Tuesday, 10 December 2024
ECONBIZ

‘SME D Bank’ ออก E-Book หนุนเอสเอ็มอีภาคกลาง โปรดี๊ดีมีครบ ทั้ง พัก! เที่ยว! ช้อป! แบบจัดเต็ม

ธพว.หนุนเอสเอ็มอีท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ ขยายตลาด ฟื้นฟูธุรกิจ ออก E-Book “โปรดี๊ดี เอสเอ็มอีทั่วไทย” ล่าสุดกับโซนพื้นที่ภาคกลาง จัดเต็ม ลดราคา พัก! เที่ยว! ช้อป!

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ได้รวบรวมร้านอาหาร โรงแรม และร้านขายของฝาก เพื่อสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีในโซนพื้นที่ภาคกลาง ในรูปแบบ E-book โดยระบุว่า 

ใกล้วันหยุดแล้ว ไปเที่ยวกัน 
มีโปรเด็ด จาก SMEs ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายของฝาก ฯลฯ  ในพื้นที่ภาคกลาง มามอบให้ จัดเต็ม ลดราคา พัก! เที่ยว! ช้อป! แบบจัดเต็ม

'สนธิรัตน์' ผุด 'สารคามโมเดล' ผลักดันเศรษฐกิจฐานราก “แก้หนี้ เพิ่มทุน สร้างรายได้เพิ่ม”

'สนธิรัตน์' ลั่น พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.ส่งเสริมระบบสวัสดิการชุมชน-ผลักดันเศรษฐกิจฐานราก แก้หนี้ เพิ่มทุน สร้างรายได้เพิ่ม ดัน สภาองค์กรชุมชน-องค์กรสวัสดิการชุมชน เป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ชม คนสารคามมีศักยภาพ พร้อมนำร่องเป็นสารคามโมเดล มั่นใจ ยกระดับคุณภาพชีวิตฐานรากอยู่ดี กินดี

วันที่ (26 ส.ค. 2565) ที่โรงแรมพิมานอินน์ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) พร้อมด้วยนายสุพล ฟองงาม รองหัวหน้าพรรค และประธานภาคอีสาน นายบุญส่ง ชเลธร รองเลขาธิการพรรค นางทิพย์พาพร ตันติสุนทร กรรมการบริหารพรรค นายสุทธิชัย จรูญเนตร รองประธานภาคอีสาน และว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร สส. ภาคอีสาน จากจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร อุดรธานี และมหาสารคาม ร่วมพบปะแกนนำจากสภาองค์กรชุมชน กองทุนสวัสดิการชุมชน วิสาหกิจชุมชน ในระดับอำเภอ จำนวนกว่า 150 คน ในเวทีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเพื่ออนาคตไทย 

โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตนมาในฐานะคนที่ทำเรื่องเศรษฐกิจฐานรากมาก่อน ภายใต้ปรัชญาใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ที่ผ่านมาไม่เคยทิ้งเรื่องเศรษฐกิจฐานรากไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน ถือเป็นหัวใจการทำงานหลักของตน ซึ่งมองว่าที่ผ่านมาการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ของกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ สิ่งที่กลุ่มทำถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งความเข้มแข็งของชุมชนเกิดจากคนในชุมชนพึ่งพาตนเอง ขณะที่องค์กรสวัสดิการชุมชนที่ผ่านมาช่วยตัวเองอย่างเดียว เคยมีการร้องขอให้ออกพ.ร.บ.ส่งเสริมระบบสวัสดิการชุมชนมา 16 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า 

“อย่ามองว่าผมเป็นนักการเมือง เพราะตัวพรรคการเมืองเองจะไม่มีความหมาย หากไม่จับมือทำงานกับพี่น้องประชาชนจริง ๆ ผมตั้งใจมาหาวิธีทำงานร่วมกับท่าน ขอมาทำงานร่วมกัน มารับฟังว่าพี่น้องประชาชนอยากได้อะไรจริง ๆ เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมระบบสวัสดิการชุมชน ถ้าหากอยากได้จริง ผม และพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมที่จะขับเคลื่อนไปกับพวกท่าน โดยผมจะเสนอเป็นหนึ่งในนโยบายพรรค เพื่อทำให้พ.ร.บ.นี้เกิดขึ้นได้จริง”

