Saturday, 15 February 2025
ECONBIZ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ประกาศความร่วมมือ ‘ดีอี-อว.- ศธ.’ และ ‘UNESCO’ เตรียมเป็นเจ้าภาพงาน ‘UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025’ ครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก ย้ำบทบาทประเทศไทย ผู้นำด้านจริยธรรม AI ในเวทีโลก

(4 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แสดงวิสัยทัศน์ผ่านปาฐกถาพิเศษในการแถลงข่าวการจัดงานประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการของกระทรวงดีอี กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในการเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก ‘The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025’ ภายใต้แนวคิด ‘Ethical Governance of AI in Motion’ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ว่า ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ที่ควรต้องเป็นไปตามหลักการสำคัญ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยมีแผนและการเตรียมการในการนำ AI มาใช้ในองค์กรเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2567 สูงถึง 73.3% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 20% (ข้อมูลจากรายงาน AI Readiness Measurement 2024) ที่จัดทำโดย ETDA และ สวทช. นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการประกาศ แนวทางการกำกับดูแลโดยมี ‘แนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับผู้บริหาร’ และ ‘คู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ Generative AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร’ เพื่อประโยชน์ในการนำแนวทางและคู่มือไปประกอบการพิจารณาการนำ AI มาใช้ในระดับองค์กรเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น จากศักยภาพของประเทศในมิติต่างๆ จึงได้นำไปสู่ความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพร่วมเพื่อจัดงาน ‘UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025’ ในปีหน้านี้ จะมีทั้งเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมความร่วมมือในระดับพหุภาคี รวมไปถึงการเสริมสร้างความสามารถในการกำกับดูแล AI ในประเทศที่กำลังพัฒนา ที่ถือได้ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก ที่ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแสดงให้เห็นว่าไทยเองมีความสามารถในการเป็น ‘แหล่งเรียนรู้’ ในด้าน AI Governance ที่พร้อมร่วมมือกับ UNESCO อีกด้วย 

ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึง ความพร้อมของประเทศไทยจากบทบาทของ กระทรวง อว. ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยไม่เพียงเน้นสร้างนวัตกรรมเท่านั้น ยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีหน่วยงาน ภายใต้กระทรวง อว. คือ สวทช. ที่ร่วมผลักดันการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม AI ที่จะช่วยตอบโจทย์ระดับประเทศ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนากรอบจริยธรรม AI ที่มุ่งเน้นความสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับ ประเทศไทยได้มีการส่งเสริมและพัฒนาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ผ่านการเตรียมทำการประเมินความพร้อมด้าน AI ตามกรอบแนวทางของ UNESCO RAM ที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ไทยได้เข้าใจสถานการณ์ความพร้อม ซึ่งครอบคลุมในมิติต่างๆ 

อีกทั้งข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ จะพัฒนาไปเป็นข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสนับสนุนการวางแผนสำหรับประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนการปรับปรุงในมิติที่จำเป็น ภายใต้บริบทของไทยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การร่วมจัดงาน Global Forum on the Ethics of AI 2025 ในปีหน้านี้ จะช่วยสะท้อนถึงการผนึกกำลังที่เข้มแข็งระหว่างกระทรวง อว. พร้อมด้วยกระทรวงดีอี และกระทรวง ศธ. จากประเทศไทย ในการทำงานร่วมกับ UNESCO เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับทุกคน

ขณะที่ นายซิง ฉวี่ รองผู้อำนวยการใหญ่ UNESCO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในความเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมธรรมาภิบาลจริยธรรม AI และการผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติ พร้อมเน้นย้ำว่าภารกิจของยูเนสโก ในการสร้างสันติภาพผ่านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตของผู้คน พร้อมยังกล่าวถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของภูมิภาค จนอาจนำมาสู่ความท้าทายที่เกิดขึ้น เช่น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และผลกระทบต่อการจ้างงานจากระบบอัตโนมัติอย่าง AI เป็นต้น ซึ่งการที่ประเทศไทยได้มีการนำกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมด้าน AI ของยูเนสโก (UNESCO RAM) มาใช้นั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของกรอบการทำงานในการประเมินความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้ AI ของไทย ที่มีความแข็งแกร่งและพร้อมส่งเสริมการใช้ AI ด้วยโปร่งใส ตามกรอบธรรมาภิบาลและจริยธรรมตามมาตรฐานสากล โดย Global Forum on the Ethics of AI 2025 จะเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเจรจาระดับโลกในการร่วมพัฒนาจริยธรรมการประยุกต์ใช้ AI ที่เคารพสิทธิมนุษยชน โปร่งใส เป็นธรรม พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้านธรรมาภิบาลจริยธรรม AI อย่างแท้จริง

