Friday, 29 March 2024
ECONBIZ

‘มาคาเลียส’ วอนรัฐบาลช่วยภาค ‘การท่องเที่ยว’ ในประเทศ หลังคนไทยเริ่มไม่เที่ยวไทย หวั่น!! เกิดปัญหาระยะยาว

มาคาเลียส แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย เผยภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว คนไทยแห่เที่ยวต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น เหตุจากค่าใช้จ่ายเที่ยวในประเทศมีราคาแพง โดยเฉพาะราคาค่าโดยสารสายการบิน ประกอบกับ นโยบายฟรีวีซ่า แนะภาครัฐและเอกชนควรหาทางออกโดยเร็ว หากปล่อยไว้กลายเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยวระยะยาว

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส (MAKALIUS) ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ แหล่งรวมอี-วอเชอร์ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว กล่าวว่า “ภาพรวมด้านการท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะชะลอตัว เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย อาทิ อัตราค่าโดยสารสายการบินภายในประเทศมีราคาแพง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลท่องเที่ยวจะมีราคาสูงขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว อีกทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศไม่ต่างจากการท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น

โดยตั้งแต่หลังสถานการณ์โควิด-19 พบว่า ประเทศที่คนไทยนิยมเดินทางไปมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร ไต้หวัน ลาว เป็นต้น เพราะประเทศเหล่านี้ออกนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว นโยบายฟรีวีซ่า และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาค่าโดยสายสายการบินต่างประเทศแข่งกันทำโปรโมชั่นพิเศษ บางสายการบินทำตลาดด้วยการเปิดเส้นทางใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งตลาดกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) และกรุ๊ปทัวร์

มาคาเลียสมองว่าปัญหา ‘คนไทยไม่เที่ยวไทย’ เริ่มสะท้อนให้เห็นตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ และช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยพบว่าการจองที่พักในประเทศผ่านระบบของมาคาเลียสมียอดจองต่ำกว่า 50% ในทางกลับกันแพคเกจต่างประเทศกลับมียอดจองสูงขึ้นถึง 70% ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็นปัญหาระยะยาวหากภาครัฐบาลและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่เร่งมือในการแก้ไข ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีนโยบายเพิ่มเที่ยวบินพิเศษจำนวน 38 เที่ยวบิน ในช่วงระหว่างวันที่ 11-12 เม.ย. และวันที่ 15-16 เม.ย.2567 ทำให้มีตั๋วโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นประมาณ 13,000 ที่นั่ง และสายการบินเตรียมจัดโปรโมชัน เพื่อให้ราคาถูกลง เพิ่มเที่ยวบินในประเทศแต่ราคายังสูงเหมือนเดิม ก็ยังคงเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและเป็นเพียงการแก้ไขแค่บางส่วน อาจไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นความสนใจของนักเที่ยวชาวไทยได้มากนัก เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก การตัดสินใจในแต่ละครั้ง ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและประสบการณ์ที่จะได้รับกลับคืนมา

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ต้องดำเนินการแบบ ‘บูรณาการณ์’ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

‘การเดินทาง’ (Transportation) ต้องปรับให้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง การเดินทางทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ มีมาตรฐานเดียวกัน คือ สะดวกในการจอง มีความปลอดภัย ตรงเวลา และราคาที่เหมาะสม เพราะต้องไม่ลืมว่า นักท่องเที่ยวไทยปัจจุบันมีหลากหลายไลฟ์สไตล์ บางคนชอบเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ นั่งรถไฟ นั่งเรือ แต่ติดปัญหาทั้งด้านราคา การบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงความยากในการเข้าถึงระบบการจองที่สะดวกและรวดเร็ว

‘ที่พัก ร้านอาหาร’ (Accommodation & Restaurant) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญ เพราะเป็นหัวใจหลักในการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ประกอบการควรรักษามาตรฐานทั้งด้านงานบริการ และราคาต้องเหมาะสม สามารถปรับเปลี่ยนราคาได้ในแต่ละช่วงของฤดูกาลแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมและสอดรับกับค่าครองชีพของคนไทย ส่วนบทบาทของภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้วยนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งควรให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ควรจำกัดเงื่อนไขเฉพาะบางตัวแทนจำหน่าย (Travel Agency) เพราะลูกค้าบางรายไม่ได้จองที่พักกับตัวแทนจำหน่ายขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “เรื่องสุดท้ายคือ ‘ประสบการณ์การท่องเที่ยว’ (Travel Experience) เทรนด์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวมองหารูปแบบการเที่ยวที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งประสบการณ์การพักผ่อน ประสบการณ์ความสนุกกับกิจกรรม ประสบการณ์การบริการที่เหนือระดับ และอื่น ๆ ดังนั้นการจะดึงนักท่องเที่ยวไทยให้เที่ยวในเมืองไทยได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการต้องสอดแทรกประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ไปในบริการของตนเอง และทำการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดการมาใช้บริการซ้ำ ในส่วนของภาครัฐอาจจะเข้ามาช่วยเหลือในด้านของเงินทุนปล่อยกู้สนับสนุน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำไปพัฒนารูปแบบบริการต่อไปได้”

'รมช.กฤษฎา' เผย!! 'คลัง' จ่อขยายค่าโอน-จดจำนองบ้านเกิน 3 ล้าน พร้อมเพิ่มเพดานกู้ผ่าน 'โครงการบ้านล้านหลัง' จาก 1.5 เป็น 2 ล้าน

เมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 67) นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานสัมมนาประจำปี 2567 สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ‘เจาะลึกปัญหาสินเชื่อกับหนี้ครัวเรือนและทางออก’ โดยกล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลัง มีการทบทวนมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้ทั้งมาตรการการคลังและมาตรการการเงินเพิ่มเติม เพราะถือว่าภาคอสังหาฯ เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่พอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้

นายกฤษฎา กล่าวว่า สำหรับแนวทางแรกนั้น กระทรวงการคลังกำลังพิจารณามาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 2% เหลือ 1% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% ที่ปัจจุบัน ให้เฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญานั้น โดยจะทำการขยายให้ สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาซื้อขายเกิน 3 ล้านบาทมีสิทธิเข้าร่วมด้วยมาตรการด้วย โดยให้สิทธิเฉพาะ 3 ล้านบาทแรกเท่านั้น

นายกฤษฎา กล่าวว่า ส่วนมาตรการทางการเงิน คือ โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ปัจจุบันกำหนดให้กู้ได้เฉพาะซื้อที่อยู่อาศัยราคาหรือค่าก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้น อาจจะขยายไปเป็นราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองมากขึ้น เพราะปัจจุบันที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านนั้นหาได้ยากแล้วจึงต้องปรับให้สอดคล้องกับราคาตลาดในปัจจุบัน และการขยายเป็นราคาสูงสุดเป็น 2 ล้านบาท ก็ไม่ได้เสี่ยงอะไร เพราะสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน และประชาชนที่เข้าร่วมโครงการก็ต้องเป็นคนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองจริงๆ

‘บางจาก’ ประกาศตรึงราคาน้ำมัน 12-17 เม.ย. 67 เตรียมพร้อมปั๊ม 2,200 แห่งให้บริการช่วงสงกรานต์

(28 มี.ค. 67) นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ บางจากฯ จะตรึงราคาน้ำมันไม่ปรับขึ้นระหว่างวันที่ 12-17 เมษายน 2567 แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับขึ้น แต่ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง บางจากฯ จะปรับลดลงด้วย 

