ลงสมัครรับเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครศรีธรรมราช แต่โอกาสของพรรคประชาชนสำหรับพื้นที่ภาคใต้ น่าจะยังยากอยู่ เว้นแต่จะมีผู้สมัครที่โดดเด่นจริงๆ คนยังติดภาพกับการแก้ ม.112 อันเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่รู้ว่า เสร็จศึกซักฟอกนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ จะแปรเป็นคะแนนนิยมได้แค่ไหน

น่าสนใจคือพรรคภูมิใจไทย เจ้าของพื้นที่เดิมจะหยิบใครมาลงสมัคร ที่ใช้คำว่าหยิบ เพราะมีตัวเลือกให้พิจารณาไม่น้อยกว่า 4 คน คนแรกคือ ‘ไสว เลื่องสีนิล’ สามีของ สส.มุกดาวรรณนั้นเอง ที่ผ่านมาหลังจากเกษียณอายุในตำแหน่งอาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (ควนพลอง)ก็ทำงานพื้นที่ให้ สส.มุกดาวรรณอยู่ อยู่ที่พรรคว่าจะยังเลือกสกุล ‘เลื่องสีนิล’ให้ลงสมัครอีกหรือไม่กับตัวเลือกใหม่ ตัวเลือกใหม่ เช่น สุนทร รักษ์รงค์ ที่คราวที่แล้วได้มาอันดับ 2 พ่ายให้กับ สส.มุก เพียงไม่กี่คะแนน ซึ่งสุนทร น่าจะมีคะแนนเป็นกอบเป็นกำในแวดวงชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม ที่สุนทรทำงานคลุกคลีกับชาวสวนยางมานาน เคยเป็นบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย และบอร์ดยางโลก 2 สมัย  มีภาคีเครือข่ายในแวดวงการยาง และปาล์มมากมาย ภาพลักษณ์ดี มีวิสัยทัศน์ เคยเป็นคนเขียนนโยบายยางพารา และปาล์มให้กับพรรคประชาธิปัตย์

อีกตัวเลือกหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย และถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าให้การสนับสนุน สจ.กระวี หวานแก้ว ที่เคยลงสมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย เขต 5. นครศรีธรรมราช มี อ.พิปูน อ.ฉวาง อ.ถ้ำพรรณรา อ.ทุ่งใหญ่ (ปี 2562) แต่ครั้งนั้น สจ.กระวี ยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังใหม่กับการเมืองอยู่มาก และพรรคภูมิใจไทยเองในยุคนั้นถือว่ายังไม่เท่าไหร่ คะแนนจึงออกมาไม่สวยงามนัก

สจ.กระวี ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด สว.นครศรีฯถือเป็นรุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย เป็นเด็กนักเรียนนอก จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ นิวเซาท์เวลส์(UNSW) มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เกิดที่ ต.กะเปียด อ.ฉวาง ผลงานเชิงประจักษ์ สมัยเป็น สจ.มีมากมาย
จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต อิเล็กทรอนิกส์ ศรีปทุม ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิตรามคำแหง รุ่น 22 เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นครศรีธรรมราช เขต อ.ฉวาง นาน 7 ปี ผลงานที่ประจักษ์ และเป็นรูปธรรมมากมาย ที่มุ่งมั่นมากคือการพัฒนาเขาศูนย์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ อยู่.ฉวาง

หลังจากนี้ไปพรรคภูมิใจไทยคงจะตั้งลำสู้ในสนามนครศรีธรรมราช กับเป้าหมายการขยายฐาน จาก 2 เป็น 4 หรือ 6 กับการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 อยากจะโฟกัสไปที่สองคน ‘สุนทร-กระวี’ สองคนนี้มีจุดอ่อน จุดเด่นที่แตกต่างกัน กระวี เป็นคนพื้นที่เกาะติดพื้นที่ แต่ยังแคบสำหรับสนามที่ใหญ่กว่า สจ. เพราะมีพื้นที่ถึง 4 อำเภอ ไม่ใช่ 3-4 ตำบล เหมือน สจ. โลกทัศน์อาจจะแคบกว่าสุนทร ที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งเวทีระดับ Local และเวทีสากล (International) การที่พิพัฒน์ รัชกิจประการ แต่งตั้งให้สุนทรเป็นคณะทำงาน พิพัฒน์น่าจะเห็นศักยภาพอะไรบางอย่างในตัวสุนทรที่จะใช้งานได้

พรรคภูมิใจไทยคงจะต้องคิดหนักในการตัดสินใจเลือกระหว่าง ‘สุนทร-กระวี’ ในสนามเลือกตั้งที่เห็นอยู่ว่า ดุเดือด

‘ประเทศไทย’ อุดมไปด้วย ‘นักการเมืองห่วย’ สะท้อน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังเบาปัญญา

(25 มี.ค. 68) เราได้นักการเมืองแบบไหน นั่นเพราะเรามีประชาชนที่มีคุณภาพในแบบนั้น

ประโยคเด็ดที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความจริงของสังคมก็คือ ประเทศใดมีนักการเมืองแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศ นั่นก็เพราะเรามีประชาชนที่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นคนแบบนั้นเลือกเข้ามา ถ้าเรามีรัฐบาลที่ทั้งโง่ เซ่อ และทุจริตคอรัปชั่นเป็นอาชีพ ก็เพราะเรามีประชาชนที่ตาถั่ว อ่านนักการเมืองไม่ออก มัวแต่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เป็นคนเปิดทางให้เข้ามา ที่ประเทศชาติต้องอับอายขายขี้หน้าชาวโลก และสุ่มเสี่ยงต่อภัยอันตรายทุกด้าน ก็มาจากน้ำมือของ “คนเลือกนักการเมือง” ทั้งสิ้น 

ถ้าประชาชนมีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวจริง พรรคการเมืองที่กระทำแต่เรื่องแย่ ๆ กับประเทศไทยคงไม่ได้ผลคะแนนที่สูง เราก็คงไม่ได้ “นายกหุ่นเชิด” ที่อดีตมีข่าวเรื่อง “โกงข้อสอบ” แถมยังมาจาก “ตระกูลหนีคดี” และเราคงไม่ได้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น ปัญหาของประเทศไทยที่มี “นักการเมืองเลว ๆ” มากกว่า “นักการเมืองน้ำดี” จึงอยู่ที่ “คนเลือก” ไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวนักการเมือง” 

