Friday, 29 March 2024
POLITICS NEWS

'ภูมิใจไทย' จัดทัพหลวงปูพรมขยายฐาน 'นครศรีฯ' หลังเขต 8 จ่อเลือกตั้งใหม่ 'ปชป.-พปชร.-ก้าวไกล' พร้อมหน้า

27 มีนาคมนี้ นครศรีฯ จะคึกคักอีกครั้ง เมื่อเสนาบดีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปเหยียบเมือง เน้นพื้นที่เขตเลือกที่ 8 

นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสังกัด ตลอดจนกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค จะร่วมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดธาตุน้อย ต.หลักช้าง อ.ช้างกลางในเวลา 15.30 น. 

โดยก่อนเข้าร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้น ในเวลา 14.00 น. นายอนุทินและนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ จะร่วมพบปะผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและตัวแทนสถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เขต 8 ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 

มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จะเดินทางลงมาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน โดยนายชาดาจะแยกเดินทางต่อไปยัง อ.พิปูนและฉวาง เพื่อพบปะกับชาวบ้าน ส่วนนายพิพัฒน์ เข้าพื้นที่ อ.นาบอน เพื่อพบปะพูดคุยกับชาวบ้านและผู้ประกอบการโรงงานยางพารา ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดเวทีปราศรัย ที่ อ.ช้างกลาง มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าคณะ

เป็นการยกทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่เน้นเขตเลือกตั้งที่ 8 นครศรีฯ และเป็นการลงพื้นที่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งฟ้อง 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' ชงให้มีการเลือกตั้งใหม่

โดยพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมหาผู้สมัครแทนไว้แล้ว และเดินสายพบปะประชาชนอยู่ต่อเนื่อง หลัง กกต.ชงศาลให้สั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่าการลงพื้นที่แบบเต็มแม็กของภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการเลือกตั้งใหม่

สำหรับคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทย จะมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันแล้วว่าจะส่ง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส.หลายสมัยที่สอบตกครั้งที่แล้ว ลงพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง

พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันว่า ส่งคนเดิม คือ สุนทร รักษ์รงค์ ที่ครั้งผ่านมาได้อันดับ 2 ที่คงจะสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาแล้ว

พรรคก้าวไกล มีอยู่สองตัวเลือก ชายคนหญิงคน รอสรุปว่าจะเลือกใคร หลังพรรคให้ทั้งสองคนไปทำการบ้านมา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวจันดี อายุ 26 ปี

พรรครวมไทยสร้างชาติก็หึ่มๆ ว่าจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่ภาพยังไม่ชัดนักว่าจะส่งใครลงชิงสำหรับสนามช้างกลาง, ฉวาง, นาบอน, พิปูน

'บุ้ง ทะลุวัง' ร่ายยาว!! จดหมายจากเรือนจำ ถึง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ยาหอม!! ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมง่ายมาก แต่สุดท้ายตลบตะแลง

(18 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ทะลุวัง’ ได้โพสต์ข้อความจากจดหมายของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ส่งจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย มีใจความว่า

“ด้วยวิธีการที่คุณเลือกจะกลับบ้านคือการเอาเสียงของประชาชนไปแลก ทำให้คุณเป็นได้แค่นักการเมืองน้ำเลวคนหนึ่ง จดหมายฉบับนี้อยากพูดถึงคุณทักษิณและพรรคการเมืองที่แสนกลับกลอกของเขาสักหน่อย ถึงจะอดอาหารเอาชีวิตและร่างกายแลกเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมถูกปฏิรูปอยู่ แต่ตอนนี้บุ้งก็ได้ข่าวของคุณทักษิณอยู่บ้างจากการที่เพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง

“ในสายตาบุ้ง คุณทักษิณเป็นคนที่น่ารังเกียจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเคยมีคุณงามความดีอะไร ตอนนี้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของคุณไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปรสิต ส่วนคุณอุ๊งอิ๊งก็น่าเสียดายเหลือเกิน คุณไม่จำเป็นต้องทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่างก็ได้นะคะ แต่อนิจจาลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ครั้งหนึ่งตอนที่ทะลุวังประกาศว่าจะไปเยือนเพื่อไทย คุณทักษิณเคยพูดว่า “อย่าทะลุวังเลยมาทะลุทำเนียบเถอะ” และให้การต้อนรับบุ้งเป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้บุ้งและเพื่อน ๆ นั่งคุยกับคนของเพื่อไทยเพื่อฟังคำขอของบุ้ง ถึงแม้จะมัดมือชกไล่สื่อออกจากห้อง ทั้ง ๆ ที่บุ้งต้องการให้เป็นการคุยแบบเปิดก็ตาม