นอกจากนั้นได้เตรียมพร้อมสถานีบริการน้ำมันไว้ต้อนรับและร่วมดูแลทุกการเดินทางของประชาชนที่กลับภูมิลำเนาเยี่ยมญาติมิตรและท่องเที่ยวพักผ่อน ทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูง กาแฟอินทนิล ธุรกิจเสริม ห้องน้ำสะอาด เพื่อรองรับทุกความต้องการ เติมเต็มความสุขให้คนทุกวัยตามแนวคิด ‘Greenovative Destination for Intergeneration’ ดังนี้ 

>>เติมน้ำมันคุณภาพสูงที่มาตรฐานเหนือกว่า กับน้ำมัน Hi Premium Diesel S และ บางจาก Hi premium 97 ที่มีค่าออกเทนสูงกว่า 97 ได้ที่ปั๊มบางจากที่เดียวเท่านั้น พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเมื่อเติมครบ  1,200 บาท ขึ้นไป รับคูปองผ่าน SMS ใช้แลกรับเครื่องดื่มอินทนิลฟรี 1 แก้ว และยิ่งสะสมยอดเติมได้สูงตามเงื่อนไข สมาชิกจะได้รับทองคำ บินไปชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือทริปเที่ยวดูแสงเหนือ แบบไม่จำกัดสิทธิ์ ดูรายละเอียดได้ที่ www.bcpgreenmiles.com

>>เติมความชื่นใจ เมื่อเติมน้ำมันบางจาก ​900 บาท รับฟรี น้ำดื่มขนาด 1.5 ลิตร ฟรี! 1 ขวด มูลค่า 15 บาท เมื่อเติมน้ำมันทุกชนิดครบทุก 900 บาท 1 - 30 เมษายน 2567 ดูรายละเอียดปั๊มที่ร่วมรายการได้ที่ www.bangchakmarketplace.com

>>เติมความสุขในเทศกาลท่องเที่ยว ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระตุ้นการท่องเที่ยว เพียงสมาชิกบางจากกรีนไมลส์เติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันบางจากครั้งแรกที่จังหวัดใดก็ได้ และมีการเติมน้ำมันครั้งถัดไปที่สถานีบริการน้ำมันบางจากในจังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ โดยไม่ซ้ำจังหวัดเดิมที่เติมน้ำมันครั้งก่อนหน้า ในวันธรรมดา (ไม่รวมวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไป จะได้รับ E-Coupon เติมน้ำมันบางจากมูลค่า 50 บาท ผ่าน SMS ตั้งแต่ 1 - 30 เมษายน 2567 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด ดูรายละเอียดได้ที่ www.bcpgreenmiles.com

>>เติมความอุ่นใจด้วยประกันภัยอุบัติเหตุสงกรานต์ สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ใช้เพียง 9 คะแนน แลกรับแผนความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์) คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท และใช้ 9 คะแนน แลกรับแผนความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์สุขใจบ้านปลอดภัย (ไมโครอินชัวรันส์) คุ้มครองสูงสุด 30,000 บาท กดรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันบางจาก ตั้งแต่   1 เมษายน 2567 - 31 พฤษภาคม 2567 โดยกรมธรรม์มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน ดูรายละเอียดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ www.bcpgreenmiles.com

>>เติมความสดชื่นที่ร้านอินทนิล ด้วยเครื่องดื่มหลากหลาย ทั้งกาแฟคุณภาพจากเมล็ดอาราบิก้าแท้ 100% โกโก้อินทนิล  รวมถึงเมนูชื่นใจคลายร้อนรับซัมเมอร์ พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ

-April Fool’s Day 1 เมษายนนี้ สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ ใช้เพียง 100 คะแนน แลกซื้อ 9 เมนูยอดนิยมจากอินทนิลได้ในราคาเพียง 1 บาท (เอสเพรสโซ่เย็น, อเมริกาโน่เย็น, โกโก้เย็น, ชาเขียวลาเต้เย็น, ชาไทยลาเต้เย็น, นมชมพูเย็น, นมสดเย็น, ชาดำเย็น และ ชามะนาวเย็น) จำกัด 150,000 สิทธิ์ วันเดียวเท่านั้นที่ร้านอินทนิลทุกสาขาทั่วประเทศ

-มา 5 จ่าย 4 ซื้อเครื่องดื่มอินทนิล 5 แก้ว จ่ายเพียง 4 แก้ว โดยมีเครื่องดื่มที่ร่วมรายการ คือ 9 เมนูยอดนิยมจากอินทนิล (เอสเพรสโซ่เย็น, อเมริกาโน่เย็น, โกโก้เย็น, ชาเขียวลาเต้เย็น, ชาไทยลาเต้เย็น, นมชมพูเย็น, นมสดเย็น, ชาดำเย็น และ ชามะนาวเย็น) ตั้งแต่ 11 - 17 เมษายน 2567 ที่ร้านอินทนิลที่ร่วมรายการ ไม่จำกัดสิทธิ์ตลอดโครงการ ติดตามรายละเอียดโปรโมชันอินทนิลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/inthanincoffeefanclub หรือ Line Official: @Inthaninofficial

>>เติมความพร้อม ดูแลเครื่องยนต์ช่วงเดินทางกับ น้ำมันหล่อลื่นพรีเมียม FURiO ขีดสุดเทคโนโลยีการปกป้องขั้นสูง มาตรฐาน API สูงสุดจาก USA พร้อมรับ Cash Card น้ำมันบางจาก มูลค่าสูงสุด 500 บาท และยังร่วมกับกรมการขนส่งทางบก จัดโครงการ ‘ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย ไปกับ FURiO’ ที่ศูนย์บริการคาร์แคร์ FURiO Care และ Wash Pro ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อเตรียมความพร้อมของรถก่อนเดินทางตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 - 30 มิถุนายน 2567 ตรวจสอบสาขาที่ร่วมโครงการได้ที่  www.bcpcarcare.com    

>>เติมไฟให้รถ EV Quick Charging Station ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากมีให้บริการมากถึง 284 สาขา ตั้งอยู่บนถนนสายหลักทุกระยะ 100 กิโลเมตร ครอบคลุมทุกทิศทั่วไทยรองรับรถ EV หลากหลายรุ่น หลากหลายยี่ห้อ ให้ผู้ใช้รถได้แวะชาร์จรถ EV และพักดื่มกาแฟอินทนิลเพื่อผ่อนคลายจากการเดินทาง ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันบางจากที่มี EV Charging Station ได้ที่ Bangchak Mobile Application

>>เติมพลังในการเดินทาง ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก Unique Design ใหม่ที่ปั๊มบางจากหัวหิน (The Chlorophyll Hua Hin) จุดแวะพักรองรับนักเดินทางท่องเที่ยวในหัวหิน ด้วยคอนเซ็ปท์ Connecting with Nature เพียบพร้อมด้วยบริการหลากหลาย ได้แก่ Inthanin, Jin Dim Sum, Ai-Cha, Ciao Pizza พิเศษสำหรับผู้ใช้บริการที่ร้านค้าต่าง ๆ เพียงมียอดการใช้จ่าย (ไม่มีขั้นต่ำ) รับสิทธิ์ชาร์จไฟฟรีที่ EV Pavilion ระหว่าง 12 - 16 เมษายน 2567 ณ The Chlorophyll Huahin สถานีบริการน้ำมันบางจาก หัวหิน สาขาเดียวเท่านั้น