ทุกประเทศ ถ้า “คนเลือก” เป็นคนที่ขาดความรู้ ไม่หัดลงลึก ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ต่อให้เรามีนักการเมืองที่ดีกับประเทศจริง ๆ “เหล่าประชาชนคนโง่เขลา” ก็จะดูไม่ออกอยู่ดี 

เพราะ “ประชาชนผู้เบาปัญญา” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะกาเลือกตามกระแส เลือกตามสื่อ เลือกตามเพื่อน เลือกตามแฟน เลือกตามน้ำคำที่ปลิ้นปล้อนของนักการเมืองที่ตนเองแอบนิยมชมชอบ เราจึงได้แต่นักการเมืองห่วย ๆ ไร้ประสิทธิภาพ ผลัดเปลี่ยนกันมากระทืบประเทศไทย

คนไทยจำพวก “เลือกส่งเดช” เหล่านี้ ไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามา เช่นคนจำนวนไม่น้อยเลือกนักการเมืองจากพรรคที่ตั้งหน้าตั้งตา “ล้มล้างสถาบัน” แถมยังมีกรณีหนีการเกณฑ์ทหาร, ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, เมาสุรา, แอบเคลมของบริจาค, มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ, เอาเวลาที่ต้องเข้าสภาไปทำงานส่วนตัว, คุกคามประชาชน, ใช้ข้อมูลมั่วในการอภิปราย, แสดงความโง่ในการนับเลข และผลาญเงินภาษีพากันบินไปดูงานต่างประเทศ ถามว่า “นักการเมืองชั้นเลวเหล่านี้” มีประโยชน์ตรงไหนกับชาติบ้านเมือง และประชาชนคนไทย? 

คำตอบคือ..ไม่มี 

แล้วคนที่พากันเลือกสิ่งที่เลว ๆ จำพวกนี้เข้ามา จะมีประโยชน์กับสังคมไทยได้อย่างไร?

‘แยม ฐปณีย์’ ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯ หลังถูก ‘ภูมิธรรม’ ย้ำปมไม่ได้รับเชิญทำข่าวอุยกูร์ที่จีน

(25 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯค่ะ ว่าจะไม่ตอบโต้อะไรเรื่องการไม่ได้ตามคณะรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ซินเจียง และที่ผ่านมาก็แค่ตั้งคำถามทั่วไปว่า ทำไมท่าน (รัฐบาล) จึงไม่เลือกให้ไป ไม่เคยจะไปกล่าวหาทางคณะ หรือไปดูถูกเพื่อนสื่อมวลชนที่ร่วมคณะไป

แต่จากการชี้แจงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม ที่บอกว่า "ผมเอาสื่อไปด้วยนะครับ ใครจะมาบอกว่าสื่อเหล่านี้ถูกคลอบงำโดยรัฐบาลผมว่ากล่าวหาเขาเกินไป ไม่ว่าใครก็ตามที่กล่าวหาผมมีตัวแทนเนชั่นทีวี ผู้สนใจการเมืองรู้ดีว่าเนชั่นเป็นแบบไหน
ผมมีตัวแทนของช่อง3 ไป อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน แต่ตัวแทนช่อง 3 ผมเห็นคุณสรยุทธบอกว่าเชื่อมั่นในจรรยาบรรณคนของเค้าจะทำหน้าที่ได้ดี ไม่เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ"

คือฟังท่านภูมิธรรม ขออนุญาตเรียกพี่อ้วน กล่าวแบบนี้ คนฟังคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่าต้องเป็นแยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ตอนพี่อ้วนบอกว่า มีตัวแทนช่อง 3 ที่อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน ไม่ใช่บางคน ก็ยังคิดว่าหมายถึงรวมๆ ไหม แต่พอระบุอ้าง คุณสรยุทธ ก็ยิ่งทำให้ชัดเจนว่า ผู้สื่อข่าวที่พี่อ้วน กล่าวถึง ต้องใช่แยมแน่นอน!!

เพราะก่อนหน้านี้ พี่ยุทธ ได้พูดเรื่องนี้ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ มีคนตัดคลิปช่วงที่พี่ยุทธพูด ไปแชร์กันมากมาย รวมถึงไปเขียนลงเพจกัน จนคนเข้ามาแสดงความเห็นในเพจและไปทำข้อความกล่าวหาว่าแยมเป็นนักข่าวไร้สังกัด ไม่มีสังกัด !!! โดยในข่าวระบุว่า

"ถามว่าทำไมนักข่าวท่านหนึ่ง ซึ่งหลายคนคาดหวังว่า เค้าอยากจะไป ผมได้ถามแล้วเพราะว่าเค้าไม่ได้สังกัดช่องนักข่าวท่านนั้นเค้าไม่ได้สังกัดช่อง อันนี้เค้าไปในนามช่องซึ่งต้องทำพูล ทำพูลคือทำในนามช่อง ออกอากาศและให้ทุกช่องออกอากาศ เดี๋ยวมันจะเกิดปัญหา เพาะไม่ได้สังกัดช่องเลย ไม่เข้าใจเงื่อนไข อ่ะที่ถามมา ผมถามให้หมดแล้ว"

นี่คือสิ่งที่พี่ยุทธ เล่าในข่าว ซึ่งจริงๆ แยมว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะทางคณะก็ไปมาแล้วและแยมคิดว่าให้ข่าวที่ออกมาอธิบายตัวมันเองว่าคนไทยจะเชื่อมั่นตามนั้นหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ใจแยมเอง ตั้งใจอยากไปเพื่อจะได้รายงานข่าวว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 

แต่จากข่าวของพี่ยุทธ ที่รายงานก็ไม่ถูกต้อง และที่บอกว่าผมถามมาหมดแล้วนั้น พี่ยุทธ ไม่เคยถามแยมค่ะ มาถามแยมสักหน่อยจะได้ชี้แจงได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร  และหลังข่าวนี้เผยแพร่ไป ก็มีทั้งเพจ IO หรือคนที่คิดต่าง เข้ามาโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายแยมอย่างเสียหาย 

แต่พอท่านรองนายกฯ พี่อ้วนเอาคำกล่าวอ้างที่ผิดๆ ของพี่ยุทธ ไปพูดในสภาฯ ไปกล่าวหาด้วยถ้อยคำพูดดูหมิ่นสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน แม้พี่อ้วนจะไม่ได้เอ่ยนาม แต่จากบริบทและความหมาย เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก แยม