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ตนมา จ.มหาสารคาม เพราะประชาชนที่นี่เข้มแข็งมาก ดังนั้นเราต้องเริ่มจากจุดที่เข้มแข็ง สร้างให้เป็นโมเดลเพื่อขยายไปสู่จังหวัดอื่น ๆ แม้ว่าจะทำได้ไม่ทั้งหมดในช่วงเวลานี้ แต่หลังจากที่ขับเคลื่อนจนได้พ.ร.บ.แล้ว ตนมั่นใจว่า จะสามารถจะผลักดันให้เกิดขึ้นทั่วประเทศได้ ตนเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะใช้สารคามโมเดลเป็นตัวตั้งของกองทุนสวัสดิการชุมชน 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรค ความเข้มแข็งชุมชนคือหัวใจสำคัญของประเทศ การสร้างเศรษฐกิจฐานรากของพรรค จะทำควบคู่กับไปใน 3 ด้าน คือการแก้หนี้ เพิ่มทุน สร้างรายได้เพิ่ม ภายใต้แนวคิดขับเคลื่อนกลุ่มที่มีศักยภาพ 10-50 คน โดยขณะนี้ได้เริ่มนำร่องแล้วในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ในกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าว ซึ่งประสบปัญหาในเรื่องราคาตกต่ำ โดยเข้าไปช่วยในการลดต้นทุนการผลิต และผลักดันราคาขายให้มากกว่าท้องตลาด 0.50 สตางค์ – 1 บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์ (ธกส.) กลุ่มรถเกี่ยวข้าวในพื้นที่ ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ ตนจะเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มชาวนาที่ได้นำร่องไว้ และจะขยายโครงการนี้ไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ในประเทศต่อไป 

'รัฐบาล' ปลื้ม!! ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 4 ล้านคน

ข่าวดี!! ต่างชาติแห่เที่ยวไทย พุ่งเกิน 4 ล้านคน เชื่อสิ้นปี 65 ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย 10 ล้านคน หลังเพิ่มวันพำนักต่างชาติ ช่วยทำรายได้เข้าประเทศเพิ่ม 

(25 ส.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าการเดินทางเข้าประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี 2565 ว่า ขณะนี้จำนวนมากกว่า 4 ล้านคน นับเป็นสัญญาณเชิงบวก สะท้อนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยเป็นผลสืบเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงรุกของรัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิจารณาหาแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อสามารถบรรลุเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคน ในปีนี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 16 สิงหาคม 2565 อยู่ที่ 4,015,504 คน และคาดการณ์ว่าภายในเดือนส.ค.นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสม 4.5 ล้านคน โดย5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย อินเดีย สปป.ลาว สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้มีนโยบายที่สอดคล้องกันเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยขยายระยะเวลาการพำนักของผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ดังนี้...

‘สุริยะ’ ชูนโยบาย BCG ฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด ผ่านเวทีประชุมเอเปคด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม

กระทรวงอุตฯ ชูนโยบาย BCG โชว์ศักยภาพเจ้าภาพการประชุมเอเปคด้านมาตรฐาน จับมือ 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค พลิกฟื้นเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) หรือ เอเปค 2022 ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565 พร้อมแสดงจุดยืนและบทบาทของไทยในเวทีการค้าโลก เพื่อส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าการลงทุน รวมถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตามแนวคิด “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance.”  

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานและการรับรองของเอเปค (Sub-Committee on Standards and Conformance: SCSC) ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SCSC ครั้งที่ 2/2565 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 18 - 20 สิงหาคม 2565  ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ และผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ สมอ. ได้ผลักดันภารกิจสำคัญเพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล 4 ด้าน ได้แก่ 1.) การพัฒนาและผลักดันกิจกรรมด้านมาตรฐานและการรับรองเกี่ยวกับ BCG Model 2.) สนับสนุนและส่งเสริมแนวทางใหม่ เพื่อให้ฟื้นตัวจากโควิด-19 และฟื้นฟูการค้าและการลงทุน 3.) ส่งเสริมด้านนวัตกรรมและดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนตลาดและเชื่อมโยงสู่สากล และ 4.) สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการค้าให้ผู้ประกอบการรายย่อย (MSMEs)  โดยมีผู้แทนจาก 21 เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน จีนฮ่องกง นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย จีนไทเป ชิลี เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี เปรู รัสเซีย และเวียดนาม เข้าร่วมประชุมกว่า 80 คน ภายใต้หัวข้อ "Open. Connect. Balance." หรือ "เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันสู่สมดุล" ผ่านแนวคิด โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) 

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมในครั้งนี้มุ่งผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่ (1) การปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกันกับมาตรฐานระหว่างประเทศโดยมุ่งเน้นมาตรฐานเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (2) การจัดกิจกรรม/การประชุมเชิงปฏิบัติการ/การสัมมนาเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังโควิด-19 และ BCG Model เช่น แนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ การส่งเสริมความโปร่งใสในการออกกฎระเบียบ การออกใบรับรองดิจิทัล และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น

'ดร.กอบศักดิ์' ชี้!! ภัยแล้งสุดรุนแรงในยุโรป-จีน ก่อวิกฤตอาหารโลก ให้ลุกลามยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