นอกจากนั้น บางจากฯ เตรียมเพิ่มพนักงานเพื่อดูแลการจราจรและอำนวยความสะดวก ร้านสะดวกซื้อมินิบิ๊กซี Lemon Green ร้านใบจาก แฟมิลี่ มาร์ท ท็อปส์ เดลี่ เตรียมอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภคครบครัน รวมทั้งมีตู้เอทีเอ็มไว้พร้อมให้บริการ ตลอดจนได้เตรียมห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยและเพียงพอ สำรองน้ำมันและเพิ่มจำนวนรถขนส่ง ทั้งที่สถานีบริการและคลังน้ำมันในทุกภูมิภาค 

“เดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ บางจากฯ ขอเชิญชวนทุกท่านแวะผ่อนคลายให้หายเหนื่อย เติมน้ำมัน เติมพลังให้พร้อมเดินทางต่อที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทุกสาขาทั่วประเทศไทยและสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่เดิม ซึ่งเป็น ‘Greenovative Destination for Intergeneration’ ที่พร้อมต้อนรับนักเดินทางทุกช่วงวัย และขอให้ทุกท่านเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวพักผ่อนโดยสวัสดิภาพครับ” นายเสรีกล่าว

‘เด็กสมบูรณ์’ เปิดตัว ‘ซีอิ๊วขาวสูตร 1 แบบเม็ด’ ชูจุดเด่น ‘พกพาง่าย-ละลายเร็วใน 5 วินาที’

(28 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่ฮือฮาในวงการอาหารอีกครั้ง เมื่อ ‘เด็กสมบูรณ์’ แบรนด์เครื่องปรุงอาหาร อายุ 8 ทศวรรษ เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ‘ซีอิ๊วเม็ดเด็กสมบูรณ์’ หรือซีอิ๊วขาวสูตร 1 แบบเม็ด ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ชอบความสะดวกสบาย รวดเร็วต่อการใช้งาน

โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจของแบรนด์เด็กสมบูรณ์ เล่าที่มาที่ไปของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่า มาจากข้อจำกัดในการใช้ซีอิ๊วขาวแบบขวด หรือเครื่องปรุงรสแบบเดิม ๆ ทั้งเรื่องการจัดเก็บในครัว จนถึงการพกพาเครื่องปรุงรสไปด้วย เพื่อการปรุงอาหารหรือใช้เป็นของฝาก และปัญหาเรื่องขนาด-ปริมาณน้ำหนักของเหลว สำหรับการพกพาไปใช้ในต่างประเทศ

จากข้อจำกัดดังกล่าว นำไปสู่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการผลิต โดยใช้เวลากว่า 2 ปี จนนำมาสู่ซีอิ๊วเม็ด ซึ่งเด็กสมบูรณ์ระบุว่า ให้รสชาติและคุณประโยชน์ที่ไม่แตกต่างจากซีอิ๊วขาวสูตร 1 ตราเด็กสมบูรณ์

สำหรับซีอิ๊วเม็ดเด็กสมบูรณ์นั้น โชว์จุดเด่นเรื่องการละลายเร็ว สามารถละลายได้ใน 5 วินาที เมื่อสัมผัสกับอาหาร พกพาสะดวก บรรจุ 1 เม็ดต่อซองย่อย และให้ปริมาณที่เข้มข้น โดย 1 เม็ดของซีอิ๊วเม็ด เท่ากับการใช้ซีอิ๊วขาวสูตร 1 ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลลิลิตร)

สำหรับซีอิ๊วเม็ดเด็กสมบูรณ์ จะขายในรูปแบบ 1 ถุง บรรจุแยกซองละ 1 เม็ด รวม 12 เม็ด (เทียบเท่าซีอิ๊วขาว 360 มิลลิลิตร) สามารถหยิบใช้ได้เท่าที่เพียงพอในการทำอาหาร 1 เสิร์ฟ และระบุว่า จะวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เร็ว ๆ นี้

ขณะที่บนโลกออนไลน์ มีการแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก โดยมองว่าเป็นข้อดี เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่มีบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า จะเป็นคอนเทนต์วันโกหก (April Fool’s Day) หรือไม่

สำหรับเด็กสมบูรณ์ ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2490 ผลิตขึ้นโดยนายถ่ง แซ่ตั้ง ที่อพยพมาจากเมืองจีน เริ่มจากโรงงานผลิตเล็ก ๆ ทำกันเองในครอบครัวย่านสีลม ตั้งแต่หมักปรุงสูตร และใส่บรรจุขวดขาย ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบที่ดี จนกระทั่งในปี 2493 ได้มีการจดทะเบียนการค้า และใช้ชื่อแบรนด์ ‘ตราเด็กสมบูรณ์’ ขึ้นมา และมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักของตลาดเป็นอย่างดี อย่างซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม และซอสปรุงรส

ที่ผ่านมา เด็กสมบูรณ์สร้างสีสันให้กับตลาดเครื่องปรุงรส ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสที่ตอบความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ทั้งซีอิ๊วแบบไม่มีกลูเตน (Gluten-free) ซีอิ๊วสูตรลดโซเดียม ซอสปรุงรสอาหารและซอสจิ้มสูตรคีโต จนถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชา ภายใต้แบรนด์ DEK420

ขณะที่แง่การตลาด เด็กสมบูรณ์สร้างความฮือฮามาแล้ว ทั้งการนำเสนอ ‘อิ๊วโซดา’ หรือซีอิ๊วหวานผสมเครื่องดื่มโซดา ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นสูตรที่ให้ผู้คนนำไปทำตามได้ และได้มีการนำมาให้ทดลองดื่มจริงในงานแสดงอาหาร จนมาถึงการเปิดตัวน้องธีร์-น้องพีร์ ลูกชายฝาแฝดของบีม-กวี และออย-อฏิพรณ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้อนรับอายุ 8 ทศวรรษของแบรนด์

‘พีระพันธุ์’ มอบนโยบาย กฟผ. ย้ำ!! แม้ไม่ใช่ข้าราชการ 100% แต่ต้องยึดประโยชน์ของชาติและประชาชนสำคัญเหนืออื่นใด

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ณ สำนักงานกลาง กฟผ. และมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ กฟผ. และผู้บริหารระดับสูง ในการดูแลระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นสำคัญ

“มันก็จะเป็นประวัติของพวกเราเองว่า เราได้ทําหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน เราได้ทําหน้าที่ให้กับบ้านเมืองแล้ว เราเป็นรัฐวิสาหกิจ เราไม่ใช่ข้าราชการ 100% แต่ภารกิจหน้าที่ก็ไม่ได้ต่างกัน นั่นคือทําเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ เราเป็นผู้ที่ต้องแบก ผมเข้าใจว่าในการบริหารองค์กรแบบนี้ท่านต้องเอาองค์กรให้รอดด้วย แต่อย่าลืมว่าเหนือสิ่งอื่นใดคือประโยชน์ของประชาชน ของประเทศชาติ เราต้องแบก” นายพีระพันธุ์กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center: REFC) และศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Control Center: DRCC) ก่อนเดินทางด้วยรถบัส EV ไปยังศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ (National Control Center : NCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้โรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่ตั้งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

'ม.ล.ชโยทิต' ผู้อยู่เบื้องหลังดีลบริษัทระดับโลกลงทุนไทย คีย์แมนดึงนักลงทุน 'ยุคลุงตู่' ที่ 'ลุงนิด' เลือกมาช่วยถูกเวลา

(27 มี.ค.67) 6 เดือนของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน หลังเข้ารับตำแหน่ง ‘หัวหน้ารัฐบาล’ ประกาศตัวเป็น ‘เซลส์แมน’ เดินสายโรดโชว์ไปทั่วโลกหลังจากหลับใหลมา 9 ปีเต็ม 

