Saturday, 12 October 2024
ECONBIZ

📌‘พาณิชย์’ เปิดงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 สุดตระการตา คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับครั้งที่ 70 (The 70th Bangkok Gems and Jewelry Fair) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT และสนับสนุนโดยองค์กรภาครัฐและเอกชนรวมถึงสมาคมการค้าสำคัญในอุตสาหกรรมฯ 16 องค์กร โดยงานนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 จัดแสดงเต็มพื้นที่ชั้น G และ LG (Hall 1 - 8)

นายวุฒิไกร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกระดับได้พบและเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ และเป็นที่น่ายินดีว่างานบางกอกเจมส์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันเป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญที่ผู้ค้าจากทั่วโลกต้องปักหมุดมาเยือน สำหรับงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 นี้ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากไทยและต่างประเทศกว่า 20 ประเทศ รวมกว่า 1,100 ราย 2,470 คูหา จัดแสดงเต็มพื้นที่ ชั้น G และ LG และคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานรวมกว่า 40,000 คน และคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

อัญมณีและเครื่องประดับนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก และจากจุดเด่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่สำคัญของโลก รวมถึงคุณภาพและความประณีตในการเผาพลอยสีและการเจียระไนพลอย 

โดยนายวุฒิไกร ได้กล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมฯ ว่า “เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมส่งออกสำคัญที่ทำรายได้สูงสุดให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและความท้าทายต่าง ๆ แต่การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) กลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่างานบางกอกเจมส์ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลกในวันนี้”

ด้านนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดี DITP ผู้จัดงานหลัก ได้กล่าวถึงงานฯ กระแสตอบรับ และแผนการขยายพื้นที่ในปีหน้าว่า “ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของงานบางกอกเจมส์ครั้งที่ 70 โดยสินค้าที่จัดแสดงภายในงานครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า โดยกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มพลอยสี ทั้งนี้ จากแบบประเมินผลความพึงพอใจของ Exhibitor และ Visitor ในงานครั้งที่ 69 พบว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยมเฉลี่ยกว่าร้อยละ 95 และเห็นว่าเป็นงานที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสำคัญทั่วโลก ซึ่งจากกระแสความต้องการเข้าร่วมงานที่เพิ่มขึ้น ในปี 2568 เราได้มีแผนขยายพื้นที่จัดงานบริเวณ Foyer หน้าทางเข้าอาคารชั้น LG และมีการปรับผังคูหาใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับความต้องการของ Exhibitor เพิ่มขึ้นอีกกว่า 150 คูหาด้วย”

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการ GIT ผู้ร่วมจัดงาน กล่าวเสริมว่า “นอกจากบางกอกเจมส์จะเป็นแพลตฟอร์มเจรจาการค้าสำคัญระดับโลกแล้ว ยังเป็นเวทีสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างภาพลักษณ์อุตสาหกรรมฯ ผ่านกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานที่เกี่ยวเนื่องมากมาย ครอบคลุมทุกมิติแบบครบวงจร” โดยภายในงาน มีโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ โซนจัดแสดงสินค้า The New Faces ซึ่งนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักออกแบบรุ่นใหม่ The Jewellers โดย DITP กลุ่มผู้ประกอบการจากโครงการ Smart Jewelers by GIT และกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรีนำโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ฯลฯ รวมกว่า 60 ราย รวมถึงยังมีกิจกรรมพิเศษและกิจกรรมคู่ขนานอื่น ๆ มากมาย อาทิ นิทรรศการจัดแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากช่างฝีมือไทย ‘The Spirit of Jewelry Making’ กิจกรรม Networking Reception กิจกรรมสัมมนาภายในงานกว่า 10 หัวข้อ ครอบคลุมองค์ความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมฯ ทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ฯลฯ

นอกจากนี้ นายสุเมธ ยังได้แนะนำบริการพิเศษจาก GIT ว่า “ในช่วงระหว่างงาน GIT ยังมีบริการตรวจสอบอัญมณีที่ได้มาตรฐานสากลและออกใบรับรองภายในช่วงงาน ซึ่งในปีนี้ เราได้ขยายพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง GIT ยังได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยีตู้แสง LED เพื่อการตรวจสีพลอย อันเป็นผลงานวิจัยของ GIT อีกด้วย”

ปี 2566 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำไม่ขึ้นรูป) คิดเป็นมูลค่า 8,658.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.40 และสำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกฯ คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,103.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 70 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 13 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ Hall 1 ถึง 8 ชั้น G และ LG ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.bkkgems.com หรือ facebook.com/Bangkokgemsofficial

📌‘ภูมิธรรม’ โชว์ผลงาน 1 ปี ส่งท้ายเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ สำเร็จตามเป้า

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ก็ได้สร้างภาพจำไว้ได้ไม่น้อย 

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ถือเป็นภารกิจสุดท้าย ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ โดยมี 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนถึง พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศและทูตพาณิชย์ที่ร่วมรับฟัง ทั้งในห้องประชุม และผ่านทางระบบ ZOOM  

นายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงผลงานในรอบ 1 ปี ว่า ได้กำหนดนโยบายในการทำงานในช่วงบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

“1 ปีที่ผ่านมา ผมได้วางรากฐานการทำงานเป็นทีม การคิดนอกกรอบเพื่อสร้างสรรค์งานในเชิงรุก การบริหารจัดการประโยชน์ที่ให้ความสำคัญกับคนตัวเล็ก และผมขอฝาก อนาคตกระทรวงพาณิชย์ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. เข้าถึง เครือข่ายเพื่อร่วมผลักดันการค้า 2.ขับเคลื่อน โดยทีมพาณิชย์บูรณาการร่วมกับทีมประเทศไทย และ 3. เคียงข้างไปด้วยกัน คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เพื่อขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว 

นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึง โครงการเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานนำประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัล แน่นอน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากรับฟังความเห็นแล้ว เพื่อให้ทุกคนสบายใจ ในรอบแรกจะเป็นกลุ่มเปราะบาง ประมาณ 14 ล้านคนก่อน ด้วยงบประมาณปี 2567 โดยแจกเป็นเงินสด 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีที่มีอยู่แล้ว และจะสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ และไม่มีการจำกัดร้านค้าและชนิดสินค้า ตามเป้าหมายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อ ครม.อนุมัติแล้ว คาดสามารถแจกเงินได้ทันทีภายในเดือนกันยายนนี้

ส่วนที่เหลือ กลุ่มคนที่ลงทะเบียนในระบบไปแล้ว และไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง หลังผ่านเดือนกันยายนไปแล้ว จะแจกเป็นล็อตที่ 2 โดยใช้งบประมาณปี 2568 โดยจะแจก 5,000 บาทก่อน ถ้าระบบดิจิทัลทัน ก็แจกเป็นระบบดิจิทัล และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จ่ายภายในปี 67 หากรัฐบาลวางระบบดิจิทัลได้ทันอาจจะแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากไม่ทันอาจจะแจกเป็นเงินสดเช่นกัน ส่วนอีก 5,000 บาท จะพยายามแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ในปี 2568

‘อดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์’ ขึ้นแท่นผู้บริหาร ‘ดีเอสเอสพลัส’ ไทย มั่นใจ!! หนุนการเติบโตทางกลยุทธ์แก่หลากอุตฯ เมืองไทย

(9 ก.ย. 67) บริษัท ดีเอสเอสพลัส (dss+) ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการการดำเนินงานระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้แต่งตั้ง นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ เป็นผู้อำนวยการคนใหม่ของประเทศไทย

การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้ เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นของ dss+ ในการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานที่สำคัญภายในภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลายของประเทศไทย อุตสาหกรรมหนักในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความกังวลทางธุรกิจหลายประการ รวมถึงการใช้กำลังการผลิตต่ำ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายด้านกฎระเบียบและสิ่งแวดล้อม และการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าที่ราคาถูกกว่า dss+ มีเป้าหมายที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน การปรับตัวทางธุรกิจ และความยั่งยืนเพื่อช่วยนำทางผ่านความซับซ้อนเหล่านี้

dss+ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆ เช่น ปิโตรเลียมและก๊าซ เคมีภัณฑ์ พลังงานใหม่ การผลิตอุตสาหกรรม การเกษตร และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในการดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดการความเสี่ยงอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“การแต่งตั้งนายอดิศร์ เป็นการเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราต่อประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญลึกซึ้งและความเป็นผู้นำที่มีพลวัตของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเรายังคงขยายขีดความสามารถของเราและมอบคุณค่าอันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมของเรา รวมถึงมีส่วนร่วมกับชุมชนในประเทศไทยโดยรวม”

ด้าน นายศรีนิวาสัน รามาบัดรัน กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ dss+ กล่าว “การแต่งตั้งครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตของเราสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและช่วยแก้ไขปัญหาการดำเนินงาน เพื่อเร่งการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค”

ขณะที่นายอดิศร์ กล่าวเสริมด้วยว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมกับ dss+ และมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนการเติบโตทางกลยุทธ์ในประเทศไทย ผมมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยงและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน รวมถึงทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของเรา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและรับรองว่าพวกเขาจะเติบโตได้ในตลาดที่ท้าทายแต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”

ทั้งนี้ นายอดิศร์ เชื่อว่าจะนำประสบการณ์ความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญด้านความเป็นเลิศในการดำเนินงานมากกว่าสามทศวรรษมาสู่ dss+ ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา เขาได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในด้านการให้คำปรึกษาและการบริหารจัดการในบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง ซึ่งเขาได้ผลักดันการเติบโตและนวัตกรรมพลิกโฉมองค์กรอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ นายอดิศร์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหาร ของบริษัท Bite Consulting Group และเคยดำรงตำแหน่งผู้นำหลายตำแหน่ง ในอาชีพการทำงานก่อนหน้านี้ รวมถึงที่ Johnson Controls, Inc. ในประเทศไทยและเวียดนาม Italthai Industrial และ Trane-Ingersoll Rand

'สุรพงษ์' เคาะ!! เซ็นสัญญารับเหมาช่วงสร้างรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ต.ค.นี้ ไม่รอผล 'ผ่าน-ไม่ผ่าน' มรดกโลก ต้องก่อสร้างต่อไปตามเดิม ไม่มีการย้ายแนว

(9 ก.ย. 67) นายสุรพงษ์​ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กม. วงเงินลงทุน 179,412.21 ล้านบาท ว่า จากงานโยธาทั้งหมด 14 สัญญา ขณะนี้ยังเหลืออีก 2 สัญญาที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง คือ สัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ที่มีประเด็นสถานีอยุธยา ซึ่งแนวทางขณะนี้คือต้องเดินหน้าลงนามสัญญาก่อสร้างที่ได้ประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกไว้นานแล้ว โดยหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี (ครม.)​ ชุดใหม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ ตนจะนำเรื่องนี้หารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อตัดสินใจ คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาได้ภายในเดือน ต.ค. 2567

ส่วนกรณีผลกระทบมรดกโลกช่วงสถานีอยุธยา การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้มีการศึกษารายงานการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลก หรือ Heritage Impact Assessment (HIA) เสร็จแล้ว และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดส่งรายงานให้ยูเนสโกตามขั้นตอนครบถ้วนแล้ว การปรับแบบและดำเนินการตามที่ยูเนสโกร้องขอเพื่อไม่ให้กระทบต่อความกังวล เช่น มีการปรับลดความสูงโครงสร้างจาก 19 เมตร เหลือ 17 เมตรแล้ว แนวเส้นทางอยุธยาสร้างบนเขตทางรถไฟ ที่ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่มรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก แต่อยู่ห่างออกไป 1.5 กิโลเมตร และมีแม่น้ำป่าสักคั่นอยู่ เป็นบับเบิลโซน

“ไม่ว่าผลมรดกโลกจะพิจารณาออกมาอย่างไร จะผ่านหรือไม่ผ่าน โครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้ก็ต้องก่อสร้างต่อไปตามเดิม ไม่มีการย้ายแนว เพราะจะทำให้งบประมาณเพิ่มและต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 10 ปี จึงเป็นเหตุผลที่ต้องตัดสินใจลงนามสัญญาก่อสร้าง เพราะไม่ว่าทางมรดกโลกจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ต้องก่อสร้าง และไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนมรดกโลก เพื่อลดความเสี่ยงไปครบทุกอย่างแล้ว เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา และที่ต้องหารือกับนายกฯ ก่อนเพราะว่าเรื่องนี้มีหน่วยงานและกระทรวงอื่นเกี่ยวข้องด้วย” นายสุรพงษ์กล่าว

สำหรับสัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.30 กม. วงเงิน 9,913 ล้านบาท ที่ผ่านมาคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.ได้อนุมัติการสั่งจ้างบริษัท บุญชัยพาณิชย์ (1979) จำกัด ไว้แล้ว ซึ่งในเงื่อนไขให้ก่อสร้างแนวเส้นทางก่อน เว้นสถานีไว้รอเรื่องมรดกโลก และเมื่อปรับลดขนาดสถานีลงจะทำให้ค่าก่อสร้างลดลงไปด้วย

ส่วนสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.2 กม. ที่มีประเด็นโครงสร้างร่วมกับรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) นั้น ในส่วนของรถไฟไทย-จีน ตกลงที่ปรับสเปกลดความเร็วจาก 250 กม./ชม. เป็น 160 กม./ชม. ในช่วงดังกล่าว ส่วนการก่อสร้างตามสัญญาทางอีอีซี โดยบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) เป็นผู้ก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อเดินหน้าเร็ว ๆ นี้

ขณะที่สัญญา 3-2 (งานก่อสร้างอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง) ซึ่งเกิดอุบัติเหตุถล่มทรุดตัวระหว่างก่อสร้างนั้น งานอุโมงค์สัญญานี้มีการก่อสร้างเร็วกว่าแผน คือ ทำได้ 70% ขณะที่แผนกำหนด 50% ยังไม่น่ากังวล

นายสุรพงษ์กล่าวว่า นอกจากปัญหาทางการก่อสร้างแล้วยังพบว่างานบางสัญญาที่ล่าช้าเพราะผู้รับเหมาขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะให้ รฟท. เชิญผู้รับเหมาเหล่านั้นมาพูดคุยหาทางแก้ปัญหา เช่น ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออย่างไรเพื่อให้เข้าพื้นที่ก่อสร้างให้เร็วที่สุด ขณะนี้แผนงานและเป้าหมายงานโยธาทั้ง 14 สัญญาจะต้องแล้วเสร็จต้นปี 2571

“ให้ รฟท.ประชุมใหญ่งานโยธา 14 สัญญาเอามาอัปเดตแก้ปัญหาอุปสรรคให้หมด และจัดทำไทม์ไลน์งานโยธาให้แล้วเสร็จในเวลาเดียวกัน เพื่อให้วางระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟ และจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ที่ผ่านมาต่างคนต่างทำ แต่จากนี้ต้องทำงานเป็นทีม ซึ่งหลังโยธาเสร็จระบบจะทดสอบประมาณ 1 ปี หรืออาจจะเร่งรัดกว่านั้น เป้าหมายอยากเปิดเฟสแรกกลางปี 2571