'ดร.กอบศักดิ์' เตือน ภัยแล้งที่รุนแรงสุดในรอบ 500 ปีในยุโรป รวมถึงภัยแล้งในจีนและพื้นที่อื่น ๆ กำลังจะทำให้วิกฤตอาหารโลกลุกลามยิ่งขึ้น ซ้ำเติมสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุคข้าวยาก หมากแพง คนอดอยาก กำลังมาเยือน 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้ ..
วิกฤตอาหารโลก .... “ข้าวจะยาก หมากจะแพง” ยิ่งขึ้น

ภัยแล้งที่รุนแรงสุดในรอบ 500 ปีในยุโรป รวมถึงภัยแล้งในจีนและพื้นที่อื่น ๆ กำลังจะทำให้วิกฤตอาหารโลกลุกลามยิ่งขึ้นไปอีกระดับ

ภาพของแม่น้ำที่แห้งขอดจนถึงพื้น
ซากเมือง
ซากเรือจม
Spanish Stonehenge
Hunger Stones หรือหินของความหิวโหยที่คนเมื่อช่วงศตวรรษที่ 15
สลักฝากข้อความไว้ที่หินใต้แม่น้ำว่า “If you see me, cry” หรือ “ถ้าคุณเห็นข้อความนี้ จงร้องไห้เถอะ” รวมไปถึงพระพุทธรูปเก่าแก่ในจีนอายุ 600 ปี ที่โผล่จากน้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

กลายเป็นภาพจำที่กำลังออกมาให้ทุกคนได้เห็น ได้ตื่นเต้น กับสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นเหล่านี้
แต่ข้างหลังภาพดังกล่าว คือ สัญญาณอันตรายที่ชี้ว่า วิกฤตอาหารโลกจะแย่ขึ้นจากเดิม
สองในสามของยุโรปกำลังเผชิญภาวะภัยแล้ง ดังเห็นในแผนที่ด้านล่าง ปัญหาได้กระจายไปยังทุกพื้นที่

โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี และประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก ต่างถูกกระทบการผลิตของข้าวโพด ข้าวสาลี น้ำมันโอลีฟ ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน

นอกจากนี้ แม่น้ำที่แห้ง ยังกระทบต่อไปยังการขนส่งทางน้ำ ซึ่งเป็นช่องทางขนส่งสำคัญของยุโรป ที่จะไม่สามารถขนส่งสินค้าเกษตรได้ในช่วงนี้ ทำให้ผลผลิตเกษตรที่ออกมาสู่โลกลดลง ในพื้นที่อื่น ๆ ของโลก ก็ประสบปัญหาภัยแล้ง เช่นกัน

สหรัฐตะวันตก ก็กำลังเผชิญปัญหานี้อย่างรุนแรง ทำให้ผลผลิตฝ้ายปีนี้ลดลง 40%
จีนตะวันตกเฉียงใต้ ที่แม่น้ำแยงซีที่แห้งผากในบางส่วน กระทบต่อการผลิตข้าว ข้าวโพด

นอกจากภาคการเกษตรแล้ว ยังกระทบการขนส่งทางน้ำ และการผลิตกระแสไฟฟ้า บางมณฑลเช่น เสฉวนที่พึ่งพาไฟฟ้าจากเขื่อน ต้องประหยัดการใช้ไฟฟ้า หยุดจ่ายในบางส่วน กระทบไปถึงการผลิตของโรงงานสำคัญหลายแห่ง เช่น Toyota Foxconn Tesla

ในส่วนของแอฟริกา ความแห้งแล้งในพื้นที่ Greater Horn of Africa ได้ส่งผลกระทบต่อ เอธิโอเปีย เคนย่า โซมาเลีย ทำให้คนหลายสิบล้านคนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร

หมายความว่า ระดับของความรุนแรงของวิกฤตอาหารโลกที่จะเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเดิมที่เกิดมาจาก สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบสินค้าเกษตรบางอย่างเช่น ข้าวสาลี

ปัญหาปุ๋ยแพง จากการ Sanctions รัสเซียและเบลารุส ที่ทำให้เกษตรกรทั่วโลกต้องประหยัดการใช้ปุ๋ย ทำให้ผลผลิตออกมาน้อยในฤดูกาลนี้ แล้วยังมาถูก “ผีซ้ำ ด้ำพลอย” จากภัยแล้ง

เที่ยวไทยนอนมา คาดต่างชาติเข้าไทยสิ้นปีแตะ 10 ล้านคน ยอดคนพุ่งกว่า 1,800% ดันรายได้พุ่ง 1,100%

(23 ส.ค. 65) ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมเกียรติ โอสถสภา ระบุว่า...