“คนของพรรคเพื่อไทยรับปากกับบุ้งว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้นง่ายมากและจะเป็นสิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยทำ บุ้งดีใจมากนะคะและเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะทำตามคำพูด เพราะคนที่ได้รับปากเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคนเราจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ก็เพราะรักษาคำพูดของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วโลกของผู้ใหญ่ก็ทำให้บุ้งผิดหวัง เมื่อพรรคเพื่อไทยตอ…ตลบตะแลง กลับกลอกปลิ้นปล้อน อย่างหน้าไม่อาย บุ้งและเพื่อน ๆ ผิดหวังเสียใจ และหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในตัวพรรคการเมือง แต่ถึงกระนั้นความหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงและคนตากใบยังไม่หายไปหรอกค่ะ บุ้ง ตะวัน และแฟรงค์ จึงเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อความหวังไม่มี เรา 3 คน จึงเลือกสร้างมันขึ้นมาเอง โดยกลั่นจากชีวิตเลือดเนื้อและอุดมการณ์ของพวกเรา

“ที่เล่าเพราะอยากให้คนข้างนอกเข้าใจ ว่าที่เราทำไม่ใช่เพราะพวกเราบุ่มบ่าม ก้าวร้าว ทำอะไรไม่คิด แต่เพราะนักการเมืองทำให้เราผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราไม่เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่เราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม

“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายหรอกค่ะ ทุกวินาทีที่ผ่านไปในตอนนี้เวลาของพวกเรานับถอยหลังลงทุกที แต่พวกเราแลกได้เพราะเลือกแล้วที่จะทำ

“ขอให้คนข้างนอกที่ไม่หยุดสู้ สู้ต่อไป สักวันชัยชนะต้องเป็นของประชาชน

“บุ้งยังคงยืนยันที่จะอดอาหารจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ อยากให้ทุกคนเข้าใจบุ้งด้วยนะคะ”

‘อมรัตน์’ ซัดใส่ ‘ทักษิณ’ ทุเรศ หลังให้สัมภาษณ์ ขอความเห็นใจ พูดได้หน้าไม่อาย ลากประเทศไทยให้ถอยหลัง แล้วบอกให้ ต่างคนต่างอยู่

(17 มี.ค.67) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กต่อเนื่อง ให้ความเห็นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าใครที่ไม่ชอบหน้า ขอให้ต่างคนต่างอยู่ 

โดยโพสต์แรก นางอมรัตน์ได้แชร์ข่าวพร้อมระบุว่า ดีลของคุณมันเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อเลือกที่จะเห็นแก่ได้จนกระทบความรู้สึกผู้คนทั้งสังคม 

ต่อมาได้โพสต์คลิปและข้อความอีกว่า เป็นคน "มาสว่างไปมืด" ไปเสียแล้ว ก็ควรน้อมรับเสียงก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ แหงนหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดิน ทุเรศ !

และโพสต์สุดท้ายเป็นข้อความ ว่า ลากประเทศถอยหลังเสร็จบอกขอความเห็นใจให้ต่างคนต่างอยู่ Sus

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่ ‘พิธา’ เดินสายไร้เป้าหมาย แนะควรรู้จักหน้าที่ ชี้ ‘เศรษฐา’ ขึ้นเชียงใหม่ 3 ครั้ง เดินหน้าแก้ฝุ่น ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้

(16 มี.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีกำหนดร่วมภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 16 - 17 มี.ค.ในระยะเวลาเดียวกันกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.ว่า นายเศรษฐาประกาศนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่น ตั้งแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย จนถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายเศรษฐายังตอบสนองตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 และมีมติคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ต่อรัฐสภาแล้ว นายเศรษฐายังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นด้วยตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่นายกฯ เดินทางไปแล้วถึง 3 ครั้ง 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 นายกฯ มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 67 ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ย้ำทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ผ่านไป 2 เดือน นายกฯ เยือน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือตาม 6 แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และครั้งล่าสุดตามกำหนดการครั้งนี้ เพื่อเฝ้าสอบถามและติดตามความคืบหน้าต่อไปตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบริหาร

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผ่านมาเกือบ 7 เดือนแล้วนับแต่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคก.ก.โดยเฉพาะผู้บริหารพรรค ควรเข้าใจบทบาทของฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว ว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารหรือเสนอแนะรัฐบาล หากทำงานผิดพลาดหรือใช้งบประมาณโดยไม่ถูกต้อง แต่หากนายพิธาและพรรคก.ก.เคลื่อนไหวในลักษณะนอกบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจเกิดการพัฒนาได้ ก็จะสร้างคำถามและความสับสนขึ้นได้ ว่าการเดินสายลักษณะนี้ใครจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้นายพิธามูฟออนกลับมาสู่ความเป็นจริง ที่สำคัญคือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสายโดยไร้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา จริงจังกับการเดินหน้าติดตามแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

‘ธนกร’ หนุน ‘อนุทิน’ กวดขันหาดป่าตอง เร่งแก้ปัญหา ต่างชาติแย่งงานคนไทย เชื่อหากวางระบบความปลอดภัยให้ดี มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อีกหลายเท่าตัว

(16 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และได้แจ้งข้อมูลให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทราบแล้วนั้น ล่าสุดต้องขอขอบคุณ นายอนุทิน ที่ได้ลงพื้นที่หาดป่าตองจังหวัดภูเก็ตด้วยตัวเอง  พร้อมทั้งยังได้สั่งการให้ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจพื้นที่ แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวทันที มีการดำเนินคดีฝรั่งที่ก่อเหตุทำร้ายแพทย์หญิง รวมถึงกรณีอื่นๆที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวด้วย จึงเชื่อว่าการแก้ปัญหามาเฟียต่างชาติจะหมดไป

ทั้งนี้ขอฝากนายอนุทิน พิจารณาขยายพื้นที่โซนนิ่งเปิดสถานบริการถึงเวลา 04:00 น. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อื่น ๆ ให้เกิดความคึกคัก โดยควบคู่กับการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบดูแลอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและเพียงพอ เชื่อว่า จะสร้างความมั่นใจและดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่อีกจำนวนมาก จะสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“ต้องขอบคุณ มท.1 ที่เมื่อผมได้ส่งข้อมูลเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบการในภูเก็ตให้ ท่านก็ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ทันที พร้อมสั่งการให้ผู้ว่าฯเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขัน ไม่ยอมปล่อยให้มาเฟียต่างชาติ เข้ามายึดพื้นที่ แย่งงานคนไทยได้ และเชื่อว่าหากมีการวางระบบรักษาความปลอดภัยการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจะสร้างความมั่นใจดึงดูดให้มีการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น หากภาครัฐพิจารณาขยายเวลาเปิดสถานบริการเพิ่มขึ้นไปถึงตี 4 เชื่อว่า จะสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวได้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘อาจารย์อุ๋ย’ ฟาด ‘เศรษฐา’ วางตัวไม่เหมาะสม เหตุไปขอคำปรึกษาจาก ‘นักโทษคดีทุจริต’ ชี้ ทำต่างชาติ หมดความเชื่อมั่น

เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า 

บางท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า หลักนิติธรรม ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองที่กฎหมายเป็นใหญ่และบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน ตัวกฎหมายมีความเป็นธรรม ทันสมัย มีที่มาชอบธรรม บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมมีความเที่ยงธรรม ประชาชนเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง 

เพราะหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในระบบกฎหมายของประเทศที่ตนจะมาลงทุน ไม่ต้องกังวลกับ 'ต้นทุน' หรือ cost ที่มองไม่เห็น และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจจะต้องหมดไปกับการคอร์รัปชันและการเผชิญกับอุปสรรคที่เกิดจากกฎหมายหรือการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบือน และตั้งแต่ พ.ศ. 2558 สหประชาชาติได้ประกาศให้หลักนิติธรรมเป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง Word Justice Project (WJP) ได้จัดทำดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินความมีนิติธรรมของแต่ละประเทศในทุกปี ประกอบด้วย 8 ปัจจัยชี้วัดหลัก ได้แก่ การจำกัดอำนาจรัฐอย่างเหมาะสม การปราศจากการคอร์รัปชัน รัฐบาลโปร่งใส สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