พร้อมกันนี้ ในการแถลงข่าวความร่วมมือครั้งนี้ ประเทศไทย ยังได้ประกาศจุดยืนต่อผู้นำโลก ถึงความพร้อมของการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล ตามกรอบ UNESCO’s AI Readiness Assessment หรือ UNESCO RAM พร้อมเปิดเวทีเสวนาเชิงลึกโดยผู้นำและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง กับการเสวนาใน 2 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

• "Thailand's Journey in Driving AI Ethics & Governance: Insights from Hosting the Global Forum on the Ethics of AI" เส้นทางของไทยในการขับเคลื่อนจริยธรรมและการกำกับดูแล AI: มุมมองจากการเป็นเจ้าภาพ Global Forum on the Ethics of AI โดย ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC,
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA และ ดร.วีระ วีระกุล รองประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ที่จะมาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์การใช้การประชุมระดับโลกครั้งนี้เป็นแพลตฟอร์มในการยกระดับบทบาทของไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับสากล

• “Policy and Strategic Frameworks”, in the Region Readiness Assessment Methodology (RAM)” นโยบายและกรอบยุทธศาสตร์” ในกรอบแนวทางการประเมินความพร้อมระดับภูมิภาค โดยนายอิราคลี โคเดลี หัวหน้าหน่วยจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ UNESCO ร่วมกับ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผอ. ETDA, ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ. NECTEC ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นการวางกรอบการประเมินความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ (UNESCO RAM) ที่จะเป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับประเทศในภูมิภาค พร้อมแนวทางการจัดตั้งหอสังเกตการณ์จริยธรรมและการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก ที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ที่ยั่งยืน

จากสถานการณ์การเตรียมความพร้อมของประเทศ และกระแสการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาลในเวทีระดับโลก ที่สะท้อนจากมุมมองในระดับนโยบายของประเทศ สู่ความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญของไทยและ UNESCO จึงได้นำสู่การร่วมดำเนินงานโครงการสำรวจความพร้อมด้านจริยธรรม AI ของประเทศไทยตามแนวทางแนะนำของ UNESCO (โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ https://www.ai.in.th/) รวมถึงการเตรียมจัดการประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกในเอเซียแปซิฟิก “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ในแนวคิด “Ethical Governance of AI in Motion” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ โดยติดตามความคืบหน้าในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ได้ผ่านเพจ ETDA Thailand

ปตท. เผย 3 ปี แบกภาระราคา NGV รวม 18,123 ล้านบาท ขณะ ก.พลังงาน ขอความร่วมมือตรึงราคาต่อถึงสิ้นปี 2568

(4 ธ.ค. 67) ปตท. เผย 3 ปี แบกรับภาระต้นทุนราคา NGV รวม 18,123 ล้านบาท ขณะกระทรวงพลังงานยังขอความร่วมมือให้ตรึงราคาช่วยกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะจนถึงสิ้นปี 2568 ส่วนเฉพาะปี 2567 ปตท. แบกภาระลดลงเหลือกว่า 1 พันล้านบาท เหตุปล่อยราคา NGV กลุ่มผู้ใช้ทั่วไปเป็นไปตามกลไกตลาด ล่าสุดราคาลดลงต่ำสุดในรอบปี เหลือ 17.46 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่กลุ่มรถแท็กซี่และรถสาธารณะยังคงตรึงราคาไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม   