นอนมาเลย! มั่นใจต่างชาติเข้าไทยถึงสิ้นปีนี้แตะ 10 ล้านคน ยอดคนพุ่งกว่า 1,800% ดันรายได้พุ่งกว่า 1,100% 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เยี่ยมครับ

ข่าว B time ปีหน้า 20 ล้านคนไปเลย เอ๊ะหรือ 30 ล้านคน ยังไม่นับจีน ตั้งเป้าสามสิบล้านคนเลย พี่ช่วยเต็มที่

‘กอบศักดิ์’ ชี้ วิกฤติอสังหาจีนเริ่มลาม แนะติดตามใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับมือ

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพและประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

วิกฤตอสังหาจีน 

หนึ่งในประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในช่วงต่อไป ก็คือ วิกฤตอสังหาจีน
หลายคนถาม - ทำไมจีนต้องลดดอกเบี้ย ขณะที่ประเทศอื่น ๆ เกือบทุกประเทศทั่วโลกกำลังเร่งขึ้นดอกเบี้ย

คำตอบ - จีนกำลังเผชิญปัญหาที่คนอื่นไม่มี

ปัญหาเริ่มตั้งแต่กรณี Evergrande เมื่อปีที่แล้ว ลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง อสังหารายใหญ่สุดของจีน คือ Country Garden ก็ยังเอาตัวไม่รอด ลำบากสุดๆ

ล่าสุดในภาพ จะเห็นว่า หุ้นกู้สกุลดอลลาร์ครบกำหนดปี 2024 ของ Country Garden ซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาเต็ม เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เคยลงไปต่ำสุดที่ประมาณ 31% !!!

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบริษัทอสังหาจีนทุกขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ ต่างเข้าสู่ช่วงคับขัน ขาดสภาพคล่อง กันถ้วนหน้า ยิ่งนานวัน ยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหากหุ้นกู้ที่มีอยู่เดิม ซื้อขายกันราคานี้ การออกหุ้นกู้ใหม่ คงเป็นไปได้ยากยิ่ง ดอกเบี้ยที่อสังหาจีนจะต้องจ่าย เพื่อให้ได้เงินใหม่มาหมุน จึงแพงขึ้นเป็นพิเศษ นำไปสู่เหตุการณ์ “โครงการสร้างไม่เสร็จ” ล่าสุด นำไปสู่การประท้วงของลูกบ้านที่ไม่ยอมจ่ายคืนเงินสินเชื่อบ้าน ในโครงการเหล่านั้น 

Bloomberg รายงานว่า จากจุดเล็กๆ จากจดหมายประท้วงสั้นๆ 590 คำ ของลูกบ้านในโครงการ Dynasty Mansion Project ของ Evergrande ที่มณฑลเจียงซี แจ้งเพื่อทราบว่า “ถ้าไม่เริ่มสร้างต่อ ลูกบ้านก็จะไม่จ่ายเงินเช่นกัน” ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่สัปดาห์ ได้แพร่ระบาดไปยังเมืองต่าง ๆ ประมาณ 100 เมือง 300 กว่าโครงการ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวิกฤตอสังหาจีน 

เพราะปัญหาเรื่องนี้กำลังกระจายออกจาก “ภาคอสังหา” ไปสู่ “ภาคการเงิน” ที่เป็นคนปล่อยกู้ ทำให้ทางการไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของเอกชน เป็นเรื่องของภาคอสังหา ที่จะต้องจัดการปัญหาโดยลำพัง อีกต่อไป เพราะถ้าปล่อยไป เราอาจจะเห็นภาพของคนไปยืนรอถอนเงินอีกหลายธนาคารท้องถิ่นในจีน ทำให้วิกฤตอาจจะลุกลามขึ้นไปอีกขั้น

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? วิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในประเทศต่าง ๆ 
ญี่ปุ่นประสบปัญหาในช่วงก่อนปี 1991 
ไทยเคยประสบปัญหานี้เมื่อก่อนปี 1997 
สหรัฐประสบปัญหาในช่วงก่อนปี 2008 
ทุกครั้งที่เกิด จะส่งผลกระทบกว้างไกลในประเทศดังกล่าว

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนที่ใหญ่ มี Supply chain ที่ยาว ส่งต่อไปถึงภาคส่วนอื่นๆ ภาคก่อสร้าง วัสดุ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่งบ้าน และอื่นๆ หลายสำนักประเมินไว้ว่า ภาคอสังหาของจีนมีสัดส่วนใหญ่ถึง 25-30% ของ GDP จีน หมายความว่า เมื่ออสังหาจีนเกิดวิกฤต ก็จะมีนัยตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจีนที่เคยขยายตัวดีมาตลอด ตอนนี้ กำลังมีปัญหาในการขยายตัว Goldman Sachs ปรับลดอัตราขยายตัวปี 2022 ของจีนจาก 3.3% เหลือ 3.0% ส่วน Nomura จาก 3.3% เหลือ 2.8% การผลิตซีเมนต์ เหล็กกำลังลดลง ตัวเลขการใช้จ่ายด้านต่างๆ ต่ำกว่าที่เคยคาดกันไว้