ตัวเลขส่งเสริมการลงทุนปี 66 มีคำขอ 8.5 แสนล้านบาท 2,300 โครงการ สูงที่สุดในรอบ 9 ปี โดยช่วงไตรมาสสี่ (ตุลาคม-ธันวาคม) ปี 2566 เทียบกับตัวเลขไตรมาสสี่ของปี 2565 มูลค่าขอรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น 145 %   

ด้าน ‘ม.ล.โชทิต กฤดากร’ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี-ประธานผู้แทนการค้าไทย 1 ใน 2 คีย์แมน ที่ติดตามภารกิจนายกรัฐมนตรีพบปะผู้นำมหาอำนาจ 14 ประเทศ นักธุรกิจระดับโลก 60 บริษัท ซึ่ง ม.ล.ชโยทิต ได้คุยนอกรอบและบอกถึง ‘จุดเด่น’ ที่ทำให้นักลงทุนหันกลับมามองไทยเป็นประเทศน่าลงทุน

โดยข้อดีของประเทศไทยมี 2 เรื่อง 1.การเกิด Trade war ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต และ 2.พลังงานสะอาด    

“ข้อได้เปรียบประเทศไทย คือ พลังงานสะอาด ไม่มีใครสู้ได้”

“ถ้าตั้งใจทำดี ๆ เราไม่แพ้ชาติไหนในโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ เราเคยเป็นแชมป์ จะไปเสียแชมป์ง่ายๆ ได้อย่างไร เพียงแต่เราไม่ได้ชก หลับไปแปบหนึ่ง”

“ไม่ถึงกับหลับไป 9 ปีหรอก เผอิญเรามายุ่งกับเรื่องในประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจพอไปได้ ท่องเที่ยวยัง Ok แต่ไม่ก้าวกระโดด”

>> Land of no conflict

ม.ล.ชโยทิต ไม่ปฏิเสธว่า ไทยได้รับอานิสงส์จาก ‘สงครามการค้า’ ทำให้วันนี้หลายบริษัทที่ไปตั้งอยู่ในจีน ถ้าเป็นค่ายตะวันตกต้องย้ายฐาน

“เราเป็น Land of no conflict ไม่มีความขัดแย้ง ชายแดนเราไม่ติดกับมหาอำนาจ เราสนิททั้งจีน ทั้งอเมริกา คุณไปสู้ที่อื่นไม่เป็นไร แต่ที่นี่ ค้าขาย ไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร”

ทว่า ม.ล.ชโยทิต ก็ได้ชี้ ‘จุดอ่อน’ ของประเทศไทยว่า “เรากันเองไม่รักชาติ เราชอบด้อยค่าประเทศของเราเอง”

สำหรับ ‘ทำเลทอง’ ที่ ‘นักลงทุน’ สนใจลงทุนอยู่ในพื้นที่ใดเป็นพิเศษ ม.ล.ชโยทิต ได้เล่าคอนเซ็ปต์ให้ฟังว่า ต้องการกระจายให้ไปทั่วทุกภูมิภาค ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในพื้นที่อีอีซี

โดยให้กระจายไปหลาย ๆ ภูมิภาค เช่น อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงอยากให้ไปอยู่ในภาคเหนือ ที่จังหวัดลำพูนมีความเสถียรของชั้นหิน และโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น สนามบิน หรืออุตสาหกรรมฮาลาลในภาคใต้ พยายามจะไปเหนือ ตะวันออก ตะวันตก ใต้ 

“พื้นที่ใดที่มีแหล่งพลังงานสะอาดใช้ได้หมด จะเป็นการกระจายอุตสาหกรรม กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ”

>> เบื้องลึกปิดดีลบริษัทยักษ์ระดับโลก

การปิดดีลบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัท ส่วนหนึ่งเป็นการ ‘ต่อยอด’ จากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ แต่ความแตกต่าง คือ การที่ ‘ผู้นำรัฐบาล’ เดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง ทำให้ได้พบกับ เบอร์ 1 ของบริษัทระดับโลก

อดีตผู้แทนการค้าไทย - หัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอา ชี้ ‘จุดเด่น’ ของการที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง ว่า “ความมั่นใจต่างกัน” 

“ธรรมดาเวลาผมไปในฐานะหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกสมัยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้เจอแต่รองประธาน เบอร์ 3 เบอร์ 4 ไม่ได้พบกับเบอร์ 1 เหมือนนายกรัฐมนตรีไปเอง”  

“ท่านนายกฯ นั่งอยู่ด้วย ท่านชัดเจน ท่านเป็นนักธุรกิจมาก่อน เวลาเขาขออะไรมา อะไรได้ อะไรไม่ได้ ไม่มี อารัมภบท ไม่มีรำ นี่คือสิ่งที่เขาติดใจ ความเด็ดขาด ความรวดเร็ว ไม่ต้องรอละเลียด เดินได้เดิน”

“วันนี้ตัวเลขกลับขึ้นมามากกว่า 9 ปีที่แล้ว Q1 มากกว่า Q 1 ปีที่แล้ว 1 เท่า ปีนี้จะเอาให้ถึงล้านล้านคำขอ ลงทุนจริงก็ต้องมา ถ้าไม่มีคำขอลงทุนก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง”

ส่วนปัจจัยอะไรที่ทำให้คำขอไม่เป็นไปตามแผนลงทุน-ไม่มาตามนัด ม.ล.ชโยทิต บอกว่า คือ “ความเชื่อมั่นคนไทยในประเทศตัวเอง”

>> แย้มเทสล่าลงทุนในไทย 

กระแสข่าวบริษัทเทสล่า (Tesla) ไม่มาลงทุนในไทย เนื่องจากกฎระเบียบ-กติกาไม่เอื้อ เช่น การจัดหาเนื้อที่ 2,000 ไร่ ในการตั้งโรงงาน จึงเกิดคำถามว่า ‘ยักษ์ใหญ่อีวี’ สัญชาติสหรัฐฯ จะมาลงทุนในไทยหรือไม่

ม.ล.ชโยทิต จึงเดิมพันด้วยเลี้ยงข้าว-ก๋วยเตี๋ยวชามเดียว พร้อมกับระบุว่า พูดไม่ได้ ไปพูดก่อนจะมาไหม ต้องรอให้เขาประกาศก่อน เหมือนกับ บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) เป็นคนประกาศเองว่ามีแผนลงทุนในไทย 200,000 ล้านบาท  

“คนจะมาลงทุนจะมาเที่ยวป่าวประกาศ ไม่ใช่ ไม่ใช่การทำงานสไตล์พวกเรา พวกเราทำงานจนให้เขาประกาศเอง เป็นมารยาทสำคัญ”

“ของพวกนี้ต้องใช้เวลา ไม่ได้เปิดปุ๊บติดปั๊บ”

ม.ล.ชโยทิต เฉลยเหตุผลที่ ‘เศรษฐา’ เรียกใช้งาน แม้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง-สวมหมวกอดีตรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ไฮปาร์คเข้าใส่กันดุเดือด ยืนอยู่คนละขั้ว-คนละข้างกับพรรคเพื่อไทย 

“นั่นมันตอนหาเสียง การเมืองก็คือการเมือง หาเสียงก็คือการหาเสียง ตอนนั้นเราสวมหัวโขนคนละแบบกัน”

“ผมกับท่านนายกฯ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่และปู่ย่าเป็นเพื่อนกัน ผมรู้จักท่านนายกฯ ดี เกิดมาผมก็รู้จักท่านนายกฯ แล้ว และท่านนายกฯ ก็เป็นเพื่อนของพี่สาวผมด้วย”