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สรุปการอุดหนุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 – 5 พ.ย. 2567 ว่า ปตท. ได้ช่วยเหลือราคา NGV สำหรับกลุ่มผู้ใช้ NGV ทั่วไป และกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่สาธารณะในเขต กทม. และปริมณฑล รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 18,123 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือ ปตท. ช่วยตรึงราคา  NGV มาตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดย ปตท. ได้จัดทำเป็น “โครงการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกัน” และช่วยตรึงราคา NGV ไว้ที่ 14.62 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับผู้ใช้ NGV ทุกราย โดยตลอดปี 2564-2566 ปตท. ได้แบกรับภาระค่า NGV ไว้ประมาณ 17,000 ล้านบาท  

ต่อมาเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ในปี 2567 กระทรวงพลังงานพิจารณาเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศยังชะลอตัว จึงขอความร่วมมือ ปตท. ให้ช่วยตรึงราคา NGV ต่อไปอีก 2 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2568 ดังนั้นทาง ปตท. จึงได้ปรับเปลี่ยนจาก “โครงการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกัน” มาเป็น “โครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ” พร้อมกับการปรับเปลี่ยนราคาใหม่

โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้ NGV ทั่วไป จะไม่ได้รับการช่วยเหลือและต้องซื้อ NGV ในราคาที่เป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะจะยังได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็มีการขยับราคาจากที่ตรึงไว้ที่ 14.62 บาทต่อกิโลกรัม ขยับขึ้นมาเป็น 15.59 บาทต่อกิโลกรัมจนถึงปัจจุบัน ทำให้ภาระค่า NGV ที่ ปตท. ต้องแบกรับไว้ลดลง เหลือประมาณปีละเกือบ 1,100 ล้านบาท จากเดิม 3 ปี (พ.ศ. 2564-2566) แบกภาระต้นทุน NGV ไว้ถึงประมาณ 17,000  ล้านบาท

สำหรับราคา NGV สำหรับผู้ใช้ NGV ทั่วไป ปตท. จะปรับราคาทุก 15 วัน โดยล่าสุดราคาอยู่ที่ 17.46 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาระหว่างวันที่ 16 พ.ย. -15 ธ.ค. 2567 และนับเป็นราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2567 ที่ ปตท. กำหนดให้ราคา NGV เปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาด ส่วนราคาที่สูงที่สุดเคยอยู่ที่ 19.59 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือน มี.ค. 2567

ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ NGV ที่เป็นกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะ (เส้นทางเดินรถเขต กทม. หมวด 1 และ 4 ไม่รวม ขสมก.) จะได้รับการช่วยเหลือตรึงราคา NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัมตามเดิม ขณะที่กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งเป็นรถบรรทุกใน “โครงการส่งเสริมความปลอดภัยใช้ NGV” ที่เติมก๊าซที่สถานีในแนวท่อ และสถานีนอกแนวท่อ จะได้รับการช่วยเหลือราคา NGV ในกรณีที่ราคาเกินกว่า 18.59 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น

‘เอกนัฏ’ ลงใต้ด่วน ร่วมปล่อยคาราวานถุงยังชีพ 5 จังหวัด พร้อมเตรียมออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการหลังน้ำลด

(3 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย ได้ประสบอุทกภัย เนื่องจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ สงขลา พัทลุง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SME และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ล่าสุดจากการสำรวจความเสียหายของสถานประกอบการ พบว่า มีโรงงานอุตสาหกรรม 52 แห่ง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 14 แห่ง เหมืองแร่ 1 แห่ง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 23 ล้านบาท และมีวิสาหกิจชุมชน 23 แห่ง (ข้อมูลจากศูนย์ CMC สะสมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2567) 

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงใช้พื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดสงขลา จัดตั้งเป็น “ศูนย์อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทยประสบภัยน้ำท่วม“ รวบรวมสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ของใช้จำเป็น และยารักษาโรค เพื่อระดมและลำเลียงไปช่วยพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดใกล้เคียง และเป็นศูนย์ประสานหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ติดตามความเสียหาย เตรียมพร้อมมาตรการต่าง ๆ รองรับสถานการณ์หลังน้ำลด กำหนดแผนป้องกันหากเกิดสถานการณ์ดังกล่าวอีกครั้งทั้งในระยะฉับพลัน ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ในการสนับสนุนสิ่งของอุปโภค บริโภค เพื่อส่งมอบเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 5 จังหวัด บรรเทาความเดือนร้อนเป็นการเร่งด่วน

