Friday, 19 April 2024
ECONBIZ

‘Gadhouse’ แบรนด์เครื่องเล่นแผ่นเสียงไทย ผู้ปลุกกระแส ‘แผ่นเสียง’ ให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณเพชร วัชรพล เตียวสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Gadhouse เมื่อวันที่ 2 มี.ค.67 กับการปลุกกระแสความนิยมเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้กลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางการสมรภูมิ Music Streaming ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน เบื้องหลังความสำเร็จนี้เป็นอย่างไร คุณเพชร ได้เล่าให้ฟังว่า...

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Gadhouse เริ่มต้นจากการนำเข้าเครื่องเสียงแบรนด์ต่างๆ มาจำหน่ายในเฟซบุ๊ก โดยยังไม่ได้มีแบรนด์ของตัวเอง ในชื่อ Gadhouse ซึ่งมาจากคำว่า House of Gadget 

เมื่อถามว่า ทำไมถึงขายเครื่องเล่นแผ่นเสียงซึ่งหลายคนมองว่าตกยุคไปแล้ว และในปัจจุบันนิยมฟังผ่าน Streaming มากกว่า? คุณเพชร บอกว่า “เริ่มต้นจากความชอบและเชื่อว่าตลาดแผ่นเสียงยังไม่ตายไปจากคนที่ชอบฟังเพลงจริงๆ ซึ่งการหวนกลับมาของแผ่นเสียงก็น่าจะเป็นเพราะ Streaming ด้วย เนื่องจากปัจจุบันทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดแค่ปลายนิ้ว แต่ขณะเดียวกันความเร็วแบบฉาบฉวยเหล่านี้ ก็กระตุ้นคนอีกกลุ่มที่เริ่มโหยหาวิถี Slow Life อยากเสพสุนทรีย์ และแสวงหาเสน่ห์จากปกที่ให้รายละเอียดของอัลบั้ม เนื้อเพลงและศิลปิน และพวกเขากำลังมองหาร้านที่จะตอบโจทย์ และเราคือคำตอบ”

เมื่อถามถึงทิศทางอุตสาหกรรมดนตรีของโลกในปัจจุบัน? คุณเพชร เผยว่า “หลัก ๆ ตลาดถูกขับเคลื่อนจากสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าตลาด Streaming ก็เติบโตสูงมากๆ จากตลาดเหล่านี้ รองลงมาก็จะเป็นกลุ่ม Vinyl, ซีดี และเทปคาสเซ็ต ที่เริ่มขยับตัวขนานไปกับ Streaming” 

คุณเพชร เสริมว่า “ส่วนตลาดในประเทศไทยเองก็มีทั้งที่เสพเพลงผ่าน Streaming และ Physical Media จากศิลปินที่ชื่นชอบ ในแบบที่ต้องการหาซื้อมาฟังจริงๆ และเลือกเป็นของสะสม ซึ่งสิ่งที่น่าดีใจ คือ ตลาดแผ่นเสียงไทยในปัจจุบันกำลังปรับตัวดีขึ้น ถึงแม้จะไม่มีแผ่นเสียงใหม่ออกมาจำนวนมากเหมือนต่างประเทศ แต่พอค่ายเพลงใหญ่ๆ เริ่มหันกลับมาผลิตแผ่นเสียงเพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้แฟนคลับเริ่มกลับมา”

เมื่อถามในส่วนการวิธีการทำตลาดของ Gadhouse แล้ว คุณเพชร บอกว่า “ส่วนใหญ่จะเป็นการทำตลาดในต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีจำหน่ายในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่จะได้รับความนิยมอย่างสูงที่ประเทศญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย โดยจุดเด่นของแบรนด์ Gadhouse นั้น คือ การเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าที่พึ่งเริ่มต้นเล่นแผ่นเสียง ด้วยฟังก์ชันที่ใช้งานง่าย มีดีไซน์สวย แต่ราคาจับต้องได้ในระดับคุณภาพสูง

ทั้งนี้แบรนด์ Gadhouse ได้วาง Positioning เป็นแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำของไทยโดยมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นสินค้านำร่อง แต่ก็มองการเติบโตของวงการ Vinyl ที่น่าจะเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ไว้บ้างแล้ว 

อย่างไรก็ตาม อีกจุดเด่นสำคัญของ Gadhouse คือการเป็นแบรนด์พัฒนาเครื่องเล่นแผ่นเสียง ที่ตอบโจทย์ Sustainability ด้วย โดยมีการผลิตเครื่องเล่นจากขยะและสิ่งเหลือใช้ เช่น กล่องนม เป็นต้น เพื่อรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมไปกับเสียงเพลง 

“ผมอยากให้ Gadhouse เป็นแบรนด์เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เติบโตสูงสุด และเป็นเครื่องเสียงของคนไทยที่ชาวต่างชาติอยากได้มากที่สุด โดยวางเป้าหมายเป็น Top ในระดับโลก ของกลุ่ม Retro Modern ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ส่วนแผนการจะเป็นอย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไป” คุณเพชร ทิ้งท้าย

'รมว.ปุ้ย' เร่งผลักดันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์แบบไร้รอยต่อ ลั่น!! ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการทุกด้านอย่างเต็มศักยภาพ

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลได้มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่รัฐบาลได้มีการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริม อาทิ การลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต เป็นต้น โดยในขณะนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV มีการเติบโตขึ้นเป็นลำดับ มีนักลงทุนมากมายให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศ 

แต่ในขณะเดียวกันการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป หรือ ICE ปรับตัวลดลง ส่งผลต่อยอดขายของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมสนับสนุนตกลงเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน และมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ประสบปัญหาดังที่กล่าวถึง กระทรวงอุตสาหกรรม จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เร่งหารือและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบถึงประเด็นปัญหาความต้องการจากภาคเอกชนในส่วนของอุตสาหกรรมสนับสนุน รวมทั้งเป็นแนวทางการช่วยเหลือและสนับสนุนที่ตรงจุดและตรงต่อความต้องการ

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวต่อว่า จากการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ พบว่า ผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์และผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ได้ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ อาทิ ปัญหาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ปัญหาการปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ปัญหาต้นทุนการเงินที่สูง ปัญหาจากมาตรการความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) 

รวมถึงมาตรการและนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ อาทิ มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) มาตรการต่ออายุสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศ (CKD) และการกำหนดคำนิยามของวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content : LC) ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น Local Content ในระบบราง เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัดเร่งดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสนับสนุนใน 3 ประเด็นหลัก ตามข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ประกอบการ ประกอบด้วย...

1) การพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรม โดยการเพิ่มทักษะและพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในการลดการปล่อย CO2 เพื่อรองรับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) 

2) การส่งเสริม สนับสนุน และปรับตัวเพื่อปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมอื่นตามที่ผู้ประกอบการได้เสนอมา เช่น อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เครื่องมือแพทย์และเครื่องมือแพทย์สำหรับสัตว์เลี้ยง เครื่องจักรกลการเกษตร ชิ้นส่วน Aftermarket การผลิตชิ้นส่วนทดแทน (REM) อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมการบิน และระบบราง เป็นต้น

3) การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านทาง SME D Bank และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และสนับสนุนการค้ำประกันผ่านโครงการติดปีก SMEs ไม่มีหลักทรัพย์ดีพร้อมค้ำประกันให้ 

ทั้งนี้ ในเรื่องของมาตรการและนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบการ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมจะทำการศึกษาและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอของผู้ประกอบการต่อไป

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้มีการหารือกับทางกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดแนวทางการคิดอัตราอากรขาเข้าของอุตสาหกรรมส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมสนับสนุน นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีโอกาสร่วมหารือ นายไซโตะ เคน รัฐมนตรีว่าการกับการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) ของญี่ปุ่น โดยมีแนวทางความร่วมมือและแลกเปลี่ยนกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อการพัฒนากลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อุตสาหกรรมสนับสนุน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ประเด็น...

1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจากยานยนต์ 
2) การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรมการผลิต 
3) การลดปริมาณของเสียหรือชิ้นส่วนจากยานยนต์ (End-of –Life Vehicle) 
และ 4) การพัฒนาพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ พร้อมทั้ง เสนอให้ทางญี่ปุ่นพิจารณาให้ไทยเป็นแหล่งสุดท้ายในการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (Last man standing) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งนายไซโตะ เคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง METI มีความเห็นพ้องกับแนวทางนี้เช่นกัน 

‘เนคเทค’ ผุด ‘สายวัด’ ซอฟต์แวร์วัดขนาด ‘อาหารสัตว์น้ำ' หวังเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแก่ผู้ประกอบการไทย

(1 มี.ค.67) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เนคเทค พัฒนาซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง ในชื่อ ‘สายวัด (SAIWAT)’ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบขนาดอาหารสัตว์ ทดแทนการวัดด้วยเวอร์เนียที่เป็นเครื่องมือวัดแบบเดิม ซึ่ง SAIWAT จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ บริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ สามารถตรวจวัดขนาดอาหารได้ตามมาตรฐาน เพราะขนาดที่เล็กใหญ่ของอาหารสัตว์มีผลต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของ SAIWAT ที่สามารถวัดอาหารที่มีขนาดเล็กมากใช้มือจับวัดยาก วัดได้พร้อมกันตั้งแต่ 100-800 เม็ด ใช้เวลาไม่นาน ขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด (ประมาณ 1-3 นาที) พร้อมสรุปรายงานวิเคราะห์เชิงสถิติทั้งตารางและกราฟฮิสโตแกรม ออกเป็นไฟล์ pdf, excel หรือ word เป็นผู้ช่วยที่สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง เพียงต่อกับเครื่องสแกนเนอร์ก็ทำได้แล้ว

ผู้ประกอบการที่สนใจใช้งานติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2251, 087-7007834 (รุ่งกานต์)

‘เศรษฐา' ประกาศตั้งเป้า ‘สุวรรณภูมิ’ ติดท็อป 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี ขอเวลา 6 เดือนจะไม่เห็นภาพผู้โดยสารต้องมารอต่อคิวอีก

(1 ม.ค.67) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงวิสัยทัศน์ ‘IGNITE THAILAND, AVIATION HUB’ เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมรวมถึง ผู้บริหารเอโอที และสายการบินต่างๆเข้าร่วม

นายเศรษฐา กล่าวว่า สัปดาห์ก่อนในการแถลงวิชั่นงาน Ignite Thailand ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางไว้ 8 ด้าน หนึ่งในนั้นคือ การทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ตนมีความเชื่อ รัฐบาลมีความเชื่อว่าศักยภาพของประเทศไทยพร้อมมากที่จะถูกระเบิดออกมา ฉายแววออกมาให้ชาวโลกรู้ว่าศักยภาพของเรามีมากขนาดไหน และก่อนที่เราจะอัปเกรด AVIATION HUB เราต้องยอมรับว่าเรามีปัญหาอะไรบ้าง 10 ปีที่แล้วสนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินที่อยู่ในอันที่ 13 ของโลก แต่ปัจจุบันอยู่อันดับที่ 68 ของโลกตกมา 55 อันดับ เพื่อนบ้านเราไม่ได้มีการลงทุนอะไรเลยอย่างมาเลเซียแต่อันดับสูงกว่าเรา ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์หรือฮ่องกง

“ปัญหาในสนามบินถ้าเราไม่มีการปรับวุ่นวายแน่นอน และจะเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าเวลาเรามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมันบั่นทอนศักยภาพของประเทศ เรื่องของไฟล์ทที่มาต่อที่นี่ก็น้อยลงหากมีการจัดตารางบินใหม่ เครื่องบินที่มาเปลี่ยนผ่านที่นี่รู้หรือไม่ว่ามีเพียงแค่ 1% ขณะที่สิงคโปร์มีถึง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องก็สามารถเห็นสิ่งดีๆของไทยได้ หากเข้ามาอยู่ 7-8 ชั่วโมง ได้เข้าไปในเมืองกลับมาเกิดความประทับใจก็อาจมีแพลนมาประเทศไทย แต่วันนี้ถ้าไม่มีการทำอะไรอย่าว่าจะขึ้นเลย 68 ก็ตกลงไปได้” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับสุวรรณภูมิมีพื้นที่ 20,000 ไร่ เมื่อปลายปีที่แล้วก็มีการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบิน SAT1 ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ที่ได้มีการวางโครงสร้างไว้ แต่ก็ยังยอมรับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้จะมีการเปิดให้ครบ 100% ภายในไตรมาส 2 ของปี 2567 รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 45 ล้านคน เป็น 60 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะทำให้เครื่องบิน บินขึ้นลงได้เป็น 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และอนาคตก็เตรียมที่จะสร้างอาคาร SAT2 วันนี้เรามีศักยภาพเพียงแต่เราจะต้องฉายแสงออกมาให้ได้ และมั่นใจหลังจาก 6 เดือนนี้ต่อไปเราจะไม่เห็นผู้โดยสารที่รอคิวนาน สุวรรณภูมิไม่ใช่แค่เทคแคร์คนอย่างเดียว แต่ต้องดูเรื่องของสินค้าด้วย เพราะเป็นสิ่งสำคัญ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนมั่นใจเราจะทำให้ก้าวแรกของผู้โดยสารที่เดินทางเข้าสู่สุวรรณภูมิและต่อโยงไปประเทศต่างๆ พร้อมทั้งสินค้าจะเกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดอนเมืองก็เป็นอีกหนึ่งสนามบินที่สำคัญรัฐบาลจะเปลี่ยนให้สนามบินดอนเมืองเป็น Point to Point แอร์พอร์ต จุดเด่นคือสะดวกรวดเร็ว ครบครัน รับผู้โดยสารให้มากยิ่งขึ้น จะสร้างอาคาร อินเตอร์เนชั่นแนลใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับผู้โดยสารมากขึ้นปัจจุบันมีการรับผู้โดยสารอยู่ที่ 30 ล้านคน จะเพิ่มให้เป็น 50 ล้านคน และสร้างอาคารจอดรถเพิ่มให้สามารถจอดรถเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ประมาณ 7,600 คัน ส่วนมาสเตอร์แผนจะมีการสร้างสนามบินอันดามัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวของภูเก็ต พังงา กระบี่ และจังหวัดใกล้เคียง และจะมีการพัฒนาสะพานสารสินเพื่อรองรับรถได้มากขึ้นและให้เรือขนาดใหญ่สามารถผ่านได้ ส่วนทางภาคเหนือก็จะมีสนามบินล้านนา เพื่อรองรับผู้โดยสารอีก 20 ล้านคนต่อปี