จึงขอใช้สิทธิตรงนี้ ชี้แจงการถูกพาดพิงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม รวมถึงชี้แจงไปถึงพี่ยุทธ 

ที่บอกว่าแยมไม่ได้สังกัดช่อง 3 คงไม่ถูก เพราะแยมเป็นผู้สื่อข่าวรายการข่าว 3 มิติ เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการรายการข่าว 3 มิติ แม้แยมจะเป็นพนักงานของบริษัทฮอทนิวส์ ของคุณกิตติ สิงหาปัด ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตรายการข่าว 3 มิติกับช่อง 3 แยมก็มีสิทธิในการใช้อุปกรณ์และทีมงานของช่อง3 เหมือนทีมงานรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตของพี่ยุทธ เหมือนกับรายการข่าว3 มิติ 

ถ้าแยมที่เป็นลูกน้องพี่กิตติ ไม่ได้สังกัดช่อง3 แล้วทีมงานพี่ยุทธ รวมถึงพี่ยุทธ ที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทของช่อง 3 ก็ไม่ได้สังกัดช่อง 3 ด้วยสิ!!

แยมไม่คิดว่าจะต้องมาอธิบายเรื่องอะไรพวกนี้ให้วุ่นวาย แต่เมื่อถูกพาดพิงในสภาฯ และถูกนำไปวิจารณ์ให้ได้รับความเสียหายแบบนี้ก็เลยต้องบอกย้ำให้จบๆ ว่า แม้แยมจะไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทช่อง3 แต่แยมก็ได้รับเกียรติและศักดิ์ศรีในการเป็นคนของช่อง 3 มาโดยตลอด เพราะข่าว 3 มิติ ก็เป็นรายการสังกัดช่อง3 ค่ะ

แล้วที่ผ่านมาแยมก็ได้เป็นตัวแทนพลูไปทำข่าวต่างประเทศกับนายกรัฐมนตรี เช่นนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับเชิญให้ไปทำรายงานพิเศษของรายการข่าว 3 มิติ และท่านรองนายกฯ ภูมิธรรม ก็ยังเชิญแยมไปร่วมทำข่าวพูลในกรณีท่านไปตรวจน้ำท่วมภาคเหนือ แล้วยังจะมีไปทำพลูกับกระทรวงการต่างประเทศ กรณีรมว.กระทรวงการต่างประเทศมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ไปรับตัวประกันอิสราเอล ก็ไปทำพูลทั้งในนามรายการข่าว 3 มิติ และ The Reporters ทางรัฐบาลก็เชิญไปแยมไปอยู่ค่ะ ถ้างานนั้นเข้ากับเนื้อหารายการข่าว 3 มิติ หรือแม้แต่คิวพูลสื่อออนไลน์ก็มี ก็จะวนเปลี่ยนกันไป 

ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเพราะแยมไม่ได้สังกัดช่อง เลยไม่ได้ไปพูลนั้น ขัดกับความเป็นจริง เพราะใครๆก็รู้ว่าเหตุที่แยมไม่ได้ไป เพราะแยมรายงานข่าวอุยกูร์แบบตรงไปตรงมา ซึ่งแยมเสนอตัวที่จะไปเพราะ ท่านรองนายกฯ ประกาศไว้ในวันแถลงข่าว 27 ก.พ.68 ว่าจะเชิญสื่อไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ จะพาไปเยอะๆ ก็คิดว่าท่านจะให้สื่อไปกันเยอะๆ จริง 

แยมก็ส่งข้อความไปบอกท่านรองนายกฯ บอกผ่านท่านทวี บอกผ่านคุณจิรายุ รวมถึงอดีตโฆษกกลาโหม ที่ตอนนั้นทราบข่าวว่าทางกลาโหมจะเลือกสื่อสายทหารเป็นพูลไป

แยมไม่อยากลงลึกในรายละเอียดขั้นตอนว่าทำอะไรไปบ้าง น่าจะพลาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่ได้แจ้งหรือถามพี่คนหนึ่งที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องสื่อตามนายกรัฐมนตรี และงานสำคัญของรัฐบาล จึงถูกปัดชื่อตกในที่สุด (ทั้ง ๆ ที่มีข่าวว่าจะมีชื่อเป็นคิวพูลไปด้วย)

ไม่นับที่ทางสถานทูตจีนเชิญแยมไปคุยทำความเข้าใจเรื่องอุยกูร์ เขาบอกว่าจะเชิญแยมไปซินเจียงด้วย แต่รอบคณะของนายกฯ คงไม่ทัน เพราะทางรัฐบาลไทยเลือกสื่อไปแล้ว คือจีนเขาก็ไม่ได้จะอคติ ไม่ได้อยากจะสกัดไม่ให้แยมไปซินเจียง แต่ทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ให้ไป 

คือเรื่องอุยกูร์ แยมก็เป็นแค่นักข่าว ที่ไปทำข่าวการพบชาวอุยกูร์กลุ่มนั้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก็ทำข่าวมาอย่างต่อเนื่อง การทำข่าวเรื่องนี้จึงอาจมีข้อสงสัยมากมายตามที่มีการตั้งประเด็นคำถามขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ เท่านั้น 

การที่พี่อ้วนกล่าวหาผู้สื่อข่าวบางคนว่า "เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ" ก็ยิ่งสะท้อนใจ ว่าเรายังอยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตยแบบไหน  เราอยู่ในสังคมที่มีเสรีภาพแบบไหน ที่จะพูดปิดปากสื่อ คุกคามสื่อกันกลางสภาฯได้แบบนี้!!

ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ ในฐานะที่เป็นแค่นักข่าวคนหนึ่ง ที่ไม่มีสิทธิพูดในสภาผู้แทนราษฎร

ป.ล.ขอลงคลิปที่มารายงานของพี่ยุทธ และคลิปที่พี่อ้วนพูดในสภาฯ มาประกอบค่ะ และตัวอย่างเพจที่เอาข้อความข่าวไปเสนอต่อจนเกิดการกล่าวหาอย่างเสียหาย

ผู้เชี่ยวชาญภาษี ไขปม ‘วิโรจน์’ กล่าวหา นายกฯหนีภาษี ชี้ กรณีใช้ตั๋ว PN นายกฯ หนีภาษีจริงไหม คำตอบคือ ‘ไม่จริง’

เปิดข้อมูลรายได้ นายกแพทองธาร เสียภาษีกี่บาท ตามกฎหมายกรมสรรพากร หลังวิโรจน์ กล่าวหาแรง หนีภาษี ผู้เชี่ยวชาญจาก iTAX อธิบาย นายกหนีภาษีจริงไหม คำตอบคือไม่จริง

ควันหลงเดือด อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 วันแรกวานนี้ (24 มีนาคม) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวหานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าหนีภาษี ทำนิติกรรมอำพราง โดยอ้างว่า ซื้อหุ้นจากครอบครัวด้วยสัญญาใช้เงิน หรือ PN

ทั้งนี้ ตั๋ว PN ย่อมาจาก Promissory Note หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ผู้กู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ โดยระบุจำนวนเงิน วันที่ครบกำหนดชำระ และอัตราดอกเบี้ย (ถ้ามี) ตั๋ว PN ใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้

ด้านนางสาวแพทองธาร ลุกขึ้นชี้แจงว่า ไม่ได้หนีภาษี ทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมาย การกล่าวหาว่าหนีภาษีไม่เป็นความจริง “ที่ท่านสมาชิกอ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นแหล่งทุจริต ข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ขบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน อันนี้อาจเป็นเรื่องที่จินตนาการไปมาก เพราะการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะใช้กับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ผู้ซื้อ-ผู้ขายรับภาระระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมาย”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังทิ้งประโยคเด็ดถึงนายวิโรจน์ว่า “แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอนค่ะ”

นายกแพทองธารเสียภาษีกี่บาท 
อ้างอิงจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นายกรัฐมนตรียื่นบัญชีทรัพย์สิน ครั้งวาระเข้ารับตำแหน่งนายก พบว่า นางสาวแพทองธารมีรายได้ประจำ ได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยประชุม และโบนัส จำนวน 3,409,682.58 บาท เป็นเงินเดือนก่อนดำรงตำแหน่งนายกฯ ถึง 15 สิงหาคม และเงินเดือนภายหลังปฏิบัติหน้าที่นายกฯ

มีรายได้จากทรัพย์สินเป็น เงินปันผล 259,267,639.90 บาท ดอกเบี้ย 2,000,000 บาท ค่าเช่า 890,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 268,567,322.48 บาท

ขณะที่คู่สมรส ปิฏก สุขสวัสดิ์ มีรายได้จากเงินเดือน 3,746,000 บาท, เงินปันผล 600,000 บาท, ดอกเบี้ย 383,100 บาท, ผลประโยชน์จากโทเคน 400,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 5,129,100 บาท

เมื่อตรวจทานกับหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร จะคาดการณ์ได้ว่า นางสาวแพทองธารมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 5,428,132.76 บาท ขณะที่คู่สมรสอยู่ที่ 3,671,943.81 บาท

อย่างไรก็ดี ยังมีรายละเอียดเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะการลดหย่อน ซึ่งจะทำให้จำนวนเงินเสียภาษีมากน้อยต่างกัน

ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX โพสต์เฟซบุ๊ก Mickey Yutthana Srisavat ถึงกรณีการอภิปรายปมนายกรัฐมนตรี ใช้นิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีว่า นายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

เรามาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงและเรื่องภาษีไปพร้อมกันๆ ก่อนแล้วค่อยมาสรุปว่าท่านนายกฯ หนีภาษีรึเปล่า

1. เอางี้ก่อน มันเกิดอะไรขึ้น?

ก่อนหน้านี้ ท่านนายกฯ เคยได้รับโอนหุ้นจากญาติพี่น้องในรูปแบบสัญญาซื้อขาย มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้นนะ ติดหนี้ไว้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory note: PN) อธิบายง่ายๆ คือ ออกเอกสารฉบับนึงให้เจ้าหนี้ไว้ แล้วบอกว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมจะชำระค่าหุ้นนะ เงินไม่พอ แต่เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ไว้อยากใช้เงินแล้วให้เอาตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้มาทวง จะใช้เงินให้ทันที

ซึ่งในเรื่องนี้เป็น PN แบบใช้เงินเมื่อทวงถาม และไม่กำหนดดอกเบี้ย แปลว่า เจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ย และอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็ไปทวงเมื่อนั้น

ตอนนั้นท่านนายกฯ ได้รับโอนหุ้นมาจากญาติพี่น้องหลายคน ได้แก่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และทุกคนได้รับ PN ไปก่อนโดยยังไม่ได้รับชำระเงินและยังไม่มีการทวงถามให้ใช้เงินแต่อย่างใด

2. ธุรกรรมนี้ใครต้องเสียภาษี?

ถ้าดูตามหน้ากระดาษ ธุรกรรมนี้คือสัญญาซื้อขาย ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนคนขายเป็นคนได้ตัง เลยต้องเป็นคนเสียภาษี แต่เรื่องนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อน เพราะคนขายอาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เช่น
1) ขายหุ้นในราคาขาดทุนหรือเท่าทุน เช่น สมมติว่าพี่สาวขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แต่พี่สาวก็ได้หุ้นมาราคา 2,388.7 ล้านบาทเท่ากัน แบบนี้ต่อให้ได้เงินมาจริง แต่ก็ได้กำไร 0 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีอยู่ดี 

ในทางกลับกัน ถ้าพี่สาวได้หุ้นมาในราคาต่ำกว่า 2,388.7 ล้านบาท แล้วขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แบบนี้พี่สาวซึ่งเป็นคนขายจะได้กำไรและต้องเสียภาษี เว้นแต่จะเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้จะได้กำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการขายหุ้นนอกตลาดฯ จึงไม่น่ามีประเด็นยกเว้นภาษีจากกำไร
2) ขายหุ้นได้กำไรจริง แต่ยังไม่ได้เงินจริง เพราะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหลักการรับรู้เงินได้ตามเกณฑ์เงินสด (cash basis) ถ้าแปลง่ายๆ คือ ได้เงินจริงปีไหน ค่อยให้เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีปีนั้น