ด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการกับภาคเอกชน จัดตั้งศูนย์ประสานหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยเร่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 2) มาตรการฟื้นฟูหลังน้ำลดผ่านการให้คำปรึกษาปัญหาธุรกิจอุตสาหกรรม และช่วยเหลือในการปรับปรุงกระบวนการผลิต ฟื้นฟูเครื่องจักร ระบบไฟฟ้า เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้กลับมาดำเนินการได้ อีกทั้ง ยังมีการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 3) มาตรการเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ผ่านการจัดทำแผนรองรับการเกิดอุทกภัยเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยจัดทำ Check list เมื่อเกิดเหตุอุทกภัย การสร้างผนังกั้นน้ำ สอนวิธีการป้องกันอุปกรณ์เครื่องจักร เป็นต้น 

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้เร่งให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยา ผ่านการจัดตั้ง “ศูนย์อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทยประสบภัยน้ำท่วม” โดยใช้พื้นที่บริเวณศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา เป็นจุดรวบรวมสิ่งของอุปโภค บริโภค ของใช้จำเป็น และยารักษาโรค บรรจุลง “ถุงอุตสาหกรรมรวมใจ MIND ไม่ทิ้งกัน” เพื่อกระจายไปยังประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อน เบื้องต้นได้จัดเตรียมถุงยังชีพ จำนวน 2,500 ชุด โดยในวันนี้ (3 ธันวาคม 2567) จะมีการปล่อยคาราวานรถบรรทุกสำหรับการส่งมอบถุงอุตสาหกรรมรวมใจฯ ให้แก่ประชาชนใน 5 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยจะส่งมอบให้จังหวัดละ 500 ชุด ได้แก่ สงขลา พัทลุง นราธิวาส ยะลา และปัตตานี 

“กระทรวงอุตสาหกรรมและภาคีเครือข่าย ขอรวมใจส่งมอบรอยยิ้ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ให้สามารถก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

สวนสยามลดค่าเข้า จาก 1,000 เหลือ 240 หวังกระตุ้นนทท. มองเศรษฐกิจยังซบเซาถึงกลางปี 68

(3 ธ.ค.67) นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพาร์คซิตี้ ซึ่งดำเนินธุรกิจสวนสยาม (Siam Amazing Park) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจสวนสนุกและสวนน้ำยังคงมีความต้องการ แต่ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและภาระหนี้สินที่สูง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง 40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 และคาดว่าจะยังคงซบเซาต่อไปจนถึงกลางปี 2568 เนื่องจากผู้คนยังไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ จึงมีการประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายรายประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและต้องใช้เงินทุนส่วนตัวเพื่อประคับประคองธุรกิจ ซึ่งนายวุฒิชัยได้เรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจเพิ่มเติม นอกจากมาตรการช่วยเหลือหนี้สินที่รัฐบาลกำหนดให้กับกลุ่มเปราะบางและธุรกิจเอสเอ็มอีรายย่อยแล้ว

"รัฐบาลควรพิจารณาช่วยเหลือธุรกิจหรือบริษัทที่ดำเนินการมาเป็นเวลานาน มีการจ้างงานจำนวนมาก และมีศักยภาพในการกลับมาฟื้นฟูกิจการ เพราะการที่ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น" นายวุฒิชัยกล่าว พร้อมเสริมว่าในปัจจุบันหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาครัฐไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคนและทุกธุรกิจ

สำหรับสวนสยาม บริษัทได้ปรับตัวโดยลดค่าใช้จ่ายและจัดโปรโมชั่นเพื่อรองรับกำลังซื้อที่ลดลง โดยลดราคาค่าบริการจาก 1,000 บาท เหลือ 240 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และเปิดให้ซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2567 ซึ่งจะสามารถใช้ได้จนถึง 1 มกราคม 2568 โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มีผู้เข้าใช้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์เฉลี่ยอยู่ที่ 4,000-5,000 คนต่อวัน ทำให้สวนสยามยังสามารถสร้างรายได้เพื่อหมุนเวียนธุรกิจได้บ้าง