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันจะมีการยกระดับสนามบินเมืองรองทั่วประเทศ เช่น สนามบินน่าน ศรีสะเกษ นครราชสีมา ให้กลายเป็นสนามบินหลักให้ได้ ควบคู่กับพัฒนาครัวไทยสู่การเป็นครัวโลก ผ่านการผลิตอาหารบนเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลก และระบบการทำงานภายในสนามบินก็สำคัญ จะมีการขยายอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงรักษาเป็นศูนย์กลางการบำรุงรักษา ทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนตัว ต่อยอดระบบขนส่งและคลังสินค้า รวมถึงการต่อยอดความร่วมมือทั้งจากสายการบินต่างๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงแรม เพื่อพัฒนาการบิน เส้นทางการบิน จำนวน และประเภทเครื่องบินส่วนตัวและการบริการ

“การเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ผมจะไปคุย โดยประเทศไทยจะอธิบายให้ฟังทั้งหมดในเรื่องดีๆว่ามีอะไรบ้าง แต่สัปดาห์หน้าที่เดินทางไปนี้เป็นแค่ออเดิร์ฟไปโฆษณาว่าปีหน้าเราจะมีอะไรบ้าง ซึ่งผมรับรองได้ว่าเขาจะต้องชอบและพอใจ และจะเดินทางมาไทยมากยิ่งขึ้น” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับสายการบินไทย สายการบินแห่งชาติ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน การพัฒนาต่อไปจะไปไม่ได้ถ้าสายการบินไทยไม่แข็งแรง ต้องมีการบริหารให้เหมาะสม ทั้งลักษณะเครื่องบิน จะต้องมีการพัฒนาระบบตั๋วที่หลายประเทศใช้ระบบออนไลน์ วันนี้เราต้องพูดตรงไปตรงมาว่าการบินไทยมีตัวแทนขายตั๋วเยอะ เขามีการกั๊กตั๋ว แต่ขึ้นเครื่องไปบางทีว่างอันนี้เป็นเรื่องที่เราไม่อยากพูด แต่วันนี้ไม่ได้มาว่ากัน เราต้องพัฒนาให้ดีขึ้น หลายสายการบินใช้ออนไลน์บุคกิ้งบริหารราคาตั๋วเพื่อกำไร ตรงนี้เราต้องให้ความสำคัญ เข้าใจอย่างตรงจุด เรื่องเหล่านี้เราคาดหวังว่าการบินไทยต้องทำได้ และการจัดตารางไฟล์ทต้องมาพูดกัน เราทราบกันดีการบินไทยอยู่ระหว่างการฟื้นฟูหลังจากเกิดโควิด19 ในวันนี้รักษาตัวเองให้ดี หากหลุดพ้นจากแผนฟื้นฟูแล้วเรามาให้น้ำใจผู้โดยสารทุกคนที่ให้ความเชื่อมั่นเรา ทั้งนี้เราต้องมีความทะเยอทะยานให้การบินไทยติดอันดับโลกอย่างน้อยต้องติดอันดับ 3 ของเอเชีย คนไทยต้องภาคภูมิใจ

“การที่ผมแอบไปตรวจ ไม่ได้จ้องจับผิด เพื่อให้เห็นการทำงาน ไม่ได้ดูแค่หน้างาน แต่ดูหลังบ้านด้วย และได้มีการพูดคุยเรื่องการบริหารคนให้เขามีจิตใจที่ดีขึ้น ให้เขาเกิดความตั้งใจในการทำงาน ผมคิดว่าความสุขเป็นอะไรที่ส่งต่อกันได้ เริ่มต้นจากผู้ให้บริการถ้ามีความสุขเวลาส่งต่อการให้บริการผู้โดยสารก็จะส่งต่อความสุขนั้นได้ ความสุขเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ดี หลายท่านอาจถามว่าอะไรคือประโยชน์ของศูนย์การบิน สิ่งที่พูดมาทั้งหมดคิดว่าคงจะเห็นในเรื่องเศรษฐกิจที่พยายามพัฒนาอย่างก้าวกระโดด วันนี้เราจะต้องเอาชนะให้ได้ หากเราโปรโมทการท่องเที่ยวอย่างมโหฬาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่อยากสนับสนุนให้การบินมีเพิ่มมากขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า หลายท่านที่มาเห็นการบริการที่ประทับใจก็จะเห็นออเดิร์ฟให้กับเขาว่าในปีหน้าอาจจะอยากมาเที่ยวที่ไทย แต่ทั้งนี้จะต้องมีการสร้างความยั่งยืนดึงดูดสายการบิน และส่งเสริมการผลิตในประเทศไทย สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ผมขอประกาศว่า 1 ปีจากนี้สนามบินสุวรรณภูมิจะต้องเป็น 1 ใน 50 ของโลก และ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี พี่น้องที่อยู่ในฐานรากให้ความหวังเยอะมาก เรามีความฝันทุกวันอยากให้มันเป็นจริง อยากให้มันเกิดขึ้นมาได้ ผมขอประกาศวันนี้เราตื่นแล้ว ฝันดีแล้ว วันนี้ตื่นขึ้นมาร่วมกันให้ความฝันเป็นความจริง ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้จะมีส่วนร่วมทำให้เราถึงจุดมุ่งหมายนั้นได้ ขอขอบคุณและให้กำลังใจทุกคน เพื่อให้ศักยภาพที่สำคัญที่สุดคืออัปเกรด AVIATION HUB เป็นความจริง” นายเศรษฐา กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ปลดล็อก ‘Solar Rooftop’ ช่วยเหลือกลุ่ม SMEs ฟาก ‘กรมโรงงานฯ’ ขานรับ!! เร่งแปลงเครื่องจักรเป็นเงินทุน

(1 มี.ค.67) นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ขานรับนโยบาย ‘อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน’ ของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายปลดล็อกให้การติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบันมีจำนวนมาก 

กรอ. เตรียมผลักดันให้มีการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนจาก Solar Rooftop ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs โดยผู้ประกอบการสามารถนำ Solar Rooftop เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ อีกทั้งผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนสำหรับติดตั้ง Solar Rooftop สามารถนำโครงการไปขอสินเชื่อสำหรับติดตั้ง Solar Rooftop จากสถาบันทางการเงิน เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยในปี 2566 มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร จำนวน 169 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในปี 2567 คาดว่าจะมีการนำ Solar Rooftop มาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร เพิ่มขึ้นกว่า 100%

นายจุลพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรอ. ดำเนินโครงการ ‘เร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม’ ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 มีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ ให้ความรู้ความเข้าใจ และให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ ทั้งในด้านการเพิ่มการผลิต การลดต้นทุนด้านพลังงาน การลดต้นทุนในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงเครื่องจักรเดิม หรือการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ทดแทน โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2559 มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 2,998 ราย และมีเครื่องจักรที่ได้รับการตรวจสอบปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนแล้วไม่น้อยกว่า 12,500 เครื่อง

“ผมขอเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศ นำ Solar Rooftop เครื่องจักรขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือเครื่องจักรในธุรกิจอื่น อาทิ สวนสนุก ฟาร์ม โรงพยาบาล เป็นต้น มาจดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด โดยสามารถตรวจสอบรายการเครื่องจักรที่สามารถจดทะเบียนได้ที่ https://www5.diw.go.th/mac/macregist/ หรือสอบถามสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง โทร. 02 430 6317 ต่อ 2600 

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มช่องทางการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรผ่านระบบจดทะเบียนเครื่องจักรออนไลน์ https://omr.diw.go.th/OMR/ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ และคาดว่าในปี 2567 จะสามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs จดทะเบียนเครื่องจักร จำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 เครื่อง และมีมูลค่าการแปลงเครื่องจักรเป็นทุนไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย

TVDH โอนส่วนล้ำมูลค่าหุ้น ล้างขาดทุนกว่า 241.7 ลบ. หวังเปิดทางจ่ายปันผล หากมีกำไรในอนาคต

เมื่อวานนี้ (29 ก.พ. 67) บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ (TVDH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการโอนส่วนล้ำมูลค่าหุ้น จำนวน 241,723,180 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 241,723,180 บาท ภายหลังจากการชดเชยผลขาดทุนสะสมดังกล่าวแล้ว ผลขาดทุนสะสมของบริษัทฯ จะเท่ากับศูนย์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถจ่ายเงินปันผลได้หากมีกำไรในอนาคต

'แสนสิริ' โชว์กำไรเติบโตเกือบ 50% แซงหน้าทุกค่ายอสังหาฯ สูงสุดนับแต่ก่อตั้งมา 40 ปี อานิสงส์กลุ่มบ้านหรูช่วยดัน

(1 มี.ค.67) Business Tomorrow เผย SIRI บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ปี 2023 มีกำไรสุทธิสูงถึง 6.06 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +42% จากปีก่อน สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมาได้ 40 ปี หรือ All-time high คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15.5% ทุบสถิติใหม่ ทำให้แสนสิริมีอัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิสูงที่สุดแซงหน้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด

โดยปี 2023 มียอดขายรวม 4.9 หมื่นล้านบาท รายได้รวม 3.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +12% จากปีก่อนหน้า มาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งบ้านและคอนโดฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มบ้านและคอนโดในแบรนด์ Luxury

ส่วนปี 2024 นี้ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 46 โครงการ มูลค่ารวม 6.1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 10 แห่ง มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ในต่างจังหวัดและชานเมือง ซึ่งยังคงมองการขยายกลุ่มบ้านราคาแพง และกลับไปรุกหัวเมืองท่องเที่ยวและจังหวัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง

ด้านการตั้งเป้ายอดขายปีนี้ จะอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท และเป้ายอดโอนที่ 4.3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีการวางกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับวินัยทางการเงินเพื่อรักษาระดับสภาพคล่องไว้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท 

สุดท้าย แสนสิริเตรียมประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเมื่อเดือนกันยายน 2023 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท เตรียมจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมนี้ ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น Dividend Yield ปี 2023 อยู่ที่ 10.8%

เปิดใจ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ หลังประกาศชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เปิดใจ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ประกาศชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย้ำชัด “ประเทศรอไม่ได้” ขออาสาทำงานเพื่อทุกกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศของไทย หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

การเลือกตั้งกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วาระปี 2567-2569 กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 25 มี.ค.2567 โดยกรรมการ ส.อ.ท.ที่ได้รับการเลือกตั้งดังกล่าว รวมกับกรรมการที่ได้รับการเลือกจากกลุ่มอุตสาหกรรม 46 กลุ่ม และสภาอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด จะมาทำหน้าที่ลงคะแนนเลือกตั้งประธาน ส.อ.ท.วาระปี 2567-2569 อีกครั้ง

การเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อ นายสมโภชน์ อาหุนัย รองประธาน ส.อ.ท.และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้เสนอตัวชิงเก้าอี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันนายเกรียงไกร เธียรนุกูล เป็นประธาน ส.อ.ท.วาระ 2565-2567 ดำรงตำแหน่งในวาระที่ 1 ยังคงเสนอตัวเป็นประธาน ส.อ.ท.อีก 1 สมัย 

ทั้งนี้ นายสมโภชน์ ได้เปิดวิสัยทัศน์ และเปิดใจในการประกาศชิงเก้าอี้ประธาน ส.อ.ท.คนที่ 17 เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า การเสนอตัวชิงตำแหน่งในครั้งนี้ เป็นอุดมการณ์ที่มีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ต้องการรับใช้ชาติในฐานะภาคเอกชน โดยจะนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานมาช่วยประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ทั้งในฐานะสมาชิกและรองประธาน ส.อ.ท. ได้ทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือรับประโยชน์ใด ๆ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. เพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยเติบโต อีกทั้งสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ หากได้รับเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. คนใหม่ นายสมโภชน์ ย้ำว่า ในอนาคตจะเห็น ส.อ.ท. ทำงานเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ 4 ประการคือ 1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน 2.สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 3.ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า และ 4.นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ

“ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า ส.อ.ท. คือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้”

ส่วนเหตุผลที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่รอรับไม้ต่อจากนายเกรียงไกร ที่จะนั่งในตำแหน่งนี้อีก 2 ปี ในวาระที่ 2 นายสมโภชน์ ได้ชี้แจงว่า โดยส่วนตัวมองว่าประเทศไทยรอไม่ได้ ภาระหนี้ครัวเรือน การลงทุนไม่เข้า ถ้ารออีก 2 ปี เปรียบเหมือนคนที่เป็นมะเร็งขั้นที่ 1 ก็อาจจะรอได้แต่ถ้าเป็นขั้นที่ 4 หากรอก็อาจจะแก้ไม่ได้แล้ว แม้ว่าในขณะนี้เศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ถือว่าอยู่ในขั้นป่วย