เช่น สมมติว่ารับงาน freelance ตอนเดือน ธ.ค. 67 แต่คนจ้างขอจ่ายเงิน ม.ค. 68 แบบนี้แม้ว่าจะส่งมอบงานเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 67 แต่เนื่องจากได้รับเงินจริงตอนปี 68 ทำให้เงินค่าจ้างนั้นกลายเป็นเงินได้ของปีภาษี 68 (ปีที่ได้เงินจริง) ไม่ใช่เงินได้ของปีภาษี 67 (ปีที่ส่งงาน)

ถ้าเทียบเคียงกับกรณีขายหุ้นนี้ ท่านนายกฯ ไม่ได้ชำระเป็นเงินสด หรือโอนเงิน หรือจ่ายเช็ค หรือแม้แต่เอาทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด เช่น รถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ ไปแลกหุ้นมา มีเพียงตั๋ว PN ที่บอกว่าติดเงินไว้ก่อนนะ ไว้คนขายอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็แวะมา ดังนั้น ตราบเท่าที่คนขายยังไม่ได้เงินซักที (เพราะยังไม่ได้ทวงเงินจากคนซื้อ) ก็เลยยังไม่มีกำไรที่ต้องนำไปเสียภาษี

จุดนี้จะมองว่าเป็นช่องสุญญากาศของกฎหมายก็ได้ เพราะที่จริงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งใจเลือกใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อความสะดวกและเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดาจึงได้ประโยชน์จากการปรับใช้กฎหมายแบบนี้ ซึ่งถ้างานนี้คนขายเป็นบริษัทจะใช้เกณฑ์อีกแบบที่ต้องเสียภาษีทันทีที่ขายได้กำไรแม้จะยังไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าก็ตาม

3. ถ้าโอนหุ้นให้โดยไม่ได้เงินและคนขายก็ดูไม่มีวี่แววจะทวงเงินด้วย แบบเราควรจะมองธุรกรรมนี้เป็นการให้เปล่ามากกว่ามั้ย? เพราะถ้าเป็นการให้เปล่าจริงๆ ท่านนายกฯ จะกลายเป็นคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน

โดยปกติ การได้รับทรัพย์สินมาเปล่าๆ เช่น โอนหุ้นมาให้เฉยๆ ถ้าปีนึงได้รับไม่เกิน 10 ล้าน จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าคนให้เป็นบุพการี คู่สมรส หรือลูกหลาน จะได้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท) แต่ถ้าได้รับเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีการรับให้ 5% ของส่วนเกินดังกล่าว 

เช่น สมมติว่าพี่สาวโอนหุ้นให้ท่านนายกฯ มูลค่า 2,388.7 ล้านบาทภายในปีเดียวกันโดยไม่มีค่าตอบแทน พี่สาวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ท่านนายกฯ เองนั่นแหละที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในฐานะผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทในคราวเดียว

แต่ถ้าพี่สาวทยอยให้หุ้นท่านนายกฯ ปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท ทั้งท่านนายกฯ และพี่สาวจะมีใครไม่ต้องเสียภาษีเลย และสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน เพียงแต่กว่าจะโอนหุ้นให้จนหมดอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย ประมาณ 239 ปี

4. แค่ไหนถึงเรียกว่าหนีภาษี?

คำว่า 'หนีภาษี' เป็นคำที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ เพราะโดยปกติเราจะสงวนไว้ใช้กับพฤติกรรมที่ดำสนิทจริงๆ เช่น เอาบัตรประชาชนของคนอื่นที่มีรายได้น้อยๆ มารับรายได้แทนตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีแพง หรือขายของออนไลน์ได้กำไรเป็นล้านๆ แต่ไม่เคยยื่นภาษีหรือจ่ายภาษีซักบาท เป็นต้น

กรณีของท่านนายกฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน (Aggressive tax planning) คือ วางแผนภาษีแบบรัดกุมสุดๆ และถูกกฎหมายทุกประการ แต่ขัดใจความรู้สึกของใครหลายคน และมองว่าเป็นการเลี่ยงภาษี (Tax avoidance) โดยการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ถึงกฎหมายจะกำหนดให้คนไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่มีกฎหมายข้อไหนบังคับให้ต้องเสียภาษีแพงที่สุดเท่าที่จะเสียได้ ดังนั้น การเลือกหนทางที่ทำให้ตัวเองเสียภาษีน้อยที่สุด ย่อมเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ทราบเท่าที่เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เราอาจจะต้องแยกให้ออกด้วยว่า 'ถูกกฎหมาย' vs. 'ถูกใจ' เป็นคนละเรื่องกัน

เมื่อ 19 ปีก่อน ครอบครัวของท่านนายกฯ ก็เคยขายหุ้น 'ชินคอร์ป' มูลค่า 73,271 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีซักบาท ซึ่งแม้ภายหลังจะมีคดีขึ้นสู่ศาลภาษีอากรเพื่อเก็บภาษีในส่วนนี้ แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องอยู่ดี

แน่นอนว่าถึงจะ 'ถูกกฎหมาย' แต่ก็ไม่ได้ 'ถูกใจ' ทุกคนด้วย ยิ่งเกี่ยวข้องกับนายกฯ ก็ต้องเผื่อใจเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความรู้สึกของประชาชน และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านโจมตีได้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าใครบางคนรู้สึกไม่สบายใจที่ท่านนายกฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมนี้แล้วจะไม่อยากสนับสนุนท่านนายกฯ ต่อ ก็เป็นประเด็นทางการเมืองที่ท่านนายกฯ และพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดต้องรับมือต่อไป เพราะท่านต้องรู้อยู่แล้วว่าคนไทยพร้อมใส่ใจท่านนายกฯ เสมอ รถทัวร์ก็รออยู่แล้วหลายคัน งานทอดกฐินก็มีคนพร้อมจองตลอดเวลา อบอุ่นแน่นอน

ซึ่งเรื่องนี้ ท่านนายกฯ ได้ชี้แจงว่าตอนนั้นไม่พร้อมชำระเงินตามตั๋ว PN แต่ได้ตกลงกับครอบครัวแล้วว่าจะชำระเงินค่าหุ้นให้ภายในปีหน้า นั่นหมายความว่าธุรกรรมซื้อขายหุ้นนี้ ในท้ายที่สุดผู้ขายก็จะต้องเสียภาษีอยู่ดี ไม่ใช่ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อหุ้นอยู่แล้ว