ล่าสุด เด็กที่จบใหม่ 20% หางานทำไม่ได้ !!! ทั้งหมด เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า ปัญหากำลังรออยู่ข้างหน้า และสถานการณ์เรื่องนี้ กำลังคับขันมากขึ้นเรื่อยๆ 

แล้วทางออกคืออะไร?
การจะออกจากวิกฤตภาคอสังหา ต้องเริ่มจากความเข้าใจที่ว่า “ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว” 
คำถามหลัก คือ จะจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วอย่างไร 
จะให้ “ใคร” เป็นคนรับภาระบ้าง
ความเสียหายเริ่มมาจาก “โครงการที่ไม่เสร็จ” “ราคาที่เพิ่มสูงไปแล้วตกลง” “ลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้” 
กลายเป็นหนี้เสีย NPL ในระบบการเงินและเศรษฐกิจ 

นอกจากนี้ หากจัดการไม่ดี อาจจะมีหนี้เสียเพิ่มเติมจากภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจมาให้ทางการแก้ไขเพิ่มเติม จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวน้อยกว่าที่ทุกคนคาดมาก ทำให้แผนธุรกิจของหลายๆ บริษัท ไม่เป็นไปตามเป้า อย่างที่เกิดในไทยเมื่อปี 1997 

ทั้งนี้ เวลาเกิดวิกฤตอสังหา ปกติแล้วมีทางออกอยู่ 2 ทาง 

ทางแรก - แบบไทยหรือสหรัฐ ยอมเกิดวิกฤตใหญ่เพื่อล้างปัญหาภาคอสังหา แบงก์ เจ้าหนี้หุ้นกู้ ผู้ฝากเงิน ต่างรับภาระไปบางส่วน โดยสุดท้ายแล้ว ทางการต้องยอมรับหนี้เสียต่างๆ เข้ารัฐ อย่างที่ไทยทำในช่วงปี 1997 เพื่อที่จะให้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง
ไทยเสียเวลาไป 4-5 ปี ในการสะสางปัญหา สหรัฐประมาณ 5 ปีกว่าที่ทุกอย่างจะกลับดีขึ้น

ทางที่สอง - แบบญี่ปุ่น ที่ประคองเลี้ยงปัญหาไว้ไม่ให้ลุกลามกลายเป็นวิกฤต แต่สุดท้ายหนี้เสียที่ฝังตัวอยู่ในระบบไม่ได้รับการคลี่คลาย สุดท้ายญี่ปุ่นก็ต้องเสียหายเช่นกัน Pay the Price โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่สามารถขยายตัวได้เป็นเวลานับสิบกว่าปี กลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” หรือ “Lost decades”

'สุริยะ' กำชับ กรอ.ดูแลถ่ายโอนภารกิจกำกับโรงงาน จำพวก 1 และ 2 ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

'สุริยะ' กำชับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นพี่เลี้ยงดูแลการถ่ายโอนภารกิจกำกับโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จนกว่าบุคลากร อปท. จะสามารถดูแล 1,860 โรงงาน ที่ได้รับการถ่ายโอนได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ตามที่กฎหมายกำหนด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) รับนโยบายรัฐบาล ในการถ่ายโอนภารกิจกำกับดูแลโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เทศบาล และเมืองพัทยา ซึ่งปัจจุบันถ่ายโอนภารกิจให้ อปท. เรียบร้อยแล้ว จำนวน 1,860 โรงงาน เพื่อให้ อปท. มีบทบาทอำนาจในการควบคุมดูแลกิจการโรงงานในพื้นที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ตามประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. โดยแต่งตั้งให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นของ อปท. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน จึงกำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เป็นพี่เลี้ยง โดยการสนับสนุนให้คำปรึกษาแนะนำแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของ อปท. ให้ปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานได้อย่างถูกต้อง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติงาน และเกิดประสิทธิผลสูงสุด

นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรอ. เดินหน้าสนับสนุนแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ อปท. ในการควบคุมดูแลโรงงานจำพวกที่ 1 และ จำพวกที่ 2 โดยได้ถ่ายโอนภารกิจการกำกับดูแล ให้แก่ กทม. เทศบาล และเมืองพัทยา ไปแล้วทั้งสิ้น 1,860 โรงงาน โดยในส่วนของ กทม. 660 โรงงาน เทศบาลและเมืองพัทยา 1,200 โรงงาน ที่ผ่านมา กรอ. ได้ให้การสนับสนุน แนะนำและให้คำปรึกษาทางเทคนิควิชาการ และดำเนินการฝึกอบรมแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ กทม. เทศบาล และเมืองพัทยา ในการปฏิบัติภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ กรอ. ได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การใช้งานระบบสารสนเทศ เพื่อออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 สำหรับข้าราชการ กทม.” เพื่อให้ข้าราชการ กทม. มีความเข้าใจ สามารถใช้งานระบบสารสนเทศในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 และการติดตามชำระค่าธรรมเนียมรายปีได้อย่างถูกต้อง เป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานรายเดิม และเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานรายใหม่