'พิชัย' เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ เชื่อมั่น ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ PCB และ AI โลก หนุนสร้าง SME รุ่นใหม่ ส่งออกสินค้าทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567 และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Inclusive Business – A Catalyst for Change to an Equitable Society : ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม – เร่งสร้างสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งภายในงานมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย นางสาวมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand) และสมาชิกจาก UN Global Compact Network Thailand ร่วมด้วยที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ESCAP Hall ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ โดยนายพิชัยได้ถือโอกาสนี้ประกาศความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเน้นย้ำถึงทิศทางของการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย อาทิ PCB Data Center และการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 

นายพิชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนมาเปิดงาน UN Global Compact Network Thailand Forum  (GCNT Forum) 2567 ในวันนี้ ซึ่งเป็นเครือข่ายของภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้จีดีพีของประเทศเริ่มดีขึ้น เมื่อไตรมาสที่แล้วจีดีพีไทยโต 3% และการส่งออกของไทยตัวเลขล่าสุด (ต.ค.67) ขยายตัว 14.6% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก ให้เกิดการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น เรื่องหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำสำเร็จแล้วคือการเจรจา FTA ไทยกับเอฟตา หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งกำลังจะลงนามกันที่ดาวอส โดยมีผู้นำหลายประเทศเข้าร่วม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาเขตการค้าเสรีฉบับต่อไป ขณะนี้มีหลายประเทศที่มาเร่งเรื่องการเจรจา FTA ทั้งกับ EU และ UAE และทางภาคเอกชน อย่างหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของรัฐบาลไทยและกระทรวงพาณิชย์ ในการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ที่จะช่วยเปิดโอกาส ทางการค้า ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้

“FTA มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้มีการลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนนักลงทุนจาก USABC (สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน) ก็สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ของไทย วันนี้ ต้องเรียนว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะพยายามเจรจาให้สำเร็จให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นศักยภาพทางการแข่งขันของไทยจะสู้กับเวียดนามได้ยาก เพราะเวียดนามมี FTA ครอบคลุมแล้วถึง 56 ประเทศ ในขณะที่ไทยเพิ่งมี 19 ประเทศ เราต้องเร่งเจรจาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นต้นทุนการผลิตสินค้าของเราจะสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนเวียดนามถูกกว่าของเราอยู่แล้ว 10% แต่ถ้าเราไม่มีเขตการค้าเสรีจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ทำให้ต้นทุนต่างกันถึง 40% ทำให้เราต้องเร่งเจรจา FTA เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเดินหน้าเจรจา FTA จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ” รมว. พาณิชย์กล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี มีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) ที่หลายประเทศบอกว่าในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลาง PCB ของโลก และเราจะเป็นศูนย์กลางของ Data Center และ AI ซึ่งเป็นทิศทางของโลก ที่เราต้องเร่งส่งเสริมในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อวันก่อนตนไปที่เชียงใหม่ได้พบกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าไปให้การสนับสนุน พาไปออกบูธในต่างประเทศ พาไปขายของ และสำหรับบริษัทหรือแบรนด์ที่มีศักยภาพ ทางกระทรวงพาณิชย์มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพ ให้ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าและพัฒนาต่อยอดได้ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม

“กระทรวงพาณิชย์ พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เน้นการขับเคลื่อนทุกภาคธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตามแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าสู่ความยั่งยืน ผ่านนโยบายสำคัญ อาทิ 1.สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเพิ่มช่องทางการค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น 2.การบริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถเติบโตไปพร้อมกัน สร้างผลประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย 3.การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และ 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดสินค้าสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อต่อตลาด ใช้จุดแข็งต่างๆ ชูซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้สามารถขายสินค้าให้มากขึ้นได้ วันนี้โลกเปลี่ยนแล้วต้องกลับมาคิดใหม่ทำใหม่ คิดเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” นายพิชัยกล่าว