แต่มีเกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจว่า การเสียภาษีช้าหน่อยก็เป็นเทคนิคการประหยัดภาษีรูปแบบนึงเช่นกัน เพราะการยื้อเวลาจ่ายภาษีให้ช้าที่สุด (Tax deferral) ก็ช่วยให้มีกระแสเงินสดไปหมุนเพื่อสร้างรายได้ระหว่างรอชำระภาษีได้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้สุดท้ายจะต้องจ่ายภาษีจำนวนเท่าเดิม แต่การเสียภาษีช้าก็ได้ประโยชน์มากกว่าเสียภาษีทันที

5. สรุปท่านนายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

จากข้อมูลเท่าที่มีตอนนี้ ถามว่าถึงขั้นหนีภาษีมั้ย? คำตอบคือ “ไม่เป็นความจริง“

ส่วนเหตุเรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของครอบครัวท่านนายกฯ นี้จะเป็นสารตั้งต้นไปสู่เหตุการณ์แบบปี 2549 ได้อีกหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่รู้ๆๆ”

สุดท้ายนี้ ถึงผมจะอายุมากกว่าท่านนายกฯ แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเสียภาษีให้รัฐน้อยกว่าท่านแบบถูกกฎหมายแน่ๆ เพราะผมใช้ iTAX

‘เอกนัฏ’ แจงเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ชาติกับใคร พร้อมย้ำ ก.อุตสาหกรรมคุมเข้มเผาอ้อยต่ำกว่าที่สุดในประวัติศาสตร์ ช่วยลดปัญหา PM2.5 พร้อมมาตรการเข้มสั่งปิดโรงงานน้ำตาลถึง 2 โรง

เมื่อวันที่ (24 มี.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า ในครั้งนี้ตนมีกรณีที่จะต้องชี้แจงใน 2 กรณี คือ กรณีแรกเรื่องของเหมืองทองอัครา กรณีที่สองคือการเผาอ้อย

สำหรับกรณีเหมืองทองอัครา ตนขอเรียนว่าตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ไม่มีการดำเนินการต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน การดำเนินการทุกขั้นตอนของเรื่องเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และยึดผลประโยชน์ของประเทศของเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้ประเทศไทยต้องแพ้ ไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติต้องสูญเสียไป 

ตนขอย้ำว่า ไม่เคยมีสั่งให้เลื่อนการอ่านผลของการพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือจากรัฐบาล หรือจากนายกรัฐมนตรีทุกอย่างดําเนินการตามขั้นตอนโดยหน่วยงานที่ดําเนินการตามความรับผิดชอบภายใต้กรอบ ภายใต้กฎหมายที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดครับ ไม่เคยไปเจรจานอกรอบ หรือไปต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทีเดียวรับแต่อย่างใด

กรณีที่กล่าวถึงการออกอาชญาบัตรพิเศษ ที่ผิดกฎหมาย ทับพื้นที่อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม้เป็นเรื่องที่เกิดก่อนตนปฏิบัติหน้าที่ แต่การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายเหมืองแร่ ไม่มีออกอาชญาบัตรพิเศษหรือประทานบัตรที่ผิดกฎหมาย ทับซ้อนเขตอุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

ที่บอกว่ามีการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนล้มคดี นั้น รัฐบาลนี้หรือใครใหญ่จากไหนไม่มีใครต่อรองแลกเปลี่ยนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทยได้ หากทำได้ ผมมองว่าคงต่อรองเรื่องอื่น ที่มากกว่าการรักษาประโยชน์ให้กับเหมืองทองอัครา นอกจากนั้นไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ ทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนรักษาประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง

สำหรับในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แม้ว่าตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่ได้กำกับดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่ตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องของสุขภาพ เรื่องของชีวิตของประชาชนชาวไทย ตนมีการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์เพื่อศึกษาและหามาตรการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 

สำหรับประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศผู้บริโภค และประเทศผู้ผลิต ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมจะต้องมาจากความรับผิดชอบของผู้ผลิตด้วยเช่นกัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำกับดูแลอ้อย จากพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ซึ่งตนขอยืนยันว่าอ้อยเผาในปีนี้ลดลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 

สำหรับการเผาในอ้อยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การเผาก่อนเข้าไปเก็บเกี่ยว เพื่อความง่ายและความสะดวกในการเก็บเกี่ยว และส่วนที่ 2 คือการเผาหลังเก็บเกี่ยวเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและง่ายต่อการเพาะปลูกรอบใหม่

การเผาในส่วนที่ 1 กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้อ้อยเผาไม่เหลือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด นอกจากนี้เรายังเอาจริงเอาจังซึ่งพิสูจน์จากการสั่งปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

“ถ้าบอกว่ามาตรการของรัฐบาลในช่วงนี้ไม่ชัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรชัดมากไปกว่าการสั่งให้ปิดโรงงานน้ำตาล 2 โรง ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่คือความจริงจัง ความเข้มงวด ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ” นายเอกนัฏ กล่าว

การเผาในส่วนที่ 2 นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ใช้มาตรการเข้มงวดแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าผ่านการนำเศษชิ้นส่วนจากอ้อย โดยเฉพาะใบอ้อยไปขายยังโรงไฟฟ้าชีวมวล และเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนอุปกรณ์ทั้งในการตัดใบอ้อย และกระบวนการรวบรวมจัดการใบอ้อย หรือรวมไปถึงการไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน นอกจากนี้เรายังได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของเชื้อเพลิงชีวภาพ เรื่องของพลาสติกชีวภาพ และในท้ายที่สุดอาจจะมีการกำหนดราคาน้ำตาลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกราคาหนึ่ง

กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังออกแบบมาตรการเพื่อทำงานร่วมกับโรงงาน และเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เป็นภาระต่อเกษตรกร และไม่ให้อ้อยถูกนำไปเผาและสร้าง PM2.5 แล้วย้อนกลับทำร้ายชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน

‘พีระพันธุ์’ ยันไม่มีการเอื้อประโยชน์นายทุน เดินหน้าทำทุกอย่างให้โปร่งใส เนื้อหาอภิปรายเรื่องเก่า เคยชี้แจงไปหมดแล้ว