เผยโฉม Multiverse Expert ยูนิคอร์นสัญชาติไทยรายที่ 4 ตามรอย 'Flash Express - Bitkub - Ascend Money'

ไม่นานมานี้ เฟซบุ๊ก depa Thailand ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ ว่าที่ยูนิคอร์นสัญชาติไทยรายที่ 4 และเป็น Metaverse Unicorn รายแรกของไทย อย่าง Multiverse Expert ในกลุ่มบริษัท MiGroup ที่ได้รับเงินลงทุนจาก Power-All Networks บริษัทลูกของยักษ์ใหญ่อย่าง Foxconn 

Multiverse Expert ถือเป็น Digital Startup สัญชาติไทยเนื้อหอมอีกรายที่ได้พุ่งทะยานสู่ระดับยูนิคอร์นเป็นที่เรียบร้อย โดยมี นายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มัลติเวิร์ส เอ็กเปอร์ท จำกัด บริษัทในเครือ MiGroup ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน และ Metaverse โดยปัจจุบันถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ เช่น Veleverse และ Chiangmai Crypto City Metaverse และอีกหลาย Metaverse ตลอดจนเป็นผู้พัฒนา Game-Fi เช่น Bitkub Verify Project: 3Kingdom-heros NFT และ Bitkub Register Project: BitMonster 

โดยล่าสุด Multiverse Expert ในกลุ่มบริษัท MiGroup ได้รับการร่วมลงทุนจาก Power-All Networks บริษัทลูกของกลุ่ม Foxconn โดยเตรียมรับเงินระดมทุนกว่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มูลค่ากิจการ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก้าวสู่การเป็นยูนิคอร์น รายที่ 4 ของประเทศไทย อย่างเต็มภาคภูมิ ต่อจาก Flash Express, Bitkub และ Ascend Money อีกทั้งยังเตรียมความพร้อมในการผนึกกำลังเครือข่ายกลุ่ม Foxconn เพื่อเปิดด่านหน้าในการบุกตลาด Metaverse ในประเทศจีนและตลาดโลก

‘อัษฎางค์’ ถาม ‘น้องท็อป’ จะทิ้งท่องเที่ยวไทย ทั้งที่สร้างรายได้อันดับ 1 ในเอเชียและที่ 4 ของโลกหรือ?

(22 ส.ค. 2565) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า...

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้ให้ประเทศไทยและประชาชนไทยมหาศาล

ประเทศไทยมีรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ 4 ของโลก

เราควรจะทิ้งสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดไปทำสิ่งที่เรายังทำได้ไม่ดี หรือ? เอาอะไรมามั่นใจว่าเราทำแล้วจะประสบความสำเร็จเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจนั้น

น้องท็อปเป็นคนเก่ง แต่อย่างไรเสีย ยังถือประสบการณ์ชีวิตยังน้อย

การที่บอกให้คนหยุดทำในสิ่งที่เขาชำนาญหรือทำได้ดีที่สุด ก็เหมือนกับการที่มีคนไปบอกให้น้องท็อปเลิกทำธุุรกิจด้านการเงินดิจิทัล

หรือเหมือนบอกให้ปลาไปหัดบิน แล้วบอกให้นกไปหัดว่ายน้ำ

ก่อนหน้านี้ ด้านดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...บลูมเบิร์ก รายงาน ค่าเงินบาทดีดตัวฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของการท่องเที่ยว ที่ได้ทะลุเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ตั้งไว้ในช่วงปลายปีเเล้ว อีกด้านส่งผลให้เงินบาทเเข็งค่าขึ้นกว่า 2.3% มาอยู่ที่ 35.45 บาทต่อดอลลาร์ US ใน ส.ค. ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่านำหน้าสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย

แข็งค่ามากสุดในเอเซีย เพราะท่องเที่ยว


 

หัวรถไฟ EV ถึงไทยแล้ว ความสำเร็จของ EA และ CRRC Dalian อีกหนึ่งก้าวสำคัญขนส่งทางรางประเทศไทย

นับเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างที่สำคัญของระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย ภายหลังจาก EA นำทางด้าน Green Energy รายใหญ่ของประเทศไทย ได้จับมือกับ บริษัท CRRC Dalian ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่จากประเทศจีน ร่วมพัฒนาหัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าหรือรถจักร EV เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 