ทั้งนี้ ในปี 2566 ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม 0.49 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 82 จาก 142 ประเทศทั่วโลก ถดถอยลงจากปี 2565 ที่ได้คะแนน 0.50 และต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2558 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การสำรวจ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวัน 11 กันยายน 2566 ว่า “รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สําคัญของประเทศ เป็นการลงทุนทําให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณของรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาประเทศ” 

แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกลับหน้าระรื่นไปดินเนอร์กับคุณทักษิณ ซึ่งยังคงอยู่ในสถานะของ 'นักโทษคดีทุจริต' ซึ่งอยู่ระหว่างพักโทษ ออกสื่อไปทั่วโลก แถมบอกหน้าตาเฉยด้วยว่าได้ขอคำปรึกษาการบริหารเศรษฐกิจจากคุณทักษิณ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า ต่างชาติเขาจะมองเราอย่างไรที่ผู้นำประเทศต้องไปขอคำปรึกษาจากผู้ต้องโทษคดีทุจริตต่อบ้านเมือง ซึ่งสวนทางกับมาตรฐานของสากลโลกในเรื่องระบบนิติธรรม และสวนทางกับนโยบายที่ท่านนายกแถลงออกจากปาก สงสัยว่าที่ท่านนายกและคณะบินไปประเทศนู้นนี้ (ด้วยเงินภาษี) และจีบแขกบ้านแขกเมืองมาลงทุน จะสูญเปล่าเสียแล้วกระมัง เมื่อต่างชาติเขาเห็นผู้นำประเทศของเราไปสนิทสนมและปรึกษาราชการงานเมืองกับนักโทษคดีทุจริต แล้วเขาจะคาดหวังได้มั้ยว่าประเทศไทยจะมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับการลงทุนของเขา

ด้วยความปรารถนาดี   

‘ไอติม’ แจง!! ปม ‘พิธา’ ลงเชียงใหม่ชน ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ ยัน!! เป็นกำหนดการของพรรค ที่วางแผนล่วงหน้าไว้นานแล้ว

(15 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่วันพรุ่งนี้ (16 มี.ค.) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ในพื้นที่พอดีว่า เป็นแผนการดำเนินงานของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับเรื่องไฟป่า ที่วางแผนล่วงหน้ามานานแล้ว เพราะเป็นการศึกษาผลกระทบที่มีต่อประชาชนในภาคเหนือ เพื่อหวังจะถอดบทเรียนในการนำเสนอนโยบาย และการแก้ไขปัญหา พร้อมยืนยันไม่ได้มีการจัดตารางลงพื้นที่ชนกันกับนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่ามองภาพนายเศรษฐา นายทักษิณ และนายพิธา ลงพื้นที่พร้อมกัน ที่เหมือน 3 นายกฯ ในวันเดียวกันอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลยึดถือมาตลอดคือยึดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะมีปัญหาของประชาชนเยอะมาก โดยเฉพาะปัญหาไฟป่า พร้อมย้ำว่าจะนำปัญหาดังกล่าวมาผลักดันโดยกลไกของสภา จึงไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำมาตลอด ว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง ในการทำหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน

ส่วนประชาชนที่อาจจะคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบรัศมีนั้น ถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะวิเคราะห์ แต่ขอยืนยันต่อสาธารณะว่าพรรคก้าวไกลไปดำเนินการเรื่องไฟป่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่ของใคร

เมื่อถามว่าเรื่องไฟป่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อาจจะเป็นหนึ่งในประเด็นการอภิปราย แต่ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือก สส. ไปอภิปรายว่าผ่านการคัดเลือกหรือไม่ และหัวข้ออะไร ทั้งนี้เชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะใช้เวลาอภิปราย ทั้ง 2 วันให้ครอบคลุมนโยบายสำคัญ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม 

เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมองหน่วยงานราชการที่เข้ารายงานนายทักษิณระหว่างลงพื้นที่เชียงใหม่อย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ต้องให้รัฐบาลตอบว่า การดำเนินการทั้งหมด เป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่ ดังนั้น เรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในการจัดสรรบุคลากรไปให้ข้อมูล จึงเป็นคำถามที่รัฐบาลควรตอบ