ส่วนโครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. กรอบวงเงิน 341,351.42 ล้านบาท หลังแถลงนโยบายที่รัฐสภาเสร็จจะเร่งนำเสนอเข้า ครม.ได้ ตามแผนคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในต้นปี 2568 ระหว่างเดือน ก.พ. 68 ถึง ต.ค. 2568 (ระยะเวลา 9 เดือน) เริ่มก่อสร้างโครงการฯ เดือน พ.ย. 2568 คาดแผนงานใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 72 เดือน คาดว่าเปิดให้บริการ พ.ย. 2574

นายสุรพงษ์กล่าวถึงแผนการเปิดและเปิดเดินรถว่า รฟท.ตั้งงบปี 68 ประมาณ 10 ล้านบาทเพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาศึกษารูปแบบเดินรถที่เหมาะสม ใช้ระยะเวลาศึกษา 6 เดือน คาดว่าเดือน มี.ค. 2568 จะเห็นภาพชัดเจนว่าจะเดินรถรูปแบบใดเหมาะสมที่สุด รวมถึงอัปเดตเทคโนโลยีให้เป็นปัจจุบันที่สุดด้วย เพราะรถไฟไทย-จีน ดีเลย์ จากแผนระบบและเทคโนโลยีที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้อาจจะไม่เหมาะกับปัจจุบันแล้ว เบื้องต้นน่าจะเป็นรูปแบบ PPP เข้ามาบริหารจัดการเดินรถและซ่อมบำรุงตลอดเส้นทางตั้งแต่กรุงเทพฯ -นครราชสีมา-หนองคาย เพราะ รฟท.มีข้อจำกัดทางด้านบุคลากรรถไฟ และประสบการณ์

สำหรับมติ ครม.เมื่อปี 2560 ที่ให้กระทรวงคมนาคมศึกษา องค์กรพิเศษเพื่อเดินรถ และระบบที่เป็นข้อตกลงผูกพันจากรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งบางเรื่องต้องไปต่อ แต่บางเรื่องอาจต้องอัปเดตเทคโนโลยี แต่ยังเป็นมาตรฐานจีน เพราะเส้นทางนี้ต้องเชื่อมต่อสปป.ลาว และจีนเป็นโครงข่าย

'รัฐบาล' เล็ง!! สร้าง 9 เกาะปากอ่าวไทยรับมือน้ำท่วม-เสริมสร้างเศรษฐกิจใหม่ ใช้แนวทางถมทะเล ก่อสร้างประตูกั้นน้ำขึ้น-ลง แบบ ‘เนเธอร์แลนด์โมเดล’

(9 ก.ย. 67) นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม ‘พรรคเพื่อไทย’ ขยายความถึงแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับโครงการถมทะเล บางขุนเทียน เพื่อสร้างเมืองใหม่ และแก้ปัญหาน้ำท่วมว่า แนวคิดดังกล่าวมีเหตุผลยืนยันถึงความจำเป็นต้องผลักดันออกมาให้เร็ว เพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยได้มีการวางแผนและศึกษาไว้นานแล้ว

โดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายสูงมาก เป็นเรื่องที่พูดคุยกันใน ’องค์การสหประชาชาติ’ (UN) มาหลายปีแล้ว โดยมีการประเมินถึงเรื่องที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีพื้นที่จำนวนมากที่จมน้ำ เช่นเดียวกับอ่าวไทยจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ทั้งนี้มีโมเดลเบื้องต้นประเมินว่า จากภาวะโลกร้อนสูงสุด จะทำให้น้ำแข็งละลายสูงสุด ส่งผลถึงน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้นมากถึง 5 – 6 เมตร ทำให้น้ำท่วมเข้ามาในพื้นที่ลุ่มภาคกลางของไทยถึง 16,000 ตารางกิโลเมตร นั่นหมายความว่าอ่าวไทยจะอยู่ที่จังหวัดลพบุรี, สระบุรีทางตอนเหนือ, อุทัยธานี ส่วนกรุงเทพฯ นนทบุรี, ปทุมธานี, สิงห์บุรี, อ่างทอง,  พระนครศรีอยุธยา, ปราจีนบุรี, ชลบุรีบางส่วน, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, และเพชรบุรีบางส่วน จะหายไป 

สำหรับทางเลือกในการป้องกันปัญหาน้ำท่วม จากน้ำทะเลขึ้นสูง 5 – 6 เมตร จนท่วมพื้นที่ลุ่มภาคกลาง 16,000 ตารางกิโลเมตร อดีตรองนายกฯ มองถึงแนวทางต่าง ๆ ดังนี้...

แนวทางแรกคือ ‘การสร้างพนังกั้นน้ำ’ ซึ่งแนวทางนี้ถือเป็นการป้องกันในระยะสั้น 2 – 5 ปี คือการเสริมพนังกั้นน้ำ หรือเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง ต้องเร่งทำพร้อมกัน ด้วยการไปอุดรอยรั่วให้สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ และต้องอยู่ในระดับเดียวกัน

แนวทางต่อมา คือ ‘การยกถนน’ เพราะพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร จะถูกน้ำท่วมทั้งหมด เช่น ถนนเพชรเกษม, ถนนสุขุมวิท พร้อมทั้งทำประตูน้ำในคลองสำคัญที่มีทางออกสู่ทะเล และต้องสร้างประตูน้ำขนาดใหญ่บริเวณ 4 แม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง, และแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล

ทั้งนี้ ยังคงมองว่าการยกถนนคงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะที่ผ่านมาถนนพระราม 2 สร้างมาเป็นสิบๆ ปีก็ยังไม่เสร็จ ถ้าเราจะยกถนนสองเส้นหลัก ตั้งแต่เพชรบุรียาวไปชลบุรี เพื่อหนีน้ำท่วมยิ่งโกลาหลมากๆ ไปอีก ส่วนพื้นที่ชายน้ำจากแนวถนนไปหาทะเลก็ต้องสูญเสียอยู่ดี

แนวทางสุดท้ายก็คือ ‘การทำเขื่อนในทะเล’ ซึ่งทางเทคนิคถือว่าทำได้ แต่คงใช้งบจำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงมีแนวความคิดหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ การสร้างเกาะขึ้นมาในพื้นที่ปากอ่าวในปัจจุบัน ด้วยการ ‘ถมทะเล’

ในส่วนของแนวคิดการถมทะเลนั้น นายปลอดประสพ เผยว่า จะเป็นการสร้างเกาะขึ้นมา 9 เกาะ โดยมีระยะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทะเลช่วง ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ไปถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ เป็นระยะทางประมาณ 100-150 กิโลเมตร โดยตั้งชื่อไว้เบื้องต้นว่า ‘สร้อยไข่มุกอ่าวไทย’ เพราะเกาะแต่ละเกาะจะมีลักษณะเหมือนไข่มุกร้อยกันเป็นเส้น ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างเกาะแต่ละเกาะ และจะก่อสร้างประตูน้ำเพื่อคอยกั้นน้ำขึ้น-ลง ซึ่งแนวคิดนี้ในปัจจุบันถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น ‘เนเธอร์แลนด์’ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในแต่ละเกาะจะถูกเชื่อมต่อด้วยถนนและรถไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการเดินทางเชื่อมต่อกันไปได้ตั้งแต่ ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ หรือสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย โดยเกาะแรกอาจจะสร้างบริเวณ ‘บางขุนเทียน’ ก่อน เบื้องต้นจะมีพื้นที่ประมาณ 5x10 ตารางกิโลเมตร หรือ มีขนาดของเกา 50 ตารางกิโลเมตร ความยาวตามชายฝั่ง 10 กิโลเมตร 

เมื่อถมทะเลสร้างเกาะขึ้นมาได้แล้ว แต่ละเกาะนั้นจะต้องวางแผนการใช้พื้นที่ล่วงหน้าว่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอะไร โดยจะมีฟังก์ชันต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางเกาะอาจจะใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าเพื่อแทนท่าเรือเดิมที่มีอยู่ ทั้งกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม หรืออาจจะให้โรงงานอุตสาหกรรมประมงไปตั้งบริเวณเกาะ หรือพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือยอร์ช ก็ได้ หรืออาจจะใช้เกาะใดเกาะหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชลบุรี สร้างสนามบินแห่งใหม่ ก็ได้เช่นกัน

‘นายปลอดประสพ’ กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อไป หากแนวคิดนี้รัฐบาลหยิบยกไปใช้ ก็อาจเริ่มต้นที่การศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อพิจารณาแนวคิดที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการ ใช้องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมทางทะเล วิศวกรรมสมุทร มาพัฒนา เพราะโครงการนี้ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ คึกคัก!! เหตุ ‘ต่างชาติ’ ย้ายสำนักงานใหญ่ ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน

(8 ก.ย. 67) ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าไตรมาส2 ปี2567 อุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 29,200 ตร.ม. หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนคิดเป็น 6.16 ล้าน ตร.ม.

