(3 ม.ค.68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ทุนสำรองเงินตราฯ เป็นของประชาชน : นักการเมืองห้ามแตะ! มีเนื้อหาดังนี้
ถ้าดูในงบดุลของธนาคารกลางในด้านทรัพย์สินจะประกอบด้วย เงินตราระหว่างประเทศ ทองคำ และพันธบัตรรัฐบาล เป็นทรัพย์สินหลัก ขณะที่หนี้สินหลักคือปริมาณเงินที่เศรษฐกิจใช้อยู่
เงินตราต่างประเทศนี้มาจากการค้าขายระหว่างประเทศ ถ้าขายสินค้า/บริการ(ส่งออก)มากกว่านำเข้าหรือซื้อสินค้า/บริการจากต่างประเทศ ประเทศไทยจะมีส่วนเกินเป็นเงินตราระหว่างประเทศที่ปราศจากพันธะผูกพันไม่ต้องจ่ายให้ใครอีก
เงินตราต่างประเทศส่วนนี้จึงถูกนำเข้ามาบันทึกไว้ในบัญชี ทุนสำรองเงินตราต่างระหว่างประเทศเพื่อเอาไว้ใช้ออกเงินอันเป็นหนี้สินของธนาคารกลางอีกด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องนำสินทรัพย์ต่างประเทศมูลค่าเท่ากับธนบัตรที่จะออกใช้ใหม่เก็บแยกไว้หนุนหลังธนบัตร ดังที่มาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. เงินตรา ระบุไว้ว่า
“เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของเงินตราให้ ธปท. รักษาทุนสำรองเงินตราไว้กองหนึ่งเรียกว่า ทุนสำรองเงินตรา”
เหตุสำคัญก็เพราะเมื่อขายสินค้า/บริการได้เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เก็บเอาไว้ที่บัญชีทุนสำรองเงินตราฯ และแลกเปลี่ยนจ่ายเป็นเงิน 32 บาทให้ ทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงเป็นต้นทางของการเพิ่ม/ลดเงินบาทในระบบเศรษฐกิจไทย
ถ้านับจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินเมื่อปี พ.ศ.2540 ที่เราสูญเสียทุนสำรองเงินตราฯนี้ไปเกือบเกลี้ยง คนไทยจึงแก้ไขปัญหา ยอมออมด้วยการซื้อสินค้า/บริการน้อยกว่าที่ขายได้ ทำให้มีเงินตราต่างประเทศสะสมในปัจจุบันถึงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของทรัพย์สินรวมในงบดุลธนาคารกลางทั้งหมด ส่วนที่เหลือคือทองคำและพันธบัตรรัฐบาล
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของคนไทยโดยแท้ที่ทำให้เงินทุนส่วนนี้งอกเงยขึ้นมา
ดังนั้นทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงมิใช่เป็นทรัพย์สินของทางการแต่อย่างใดไม่
เพียงแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแล และหาใช่นักการเมืองคนใดจะมาอวดอ้างว่าเป็นผลงานของตนเองไม่
การเกินดุลการค้าและเกินดุลบริการ เช่น การท่องเที่ยว หรือ การไปทำงานต่างประเทศจึงเป็นต้นทางที่มาของเงินตราต่างประเทศที่มั่นคง
ส่วนการกู้ยืมเงินหรือนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแม้จะเป็นการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเช่นกันแต่มันสร้างความผันผวนเสียมากกว่าจากที่ต้องส่งคืนเมื่อครบกำหนดกู้ยืมและจากการเก็งกำไร
● ทำไมต้องเก็บเอาไว้ และเก็บเอาไว้มากเกินไปหรือไม่?
แม้ว่าในปัจจุบันเราจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองเงินตราฯเอาไว้แทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้มันคงที่เหมือนเมื่อก่อนปีพ.ศ.2540 ที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ แต่การมีเงินทุนสำรองฯเอาไว้มันช่วยสร้างความมั่นคงให้ประเทศได้
มันทำให้คู่ค้าหรือนักลงทุนจะมั่นใจได้ว่าเมื่อขายสินค้าหรือนำเงินลงทุนเข้ามาแล้วจะมีเงินตราต่างประเทศเอาไว้พอเพียงชำระค่าสินค้าหรือให้แลกคืนเมื่อเสร็จสิ้นธุรกรรม
ใครก็อยากค้าขายหรืออยากมาลงทุนด้วย มันดีและได้ผลมากกว่าเอานายกฯคนใดไป โฆษณา “โชว์ตัว” เสียอีก
ทุนสำรองเงินตราฯจึงมิใช่ทรัพย์สินทางราชการที่นักการเมืองแม้จะชนะเลือกตั้งจะมาอ้างว่าตนเองมีอำนาจจัดการได้
เพราะแม้แต่สัก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ นักการเมืองก็มิได้หามาแต่อย่างใด
ขณะนี้ฝ่ายการเมืองกำลัง 'หน้ามืด' อับจนปัญญาหาเงินมาทำนโยบายประชานิยม “แจกเงิน(คนอื่น) ซื้อเสียง(เพื่อตนเอง)” เพื่อเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
เมื่อไม่กล้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ทุนสำรองเงินตราฯนี้จึงถูกมองเป็นแหล่งเงินสำคัญที่สามารถนำมาใช้สนองเป้าหมายชนะเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยม
ดังนั้นหากสามารถบังคับให้ธนาคารกลางกู้ยืมกับรัฐบาลด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล มันจะส่งผลถึงค่าเงินบาทและความมั่นใจของคู่ค้า/ผู้ลงทุน
เพราะหากในด้านทรัพย์สินธนาคารกลางมีพันธบัตรรัฐบาลไทย (ที่แสดงอำนาจซื้อของเจ้าหนี้ผู้ถือภายในรัฐไทย) เป็นองค์ประกอบสำคัญแทนที่จะเป็นเงินตราต่างประเทศที่เป็นตัวแทนอำนาจซื้อของรัฐไทยในต่างแดน สถานะสัดส่วนพันธบัตรที่มีมากในงบดุลจะตรงกันข้ามกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
การโยนหินถามทางว่าจะเอาเงินทุนสำรองฯนี้มาใช้หรือพยายามส่งคนที่มีประวัติเสียเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารในธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเงินก้อนนี้มาใช้จึงเป็นก้าวย่างสำคัญของหายนะ เฉกเช่นในประเทศที่ล้มเหลวทางด้านการคลังและลามที่ภาคการเงิน เช่น อาร์เจนติน่า หรือ เวเนซูเอลา
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนเสียภาษีต้องออกมาเรียกร้อง “ไม่ยื่นแบบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” เพื่อแก้ไขที่ต้นตอ ไม่ให้นักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมมาหาเสียงเข้าสภา