ล่าสุดหัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าของบริษัท CRRC Dalian ส่งตรงมาถึงไทยแล้ว เตรียมทดสอบสับเปลี่ยนขบวนที่สถานีบางซื่อภายในปีนี้ 

จุดเด่นของหัวรถจักรรุ่นนี้ สามารถวิ่งได้ระยะ 150-200 กม. ประหยัดต้นทุนพลังงานได้กว่า 40% เมื่อเปรียบเทียบกับหัวรถไฟดีเซล สอดรับยุทธศาสตร์ Asian Logistics Hub ของไทยและภูมิภาค

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา บริษัท CRRC Dalian ผู้ผลิตรถไฟรายใหญ่จากประเทศจีน ได้จัดส่งหัวรถจักรพลังงานไฟฟ้าหรือรถจักร EV มายังประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และร่วมมือกับพันธมิตร บริษัท เอเซียเอนจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส (ไทยแลนด์) จำกัด (AES) ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุงรถไฟ เพื่อประกอบติดตั้งระบบแบตเตอรี่ 

โดยหัวรถจักร EV คันนี้เป็นรถจักรคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ Battery Train ที่ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นรถจักรไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ ซึ่งทาง EA ได้รับโอกาสจากกระทรวงคมนาคม และ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ภายใต้นโยบาย EV on Train ขณะเดียวกันยังได้ร่วมมือกับภาควิชาการ สถาบันพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ มทร. อีสาน ในการเตรียมทดสอบระบบสับเปลี่ยนขบวน (Shunting) ที่สถานีบางซื่อภายในปีนี้

📌10 คำศัพท์น่ารู้!! เกี่ยวกับโลกธุรกิจยุคดิจิทัล

📌10 คำศัพท์น่ารู้!! เกี่ยวกับโลกธุรกิจยุคดิจิทัล

1.) BLOCKCHAIN
2.) DATA ECONOMY
3.) DEEP TECHNOLOGY (DEEP TECH)
4.) FINTECH
5.) DIGITAL CUSTOMER EXPERIENCE
6.) OPEN SOURCE CODE
7.) OPEN DATA
8.) MICRO-PAYMENT
9.) INTERNET OF VALUE
10.) SOCIAL BANKING

รมว.สุชาติ ส่ง เลขาสุเทพ ร่วมเปิดงานให้บริการรถไฟฟ้าสาย 8 เพิ่มการจ้างงาน สร้างรายได้สูงถึง 30,000 บาทต่อเดือน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดการให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 8 ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด  ภายใต้สโลแกน “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เปิดโอกาส ป.ตรี เข้าทำงานสู่ภาคบริการรับรายได้สูงถึง 30,000 บาทต่อเดือน 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดการให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 8 ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธ์ (มหาชน) จำกัด กล่าวต้อนรับ ณ อู่รถโดยสารสาย 8 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร

นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขานรับนโยบายรัฐบาลดังกล่าวในการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่กำลังแรงงานและให้บริการจัดหางานแบบครบวงจร และในวันนี้ได้มอบหมายให้ผมเป็นเกียรติในพิธีเปิดการให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 8 ของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ลงนามความร่วมมือว่าด้วยการบริการจัดหางานและพัฒนาทักษะการให้บริการด้านขนส่งสาธารณะกับบริษัท ไทย สมายล์บัส จำกัด บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  

นายสุเทพ กล่าวต่อไปว่า สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมกับบริษัทฯ จัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการขนส่งแล้วจำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตร มาตรฐานการปฏิบัติงานของพนักงานขับรถโดยสารไฟฟ้า และหลักสูตร มาตรฐานการปฏิบัติงานของพนักงานต้อนรับรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งในหลักสูตรการฝึกนั้น พนักงานขับรถโดยสารไฟฟ้าจะได้เรียนรู้การใช้งานเกี่ยวกับอุปกรณ์และระบบควบคุมของรถโดยสารระบบไฟฟ้า กฎ ระเบียบ มารยาท บุคลิกภาพ โครงสร้างอุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกของรถโดยสารไฟฟ้า รวมถึงมาตรการการปฏิบัติกรณีฉุกเฉินได้ส่วนตำแหน่งพนักงานต้อนรับรถโดยสารไฟฟ้า จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ เทคนิคการให้บริการด้วยใจ การคิดเงิน ทักษะเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ E Payment รวมถึงการดูแลความเรียบร้อยภายในรถขณะเดินทาง เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทได้นำหลักสูตรที่จัดทำร่วมกันไปพัฒนาบุคลากรของตนเองแล้วกว่า 200 คน และสำหรับวันนี้ บริษัทได้เปิดให้บริการขนส่งรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า สาย 8 เขตบึงกุ่ม  และกำลังจะเปิดให้บริการอีกหลายสาย จึงมีความต้องการแรงงานเข้าทำงานทั้งตำแหน่งพนักงานขับรถและพนักงานต้อนรับบนรถโดยสารอีกหลายอัตรา มีเงินเดือนสูงถึง 30,000 บาท 