นายสมโภชน์ ชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้ บางอุตสาหกรรมเดิมแข่งขันไม่ได้ มีบางอุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่ง จึงจะเป็นสะพานเชื่อมหลายอุตสาหกรรมมารวมกันใครเดือดร้อนต้องช่วยกัน เพื่อให้เป็นรูปธรรม เพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมกับประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรม คนไหนเดือดร้อนก็ช่วย คนไหนแข็งแรงก็ทำให้ดีขึ้นเพื่อให้ฝนตกทั่วฟ้า จึงต้องการเดินไปข้างหน้าด้วยนโยบายและมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน พร้อมผสานความเป็นปึกแผ่นเพื่อมองไปข้างหน้าด้วยกัน พร้อมทั้งทำงานกับทางรัฐบาลอย่างแนบแน่นเป็นทีมไทยแลนด์อย่างแท้จริง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับประเด็นที่อาจจะมีคนมองว่า การลงสมัครเลือกตั้งเกิดจากความขัดแย้งนั้น นายสมโภชน์ ยืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งแต่อย่างใด เพียงแต่ตนต้องการใช้โอกาสนี้เสนอไอเดียที่สร้างสรรค์ เพราะประเทศวันนี้รอไม่ได้ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงอยากเสนอตัวมาช่วยทำงาน โดยจะไม่ทำให้เกิดความแตกแยกทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด และพร้อมจะซัปพอร์ตสมาชิกทุกคนทั้งที่เลือกและไม่เลือก ขณะเดียวกันก็ยังเคารพคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เหมือนเดิม

นายสมโภชน์ กล่าวอีกว่า หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธาน ส.อ.ท. พร้อมจะเป็นแกนกลางในการประสานการทำงานระหว่างอุตสาหกรรมจังหวัด และกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อตกผนึกแนวคิดในการทำงาน และนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตต่อภาครัฐ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะต้องเตรียมแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกทุกมิติ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อให้ทันกติการะดับสากล ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน

“หากผมได้รับการเลือกตั้ง สิ่งแรกที่จะทำก็คือการเซ็ตซีโร่ จะไม่มีการแบ่งกลุ่ม แต่จะชักชวนสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยกันทำงาน เพื่อเพื่อนสมาชิกและพร้อมให้สมาชิกตรวจสอบการทำงานในทุกด้าน แต่ถ้าไม่ได้รับเลือก ก็ยังพร้อมที่จะทำงานเพื่อสมาชิกต่อไป ยิ่งไอเดียที่ผมได้เสนอไปมีคนนำไปสานต่อก็จะยินดีมาก เพราะชัยชนะสำหรับผมคือการที่แนวคิดของผมได้รับการยอมรับและถูกนำเอาไปทำ โดยที่ผมอาจจะไม่ต้องทำเองก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเกิดได้โดยที่ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย หากเพื่อนสมาชิกเห็นว่าใครเหมาะสมกว่าที่พร้อมจะทำงานตรงนี้ ถึงจะไม่ใช่ผมแต่ผมก็พร้อมที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานเช่นเดิม”

นายสมโภชน์ ยังกล่าวด้วยว่า หากได้เข้ามารับตำแหน่งก็จะฟังจากสมาชิกก่อนและจัดลำดับความสำคัญของปัญหาว่าประเด็นใดเป็นประเด็นเร่งด่วนที่จะต้องการให้มีการแก้ไข ก่อนที่จะสรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนนำเสนอสู่ภาครัฐต่อไป โดยไม่เน้นเฉพาะเรื่องพลังงานเท่านั้น เพราะตอนนี้ไทยต้องเจอทั้งปัญหาเรื่องการลงทุนโดยตรงไม่เข้าประเทศและประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมาเป็นระยะเวลายาวนาน 6 ปีที่ผ่านมา 

ในส่วนของนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาเร่งด่วน ที่จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาเราติดกับดักการสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากจนมีกำลังไฟสำรองเกินความจำเป็น ทำให้ไม่สามารถที่จะไปลดต้นทุนที่เป็น Fixed cost ได้ ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกภาระค่าไฟเพิ่มขึ้น

แนวทางที่จะแก้ไขไม่ใช่เพียงการไปลดค่าไฟ เพราะนั่นก็จะไปกระทบกับผู้ผลิตไฟฟ้า แต่วิธีการเดียวก็คือการทำให้คนใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจะทำอย่างไรในเมื่ออุตสาหกรรมก็เท่าเดิมประชาชนก็ใช้เท่าเดิม คำตอบก็คือเราต้องหาคนใช้ไฟฟ้าใหม่ ลูกค้าใหม่ก็คือรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV

“การที่เราเพิ่มจำนวนผู้ใช้รถ EV จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น และเรามีกำลังไฟฟ้าสำรองเพียงพอที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ได้ทำให้มีราคาถูกลงและอุตสาหกรรมก็ไม่มีใครเสียหาย แน่นอนว่าแนวคิดนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ปัญหาค่าไฟแพง แต่ยังมีอีกหลายปัญหาที่รอการแก้ไข ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและนำพาเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน”

อย่างไรก็ตาม นายสมโภชน์ ยังบอกด้วยว่า คนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถก็สมัครตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมได้เช่นกัน เพื่อนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้แก่ภาพรวมของอุตสาหกรรม และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานฯ ควรที่จะนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนต่อให้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญต้องสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เป็นเวทีกลางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่มมาช่วยกันทำงาน

สำหรับประวัติ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต University of Pittsburgh สหรัฐอเมริกา, วิศวกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วิศวกรรมพลังงานทดแทนสิ่งแวดล้อม) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน), กรรมการบริษัท ทีเอสท์ โปรดักส์ จำกัด, กรรมการบริษัท อีเทอนิตี้ โฮลดิง จำกัด, คณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ด้านพัฒนาองค์กร

จากข้อมูลนิตยสาร ฟอบส์ ฉบับประเทศไทย พ.ศ. 2566 นายสมโภชน์ติดอยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทยอันดับที่ 9 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.04 แสนล้านบาท (3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

‘สมโภชน์ อาหุนัย’ ประกาศ!! พร้อมนั่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 หวังเป็นแกนนำหลักขับเคลื่อนอุตสาหกรรม-เศรษฐกิจของไทย

(29 ก.พ. 67) นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ในฐานะเป็นสมาชิกและรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าจะลงสมัครตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 ในวาระนี้ (ปี 2567-2569) ถือเป็นอุดมการณ์ที่ต้องการรับใช้ชาติในฐานะภาคเอกชน โดยจะนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานมาช่วยประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ในอนาคตจะเห็นส.อ.ท.ทำงานเชิงรุกด้วยยุทธศาสตร์ 4 ประการ ได้แก่

1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน 

2.สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 

3.ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า 

และ 4.นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ

"เรื่องนี้เป็นอุดมการณ์ที่ผมมีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า ส.อ.ท. คือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้"

นายสมโภชน์กล่าวอีกว่าจะมีการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ในอนาคตต่อภาครัฐ อุตสาหกรรมแต่ละประเภทจะต้องเตรียมแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อรองรับการแข่งขันในเวทีโลกทุกมิติ อาทิ การปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบเพื่อให้ทันกติการะดับสากล ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) และการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในปัจจุบัน

“ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ผมในฐานะสมาชิกและเป็นรองประธาน ส.อ.ท. ทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือรับประโยชน์ใด ๆ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผมอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. เพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยเติบโต อีกทั้งสามารถยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง"

นอกจากนี้ คนอื่น ๆ ที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถก็สมัครตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมได้ เพื่อนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้แก่ภาพรวมของอุตสาหกรรม และผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานฯ ควรที่จะนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนต่อให้เป็นรูปธรรม ที่สำคัญต้องสร้างความโปร่งใสในการทำงาน เป็นเวทีกลางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และกระจายอำนาจให้แต่ละกลุ่มมาช่วยกันทำงาน