โดยมีอาคารสำนักงานใหม่ 2 แห่งสร้างแล้วเสร็จแล้ว ได้แก่ ศุภาลัย ไอคอน สาทร และรัชโยธิน ฮิลส์ ขณะที่ซัพพลายในอนาคตยัง"ไม่มี"การประกาศก่อสร้างโครงการใหม่ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมสำหรับการพัฒนา ‘ลดลง’ เหลือ 1.46 ล้าน ตร.ม.คิดเป็น 24% ของระดับอุปทานในปัจจุบัน

สำหรับ ‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ (CBD) ยังคงเป็นทำเลหลักมีสัดส่วน 60% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ จากการประเมินพบว่าในอีก 2.5 ปีข้างหน้าอุปทานพื้นที่สำนักงานใหม่ ในครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ในปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม.และในปี 2569 คาดการณ์ 440,400 ตร.ม.

โดยดีมานด์การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาสนี้เป็นบวกหรือเท่ากับ 18,400 ตร.ม เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบในไตรมาสก่อน ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.73 ล้าน ตร.ม. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวติดลบลดลงเหลือ5,900 ตร.ม.

ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่ ‘ไม่ใช่’ สำนักงานสีเขียวเพิ่มขึ้น 24,300 ตร.ม. คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสหน้าตามเทรนด์ความยั่งยืนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตลาดสำนักงาน 

‘ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้น มีการดูดซับสุทธิที่ 23,400 ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (Non-CBD) หดตัวเล็กน้อย การดูดซับสุทธิติดลบ 4,950 ตร.ม. เนื่องจากมีความต้องการจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯมากขึ้น’

อย่างไรก็ตามอัตราการครอบครองตลาดอาคารสำนักงานภาพรวม ‘ทรงตัว’ อยู่ที่ 77% สอดคล้องกับไตรมาสก่อน หากแยกตามแต่ละกลุ่ม พบว่า สำนักงานเกรด A มีเสถียรภาพมากที่สุด อัตราการครอบครองสูงสุดที่ 80% แม้ว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของอุปทาน สำนักงานเกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ส่วนสำนักงานเกรด C ลดลง 1% เหลือ 77%

ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน และ 0.3% จากปีก่อน ค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารทุกเกรดเพิ่มขึ้น แม้ว่าเทรนด์โดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่เลือกที่จะคงค่าเช่าในอัตราเดิม ส่วนค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน 

ขณะที่อัตราการครอบครองเฉลี่ยยังคงทรงตัวที่ 79% สีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นย่านหลักที่ขับเคลื่อนพื้นที่การเช่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยพื้นที่ย่านดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 22,200 ตร.ม. ทำให้อัตราการครอบครองเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน ส่วนอัตราค่าเช่าลดลงเล็กน้อย 0.7% จากไตรมาสก่อน

ตรงกันข้ามกับอาคารสำนักงานนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าเช่าและอัตราการครอบครอง ‘ลดลง’ ค่าเช่าเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน เหลือ 660 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน อัตราการครอบครองเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 74% ค่าเช่าของตลาดทั้ง 3 กลุ่มมีการเติบโตเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองลดลง

อย่างไรก็ตาม ‘คุณภาพ’  ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกอาคารสำนักงาน แม้ว่าคำจำกัดความของ ‘คุณภาพ’ ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เช่าจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงาน โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และการปรับตัว การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและเน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมีความสำคัญมากขึ้น

รวมทั้งผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนและ ESG ก่อนตัดสินใจเช่า ด้วยความมุ่งมั่นด้านคาร์บอน บางบริษัทจะพิจารณาเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองสีเขียวเท่านั้น แม้ว่าตัวเลือกที่ไม่ได้รับการรับรองจะมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่น่าดึงดูดก็ตาม ดังนั้นอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุงสินทรัพย์ (AE) หรือปรับปรุงการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (FM) ต้องเผชิญกับการคุกคามมากขึ้นจากการเกิดขึ้นของอาคารใหม่ ๆ ที่ใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข่งขันได้ พื้นที่ทางกายภาพ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่ายุคใหม่

ทั้งนี้เนื่องจาก จะมีพื้นที่อุปทานใหม่เกือบ 1.2 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2.5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น ‘แรงกดดัน’ ต่อจำนวนการเช่าพื้นที่และค่าเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ราคาค่าเช่าจะกลายเป็นตัวชี้วัดของตลาดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราค่าเช่าและค่าเช่าที่แท้จริงเริ่มกว้างขึ้น โดย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าจะมีการเช่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ วัน แบงค็อก เฟส 1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายตลอดเวลา

“การแข่งขันในตลาดสำนักงานกรุงเทพฯรุนแรงขึ้น ดังนั้น การมีคุณสมบัติของอาคารสีเขียวและการเน้นการปฏิบัติตามหลัก ESG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ทรัพย์สินของคุณมีความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดใจในตลาดปัจจุบัน เพราะความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ กับ นายกรัฐมนตรีหญิงของไทย การกระชับความสัมพันธ์ 'ไทย-สหรัฐฯ' ให้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้งหนึ่ง

(8 ก.ย.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์' อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยถึงช่วงเวลา 2 เดือนที่เหลืออยู่ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะเป็นตัวกำหนดผู้ชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนเลยทีเดียว

ประการแรก ความวิตกกังวลว่าสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่เคยมีการคาดการณ์กัน เริ่มหมดไป แม้ว่าตัวเลขการว่างงานจะกระดกขึ้นมาบ้าง แต่ GDP ในไตรมาส 2 ยังเติบโตสูงกว่าคาด และไม่มีเครื่องชี้อื่นใดที่บ่งบอกสัญญาณ Recession ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับรองประธานาธิบดี Kamala Harris แห่งพรรค Democrats ในฐานะที่เป็นรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันกับโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งเหนือ Donald Trump กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

ประการที่สอง ประธาน Federal Reserve Jerome Powell ได้ออกมากล่าวหลังการประชุมใหญ่ที่ Jackson Hole ว่าธนาคารกลางสามารถปราบเงินเฟ้อได้อยู่หมัด และถึงเวลาแล้วที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงิน จึงเป็นที่คาดหมายของตลาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25-0.50% ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยจะเริ่มลดครั้งแรกในการประชุม FOMC ปลายเดือนกันยายนนี้เลย

ประการที่สาม Presidential Debate ระหว่าง Harris กับ Trump ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้น 2 ครั้ง จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นความชัดเจนและความแตกต่างในนโยบายของสองตัวแทนพรรค โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาสังคมรู้จักนโยบายของ Harris น้อยมาก เพราะ Harris ไม่ผ่านการเลือกตั้งขั้นต้น (Primaries) จึงไม่มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์เลย อยู่ๆ ก็ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดี Biden ให้เป็นตัวแทนพรรค Democrats แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ หาก Harris ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ... สหรัฐฯ และโลกจะมีความต่อเนื่องของนโยบายที่ดำเนินมาในช่วงเกือบ 4 ปีของรัฐบาล Biden