บีโอไอ เผย ไทยขยับใกล้ขึ้นเป็นฮับ EV คาดต้นปี 66 ยอดผลิตแตะ 1 ล้านคัน

เผยยอดขอบีโอไอรถ EV ทะลุเป้า 830,000 คัน คาดต้นปี 2566 ผลิตได้แตะ 1 ล้านคัน ล่าสุด BYD จากจีนได้บีโอไอ ทุ่ม 17,891 ล้านบาท เริ่มผลิตปี 2567 จับตาค่ายจีน ยุโรป เตรียมยื่นขอส่งเสริมอีกเพียบ

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า นโยบายสนับสนุนให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ขึ้นในประเทศไทย โดยอาศัยมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือผลักดันให้เกิดการลงทุน ซึ่งจากสถิติยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดที่ผ่านมาของ XEV หรือรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบปลั๊กอิน (HEV) แบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และแบบแบตเตอรี่ (BEV) ได้รับการอนุมัติไปแล้วถึง 26 โครงการ จาก 17 บริษัท มีกำลังการผลิตแบบเต็ม (capacity) 830,000 คัน ซึ่งหากเป็นเฉพาะ BEV เพียว มีจำนวน 256,000 คัน นับว่าเป็นจำนวนที่สูง

ล่าสุดคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานบอร์ด ยังได้อนุมัติการลงทุนให้กับบริษัท BYD จากประเทศจีน ซึ่งจะเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ BEV และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก PHEV มูลค่าการลงทุน 17,891 ล้านบาท ที่จะต้องลงทุนในกรอบเวลา 3 ปี นับจากได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน ดังนั้น คาดว่า BYD จะเริ่มผลิตในปี 2567

ซึ่งตามเงื่อนไขการลงทุนนั้น จะต้องใช้แบตเตอรี่ในประเทศ จะเป็นการลงทุนเอง ดึงพาร์ตเนอร์ให้เข้ามาลงทุนเพื่อผลิตให้กับโครงการที่ได้รับอนุมัติก็ได้ หรือจะใช้แบตเตอรี่ที่มีผู้ผลิตอยู่แล้วในประเทศก็ได้ เพื่อประเทศไทยจะได้อานิสงส์จากการลงทุนครบทุกด้าน

'รองโฆษกรัฐฯ' เผย จัดเก็บภาษีแพลตฟอร์มต่างประเทศ 10 เดือนแรกของปีงบฯ 65 ได้เกือบ 6 พันล้านบาท

(19 ส.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีติดตามผลการจัดเก็บภาษีจากการค้าดิจิทัลของผู้ประกอบการต่างประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ เริ่มจัดเก็บเมื่อ 1 ต.ค. 2564 ซึ่งกรมสรรพากรรายงานว่า จากที่ได้มีการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษี ให้ผู้ประกอบการและอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มในต่างประเทศต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทยที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีรายได้จากการให้บริการดังกล่าวเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรมสรรพากรได้เปิดให้จดทะเบียนผ่านระบบ VAT for Electronic Service (VES) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ปัจจุบันมีมาจดทะเบียนแล้ว 138 ราย มีมูลค่าบริการทางอิเล็กทรอนิกส์รวม 85,015 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มสะสม 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 64 - ก.ค. 65) จำนวน 5,951 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ของทั้งปีงบประมาณ 2565 ที่ 5,000 ล้านบาท

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีการขายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) กรมสรรพากรมีหน่วยงานที่ติดตามการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษี ซึ่งรวมตั้งแต่การขายสินค้าทางออนไลน์ต่าง ๆ ไปจนถึง Youtuber,  Blogger Content Creator และธุรกิจอื่น ๆ โดยได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งภายในและภายนอกร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสำรวจผู้ประกอบการหรือผู้มีเงินได้ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Data Analytics การทำ Web Scraping การทำ Text Mining เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการทำ data analytics จะบ่งชี้ผู้เสียภาษีให้เจ้าหน้าที่สามารถให้คำแนะนำและการออกหนังสือเตือน (Notification Letter) เพื่อให้ผู้อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ ที่ผ่านมาได้ช่วยให้จัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นกว่า 800 ล้านบาท รวมทั้งกรมฯ ยังมีการเปิดระบบแจ้งเบาะแสหลีกเลี่ยงภาษีผ่าน Website on Mobile ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสำรวจแหล่งภาษี ซึ่งช่วยให้จัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นกว่าปีละ 200 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top