'รมว.ปุ้ย' เร่งถก 'ปรับผังเมืองใหม่' สอดรับการขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนไป หวังรองรับการลงทุน 'ใน-นอก' แบบไม่กระทบ 'สิ่งแวดล้อม-ชุมชน'

(29 ก.พ.67) นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เร่งดำเนินการตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ก.พ.67 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งแก้ไขและบูรณาการเร่งรัดจัดหาแนวทางการจัดทำผังเมืองใหม่ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนไป รวมถึงการยกระดับเมืองรอง เพื่อเตรียมพร้อมรับการลงทุนจากทั้งภายในและนอกประเทศ 

โดยผังเมืองเก่าในประเทศที่จัดทำมานาน อาจไม่เหมาะกับยุคปัจจุบัน โดยได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), กรมโยธาธิการและผังเมือง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางขจัดปัญหาและอุปสรรคในการปรับแก้ไขผังเมืองให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและเป็นที่ยอมรับของชุมชน / การกำหนดพื้นที่และประเภทการประกอบกิจการอุตสาหกรรม / การพัฒนาและขยายอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม / เร่งรัดระยะเวลาในการจัดทำผังเมือง และรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนตามข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้ง EHIA และ EIA ที่มีข้อกำหนดแนบท้ายต่างๆ ให้สอดคล้องกับผังเมือง

“การแก้ไขปัญหาอุปสรรคในครั้งนี้ เน้นการดำเนินการแบบ Quick Win โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีนิคมอุตสาหกรรม หรือ เขตประกอบการอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 20 แห่ง จากการไม่สอดคล้องระหว่างผังเมืองของ EEC กับผังเมืองใหม่ ขณะเดียวกันในส่วนของขั้นตอนการปรับแก้ผังเมืองในด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน จำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างสนามบิน รวมถึง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ก่อนการปรับผังเมืองใหม่ด้วย” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ มีผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วม ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย, นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายนฤชา ฤชุพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเลขาธิการส่งเสริมการลงทุน, นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการสายงานเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ และว่าที่ร้อยเอก ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าร่วมประชุมด้วย

‘รมว.พีระพันธุ์’ รุดดูงานแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ อ่าวไทย หวังขุดเจาะก๊าซให้ได้ตามเป้า ช่วยคงราคาค่าไฟให้ถูกลง

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะได้ร่วมกันเดินทางไปยังแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ กลางอ่าวไทย โดยเดินทางไปที่แท่นหลักที่เป็นศูนย์รวมก๊าซที่ขุดได้จากทุกแท่นในแหล่งเอราวัณเพื่อส่งมายังโรงแยกก๊าซที่ระยอง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งถึง 400 กว่ากิโลเมตร

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า “ผมพยายามลดภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยหลังสุดสามารถยันราคาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั่วไปไว้ได้ที่ 4.18 บาท ต่อหน่วย สำหรับงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่มีการคาดการณ์ว่าอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดดังกล่าวจะอยู่ที่ 4.68 บาท เพราะในช่วงเวลาที่ว่านี้มีปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าหลายตัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการขุดเจาะก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) ทำให้ต้องสั่งก๊าซจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมาชดเชยและมีผลต่อราคาค่าไฟฟ้าโดยตรง”

นายพีระพันธุ์ ระบุต่อว่า “แม้จะยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือนกว่าจะครบกำหนดการปรับค่าไฟฟ้าตามวงรอบ 4 เดือน ในเดือนเมษายน 2567 แต่ผมไม่นิ่งนอนใจ เพราะหากยังคงขาดก๊าซจากอ่าวไทยวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. อยู่ ก็จะมีผลต่ออัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2567 นี้แน่นอน ทั้งนี้ ทั้งผม ทั้งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) ทั้งประธานที่ปรึกษา (นายณอคุณ สิทธิพงษ์) และคณะกรรมการ กกพ. ได้เตรียมการแก้ไขปัญหากันทุกวัน แต่สำคัญที่สุดคือต้องขุดก๊าซจากอ่าวไทยในปริมาณที่ขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. ขึ้นมาให้ได้ตามเดิม ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ.”

“ในช่วงที่ผ่านมาเราได้ประสานงานและขอคำยืนยันจาก ปตท. และ ปตท. สผ. ตลอดมาว่าจะสามารถนำก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขึ้นมาในปริมาณที่ขาดหายไป 800 ล้าน ลบ.ฟ. ต่อวัน ได้หรือไม่ ซึ่ง ปตท. และ ปตท.สผ. ยืนยันตลอดมาว่าสามารถทำได้แน่นอน แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจแทนพี่น้องประชาชน ผมจึงต้องไปให้เห็นกับตาและได้ยินกับหูจากผู้ปฏิบัติงานจริงที่แท่นขุดเจาะว่าจะสามารถทำได้แน่นอน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ก๊าซจากอ่าวไทยขาดหายไป 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตว่า “คำตอบคือ เดิมผู้ที่ได้รับสัมปทานผลิตส่วนนี้คือบริษัทต่างชาติบริษัทหนึ่ง แต่แพ้ประมูลต่ออายุสัมปทานให้ ปตท.สผ. ซึ่งการประมูลนี้ต้องทำล่วงหน้าเป็นปีก่อนหมดสัมปทานเดิม บริษัทดังกล่าวเลยหยุดขุดเจาะก๊าซเพิ่มเติมไปเฉย ๆ ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยในส่วนนี้จึงค่อย ๆ หายไป ขณะที่ ปตท.สผ. ก็ยังเข้าดำเนินการในช่วงนั้นไม่ได้เพราะสัมปทานเดิมยังไม่หมดอายุ สุดท้ายเมื่อเข้าดำเนินการได้เมื่อประมาณธันวาคม 2564 ปตท.สผ. จึงเร่งเตรียมการและดำเนินการต่อมาจนกำลังจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายตามที่เล่ามาครับ”

'Mandala AI' จับมือ 'Torpenguin' เปิดตัว 'Galaxy' โซลูชันใหม่เพื่อโลกธุรกิจ ปฎิวัติการจัดการข้อมูล ช่วย 'ผู้ประกอบการ-นักการตลาด' ไม่หลงทิศ

เมื่อวานนี้ (27 ก.พ. 67) Mandala AI ร่วมมือกับเพจ Torpenguin เปิดตัว Galaxy โซลูชันใหม่ ที่พร้อมจะปฎิวัติการจัดการข้อมูลให้ง่ายขึ้น โดยออกแบบฟีเจอร์ที่ทันสมัย ทำให้การติดตามข้อมูลต่างๆ เป็นเรื่องง่ายทั้งนี้ระบบจะช่วยจัดระเบียบข้อมูลสำหรับการนำเสนอและจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ Galaxy ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ตัดสินใจด้วยข้อมูลเชิงลึกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิม ด้วยการใช้งานแพลตฟอร์มแบบไดนามิก