เมื่อถามถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปคอยให้การต้อนรับนายทักษิณ ที่เชียงใหม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนเห็น คำชี้แจงผ่านๆ ว่าไปภารกิจอื่น แต่หากประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัย เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ต้องชี้แจงให้ประชาชนมั่นใจ ว่าไม่ได้มีการจัดสรรบุคลากรภาครัฐ ที่ไม่เหมาะสม แม้รัฐมนตรีจะอ้างว่าลางานไป แต่เป็นสิ่งที่จะต้องตอบ และสิ่งที่พรรคก้าวไกล เวลาเลือกจะไปจังหวัดไหนจะยืดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เป็นมาตรฐานที่หวังว่า พรรคการเมืองอื่น ทุกพรรคจะนำไปใช้ 

นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ของพรรคก้าวไกลว่า เป็น 1 ใน 16 จังหวัด ที่พรรคก้าวไกลประกาศรับสมัคร นายก อบจ. ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เพื่อประชาสัมพันธ์ และเป็นแรงจูงใจ ให้คนมาสมัคร ส่วนจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 16 จังหวัดหรือไม่ต้องรอผลการคัดเลือก เพราะจะเน้นผู้สมัครที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นจำนวนเพียงอย่างเดียว เน้นบุคลากรที่เชื่อมั่นว่าจะชนะการเลือกตั้งด้วย

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าหากประชาชนสงสัยเรื่องมีนายกฯ หลายคน ก็เป็นสิ่งที่นายเศรษฐา จะต้องให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน ว่าถึงแม้จะมีสิทธิปรึกษาใครหลายคน แต่การตัดสินใจทุกอย่าง จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ส่วนการลงพื้นที่เชียงใหม่ของนายทักษิณ จะทำให้กระแสพรรคก้าวไกลลดลงหรือไม่นั้น พรรคก้าวไกลปีที่แล้วเป็นอย่างไรปีนี้ก็เป็นเช่นนั้น ใครที่เคยสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง เราก็จะพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล และหวังว่าการทำงานของก้าวไกล จะทำให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจ เลือกเปิดใจมาให้โอกาสมากขึ้น

นับถอยหลัง ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ กระบวนทัพใหม่ ‘ไอติม’ มีแววคุมพรรค

สองเรื่องการเมืองร้อนฉ่ามาในสัปดาห์เดียวกัน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอมัดรวมมากรองแก่นแกนสถานการณ์ให้เห็นภาพ...โดยเฉพาะกรณี ‘พรรคก้าวไกล’

กกต. มีมติเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (เลขาธิการ กกต.) ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ข้อหาความผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1) และ (2) พูดสั้น ๆ (1) นั้นข้อหาล้มล้างการปกครองฯ ส่วน (2) นั้นกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ

ในอดีตปี 2562 กกต. เคยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ความผิดมาตรา 92 นี่แหละ แต่ (2) อย่างเดียว…กรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ไปคนละสิบปี แต่กรณีพรรคก้าวไกลโดนทั้ง (1) และ (2) เลยมีคำถามว่า...ถ้าโดนตัดสิทธิ์จะสิบปีหรือตลอดชีวิต..

สองวงเล็บ..สยองกันทั้งพรรค

กรณีที่ศาลสั่งยุบ กรรมการบริหารโดนตัดสิทธิ์ 10 คน…ในจำนวน 10 คนนี้ จะมี สส. 5 คน คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน, ประดิพัทธ์ สันติภาดา, เบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู่อ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวจี๊ดตัวตึง และคนสำคัญ โดยเฉพาะ ‘พิธา-ชัยธวัช’

วันนี้…ในพรรคก้าวไกลมองไปถึงแถวสองบวกแถวสาม ที่คาดหมายว่าเมื่อถึงเวลาอาจจะเป็นตัวเลือก หัวหน้าพรรคคนใหม่ เช่น ศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, หรือแถวสามที่โดดเด่นอย่าง ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ์, ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

‘ไหม ศิริกัญญา’ กับ ‘ไอติม พริษฐ์’ ดูเหมือนจะโดดเด่น...ส่วน ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ลูกเจ้าสัวฝั่งธนที่เก่งกาจเรื่องไฮเทคและ ‘ธนาธร’ ชื่นชอบ จะวางตัวให้เป็นเลขาธิการพรรคก็ย่อมได้…

อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่า...วิบากกรรมพรรคก้าวไกลอันเนื่องจากเหาะเหินเกินลงกา อ้างว่าแก้มาตรา 112 แต่จริง ๆ ขอให้ยกเลิกนั้น...มีผู้ไปร้องต่อ ป.ป.ช. ว่า 44 สส. ที่ลงชื่อขอแก้ไข (ยกเลิก) มาตรา 112 ดังกล่าวผิด-ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงขอให้เพิกถอนสิทธิ์ฯ เหมือนที่ปารีณา ไกรคุปต์, ช่อ พรรณิการ์ เคยโดนมาแล้ว

ดังนั้นหากสมมุติ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องศาลฎีกาฯ และศาลตัดสินเพิกถอนสิทธิ์คนละสิบปี มันก็จะเกิดปรากฏการณ์.. ‘ไม่มีพวกคุณ ไม่มีพวกเรา’ ที่คุณพิธาโพสต์ไว้ในไอจีเมื่อไม่กี่วันก่อน…

ตรวจดูรายชื่อ 44 คนแล้ว มีทั้งชื่อ ไหม ศิริกัญญา, เท้ง ณัฐพงษ์ รวมอยู่ด้วย...นี่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า พรรคก้าวไกลต้องรีบคัดกรองเตรียมตัวสำรองแถว 4 ที่เจ๋ง ๆ เอาไว้เนิ่น ๆ...เพราะกว่าแถว 1 อย่างธนาธร, ปิยบุตร...จะกลับมาผุดมาเกิดทางการเมืองก็อีก 6 ปีกว่า...

และแน่นอนว่า…น่าจะช้ากว่าแผนการลับของเจ้าชายมูลเมือง ที่อาการดีวันดีคืน เพิ่งปักหมุดเชียงใหม่ถอดปลอกคอซดไวน์ได้แล้ว...รายนั้นปีหน้าเขาจะเดินแผนขอล้างมลทินโทษ หวนคืนเก้าอี้นายกฯ อีกครั้ง…

แล้ว ‘ไอติม’ จะเอาอะไรไปสู้!!??

‘ธนกร’ ค้าน!! นิรโทษกรรม คนผิด ม.112 ยัน!! เป็นคดีด้านความมั่นคง ไม่ใช่การเมือง

(15 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช.มองคดี ม.112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ด้วยนั้น ว่า ก่อนอื่นบุคคลในฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมือง กับ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“ยกตัวอย่างหากมีใครมาด่าว่า หมิ่นประมาทบุพการีของเรา แบบเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง เจ้าตัวจะยอมหรือไม่ ผมเข้าใจว่าที่หลายคนมองเรื่องนี้ผิดไปเป็นเรื่องการเมืองนั้น เนื่องจากมีบางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อมีความผิดก็คิดว่าเป็นคดีทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง ผมจึงอยากให้ทุกฝ่ายทางการเมืองตั้งสติ แยกประเด็นให้ถูกต้อง” นายธนกร กล่าว 

เมื่อถามว่าหากนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.112 จะมีการแก้ปัญหาความเห็นต่างในบ้านเมืองอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า สังคมไทยมีหลายเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย ทั้งเวทีสาธารณะและเวทีสภา ซึ่งตนมองว่าควรที่จะเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง หรือ บางกลุ่ม ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สมควรที่ปัญญาชนต้องเคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นในสังคม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลของกลุ่มตนเองฝ่ายเดียวมากกว่านั้น พรรคการเมืองหรือผู้ใหญ่ต้องชี้แนะ และให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐ ต้องให้ความสำคัญใครจะละเมิดไม่ได้ ถือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

“คุณณัฐวุฒิ ควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่าง ๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่ ความคิดเห็น ความชื่นชอบทางการเมืองแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่สร้างความแตกแยก ทำกิจกรรมโดยความสงบ และต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากทำผิดเรื่องความมั่นคงของรัฐ ไปแตะต้องเบื้องสูงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง และศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ชัดมาแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิก็ยอมรับเองว่าไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาก่อน จึงมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่การเมือง” นายธนกร กล่าว

‘รัฐบาล’ เคลมผลงาน ‘ราคายางพารา’ พุ่ง 80 บาท/กก. แท้จริง!! ‘ยางผลัดใบ-โรคใบร่วง’ ทำให้ดีมานด์สูงขึ้น