ทั้งนี้ ‘เศรษฐา’ เป็นบุตรของ ‘ร.ท.อำนวย ทวีสิน’ กับ ‘ชดช้อย ทวีสิน’ สกุลเดิมคือ ‘จูตระกูล’ ขณะที่ ‘ม.ล.ชโยทิต’ เป็นบุตรของ ‘ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร’ กับ ‘ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร ณ อยุธยา’ โดยมี ‘ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี’ เป็นพี่สาว  

การเรียกใช้บริการเสริม ‘ม.ล.ชโยทิต’ ผู้บุกเบิก-กรุยทางดึงดูดนักลงทุนตั้งแต่ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จึงถูกฝา-ถูกตัว ไม่ผิดคน 

‘กัลฟ์’ ผนึกกำลัง ‘ซันโกรว์’ จัดหาระบบกักเก็บพลังงาน ใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เดินเครื่อง ปี 67-73

(27 มี.ค. 67) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) จับมือ บริษัท ซันโกรว์ พาวเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (Sungrow) หนึ่งในผู้จัดหาอินเวอร์เตอร์และระบบกักเก็บพลังงานระดับโลก ลงนามในสัญญาจัดหา (Master Supply Agreement) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage Systems) และระบบอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ (PV Inverter) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของกลุ่มบริษัทกัลฟ์และบริษัทในเครือ รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ (MWp) โดยมีแผนทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567-2573

สำหรับการลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการลงนามระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นจิเนียริ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (บริษัทที่ GULF ถือหุ้นร้อยละ 100) และ Sungrow เพื่อจัดหาระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และระบบอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farms) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar Farms with Battery Energy Storage Systems) และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftops) ของกลุ่มบริษัทกัลฟ์และบริษัทในเครือ รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ (MWp) 

โดยมีนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF และ นายเฉา เหรินเซียน ประธานกรรมการบริหาร Sungrow เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วย นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ GULF และนายซู เยว่จื้อ ผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Sungrow ร่วมเป็นสักขีพยาน

ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รวมถึงสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ GULF ในการคัดสรรพันธมิตรชั้นนำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มั่นใจได้ถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบกักเก็บพลังงานและระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่ง Sungrow เป็นผู้นำในธุรกิจอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ระดับสากลด้วยประสบการณ์กว่า 27 ปี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สูงที่สุด (Tier 1) 

อีกทั้งยังมีปริมาณการขายระบบอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับ 1 ของโลก ขนาดการติดตั้งมากกว่า 405 กิกะวัตต์ ในกว่า 170 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย และสเปน นอกจากนี้การจัดซื้ออุปกรณ์ในปริมาณมากยังเพิ่มประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ส่งผลให้ GULF บริหารจัดการต้นทุน และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ผลงาน ‘Bio PCM’ จาก ‘EBI’ บริษัทในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ คว้า ‘BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024’

(26 มี.ค. 67) นายจีรพันธ์ ปัญญาตนันท์ Executive Vice President สายงานปฏิบัติการธุรกิจไบโอดีเซล บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับรางวัล BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024 ในสาขาผลิตภัณฑ์ กลุ่มยานยนต์และพลังงานทดแทน จากผลงาน EA Bio PCM โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรีและประธานในพิธี  ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

นายจีรพันธ์ กล่าวว่า อีเอ ไบโอ อินโนเวชั่น หรือ EBI เป็นบริษัทย่อยของ EA สร้างสรรค์ Bio PCM (Bio Based Phase Change Material) ซึ่งผลิตภัณฑ์สารเปลี่ยนสถานะ นวัตกรรมที่ได้รับคัดเลือกเป็นสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี ในกลุ่มยานยนต์และพลังงานทดแทน โดย EA Bio PCM ได้จดสิทธิบัตรเป็นรายแรกของโลก ผลิตภัณฑ์เน้นการใช้อนุพันธ์ปาล์มน้ำมัน วัตถุดิบจากในประเทศ ผ่านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม ที่สำคัญ EBI ยังได้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยต่อยอดการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม ไปสู่น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) โดยเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพใช้สำหรับเครื่องบิน ซึ่งคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกับน้ำมันเครื่องบินที่เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน EA Bio PCM มีการถูกนำไปใช้ในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการทั้งด้านสุขภาพ วัสดุประหยัดพลังงาน รวมทั้งกลุ่มผู้บริโภคที่มีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อาคารและการก่อสร้าง, เสื้อผ้า, บรรจุภัณฑ์, เป็นต้น โดยได้ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนเป็นหลัก พร้อมขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป และ อเมริกา เพื่อใช้เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิของวัสดุ และลดการใช้พลังงานไฟฟ้า เพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าทำให้เกษตรกรปาล์มและแรงงานในพื้นที่ให้มีรายได้ดีขึ้น สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนสู่การพัฒนาชุมชนในทุกมิติ สนับสนุนตามนโยบายภาครัฐสู่ Bio Hub ของอาเซียน

“EBI มีความตั้งใจพัฒนานวัตกรรมสินค้า ให้ตรงกับความต้องการของตลาด รางวัล BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024 จากผลงาน EA Bio PCM ถือเป็นความภาคภูมิใจให้พนักงานสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ อีกทั้งยังสามารถขยายไปในอุตสาหกรรม Cold Chain Logistic เพื่อลดการใช้พลังงานในระบบควบคุมอุณหภูมิของการขนส่งสินค้า ให้สามารถรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อันเป็นการยกระดับมาตรฐานการขนส่ง สร้างความปลอดภัย มั่นใจในคุณภาพ” นายจีรพันธ์กล่าวทิ้งท้าย

เปิดข้อบ่งชี้สำคัญ!! เหตุใดหลังโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ตอบ : ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

(26 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'LVanicha Liz' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

พฤติกรรมพร่ำบ่นคำว่าทศวรรษที่สูญหาย (the lost decade) กรอกหูประชาชนในทำนองที่น่าจะเป็นการดิสเครดิตการบริหารสองสมัยสองระบบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเกิดจากการไม่มีความรู้เทคนิคการประเมินผล (รวบยอดประเมิน vs แยกประเมิน) หรืออาจเกิดจากความจงใจใช้ผลกระทบเสียหายจากวิกฤติโควิด (รวมทั้งการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน) มาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง ฯลฯ

สำหรับนายเศรษฐา ทวีสิน นอกจากจะวิจารณ์ ‘8-9 ปีที่ผ่านมา’ อย่างเผ็ดร้อนแล้ว ก็ยังได้แสดงอาการวิตกห่วงใยอย่างมาก ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของไทยไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน แล้วเลยทำท่าคล้ายจะพาลพาโลว่าเศรษฐกิจวิกฤตจนต้องสร้างหนี้เพิ่มให้ประเทศถึงห้าแสนล้านบาท เอามาให้คนกินๆใช้ๆ โดยหวังว่าจะทำให้ตัวเลข GDP กระโดดขึ้นสู่เป้าหมาย 5% จนบุคลากรระดับสูงด้านเศรษฐกิจการเงินของชาติจำนวนมากต้องออกโรงคัดค้านกันจ้าละหวั่น 

ในความเป็นจริง เพียงดูตัวเลข GDP growth บนแกนเวลา ก็พบข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน (อ้างอิงภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’ และภาพขยาย)
https://www.macrotrends.net/global-metrics/countries/THA/thailand/gdp-per-capita 
หมายเหตุ : GDP ในโพสต์นี้ ใช้ตัวเลข per capita (ต่อจำนวนประชากร) เพื่อตัดผลกระทบจากอัตรา