ดร.เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล - CEO & Founder Ocean Sky Network (Mandala AI) กล่าวว่า “การทำการตลาดในยุคปัจจุบัน ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภายในองค์กรที่ผู้ประกอบการมีอยู่แล้ว ข้อมูลจากภายนอกที่มีการวิเคราะห์ทำเป็นรีพอร์ตจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อมูลความเคลื่อนไหวของคู่แข่ง รวมถึงข้อมูลจากโซเซียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่หลาย ๆ ครั้ง ผู้ประกอบการหรือนักการตลาด เมื่อได้รับข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่งข้อมูล อาจจะไม่มีเวลามากพอในการคัดสรรข้อมูลที่ตรงกับธุรกิจของตนเอง เพื่อนำไปวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ในการทำการตลาด ทาง Mandala AI จึงได้พัฒนา Galaxy โซลูชันใหม่ ที่รวบรวมข้อมูลอินไซด์ และความเคลื่อนไหวของแต่ละอุตสาหกรรม โดยผ่านการประมวลผลจาก AI เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่แม่นยำ อัปเดต และสามารถนำไปใช้ได้รวดเร็ว ตัวแพลตฟอร์มถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย มีแดชบอร์ดที่แสดงผลการวิเคราะห์ในหลายมิติ เหมาะกับผู้ใช้งานทุกกลุ่ม

ในวันนี้ Mandala AI ได้ร่วมมือกับทางเพจ Torpenguin เปิดตัว Galaxy Food อย่างเป็นทางการ และนอกจากนี้ จะมีการทำคอนเทนต์ เวิร์คช็อปต่าง ๆ ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้เรียนรู้การใช้งาน Galaxy เพิ่มมุมมองการใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพได้จริง”

ด้าน ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของเพจ Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการร่วมมือกับทาง Mandala AI ว่า “คนทำธุรกิจหลายๆ คน รวมไปถึงคนทำร้านอาหารด้วย เวลาเราจะตัดสินใจอะไรที่เกี่ยวข้องกับร้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นการคิดเมนูใหม่ ทำโปรโมชั่น หรือว่าจะขยายสาขาไปที่ไหนดี เราอาจจะใช้ความรู้สึกหรือสัญชาตญาณในการตัดสินใจ ว่ามันต้องดีแน่ๆ เพราะนี่คือร้านของเราเรารู้ดี แต่การทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ถูกซะทีเดียว ร้านอาหารที่จะเติบโตได้ในตลาดทั้งหลายนั้น สิ่งที่เขาใช้ประกอบการตัดสินใจไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นข้อมูล ต่างหาก และยิ่งเรามีข้อมูลมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้เปรียบกว่าใคร

ซึ่งการหาข้อมูลก็สามารถหาได้จากหลายทางไม่ว่าจะเป็นระบบ POS ของร้านเอง ตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือการใช้เครื่องมือ Marketing Tool อย่าง Social Listening ที่จะทำให้เรารู้อินไซด์ เทรนด์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

เรียกได้ว่า Social Listening Tool คืออนาคตของ SME ไทยเลย เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ก่อนคนอื่นว่ามีอะไรที่เกิดขึ้นมาในตลาดบ้าง และเทรนด์มันเป็นยังไง แต่เรื่องพวกนี้ SME ไทยกลับมีความรู้น้อยมาก ๆ

โดยทางเพจ Torpenguin เองก็จะมีการทำคอนเทนต์การใช้เครื่องมือ Galaxy กับทาง Mandala AI เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจอื่นๆ ว่าเราสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการทำการตลาดให้เหมาะกับธุรกิจเราได้อย่างไร การร่วมมือกันครั้งนี้จึงถือเป็นการยกระดับการตลาดสำหรับธุรกิจร้านอาหารผ่านการใช้ศักยภาพและจุดแข็งที่มีร่วมกัน

Galaxy เครื่องมือล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถรวบรวม และจัดเรียงข้อมูลขนาดใหญ่ ได้อย่างง่ายดาย ด้วยฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย ระบบจะคอยแนะนำและตรวจสอบข้อมูล โดยการนำเสนอตัวเลือกที่เหนือชั้นกว่า การเลือกใช้งาน Galaxy จะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ จัดระเบียบข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องทำการตั้งค่าหรือสร้างแคมเปญเองให้ยุ่งยาก และสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว

'ท๊อป จิรายุส' ชี้!! บิทคอยน์ New High ก่อน Halving ไม่เคยมีมาก่อน ส่วน 'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' ไฟเขียว Bitcoin ETF 'ซื้อ-ขาย' ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Exchange’ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Academy’ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมจัดงานเสวนา ‘Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล (by Bitkub’s Crypto Theses)’ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลในแง่มุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 และเหตุการณ์ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมี นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อุ๊คบี จำกัด, นายโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tokenine, นายภาณุ ชลหาญ เจ้าของเพจ Nookfree God Defi, นายณัฎฐ์ จิตตมัย ผู้ก่อตั้ง GM Learning Club Pudgy Thailand Community Leader และนายกันตณัฐ วุฒิธร Digital Asset Analyst Supervisor บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค 101 กรุงเทพฯ

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวตอนหนึ่งภายในงานว่า “ปีนี้เป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมีความคึกคักและน่าจับตามอง เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นถึง 2 เรื่อง คือ การประกาศอนุมัติให้ Bitcoin Spot ETF สามารถเปิดซื้อขายได้อย่างถูกกฎหมายของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา โดยวงการคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกองทุนระดับโลกต่าง ๆ เช่น BlackRock, Vanguard ฯลฯ ที่มีมูลค่าประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าของวงการคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก แต่หากกองทุนที่เพิ่งได้อนุมัติ Bitcoin Spot ETF มีการซื้อขายบิทคอยน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่ากองทุน จะทำให้เงินสถาบันจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากยิ่งกว่ามูลค่าของตลาดทั้งหมดเสียอีก

นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีที่จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเป็นรอบที่ 4 ในช่วงเมษายนนี้ ซึ่งตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรอบไหนที่บิทคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังและคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อดูตามสถิติต่าง ๆ และตัวเลขแล้วเชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก”

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ฝากคำแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่และผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า “ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเองและรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้น ทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”

ILINK เผยผลงานทั้งปี 66 พลิกบวก โกยรายได้ 4 ไตรมาสเกือบ 7 พันล้าน ลุ้น!! โปรเจกต์ใหญ่เกาะสมุย ช่วยดันรายได้ทั้งปี 67 ทะลุ 7 พันล้านตามเป้า

ILINK ฟอร์มดี ปิดงบปีไตรมาส 4/66 สวย!! กวาดรายได้รวม 6,965.19 ล้านบาท ตอบรับทำกำไรโตเพิ่ม 170.23 ล้านบาท ฟื้นตัวต่อเนื่อง 31.41% ประกาศปันผล 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ผลงานเป็นที่ประจักษ์ขานรับรายได้โดดเด่น เกินที่คาดการณ์ แน่วแน่ปักธงชัยดันรายได้ปี 67 ตั้งเป้าแตะ 7,002 ล้านบาท ลุยวางแผนเติม Backlog แน่น หนุนเต็มสูบลุ้นคว้างานประมูลใหญ่สายเคเบิลใต้น้ำเกาะสมุย มุ่งดันทุกกลุ่มธุรกิจในเครือให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทำรายได้ สร้างกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพ เน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง และปันผลเพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล 