รัฐบาล ทั้งนายกฯ รมว.เกษตรฯ โฆษกรัฐบาล โฆษณาจังว่ายางพาราราคาพุ่งถึง 80 บาท/กก.เป็นผลงานรัฐบาล อยากให้พูดไปตลอดทั้งปีนะ ถ้ายางพาราราคาตก อย่าบอกนะว่าเป็นกลไกการตลาด เป็นเรื่องของ demand/subply หรือตลาดโลก

นำเรียนว่าช่วงนี้น้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย ความต้องการยางพาราสูงขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น ล้วนต้องการยางพารา

ส่วนสาเหตุน้ำยางพาราออกสู่ตลาดน้อย มาจาก…

- ยางผลัดใบ ช่วงต้นปีของทุกปีจะเป็นช่วงยางผลัดใบ ชาวสวนไม่สามารถกรีดยางได้
- ตั้งแต่ปลายปี 66 มาจนถึงมกราคมปี 67 ภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกยางพารามีฝนตกต่อเนื่อง ยาวนาน ชาวสวนไม่สามารถออกไปกรีดยางได้
- โรคใบร่วงระบาดในสวนยางพารา โดยระบาดหนักใน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และลามมาอีกหลายจังหวัด
- โรคใบร่วงยังระบาดไปอีกหลายจังหวัดที่มีการปลูกยางพารา การกรีดยางทำให้น้ำยางลดลง 30-40% และทำให้ต้นยางพาราอ่อนแอลง
- โรคใบร่วงในยางพารา มีมาตั้งแต่ปี 2562 โดยเริ่มระบาดที่อินโดนีเซีย มาถึงมาเลเซีย และเข้ามายังประเทศไทย
- รัฐบาลยังตื่นตัวน้อยกับการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงในยางพารา และยังอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลองการแก้ปัญหาโรคใบร่วงด้วยซ้ำ

รัฐบาลอย่าเพิ่งตีปีกดีอกดีใจ โฆษณาว่าการที่ยางพาราราคาขยับตัวขึ้นไปสูงอาจจะถึง 80 บาท/กก.ว่าเป็นผลงานของรัฐบาล เพราะยังไม่เห็นวิธีการที่ชัดเจนของรัฐบาลในเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา มีแต่เห็นว่าเร่งปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราจากประเทศเพื่อนบ้าน (ยางพาราเถื่อน) ซึ่งยางพาราในประเทศเพื่อนบ้านเรา ยังราคาถูกมาก แต่ 20-30 บาท/กก.เท่านั้นเอง จึงมีการลักลอบนำเข้ามาขายในบ้านเรา

อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ในการปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อน หรือแม้กระทั่้งยางพาราทรานซิส (ผ่านทาง) ไปยังมาเลเซีย ที่อาจจะตกหล่นขายอยู่ในตลาดบ้านเราก็เป็นไปได้

ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบปราบทั้งยางพาราเถื่อน และยางพาราทรานซิส สาวให้ลึกถึงผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อาจจะถึงกับร้อง ‘อัยหย่า ซี้เลี่ยวฮ่า’ เพราะอาจจะเป็นคนที่อยู่ไม่ไกลตัวนายกฯ ก็เป็นได้ 

ยังไม่เห็นรัฐบาลคิดออกมาเป็นนโยบายในการดำเนินการเกี่ยวกับยางพารา เช่น ที่เคยเป็นนโยบายก่อนหน้านี้ ให้ทุกกระทรวงที่สร้างถนน ต้องวางงบประมาณให้มีส่วนผสมของยางพารา 10% แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นบ้าง แต่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร หรือการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น ที่นอน หมอน รองเท้า ตีนกบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำยางพาราไปทำแท่งแบริเอ่อร์ ที่ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะยางพารามีความยืดหยุ่น ลดการสูญเสีย หรือยาวสะพานตรงถนนโค้ง ก็ห่อหุ้มด้วยยางพารา จะลดการสูญเสียลงไปได้มาก 

กระทรวงกลาโหม แทนที่จะใช้กระสอบทรายทำบังเกอร์ก็ใช้ยางพารา น่าจะได้ผลดี

ทั้งหมดนี้อยากจะฝากไปยังรัฐบาล ให้ศึกษาเรียนรู้ให้ดีก่อนออกมาตีกิน กลัวว่าสุดท้ายแล้ว จะหาทางลงไม่ได้เหมือนดิจิทัล วอลเล็ต ตายคานโยบาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top