การเพิ่มจำนวนประชากรที่แต่ละประเทศมีไม่เท่ากัน (อ้างอิงภาพอัตราการเติบโตของประชากร)        

ข้อบ่งชี้สำคัญที่แสดงในกราฟของ macrotrends.net แสดงว่า อัตราการเติบโตของ GDP ไทย 8-9 ปีหรือทศวรรษที่ผ่านมา แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) และช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยมีการบริหารประเทศคนละระบบ มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่างกัน และมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามหลักการจึงควรต้องแยกประเมิน

ช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) เป็นระบบที่บริหารโดยคณะรัฐประหาร ไม่มีฝ่ายค้าน การเติบโตของ GDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (contrast กับผลงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย ที่การเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนติดลบ)

ส่วนช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) เป็นระบบที่บริหารโดยมีฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ (หลักๆ ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล) การเติบโตของ GDP ก็ตกต่ำลงอย่างชัดเจน (อ้างอิงส่วนขยายของภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’) จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของ GDP จากสูงขึ้นกลายเป็นต่ำลงนั้น เกิดพร้อมกับการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน และคงความตกต่ำอยู่ตลอดช่วงการคงอยู่ของฝ่ายค้าน

เมื่อพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนปลง GDP ของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน (ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) จากกราฟเปรียบเทียบ (อ้างอิงภาพ GDP per capita ของ ID, PH, TH, VN) สังเกตได้ว่า

1. วิกฤติโควิดทำให้ GDP ของทั้งสี่ประเทศตกลงในปี 2020 เหมือนกันหมด

2. ช่วงก่อนโควิด ซึ่งเป็นช่วงการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) นอกจากไทยจะมี GDP per capita สูงที่สุดใน 4 ประเทศแล้ว ตัวเลขของไทยยังไต่สูงขึ้นโดยมีความชันมากกว่าทั้งสามประเทศอีกด้วย แสดงถึง #ศักยภาพในการบริหารที่สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน

3. หลังจาก GDP ตกต่ำลงในปี 2020 ประเทศเพื่อนบ้านสามารถฟื้นฟูยอด GDP กลับขึ้นสู่ระดับก่อนโควิดได้ทั้ง 3 ประเทศ แต่ประเทศไทยไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ คสช. ทำไว้ได้ ข้อแตกต่างของการดำเนินงานจากช่วงก่อนหน้าโควิด หลักๆคือการเปลี่ยนระบบการบริหารประเทศไปเป็นแบบเลือกตั้ง ทำให้ฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ

การมีฝ่ายค้าน มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบงบประมาณ ฯลฯ แต่หากฝ่ายค้านใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ (เช่น แทนที่จะสนับสนุนระบอบการปกครอง กลับมาตั้งหน้าตั้งตาล้มระบอบการปกครอง แทนที่จะเปิดเผยความจริงต่อประชาชน กลับบิดเบือนหลอกหลวงประชาชน ฯลฯ) หรือศักยภาพไม่เพียงพอ (ดังที่ปรากฏภายหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่ามีพรรคฝ่ายค้านที่กำหนดนโยบายหาเสียงแล้วต้องยอมรับหรือถูกตรวจพบในทันทีหรือไม่นานหลังจากได้รับเลือกตั้ง ว่าทำไม่ได้) ฝ่ายค้านก็จะกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าไม่ได้เท่าที่ควรแม้ฝ่ายบริหารจะมีศักยภาพก็ตาม

สรุปว่า macrotrends.net ได้ช่วยแสดงข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยชี้ให้เห็นได้ว่า ... ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

ณ เวลานี้ ฝ่ายค้านดังกล่าว 1 พรรค (เพื่อไทย) ได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2023 เราจึงจะได้เห็นต่อไป ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของรัฐบาลใหม่นี้ แม้เพียงทำให้ได้เท่าที่ คสช. เคยทำไว้ จะทำได้หรือไม่ และเมื่อใด

อย่าให้สรุปได้ว่าทศวรรษที่สูญหายเริ่มต้นปี 2023 ก็แล้วกัน       

ผลสำรวจความพึงพอใจผู้ใช้บริการ ‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ 1/2567 ‘บริการ-ตรงเวลา-คุณภาพ-สะดวก’ อยู่ในเกณฑ์ ‘พึงพอใจมาก’

(26 มี.ค. 67) นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารในการใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูล และเข้าถึงความต้องการของผู้โดยสาร สำหรับนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสำรวจและวิจัย เป็นผู้ออกแบบ และลงพื้นที่สำรวจความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการทั้ง 13 สถานี 

โดยผลปรากฏว่าจากคะแนนเต็ม 5 ผู้โดยสารมีความพึงพอใจด้านการให้บริการ 4.48, ด้านความปลอดภัย 4.46, ด้านความน่าเชื่อถือต่อความตรงต่อเวลา ความถี่ และคุณภาพในการเดินรถไฟฟ้า 4.38, ด้านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 4.45, ด้านคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกบนสถานีและในขบวนรถ 4.36, ด้านเหรียญโดยสาร/บัตรโดยสาร และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 4.38 ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเป็นอย่างมาก

การที่ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่มีต่อรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงในด้านต่าง ๆ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก แสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในปัจจุบัน หลังจากได้ดำเนินนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ส่งผลให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบาย มาตรการต่าง ๆ ที่เป็นการยกระดับการให้บริการ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยมาโดยตลอด โดยเฉพาะมาตรฐานการให้บริการที่บริษัทฯ ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ขอบเขตการปฏิบัติการเดินรถไฟฟ้า ความปลอดภัย และวิศวกรรมซ่อมบำรุง จากหน่วยรับรอง Bureau Veritas (BV) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้บริการด้านการตรวจประเมินและออกใบรับรองในด้านคุณภาพ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในระดับโลก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่น พัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าด้วยมาตรฐานระดับสากล มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการอย่างเต็มความสามารถ

โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม Facebook Fan Page, Twitter, Instagram, Youtube, Tiktok พิมพ์ชื่อ ‘RED Line SRTET’

'รมว.ปุ้ย' ชวนคนไทยซื้อหาสินค้ามาตรฐาน 'สมอ.' รับประกันราคาถูกกว่าท้องตลาด 25-29 มี.ค. ณ สมอ.

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ‘มหกรรมสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานราคาโรงงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี การสถาปนาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม’ ว่า ตลอดระยะเวลา 55 ปี ที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ดำเนินงานด้านการมาตรฐานของประเทศ เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนนำการมาตรฐานไปใช้ประโยชน์ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ขณะเดียวกันก็คุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยจากการใช้สินค้าด้วยการกำกับ ดูแล คุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. มุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตามภารกิจที่สำคัญทั้งการกำหนดมาตรฐานที่ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การตรวจสอบและรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐานของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ตลอดระยะเวลา 55 ปี สมอ. ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรม และคุ้มครองประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบัน สมอ.ได้พัฒนาการให้บริการผู้ประกอบการและประชาชนด้วยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โดยในปีนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ สมอ. มีการดำเนินงานมาครบรอบ 55 ปี ในวันที่ 25 มีนาคม 2567 จึงได้จัดงาน ‘มหกรรมสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานราคาโรงงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี การสถาปนาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม’ ขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ สมอ. ครบรอบ 55 ปี และสืบทอดเจตนารมณ์ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีมาตรฐาน ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดค่าครองชีพให้ประชาชน โดยนำผู้ประกอบการกว่า 50 ราย 92 บูธ ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน มอก. มาร่วมออกร้านจำหน่ายสินค้าคุณภาพดี มีมาตรฐาน ในราคาโรงงาน ซึ่งถูกกว่าท้องตลาด 20 - 50% ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องซักผ้า พัดลม ทีวี ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น เตาไมโครเวฟ เตาปิ้งย่าง กระทะไฟฟ้า ไดร์เป่าผม เครื่องม้วนผม ลำโพง เครื่องเสียง หลอดไฟ โคมไฟ ปลั๊กพ่วง พาวเวอร์แบงค์ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังมี รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ภาชนะเมลามีน ภาชนะพลาสติก ภาชนะเทฟลอน ของเล่น หมวกกันน็อก หน้ากากอนามัย เครื่องกรองน้ำดื่ม น้ำตาลทราย รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ และสินค้า OTOP ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และงานบริการที่ได้รับการรับรอง มอก. S จึงขอเชิญชวนประชาชนมาเลือกซื้อสินค้าคุณภาพมาตรฐานภายในงาน รับประกันราคาถูกกว่าท้องตลาด ตั้งแต่วันที่ 25 - 29 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 - 18.00 น. ณ บริเวณโดยรอบอาคาร สมอ. ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ (เยื้องกับโรงพยาบาลรามาธิบดี)