(28 ก.พ.67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เผยตัวเลขผลประกอบการ โดยทำรายได้รวมจาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 6,965.19 ล้านบาท ปิดงบปี 2566 ไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมกำไรสำหรับงวดรวม 712.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า 'จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ' 

โดยมีภาพรวมที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนที่เด่นชัด ตอกย้ำการเป็นบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยี ตามอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย พร้อมประกาศย้ำชัดปี 2567 ปักธงดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN มั่นใจมีแนวโน้มกอบโกยรายได้เพิ่มขึ้น ทำกำไรบวก รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เดินหน้า ปรับตัวพร้อมพัฒนาก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีโลกแห่งยุค ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปี 2567 เติบโตโดดเด่น

สำหรับรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานทำรายได้ทั้งปี 2566 รวมมูลค่า 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือเติบโต 51.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลประกอบการที่ดี ซึ่งเติบโตหลัก ๆ เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดของสาย LAN 

ส่วนในหมวดของสาย Solar ซึ่งประเทศไทยมีโครงการสนับสนุนโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN ที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ยังถูกจัดเป็นแบรนด์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย และ ILINK ยังเป็นผู้นำตลาดของระบบสายสัญญาณ โดยเป็นผู้ชี้นำตลาดของประเทศไทยและอาเซียนที่มีการขยายตัวอย่างมากอีกด้วย 

ทั้งนี้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1/67 ของกลุ่มธุรกิจนี้ จะยังคงมีรายได้ ทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ผลสืบเนื่องจากยอดขายสินค้า ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series ได้แก่ UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) โดยคิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุค จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK ในไตรมาสถัดไป จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น และจะเป็นผลตอกย้ำให้กลุ่มธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ พร้อมทำกำไรฟื้นตัวตามที่คาดการณ์

ส่วนกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ก้าวกระโดดจากการเร่งส่งมอบงานเกาะเต่าในไตรมาส 4/66 ทำให้มีรายได้รวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% 

ขณะที่ในปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 ขณะที่การประมูลงานของปี 2567 นี้เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือ และเป็นสิ่งที่กลุ่มธุรกิจมีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญโดดเด่น รวมถึงคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญา พร้อมเร่งรุกเตรียมลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนที่สำคัญ ๆ เพิ่ม หนุนเติม Backlog ให้แน่น เพื่อทำกำไร และมีรายได้โตขึ้นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL มีรายได้รวม 4 ไตรมาส ประจำปี 2566 อยู่ที่ 2,754.94 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือ 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32%และตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปมีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ 

โดยคาดว่าปี 2567 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่เพิ่ม และแผนรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 3,500 ล้านบาท จากล่าสุดมี Backlog รวม 2,769 ล้านบาท พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปี 2567 นี้แน่นอน รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีมาอย่างยาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มาสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี Digital Transformation ด้วยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมายกระดับการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

‘รมว.พีระพันธุ์’ ชี้!! ไทยต้องมีระบบสำรองน้ำมัน ลดปัญหาราคา 'ขึ้น-ลง' รายวัน ลั่น!! ถึงเวลาเดินหน้ารื้อโครงสร้างน้ำมันทั้งระบบ มั่นใจเป็นรูปธรรมภายในปีนี้

เมื่อวานนี้ (27 ก.พ.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการรื้อโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่ของประเทศไทย ในรายการ Smart Energy โดยระบุว่า...

ขณะนี้ได้ศึกษาถึงการปรับโครงสร้างพลังงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากผลการศึกษาทั้งหมดพบว่า สามารถทำได้แน่นอน ทั้งนี้ หลังจากผ่านการศึกษาแล้ว จะเข้าสู่ระบบราชการ โดยได้ตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแล และได้ทำการประชุมไปแล้ว 4 ครั้ง คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ ระบบรูปแบบราชการเสร็จแน่นอน

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะดำเนินการใน 2 เรื่องใหญ่ นั่นคือ ค่าไฟฟ้า และน้ำมัน โดยค่าไฟฟ้า จะเข้าไปดูตั้งแต่ค่าก๊าซ เพราะเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า สำหรับสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ ส่วนหนึ่งก็คือการโยกค่าก๊าซ ที่เอาไปใช้ทําปิโตรเคมีในราคาถูก มาใส่ใน Pool Gas เพื่อให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลดลง ขณะเดียวกัน ยังมีแนวคิดที่จะทำระบบสำรองก๊าซ พร้อมกับระบบสำรองน้ำมัน เพื่อจะได้มีก๊าซสำรอง ซึ่งจะทำให้มีอํานาจในการควบคุมราคาได้ ซึ่งเรื่องนี้จะค่อนข้างซับซ้อนกว่าระบบสำรองน้ำมัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว จึงจะเดินหน้าในส่วนของระบบสำรองน้ำมันก่อน

ส่วนในเรื่องน้ำมันนั้น จะจัดทำระบบที่เรียกว่า การสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีระบบสำรองน้ำมัน ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการสำรองเพื่อการค้าของบริษัทเอกชนเท่านั้น 

“หากต้องการให้ประเทศมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน จำเป็นจะต้องรื้อทั้งระบบโครงสร้างราคาน้ำมัน ไม่ใช่ปรับแค่โครงสร้างเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นราคาตลาดโลก ดังนั้น จึงต้องรื้อระบบทั้งหมด เพราะประเทศไทยไม่มีสํารองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศและมาตรฐานสํารองเพื่อความมั่นคงของประเทศขั้นต่ำ ที่เป็นมาตรฐานสากล คือ 90 วัน แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณการสำรองอยู่แค่ 20 วันเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรื้อระบบการสำรองน้ำมันของประเทศใหม่ทั้งหมด”

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า การรื้อทั้งระบบ จะช่วยควบคุมราคาน้ำมันได้ทุกประเภท โดยจะพยายามทำในส่วนของหลักการให้เสร็จภายใน 2 - 3 เดือนนี้ จากนั้นจะเร่งดำเนินการให้เสร็จเป็นรูปธรรมทั้งหมดภายในปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อทำสำเร็จแล้ว ผลดีจะเกิดกับประชาชนและประเทศชาติ ไม่ต้องกังวลถึงภาวะที่ราคาน้ำมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเช่นทุกวันนี้ ซึ่งการกำหนดราคาจะเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับผู้ประกอบการ โดยจะรื้อระบบกลับไปใช้เป็นราคาคงที่ เหมือนกับเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ไม่ใช่ระบบลอยตัวอย่างเช่นปัจจุบัน หากราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้น ทางรัฐบาลกับผู้ประกอบการจะจัดการกันเอง 

แน่นอนว่า ระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ จะเป็นหัวใจหลักสำคัญ ในการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ต้องกังวลกับราคาน้ำมันขึ้น-ลงรายวันอีกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top