เมื่อวันที่ (24 มี.ค.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า

ในลำดับแรกตนขอเรียนว่าในทุก ๆ ประเด็นที่ได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับพลังงาน ตนได้ชี้แจงไปแล้วในการตอบกะทู้หลาย ๆ ครั้ง ต่อมาตนขอแจ้งว่าใน 2 รัฐบาลต่อเนื่องทั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีศิลป์ และนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนั้น ทั้ง 2 ท่านได้มีความตั้งใจจริงในการจัดการกับปัญหาพลังงานและสนับสนุนในการทำหน้าที่ของตนในการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าอย่างเต็มที่ 

ในประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566-2573 สำหรับในรายละเอียดตนได้ชี้แจงแล้ว ว่าจะต้องหาทางหยุดกระบวนการไม่ให้มีการลงนามในสัญญา และก่อนการชี้แจงตนเพิ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566-2573 ครั้งที่ 4 ตามดำริของนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบไว้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ในครั้งนั้นท่านติดภารกิจสำคัญเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ตนเป็นประธานการประชุมแทนเพราะเล็งเห็นว่ามีการเลื่อนประชุมการแก้ไขปัญหาจะล่าช้าไปอีก

สำหรับประเด็นส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ Adder รวมทั้งสัญญาชั่วนิรันดร์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2550 รวมทั้งสิ่งที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแจ้งว่าหากมีการยกเลิกจะทำให้ค่าไฟลดลงทันที 17 สตางค์ ยังเป็นตัวเลขที่จะต้องมีการศึกษาและตรวจสอบเพิ่มเติม รวมทั้งการจัดการกับปัญหาเกี่ยวกับค่าพร้อมจ่าย หรือ AP ที่ทุก ๆ บ้านที่ใช้ไฟฟ้าจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะต้องดำเนินการแก้ไขให้โปร่งใสมากยิ่งขึ้น

“ผมขอยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนใด ๆ ทั้งสิ้น สาเหตุที่แผน PDP ที่ยังไม่จบ เพราะรัฐบาลไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะเปิดช่องให้นายทุน” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘ธนกร‘ ออกโรงประท้วงป้อง ’ลุงตู่’ หลังถูก สส.ฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิง

(24 มี.ค. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นประท้วงกรณี สส.พรรคประชาชนอภิปรายพาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า อยู่ในสภาแห่งนี้ ไม่คิดว่าจะประท้วงใครเลย เพราะให้เกียรติสส. ทุกท่าน แต่การเอ่ยถึงบุคคลภายนอก ถือว่าเป็นการไม่เหมาะสม และวันนี้เป็นการอภิปรายนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ไม่ใช่การอภิปรายนายกรัฐมนตรีท่านที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเอ่ยชื่อบุคคลภายนอก โดยเฉพาะบุคคลที่คนไทยคิดถึงท่านอยู่ ซึ่งได้สร้างคุณงามความดีไว้เยอะแยะ

ดังนั้น ขอให้ใช้คำอื่น ไม่เช่นนั้นสภาก็ไม่ราบรื่น เพราะ สส.รวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 36 ก็จะลุกขึ้นประท้วงไม่หยุด การประชุมในวันนี้ก็จะไม่ราบรื่น 

‘พล.อ.ประวิตร’ แสดงภาวะผู้นำสอนมวย ‘แพทองธาร’ ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ ชี้ ทำให้ปชช. หนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหว ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย ด้าน ‘อิ๊ง’ ลุกย้อน ‘บิ๊กป้อม’ บอก “ที่พูดมาไม่เป็นความจริง”

(24 มี.ค. 68) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)กล่าวเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป คือการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ที่ผิดพลาดล้มเหลว วันนี้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข อย่างที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทปิดกิจการจำนวนมาก ประชาชนหนี้ท่วมหัว ทั้งในระบบและนอกระบบ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 104 % ราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดิ่งเหวในรอบ 3 ปีรัฐบาลไม่มีแนวทางอะไร ที่แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

“ผมพยายามเอาใจช่วยนายกรัฐมนตรีให้แก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องคนไทยให้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรี เคยบริหารธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศชาติได้ แต่ปรากฎว่า นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลังไปอีก จนจีดีพีของไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน และที่สำคัญ คือ การตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรู้ ความเข้าใจ เรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณนับแสนล้านบาท ที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ไปใช้ แจกเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลกและ กองทุนIMF ได้ออกมาเตือนแล้วว่า การแจกเงินหมื่นไม่ได้ผล แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ แทน ถ้านายกรัฐมนตรีได้ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบคอบในทุกด้าน วันนี้คนไทยจะไม่ลำบาก ทุกข์ใจ ในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส”พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนเป็นห่วงประเทศชาติอย่างมาก และไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง คือเรื่องของ MOU 44 ที่วันนี้ท่านพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยง เรื่องการสูญเสียดินแดน และทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล และที่น่าเศร้าใจ คือ ลูกเรือประมงไทยที่นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะพากลับประเทศแต่ผ่านมา 4 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้กลับ

ในฐานะที่ตนทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนทราบดีว่า การดำเนินงานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลายมิติมาก ตนเห็นใจนายกรัฐมนตรี ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ วันนี้ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวต่อว่า การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เรียกกันว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลพยายามจะผลักดัน มันมีช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องได้อย่างมาก ตนขอย้ำว่า โครงการนี้อันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้ การปล่อยปละละเลยในเรื่องต่างๆก็ส่งผลให้ไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา และปัญหาอาชญากรรมมากมายอยู่แล้ว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขาดคุณสมบัติตาม รธน.มาตรา 160 ( 4 )(5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนการปล่อยปละละเลย ให้บุคคลในครอบครัวกระทำการให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งเรื่องนี้ตนขอให้เป็นหน้าที่ตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร ตนเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง

“ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา ไม่ใช่การกล่าวด้วยอคติ แต่ข้อมูลหลักฐานต่างๆ สส. พรรคพลังประชารัฐอีก 4 คนจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป ผมขอขอบคุณ สส.ทุกท่านในที่นี้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และประชาชนทุกคน ที่รับฟังในสิ่งที่ผมพูด ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ ใจบันดาลแรงในการบริหารประเทศให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีแรง ผมเชื่อว่าถ้าท่านบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัวพวกพ้อง ผมเชื่อว่าประชาชน จะชื่นชมและยอมรับท่านเอง ขอให้โชคดีครับ” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลัง พล.อ.ประวิตร อภิปรายจบ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า  เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีสมาชิกฝ่ายค้านขึ้นมาอภิปรายในประเด็นต่างๆ ต่อจากนี้อีกหลายท่าน ส่วนตัวพยายามจะตอบทุกๆ หัวข้อจะได้มีความสบายใจเกิดขึ้น 

“สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโสเมื่อกี้ตนเองได้ฟังท่านผู้และจับเวลานาฬิกาด้วยตัวเอง ท่านพูดประมาณ 10 นาที และอยากจะบอกว่า ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ” แพทองธาร กล่าว

‘ภูมิใจไทย’ ลั่นกลองรบสนามเลือกตั้ง ‘พัทลุง’ เตรียมส่ง ‘บ่าววี’ แสดงเปิดตัว 3 ผู้สมัคร 26 มี.ค. นี้

(24 มี.ค. 68) ยังไม่ทันไก่โห่ แต่พรรคภูมิใจไทยพัทลุงเริ่มเชิดกลองรัวๆแล้ว ในวันที่ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 พรรคภูมิใจไทย นครศรีธรรมราช ต้องเครียดกับการนั่งลุ้นผลคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหา พร้อมส่งหลักฐานว่า มุกดาวรรณ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในเวลา 10.00 น.ของวันที่ 26 มีนาคม

แต่ที่พัทลุงในวันเดียวกันกำลังสนุกสนานกับ “วงบ่าววี” และอีก 2-3 วง ถูกว่างจ้างไปเล่นสร้างความสุขสนุกสนานในงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้ง 3 เขตของพัทลุง ซึ่ง 1 คน เป็นคนเก่า อีกสองคนจัดหามาใหม่เพื่อเสริมทัพสู้ศึกกับประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ เพราะการเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยเสียหน้าไม่น้อยกับผลการเลือกตั้งที่แพ้ในบ้านทั้ง 3 คน ในบ้านของ ดร.นาที รัฐกิจประการ ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานฯ เป็นสามี

พัทลุงภูมิใจไทยแพ้แบบไม่น่าเชื่อ ในขณะที่นครศรีฯแจ้งเกิดได้ถึง 2 ที่นั่ง คือ ษฐา ขาวขำ เขต 7 และมุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล เขต 8 แถมสุราษฎร์มาอีก 1 ที่นั่ง ถือว่าเจาะฐานเมืองหลวงของประชาธิปัตย์ได้สำเร็จ

ประเด็นปัญหาของพรรคภูมิใจไทยพัทลุง คือ สส.3 คน โดนคดีให้คนอื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน ทั้ง ดร.นาที รัชกิจประการ ภูมิศิษฐ์ คงมี และฉลอง เทอดวีระพงศ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกทั้ง 3 คน คนละ 9 เดือน และตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต เมื่อถูกจองจำครบกำหนด ทั้งสามเข้าเงื่อนไขพักโทษ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลาง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา (ปี 67)

สำหรับ 3 ว่าที่ผู้สมัคร สส.พัทลุงของพรรคภูมิใจไทย ประกอบด้วย เขต 1 นาวาเอกดอกเตอร์อธิคุณ คงมี (นามสกุลคุ้น) หรือผู้กองจุน เขต 2 วรท เทอดวีระพงศ์ (นามสกุลคุ้น) ลูกชายของฉลอง เทิดวีระพงศ์ คราวที่แล้วก็ลงสมัครแต่พ่ายแพ้ และเขต 3 เขมพล อุ้ยตยะกุล หน้าใหม่

กล่าวสำหรับ สส.ปัจจุบันของพัทลุง 3 คน ประกอบด้วย เขต 1 สุพัชรี ธรรมเพชร พรรคประชาธิปัตย์ จากบ้านใหญ่ เขต 2 นิติศักดิ์ ธรรมเพชร รวมไทยสร้างชาติ บ้านใหญ่อีกสาย และร่มธรรม ขำนุรักษ์ ทายาททางการเมืองของ “นริศ ขำนุรักษ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยสรุปคือ 3 สส.พัทลุง เป็นประชาธิปัตย์ 2 คน รวมไทยสร้างชาติ 1 คน พรรคภูมิใจไทยโดยฤทธิ์เสียบบัตรแทนกันกอดคอกันสอบตกหมด ที่หัวเรือใหญ่ก็โดยแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จด้วย

การเปิดตัวตั้งแต่ไก่โห่ของภูมิใจไทย ทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาอีก 2 ปี (ถ้าไม่ยุบสภา) สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อม เตรียมการ และสู้เต็มที่ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าในสถานการณ์ที่พรรคกำลังถูกรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเขากระโดง สนามกอล์ฟเขาใหญ่ แล้วยังมาถูกขย่มว่าด้วยเรื่องข่าวดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ “ล็อคโหวต สว.” ซึ่งรายชื่อผู้สมัครถูกล็อคไว้ถึง 140 คน เข้าเป้า 138 คน สำรอง 2 คน พรรคภูมิใจไทยจะเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไรไม่ทราบ แต่ สว.ที่เคยใส่เสื้อสีน้ำเงินเข้าประชุมวุฒิสภา ต่างก็พากันว้าวุ่น กระวนกระวายใจกับความคืบหน้าของคดีทั้งในส่วนที่ กกต.ทำเอง ที่เบื้องต้นพบมีมูลแล้วถึง 28 คน ในส่วนของดีเอสไอก็รุกเร้าเข้ามาเก็บข้อมูลผู้ช่วย สว./ผู้เชี่ยวชาญ สว.ด้วย ยิ่งต้องกลัดกลุ้ม ไม่เห็นอาหารแข็งกร้าวเหมือนช่วงแรก ๆ

ต้องติดตามจับตามองก็รุกสนามภาคใต้ของภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้ากับเป้าหมายที่เพิ่มขึ้น ในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์อ่อนกำลัง แต่พรรคกล้าธรรม เปิดฉากประเดิมสนามในภาคใต้เช่นกัน พรรคกล้าธรรมมี สส.อยู่ 24 คน ทั้งหมดย้ายมาจากพรรคอื่น ยังไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งเองมาก่อนเลย เมื่อสนามภาคใต้เปิด ศึกนี้จึงใหญ่หลวงนัก

แต่สำหรับภูมิใจไทยแล้ว 26 มีนาคมนี้ ลุ้นอนาคตของ “มุกดาวรรณ”ก่อนก็แล้วกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top