EEC เปิด 'ศูนย์เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี' นำร่อง!! สร้างกลไกมีส่วนร่วมชุมชน เชื่อมประโยชน์การลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชนอย่างยั่งยืน

(25 มี.ค. 67) ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี ร่วมกับนายชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน สกพอ. และนายวีกิจ มานะโรจน์กิจ นายอำเภอบางละมุง เข้าร่วมกิจกรรมเปิดศูนย์เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี นำร่อง ณ ศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาภูมิปัญญาชุมชน ตำบลหนองปลาไหล จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นเสมือนตัวแทน อีอีซี ในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ บอกเล่าถึงประโยชน์และความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี ให้กับชุมชนในอำเภอบางละมุง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางดำเนินกิจกรรมของเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ซึ่งเป็นกลไกหลักและเป็นตัวแทนของ อีอีซี ในการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า ศูนย์เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี จะช่วยเป็นแกนกลางในการผลักดันให้สินค้าและบริการของชุมชนเป็นส่วนหนึ่งใน Supply Chain ของนักลงทุน ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานสำคัญในปัจจุบัน ในการส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนมาสู่การพัฒนาพื้นที่ และชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมจากกลุ่มพลังสตรี อีอีซี ที่ได้ร่วมเป็นกระบอกเสียงสำคัญสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ ได้รับข่าวสารและข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าถึงประโยชน์จากการพัฒนาอีอีซีได้อย่างทั่วถึง และถือเป็นช่องทางสำคัญในการรับฟังความคิดเห็น และรับฟังข้อมูล เกี่ยวกับอีอีซี รวมถึงจะสนับสนุนให้กลุ่มพลังสตรี อีอีซี ได้รวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมประโยชน์ต่อสาธารณในพื้นที่ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ รวมถึง สกพอ. ก็มีกิจกรรมในการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหรือวิสาหกิจเพื่อสังคมผ่านกลไกความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ

เพื่อให้เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ได้มีบทบาทเพิ่มขึ้นในการเตรียมความพร้อมการนำประโยชน์จากการลงทุนในพื้นที่ให้สามารถยกระดับเศรษฐกิจชุมชน สร้างโอกาสให้แก่สินค้าชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการท่องเที่ยวของชุมชนให้มีมาตรฐาน รองรับการเข้ามาใช้จ่ายของคนที่มาทำงานใน อีอีซี มีศูนย์กลางในการพบปะทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

สกพอ. ได้จัดตั้งศูนย์เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี นำร่องในชุมชน จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาภูมิปัญญาชุมชน ตำบลหนองปลาไหล อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอปลวกแดง ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และชมรมผู้สูงอายุดอกลำดวน มัสยิดดารุ้ลดอยร็อต ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเครือข่ายพลังสตรี อีอีซี รวมกว่า 600 คน เป็นตัวแทนสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และร่วมกับอีอีซี ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตลอดจนรายได้ของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สำหรับที่ตั้ง ศูนย์เครือข่ายพลังสตรี อีอีซี ณ ศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาภูมิปัญญาชุมชน ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนที่สะท้อนความโดดเด่นด้านการทำนาด้วยภูมิปัญญาการปลูกข้าวที่มีมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันเขตพื้นที่ ต.หนองปลาไหล มีพื้นที่นาประมาณ 190 ไร่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีพื้นที่ทำนาลดลง แต่ชาวบ้านยังคงอนุรักษ์และสืบสานอาชีพการทำนา ด้วยการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาภูมิปัญญาชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ เป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวด้านการเกษตร ที่นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมได้ อาทิ ทดลองดำนา เกี่ยวข้าว ชมดนตรีพื้นบ้าน ทดลองทำอาหารพื้นบ้านจากวัตถุดิบท้องถิ่น เป็นต้น

GAC AION เปิดตัวรถไฟฟ้า AION Y Plus 410 Premium เคาะราคาน่าสน 'ต่ำล้าน' ตั้งเป้าทะยานผู้นำตลาด EV ไทย

(25 มี.ค.67) บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า GAC AION อย่างเป็นทางการ ขอแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION Y Plus 410 Premium ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 859,900 บาท ทางเลือกใหม่ของรถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าสุดคุ้มค่า ที่มาพร้อมฟีเจอร์และฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะครบครัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย 

นอกจากนี้ AION Y Plus 490 Premium ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ยังมาพร้อมราคาพิเศษ และของสมนาคุณมากมาย เฉพาะในงาน Motor Show 2567 เท่านั้น

AION Y Plus 410 Premium รถเอสยูวีไฟฟ้า ออกแบบมาเพื่อตอบรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มอบสุนทรียภาพในการขับขี่และการโดยสาร โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูล้ำสมัย พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งโดยสารสะดวกสบายในทุกตำแหน่ง มาพร้อมมิติตัวถังขนาดใหญ่ ด้วยความยาว 4,535 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,870 มิลลิเมตร ความสูง 1,650 มิลลิเมตร และมีความสูงใต้ท้องรถ 150 มิลลิเมตร

AION Y Plus 410 Premium ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 150kW ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิด 255 นิวตัน-เมตร พร้อมด้วยแบตเตอรี่เทคโนโลยี Magazine Battery ขนาด 50.66 kWh มอบระยะทางวิ่งสูงสุด 410 กิโลเมตร

AION Y Plus 410 Premium มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่และฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมาย อาทิ…

>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC with Stop&Go)
>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA)
>> ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)
>> ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
>> ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
>> ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ (LKA)
>> ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EBP)
>> ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold
>> ภาพพาโนรามา 360 องศารอบตัวรถ
>> ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง

นอกจากนี้ AION Y Plus 410 Premium ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ…

>> ระบบจ่ายไฟฟ้าสู่อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก VTOL
>> เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง
>> เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง
>> ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
>> ระบบนำทางและฟังเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต
>> ระบบสั่งการด้วยเสียงรองรับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
>> ระบบควบคุมรถระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน
>> ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร 32 สี รองรับการเปลี่ยนแปลงตามจังหวะดนตรี

AION Y Plus 410 Premium มีสีภายนอก 7 สี ได้แก่ Lucky Gold, Vitality Green, Speedy Silver, Liberty Ash, Elegant Gray, Pure White, Glamour Black และสีทูโทนทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Lucky Gold with Black Roof, Vitality Green with Black Roof และ Pure White with Black Roof พร้อมด้วยสีภายในห้องโดยสาร 5 สี ได้แก่ Enchanted Forest, Fairy Wonderland, Rosy Coastline, Azure Ocean และ Subtle Lavender

พิเศษ!! สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus 410 Premium และ AION Y Plus 490 Premium ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 จะได้รับโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ ดังนี้...