เชื่อมโยงกลับมาในบ้านเรา ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ทั้งประเทศไทยมีผู้นำเป็นสตรี และสหรัฐฯ ก็อาจจะได้ผู้นำประเทศเป็นสุภาพสตรีด้วยไปพร้อมๆ กัน ซึ่งหากพิจารณาโดยธรรมชาติแล้ว รัฐบาลเพื่อไทย และ รัฐบาล Democrats ต่างมีนโยบายคล้ายกัน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นสนับสนุนคนชั้นกลางและรากหญ้า ด้วยการอาศัยเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) และมาตรการทางการคลังในการชี้นำเศรษฐกิจให้เติบโตในทิศทางที่เหมาะสม 

ดังนั้น หากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จบที่ Democrats ก็เชื่อมั่นว่าจะได้เห็น รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร และรัฐบาล Kamala Harris กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ให้กลับมาแน่นแฟ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไทยหลุดจอเรดาร์ของสหรัฐฯ ไปเป็นเวลา 10 ปี

ปิดตำนาน 62 ปี ห้างเก่าแก่ ‘ตั้งฮั่วเส็ง’ การไฟฟ้านครหลวง เตรียมตัดไฟ เปิดให้บริการวันสุดท้าย 9 ก.ย.นี้ เหตุ!! เจรจาผู้ร่วมทุนใหม่ ยังไม่แล้วเสร็จ

(8 ก.ย. 67) นับเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ห้างหนึ่ง สำหรับ ตั้งฮั่วเส็ง ห้างแห่งความทรงจำของใครหลายคน ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2505 ปัจจุบันเปิดให้บริการกว่า 62 ปีมาแล้ว

ก่อนกลายเป็นประเด็นไวรัลในโลกโซเชียลขณะนี้ เมื่อผู้ใช้ X โพสต์ภาพพร้อมแชร์ประสบการณ์การไปเยือน ‘ห้างตั้งฮั่วเส็ง’ โดยบรรยายว่า 

“ไปแวะตั้งฮั่วเส็งซื้อของให้แม่ บรรยากาศหม่นหมองมากก ทั้งห้างเหลืออยู่แค่แผนกงานฝีมือที่ชั้น 3 เสื้อผ้า+เครื่องสำอาง ไม่กี่แบรนด์ที่ชั้น 1 กับซูเปอร์มาเก็ตชั้นใต้ดิน”

ล่าสุดทางห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้ออกหนังสือแจ้งปิดทำการ แก่ผู้ประกอบการภายในห้าง เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า เนื่องด้วย ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง เรื่องขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อาคารสรรพสินค้า สาขาธนบุรี ในวันอังคารที่ 10 ก.ย.67 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปิดทำการ ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินแก้ไข และเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ หากดำเนินการแล้วเสร็จ ห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้

เบื้องต้นทราบว่า ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี จะเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันจันทร์ที่ 9 ก.ย.นี้

'กองทุนน้ำมันฯ' พลังเดียวที่ 'พีระพันธุ์' ไว้ใช้แก้ปัญหาพลังงานในรอบ 1 ปี สู่การจัดตั้ง SPR เปลี่ยนหนี้หนุน ‘กองทุนฯ' ให้กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศ

ท่ามกลางบรรยากาศของความรู้สึกคับข้องใจของบรรดาผู้ที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติถึงการเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร 1 แต่หลาย ๆ คนอาจ หลงลืม เพิกเฉย หรือละเลยต่อผลงานหนึ่งปีของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรคฯ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เป็นหนึ่งปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์’ ที่สร้างประโยชน์โภคผลอันมหาศาลให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั้งมวล ด้วยการเดินหน้าเต็มที่ในการแก้ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่หมักหมมมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งแต่วิกฤตการณ์น้ำมันของโลกในปี 1973 ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกในตอนนั้นสูงขึ้นเกือบ 300%

ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ กำกับ และดูแล ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ไม่ได้ทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง อาทิ...

(1) ต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ให้กระทรวงพลังงานออกประกาศของกระทรวงฯ ให้ผู้ค้าน้ำมันต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่อกระทรวงฯ ทุกเดือน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ 

(2) ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องไม่ขึ้นลงรายวัน ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงฯ ทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง สิ้นสุด หมดยุคที่บรรดา ‘ผู้ค้าเชื้อเพลิงพลังงาน’ จะกำหนดราคาตามอำเภอใจ ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม ‘สร้าง’ ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย เพื่อนำผลสรุปการศึกษามาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด

(3) แก้ไขปัญหา ‘กองทุนน้ำมัน’ ซึ่งเป็นภาระหนักของประเทศและพี่น้องประชาชนคนไทย เพราะที่มาทุกยุคทุกสมัยและทุกรัฐบาลต่างก็ใช้ ‘กองทุนน้ำมัน’ ในการอุดหนุนและชดเชยทำให้สามารถตรึงราคา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG เพราะเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ด้วยเป็นเครื่องมือในระยะสั้นเพียงชั่วคราวและต้องคำนึงถึงระเบียบวินัยทางการเงินการคลังเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันการณ์กลับกลายเป็นว่า ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ณ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567 ติดลบสุทธิถึง 106,843ล้านบาท

ปัจจุบัน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ยังเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่รัฐบาลใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงาน เพราะไม่ว่าจะเป็น บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพได้ ‘พีระพันธุ์’ จึงจำเป็นต้องใช้ ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เครื่องมือเดียวที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการลดทอนและบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ของพี่น้องประชาชนคนไทยไปก่อน พร้อมกับเตรียมการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) ไปด้วย โดย ‘พีระพันธุ์’ จะเปลี่ยน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศ ต่อไปกองทุนน้ำมันฯ ที่มีน้ำมันสำรองของประเทศ จะเป็นทรัพย์สินของประเทศไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป

ทั้งนี้ SPR นอกจากจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานจากการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอใช้ในประเทศได้ 50-90 วันแล้ว ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงอีกด้วย เพราะจะต้องมีการหมุนเวียน เข้าและออก มีการจำหน่ายถ่ายโอนให้โรงกลั่นและบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา ด้วยปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR เป็นทรัพย์สินที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ 

ดังนั้นปริมาณน้ำมันสำรองใน SPR จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลให้กับระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย เพราะจะสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไป ซึ่งที่สุดจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างมากมาย

นอกจากนั้นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้ทำ กำลังทำ และจะทำ อาทิ (1) ‘ค่าไฟฟ้า’ หากไม่สามารถลดราคาได้ ก็ตรึงราคาไว้ไม่ให้ขึ้น ‘ค่าไฟฟ้าในหอพัก’ ต้องเหมาะสมเป็นธรรม สนับสนุนการติด ‘โซลาร์ รูฟ’ เพื่อแก้ปัญหาค่าไฟแพงอย่างยั่งยืน (2) สนับสนุนสร้างนวัตกรรมพลังงานราคาถูก เช่น ไฮโดรเจนซึ่งจะเป็นพลังงานแห่งอนาคต (3) ‘ก๊าซหุงต้ม’ กระทรวงฯ ต้องมีอำนาจในการกำกับ ดูแล อย่างเต็มที่ (4) เปิดช่องให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาแหล่งน้ำมันราคาถูกมาใช้ได้เอง

ระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ‘พีระพันธุ์’ ได้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งหวังว่าจะสามารถ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปี โดย ‘พีระพันธุ์’ ขอให้มั่นใจว่าจะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของพี่น้องประชาชนคนไทยในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด โดยไม่กลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์’ ฝากขอบคุณและขอให้พี่น้องของประชาชนคนไทยช่วยเป็นผนังกำแพงให้พิงเพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จแล้วเสร็จด้วย

เคราะห์ซ้ำ น้ำซัด!! 'เศรษฐกิจไทย' กำลังปรับตัวดี แต่เจอน้ำท่วมสกัด โจทย์สุดหินต้อนรับ 'นายกฯ หญิง' ที่ต้องพา ศก.-คนไทย รอดไปพร้อมๆ กัน

(8 ก.ย. 67) "ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนในหมวดอาหารสด และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน โดยหมวดอาหารสดเพิ่มขึ้นจากผลของฐานต่ำในปีก่อนและจากราคาผลไม้ที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ลดลง...

"ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานลดลงจากผลของฐานราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินที่สูงในปีก่อน...

"ด้านตลาดแรงงานปรับดีขึ้นสะท้อนจากการจ้างงานในระบบประกันสังคมทั้งในภาคการผลิตและบริการ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานต่อจำนวนผู้ประกันตนรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น...

"สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงจากดุลการค้า ตามมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ขณะที่ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนขาดดุลใกล้เคียงกับเดือนก่อน..."

นี่คือแถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกรกฎาคม 2567 จากธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนมีข่าวดีเล็ก ๆ จากการจ้างงานที่มีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีแรงงานที่แจ้งขอรับสิทธิว่างงานเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง ซึ่งเศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับดีขึ้นหลังชะลอลงในเดือนก่อน

แต่เหมือน ‘เคราะห์ซ้ำ น้ำซัด’ ปลายเดือนสิงหาคม กับข่าวน้ำท่วมใหญ่ ไล่จากภาคเหนือ ตั้งแต่ จังหวัดเชียงราย พะเยา ลงมาเรื่อย สถานการณ์ปัจจุบันฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง จังหวัดอ่างทอง อยุธยา แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มสูงขึ้น เขตปริมณฑล นนทบุรี แถบ บางบาล-ตลาดขวัญ ต้องเฝ้าระวัง 

ข้ามไปทาง พัทยา ก็เจอพายุฝนถล่มหนัก น้ำท่วมในบางพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไม่น้อยหน้า แถบร้อยเอ็ด ยโสธร ศรีสะเกษ เจอพายุฝนกระหน่ำ ลำน้ำชี น้ำขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องคอยเฝ้าระวัง

เหมือนพายุฝนเตรียมต้อนรับ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ของนายกรัฐมนตรีหญิง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หลังปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 พร้อมงานใหญ่ ที่ต้องช่วยผู้ประสบอุทกภัย โดยอย่างยิ่งในพื้นที่ฐานเสียงหลัก ถึงแม้หลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่า น้ำคงไม่ท่วมหนักเหมือนช่วงปี 2554 แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ที่สภาพเศรษฐกิจไทย 'ยังคงย่ำแย่' เจอน้ำท่วมในหลายจังหวัด การเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ คงเป็นงานหินพอสมควร

มาตรการสินเชื่อโครงการ Financing the Transition มุ่งหน้าสู่การปรับตัวอย่างยั่งยืนของภาคธุรกิจ (Soft Loan) ที่ออกมาช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เหมือนจะยังไม่ตอบโจทย์ ตรงประเด็นเท่าใดนัก เพราะจำกัดประเภทของธุรกิจที่สามารถเข้าถึงสินเชื่อนี้ ที่ต้องการให้ภาคธุรกิจเอกชน ปรับตัวเป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อความยั่งยืน แต่ตอนนี้ SME หลาย ๆ ราย คงขอเอาตัวรอดให้ได้ก่อน

ตอนนี้ คงต้องเอาใจช่วยไปก่อน เพราะเศรษฐกิจไทย กำลังโดนโจมตีหลายด้าน ภาวะการอุปโภคบริโภคของประชาชนยังไม่ฟื้นตัว ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาโกยรายได้จากคนไทย และไปกระทบต่อกับธุรกิจคนไทยด้วยกัน พร้อมผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วม เอาใจช่วยคนไทย เป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัย ทั้งน้ำท่วม และเศรษฐกิจ...

‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ‘ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล’ ทุนจดทะเบียน ‘หมื่นล้าน’ ลุยธุรกิจดิจิทัล

(7 ก.ย.67) มีกระแสข่าวใหญ่ ‘บิ๊กดีล’ ของ ‘บิ๊กคอร์ป’ ยักษ์เครื่องดื่มและอาหารในภูมิภาคอาเซียนอย่าง ‘ไทยเบฟเวอเรจ’ ที่ถูกเอ่ยไปอยู่ในโผของรายชื่อที่สนใจธุรกิจแพลตฟอร์ม Food Dlivery อย่าง ‘โรบินฮู้ด (Robinhood)’ ที่ก่อนหน้านี้ประกาศ ‘ยกธงขาว’ จะปิดให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood เป็นการถาวร วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 หลังบริษัทเผชิญ ‘ขาดทุนบักโกรก’ สะสมกว่า 5,000 ล้านบาท

เกิดความปราชัยในสนามธุรกิจไม่ทันไร เห็นการกลับลำ เลื่อนการยุติให้บริการออกไปก่อน เมื่อมีบรรดา ‘นายทุนใหญ่’ ให้ความสนใจยื่นเสนอเจรจาซื้อกิจการ ‘รับไม้ต่อ’ เพื่อเป็นหนึ่งใน ‘ขั้วที่ 3’ รายใหญ่ สู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ยกใหม่

‘ทุนใหญ่’ ที่ถูกเผยจะเป็นผู้นำทัพ ‘โรบินฮู้ด’ ปรากฏชื่อของ ‘บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน)’ ที่มี ‘เจ้าสัวหนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี’ ทายาทของราชันย์น้ำเมา ‘เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็น 1 ใน 3 รายชื่อที่อยู่ในวงบิ๊กดีล! ดังกล่าว

ความเคลื่อนไหวของ ‘ไทยเบฟ’ สอดรับกับกระแสข่าวรุกฟู้ดเดลิเวอรี่เห็นชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อ ‘บริษัท ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล จำกัด’ (Little John Digital) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนมากถึง 1 หมื่นล้านบาท(10,000 ล้านบาท) ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 1,000,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท

ขณะที่การลงทุนดังกล่าว จะเป็นเงินทุนที่จัดจากภายใน ส่วนการถือหุ้นนั้น มีบริษัทโดยอ้อมของเครืออย่าง “โอเพน อินโนเวชั่น”(Open Innovation) ที่เป็นบริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล ถือหุ้นใน ‘ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล’ สัดส่วน 99.9999%

ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีรายนาม ‘คณะกรรมการบริษัท’ ที่เป็นแม่ทัพนายกองของ ‘ไทยเบพ’ ครบครัน! ทั้ง นายอวยชัย ตันทโอภาส ผู้เป็นขุนพลธุรกิจสุราให้กับเจ้าสัวเจริญมาอย่างยาวนาน นายโฆษิต สุขสิงห์ ที่เป็นขุนพลข้างกายเจ้าสัวหนุ่ม ฐาปน และดูแลธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึง ‘เทคโนโลยี-ดิจิทัล’ ด้วย ยังมี นางต้องใจ ธนะชานันท์ ซึ่งดูแลด้านความยั่งยืน นางสาวนันทิกา นิลวรสกุล นายโสภณ ราชรักษา ที่ก้าวเป็น ‘แม่ทัพธุรกิจอาหาร’ ให้กับกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ หมาด ๆ และเป็นการสลับเก้าอี้กับ ‘นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล’ ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนธุรกิจอาหาร ไปดูแลธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ นายกฤษฎา วรรธนภาคิน และนายพิพิธ จริยวัฒนวิจิตร