*** AION Y Plus 410 Premium ราคาจำหน่าย 859,900 บาท
>> ฟรี!! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
>> ฟรี!! Home Charger พร้อมค่าบริการติดตั้ง
>> ฟรี!! ฟิล์มรถยนต์รอบคัน
>> ฟรี!! พรมปูพื้น
>> ฟรี!! ค่าจดทะเบียน

*** AION Y Plus 490 Premium ราคาพิเศษ 949,900 บาท (โปรพิเศษ เฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ 2024: เมื่อรับรถภายใน 30 เมษายน 2567 และขึ้นทะเบียนเปลี่ยนเป็นป้ายขาวภายใน 31 พฤษภาคม 2567)
>> ฟรี!! ชุดแคมปิ้งสุดล้ำ ประกอบด้วย สายชาร์จ VTOL, เตียงเบาะลม, เต็นท์ และสายชาร์จฉุกเฉิน
>> ฟรี!! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
>> ฟรี!! Home Charger พร้อมค่าบริการติดตั้ง
>> ฟรี!! ฟิล์มรถยนต์รอบคัน
>> ฟรี!! พรมปูพื้น
>> ฟรี!! ค่าจดทะเบียน

ทั้งสองรุ่น รับเพิ่ม!!!
>> ฟรี!! รับประกันชิ้นส่วนไฟฟ้าหลัก (แบตเตอรี่ไฟฟ้า, มอเตอร์ไฟฟ้า, และอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า) 8 ปีหรือ 200,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
>>ฟรี!! รับประกันคุณภาพตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
>> ฟรี!! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี

พร้อมรับข้อเสนอสินเชื่อพิเศษ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.98% หรือเลือกผ่อนสบาย 84 เดือน หรือเลือกดาวน์น้อยเพียง 5% เท่านั้น 

‘จุลพันธ์’ แง้ม!! 10 เมษา ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ชัดเจน ยัน!! ประชาชนได้ใช้เงิน 1 หมื่น ไม่เกินสิ้นปี 67

(25 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงข่าวรายละเอียดความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า คณะอนุกรรมการในการเสาะหาความจริงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ได้ดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว ได้เตรียมนัดหมายประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ โดยมีไทม์ไลน์ชัดเจนขึ้นทุกวัน 

ในภาพใกล้ ๆ นี้ 27 มีนาคม จะนัดหมายคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำเนียบ เพื่อที่คณะอนุกรรมการในการเสาะหาความจริง จะมารายงานเรื่องความคืบหน้า และสิ่งที่หน่วยงานต่าง ๆ ตอบคำถามมาแล้ว ได้มีการส่งคำถามไปไม่ต่ำกว่า 100 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ประชาชน หอการค้า สภาอุตฯ ส่งคำตอบกลับมาเกือบครบถ้วน แต่ยังเปิดให้ตอบถึง 29 มีนาคมนี้ โดยจะนำความคืบหน้า รายงานที่ประชุม ข้อเสนอแนะ ป.ป.ช. เข้าที่ประชุม รับทราบ และมอบหมาย นำเสนอ โดย ก.คลัง เรื่องปัญหาที่เกิดต่าง ๆ หากลไกเดินหน้า ให้ คกก.ได้รับทราบหลังจากนั้น มอบหมายให้ส่วนงานดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึง คกก.ขับเคลื่อน มาประชุม และสรุปส่ง คกก.ชุดใหญ่

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการชุดใหญ่ สรุปรายละเอียดโครงการทั้งหมด เงื่อนไขทั้งหมด ส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณา เห็นชอบ เดินหน้าต่อไป โดยขณะนี้กรอบการทำงาน พิจารณารอบคอบแล้ว ทั้งกรอบกฎหมาย ตัวเงิน และเทคนิค ระบบต่าง ๆ คร่าว ๆ 

ทั้งนี้ ไตรมาส 3 ปีนี้ จะมีการลงทะเบียน ร้านค้า ประชาชน ระบบค่อนข้างพร้อมแล้วในช่วงนั้น ขณะที่ไตรมาส 4 ก่อนสิ้นปี จะมีการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ให้ถึงมือประชาชนทุกคน อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้

นายจุลพันธ์ย้ำว่า ในวันที่ 10 นี้ จะชัดเจนทุกอย่าง ยืนยันเดินหน้า ถึงมือประชาชนภายในปีนี้ สำหรับเงื่อนไขนั้น คิดว่าไม่ได้เปลี่ยน กรอบเดิม 50 ล้านคน แต่มีรายละเอียดเล็กน้อย ที่ต้องรอมติของที่ประชุมก่อน

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะรัฐหาแรงจูงใจเอกชน ลุยธุรกิจลดโลกร้อน ปั้นระบบนิเวศให้พร้อม สู่การสร้างเงินจากสภาพภูมิอากาศ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ' (Climate Finance) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) โดยการเก็บภาษีคาร์บอน และการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียว (Green Transition) ได้อย่างราบรื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากภาคการเงินการคลังไม่ช่วยระดมทรัพยากรมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว

ประการแรก ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรของรัฐบาล เงินลงทุนส่วนใหญ่จึงต้องมาจากภาคเอกชน ภาครัฐต้องจัดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive Structure) ที่เอื้อให้เอกชนกล้าลงทุนในโครงการ/อุตสาหกรรมที่ลดโลกร้อน การเก็บภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตเป็นก้าวแรก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกเลิกการอุดหนุนคาร์บอน (Carbon Subsidies) ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน

ประการที่สอง การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นมาตรฐานและมีการรับรอง รวมทั้งการจัดกลุ่ม/นิยามกิจกรรมที่ลดโลกร้อน (Green Taxonomy) จะช่วยให้ตลาดการเงินและสถาบันการเงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้ามากขึ้น

ตลาดการเงินและธนาคารพาณิชย์เริ่มนำผลิตภัณฑ์สีเขียวมาให้บริการบ้างแล้ว สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มเป็นที่นิยม กองทุน ESG มีจำนวนมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนจะตรงกันหรือไม่ หรือบางทีอาจขัดแย้งกันด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การฟอกเขียว (Greenwashing)

ในสาขาพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ปัจจุบันยังมีโครงสร้างที่พึ่งพา Fossils อยู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าในไทยยังอาศัยก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนถึงกว่า 80% และใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคพลังงานจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง และภาคเอกชนในรูปแบบโรงไฟฟ้า IPP SPP และ VSPP รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การลงทุนและการแบ่งรับภาระความเสี่ยงระหว่างรัฐกับเอกชนร่วมกันในรูปแบบ PPP น่าจะเป็นทางออกสำคัญ IPP และ SPP เป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับเอกชนที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในภาคพลังงาน มีความเป็นไปได้ที่จะขยาย PPP ในโครงการลดคาร์บอนในสาขาอื่นๆ ด้วย

ตลาดการเงินและสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่สามารถเสริมทรัพยากรในประเทศได้ รัฐบาลประเทศร่ำรวยประกาศใน COP 28 สนับสนุนงบประมาณแก่ประเทศกำลังพัฒนา 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบริการพิเศษที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนา

ประการสุดท้าย ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว ย่อมมีกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำรายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มเติมจากภาษีคาร์บอนไปช่วยเป็นมาตรการรองรับทางสังคมแก่กลุ่มคนเหล่านี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top