‘ไทยเบฟ’ เป็นอาณาจักรเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ มีแบรนด์สินค้ามากมาย โดยงวด 9 เดือน (ปีงบประมาณ ต.ค.-66 ก.ย.67) บริษัททำรายได้จากการขายที่ 217,055 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 0.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรก่อนหักภาษี (EBITDA) 38,595 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เครื่องดื่มโดยรวมทั้ง เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ทำเงินมหาศาล ส่วน ‘อาหาร’ 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 15,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรก่อนหักภาษี 1,438 ล้านบาท ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

พอร์ตโฟลิโออาหารเต็มไปด้วย ‘แบรนด์แกร่ง’ ที่ยืนหนึ่งยาวนานนับสิบปี เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ แกรนด์ ชาบูชิ ยังมีเสริมทัพด้วยแบรนด์ระดับโลกทั้งไก่ทอดเบอร์ 1 ‘เคเอฟซี’ และร้านกาแฟ ‘สตาร์บัคส์’ ฯ ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมต่อจิ๊กซอว์ สร้างการเติบโตในอนาคต

ดังนั้น ภาพใหญ่เครื่องดื่มเป็น ‘หัวใจ’ สำคัญของบริษัท แต่เครื่องดื่มเป็นสินค้าคู่ (Combination) ‘อาหาร’ อยู่เสมอ กินแล้วต้องดื่ม ทำให้บริษัทยังหาช่องเพื่อเบ่งพอร์ตโฟลิโอให้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งครึ่งปีแรก ‘อาหาร’ มีสัดส่วนรายได้เพียง 6.7% เท่านั้น และ ‘กำไรสุทธิ’ เพียง 3.6% สะท้อนว่ายังโตได้อีก!

หากสร้างการเติบโตของไทยเบฟอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ PASSION 2025 ที่จะขยายตลาด สร้างแบรนด์ ‘เข้าถึงผู้บริโภค’ ให้มากขึ้น

หากดีลประวัติศาสตร์รุกคืบเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีอย่าง ‘โรบินฮู้ด’ จะเสริมแกร่งให้กับ ‘ไทยเบฟรอบทิศ’ ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟอาหารถึงมือผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันจะสตาร์บัคส์ เคเอฟซี และอื่นๆ ล้วนมีบริการดังกล่าว ซึ่งบางอย่างพึ่งพาพันธมิตร แต่มีบางอย่างที่ทำเองอย่าง โออิชิ

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญสุดหากได้ ‘โรบินฮู้ด’ มาอยู่ใต้เงา ‘ไทยเบฟ’ นั่นคือการได้ ‘คลังแสงข้อมูล’ (Big Data) ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้ออาหารของผู้บริโภค ซื้อเมนูอะไร ราคาต่อบิลเท่าไหร่ ความถี่เป็นอย่างไร ฯ ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ ต่อยอดการทำตลาด จัดโปรโมชั่นเพื่อ ‘กระตุ้นยอดขาย’ ได้อีกมากโข

ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ข้อมูลบรรดา ‘หน้าร้านอาหาร’ ต่างๆ ที่จะเป็นอีกหนึ่ง ‘จิ๊กซอว์’ ให้ไทยเบฟ ต่อยอด ‘การขายเครื่องดื่มทุกหมวด’ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์

นี่มองแค่การเสริมแกร่งไทยเบฟ ยังไม่นับทั้งอาณาจักร ‘ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น’ หรือทีซีซี กรุ๊ป มองยังไง

เป็นที่ประจักษ์ว่า ‘โรบินฮู้ด’ อยู่ใต้เงา ‘เอสซีบี เอกซ์’ (SCB X) ที่จุดเริ่มต้นอยากช่วยเหลือคนตัวเล็กช่วงวิกฤติโควิด-19 ทว่า การลงสนามฟู้ดเดลิเวอรี หนึ่งในธุรกิจเผาเงิน เพื่อแลกกับผู้บริโภคมาใช้แพลตฟอร์มไม่ได้แจ้งเกิดง่ายๆ ยิ่งต้องกลืนเลือด 5,000 กว่าล้านบาท ใน 4 ปี จะกัดฟันฝืนขาดทุนต่อ ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะไม่ต่อยอดธุรกิจหลัก (Core business)

เมื่อ ‘เอสซีบี เอ็กซ์’ จะทิ้ง ‘โรบินฮู้ด’ สร้างมาแล้วไม่สูญเปล่า นายทุนใหญ่ต้องการรับช่วงต่อ ได้เม็ดเงินมา ‘บรรเทาบาดแผลธุรกิจ’ ได้ไม่มากก็น้อย ส่วนทุนใหม่รับศักยภาพจากดีลนี้ คือการได้ยอดลูกค้าที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไม่น้อยเพราะมีจำนวน ‘นับล้านราย’ ร้านค้าบนแพลตฟอร์มที่พร้อมเสิร์ฟลูกค้า ‘ร่วมแสนราย’ เหล่า ‘ไรเดอร์’ อีกนับ ‘หมื่นชีวิต’

แบรนด์ ‘โรบินฮู้ด’ ติดตลาดแจ้งเกิดแล้ว และภาพลักษณ์แบรนด์ถือว่าครองใจผู้บริโภค คนใช้งานอย่างดี เมื่อมีทุนมาใส่เงินต่อ การ ‘ลุกขึ้นเดิน-วิ่ง’ สู้ต่ออีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ยิ่งถ้าอยู่ภายใต้ ‘ไทยเบฟ’ รับรองว่า ‘สงครามฟู้ดเดลิเวอรี่’ 8.6 หมื่นล้านบาท เดือด!!

ในแวดวงธุรกิจ จะเห็น ‘ไทยเบฟ’ เดินทางลัด ‘ซื้อและควบรวมกิจการ’ (M&A) อยู่เป็นนิจ เพราะมีเงิน มันสมอง(ขุนพลนายกอง) พร้อมต่อยอดสิ่งที่ซื้อมาให้เติบโต และซีนเนอร์ยี ทั้งอาณาจักรแสนล้านบาทได้

เห็นการซื้อกิจการบ่อย ๆ ของไทยเบฟ และล้วนเป็นบิ๊กดีลระดับ ‘หมื่นล้าน-แสนล้านบาท’ แทบทั้งสิ้น

ปัจจุบันไทยเบฟมีภาระหนี้ทั้งจากกู้เงินธนาคาร หุ้นกู้ ที่จะครบกำหนดชำระ เช่น 5 ปี และอื่นๆ รวมมูลค่า 209,044 ล้านบาท (ณ สิ้นมิ.ย.67) แต่กระนั้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน หรือ Interest Bearing Debt to Equity Ratio อยู่ในระดับต่ำ 0.68% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ระดับ 0.65% สะท้อนฐานะทางการเงินขององค์กรแกร่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ ‘ไทยเบฟ’ จะมีชื่ออยู่ในโผผู้สนใจเจรจา ‘โรบินฮู้ด’ แต่ดีลนี้ ยังไม่ใช่!สำหรับยักษ์เครื่องดื่มและอาหาร เพราะรายงานข่าวระบุว่า ‘รายอื่น’ คือผู้คว้า ‘โรบินฮู้ด’ ไปต่อยอดธุรกิจเรียบร้อยแล้ว

‘อ.เจษฎา’ ชี้!! ตลาดหุ้นยุค ‘อุ๊งอิ๊ง’ พุ่งขึ้นแรงมาก สูงสุดในรอบ 6 เดือน มอง!! เป็นฝีมือของ ‘ทักษิณ’ เพราะ ‘นายกฯ’ ยังไม่ได้เริ่มทำงาน

(7 ก.ย.67) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าวว่า ระบุว่า …

โอ้..ตลาดหุ้นยุค ครม. คุณอุ๊งอิ๊ง พุ่งแรงมากครับ ! ตอนนี้ SET ขึ้นไปทะลุ 1400 และขึ้นไปสูงสุดในรอบ 6 เดือนแล้ว 

คนละเรื่องกับ ครม. ยุคคุณเศรษฐา เลยที่มีแต่ตกเอา ตกเอา จนมาถึงก้นหลุม  ก่อนจะเด้งขึ้นหลังจากมีนายกฯ คนใหม่

ซึ่งก็คงไม่ใช่ฝีมือคุณอุ๊ง โดยตรง เพราะยังไม่เริ่มทำงานอะไร .. แต่น่าจะเป็นฝีมือคุณพ่อ กับการแสดงวิสัยทัศน์ มากกว่ามั้งครับ ฮ่าๆๆ 

พลิกโฉม!! 1 ปี ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ ภายใต้หญิงเก่งสุดแกร่ง ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา’

เมื่อวันที่ (6 ก.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง โดยได้เข้าสักการะเพื่ออำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ 

‘พิมพ์ภัทรา’ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกคนที่ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มว่า “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป”

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ‘ณัฐพล รังสิตพล’ ได้กล่าวอำลา ‘พิมพ์ภัทรา’ ว่า “1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย 'รื้อ ลด ปลดสร้าง' ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป”

ทั้งนี้ผลงาน 1 ปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนของ ‘พิมพ์ภัทรา’ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวทางในการพลิกอุตสาหกรรมไทยที่รองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต :

‘รื้อ’ ด้วยการเร่งรื้อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น อาทิ ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ที่คงค้างจำนวนมากจนแล้วเสร็จ ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม 12,000 ล้านบาท และดำเนินการออกใบอนุญาตที่ขอใหม่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด แก้ไขปัญหาผังเมือง เพื่อให้เกิดการลงทุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 

‘ลด’ ด้วยการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ 

(1) เร่งดำเนินการจัดการกากอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพี่น้องประชาชนคนไทย 

(2) ช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลอันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลไม่ให้ลักลอบเผาไร่อ้อยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 

(3) กวดขันให้มีการตรวจ กำกับดูแลโรงงาน/วัตถุอันตราย และโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวถึงร้อยละ 87.66 จากเป้าหมายร้อยละ 90 เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

(4) ส่งเสริมการทำเหมืองแร่ในเมือง (Urban Mining) เพื่อสร้าง/ขยายเครือข่ายการนำขยะหรือของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ 

(5) กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้บริโภค 

(6) ผลักดันการจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของไทยในพื้นที่ EEC ให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพัฒนานิคม Smart Park เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ หุ่นยนต์ และดิจิทัล 

(7) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า/จักรยานยนต์ไฟฟ้า Solar Rooftop และอุตสาหกรรม Recycle เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด BCG 

(8) พัฒนาองค์กรดิจิทัลเพื่อให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 

(9) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่น PM 2.5 สู่ชั้นบรรยากาศ และจัดตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉินจากการประกอบการและจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากโรงงานอุตสาหกรรม

‘ปลด’ ด้วยการปลดภาระให้ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด 

(1) ปลดล็อกการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 

(2) ช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ด้วยสินเชื่อลดโลกร้อน (Decarbonize Loan) สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความตั้งใจในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน 

(3) ผลักดันเหมืองแร่โปแตชเพื่อส่งเสริมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรให้เกษตรกร และได้จัดสรรผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

(4) เร่งส่งเสริม MSMEs ให้มีศักยภาพและแข่งขันได้ 

‘สร้าง’ ด้วยการเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Food for the Future) อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลก อาทิ อุตสาหกรรมฮาลาล ฯลฯ 

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดได้ส่งต่อให้กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้ทำงานสานต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป

‘กฟผ.’ โชว์เทคโนโลยี ‘LED เบอร์ 5’ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในงาน ‘LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024’

(6 ก.ย. 67) นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเปิดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 ณ ห้องแอมเบอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเปิดงาน 

งานนี้ถือเป็นมหกรรมเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวบรวมและนำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน เทคโนโลยีด้านไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะระดับนานาชาติกว่า 500 แบรนด์จาก 10 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมี Zhejiang International Trade Exhibition 2024 เวทีการค้าระดับทวิภาคีที่สำคัญระหว่างจีนและไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมการค้ามณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน (5 ก.ย.)

นายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 โดยจัดแสดงบูทนิทรรศการโซน ‘กฟผ. พาวิลเลี่ยน’ ณ บูท G10 นำเสนอการดำเนินงานด้านการส่งเสริมเทคโนโลยี LED เบอร์ 5 ที่ กฟผ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมีการติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 สำหรับ LED ที่ใช้ในครัวเรือน อาคาร โรงงาน และขยายผลสู่โคมไฟถนน ตลอดจนการนำร่องใช้ระบบไฟฟ้า LED ติดตั้งในศาสนสถานและสถานที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นต้นแบบนวัตกรรมพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังได้นำเสนอแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ENZY EGAT's Smart Energy Solution ที่ กฟผ. พัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในบ้านและอาคารอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในบูท กฟผ. ยังมีการนำเสนอ 10 โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา อาทิ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 ในพื้นที่โครงการหลวง โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เบอร์ 5 วัดมหาธาตุวชิรมงคล โครงการจัดตั้งห้องเรียนสีเขียว โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม 

LED Expo Thailand & Smart Living Expo 2024 แบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนนวัตกรรม LED ล่าสุด โซนเทคโนโลยีแสงสว่างอัจฉริยะ โซนอุตสาหกรรมแสงสว่างยั่งยืน และโซนกิจกรรมสร้างเครือข่าย เพื่อโอกาสทางธุรกิจ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2567 ณ Hall 7 และ 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

'ซีเค' แนะรัฐ ต้องกำชับให้ธุรกิจต่างชาติตั้งโรงงานในไทย เอื้อ!! จ้างคนไทย ใช้วัตถุดิบไทย ให้เงินไหลอยู่ในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องติ๊กต็อก ‘Ckfastwork’ ของ ‘ซีเค เจิง’ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปขณะเข้าพูดคุยกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในเรื่องสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย ซ้ำยังขายในราคาถูก

โดยภายในคลิปที่ปรากฏ เป็นช่วงที่ซีเค เจิ้ง กำลังกล่าวว่า “เงินทุกบาท ทุกสตางค์ มันไหลออกนอกประเทศหมดเลยนะครับ เพราะว่าสิ่งที่เขาขาย คือสินค้าจีน 100% ก็แปลว่าเงินออกนอกประเทศหมดเลย ถ้าเขาอยากจะขายราคานี้ ต้องบังคับให้เขาต้องเปิดโรงงานที่ไทย อย่างน้อยหากเขาเปิดโรงงานที่ไทย สร้างโรงงานที่ไทย จ้างงานคนไทย มันก็อาจจะเป็นอีกทางหนึ่ง และอย่างน้อยเงินก็ยังอยู่ในนี้ (ประเทศไทย) ครับ”

ต่อมา นายภูมิธรรมได้เอ่ยถามกลับมาว่า “แล้วต้องใช้ของ ๆ เราไหม? เช่น วัตถุดิบต่าง ๆ ภายในประเทศ”

ซีเค กล่าวตอบว่า “ก็ควรครับ ดีครับ แต่ผมแค่อยากให้โรงงานอยู่ในประเทศไทย เพราะว่าอย่างน้อยเงินเข้าที่ประเทศไทย เข้าธนาคารไทย เข้าที่คนไทย พนักงานได้เงินแล้วใช้จ่ายกับคนไทย ซึ่งจะทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทยครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top