KEX ไร้แผนถอนหุ้น ปิด-ขายกิจการ ยันเดินหน้าขยายธุรกิจในไทยและอาเซียนต่อเนื่อง

(2 ธ.ค. 67) บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข่าวลือเรื่องการปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน โดยยืนยันว่า บริษัทไม่มีแผนหยุดดำเนินธุรกิจหรือถอนหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมเน้นความมุ่งมั่นในการเติบโตระยะยาวในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส  ระบุว่าการรีแบรนด์จาก Kerry เป็น “KEX” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริการส่งพัสดุด่วน โดยได้รับการสนับสนุนจาก SF Express ทั้งในด้านการดำเนินงานและการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อนำเสนอบริการที่รวดเร็ว น่าเชื่อถือ และเปี่ยมด้วยนวัตกรรม  

โดยในปี 2567-2568 บริษัทวางแผนกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และขยายฐานลูกค้ากลุ่มกลางถึงสูง ทั้งรูปแบบ C2C และ B2B พร้อมปรับปรุงบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า  

KEX ดำเนินการปรับปรุงทรัพยากรในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิด-ปิด ย้ายที่ตั้ง หรือรวมศูนย์กระจายสินค้า (DCs) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเสีย การเพิ่มทุนล่าสุดมูลค่า 5.6 พันล้านบาท ตอกย้ำถึงการสนับสนุนจาก SF Express เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร   KEX เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของ SF Group ในภูมิภาคนี้ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาบริการที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระยะยาว  

‘เอกนัฏ’ เล็งใช้ AI ตรวจจับสินค้าออนไลน์ไม่ได้มาตรฐาน ย้ำชัด! ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสำคัญที่สุด

เมื่อวันที่ (27 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีมาตรฐานก่อนจำหน่ายไปยังผู้บริโภค โดยพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน มักนิยมสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเกิดการร้องเรียนเรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่คุ้มค่า คุ้มราคา โดยจากสถิติเรื่องร้องเรียนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 -2567 เกิดการร้องเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2566 ได้รับการร้องเรียนจำนวน 209 เรื่อง และในปี 2567 ได้รับการร้องเรียนแล้ว 216 เรื่อง ซึ่งสินค้าที่มีการร้องเรียนเข้ามา ได้แก่ ปลั๊กไฟ สายไฟ พาวแบงก์ หม้อสแตนเลส ภาชนะพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐวางมาตรการในการควบคุมดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ ป้องกันสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ 

โดย กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน่วยงานในสังกัดที่ดูแลเรื่องร้องเรียนในด้านต่างๆ ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนโรงงาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดูแลเรื่องการจดแจ้ง การขออนุญาตมาตรฐานต่างๆ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ดูแลผู้ประกอบการจึงต้องมีการกำกับ ดูแล เกี่ยวกับการจัดการข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 282/2567 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรมขึ้น โดยมีนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะ ทำหน้าที่ ศึกษา และรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จัดทำระบบ ฐานข้อมูล พร้อมเสนอแนวทางจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานในกระทรวง ประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อศึกษา พิจารณา กลั่นกรอง และนำเสนอแนวทางในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรม 

“การแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อให้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกันเสนอมุมมอง และวิธีการจัดการที่เหมาะสม ควบคุมดูแลร้านค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์อย่างจริงจัง ขอย้ำว่ากระทรวงอุตสาหกรรม เอาจริง ปรับจริง และจับจริงกับผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านมาตรฐานตามข้อกฎหมายกำหนด เพราะความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามแนวตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” โดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอ 2 เทคโนโลยี ได้แก่ 1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ใช้ใน Platform e-Commerce เพื่อแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการแอบอ้างนำเครื่องหมาย มอก. มาแสดงบนผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และ 2) เทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนรายงานสินค้าปลอมหรือผิดกฎหมาย โดยที่ประชุมได้ยังลงความเห็นให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นอีก 2 คณะ คือ

1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม โดยมีนายวีรพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาประยุกต์ใช้ในการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และบูรณาการความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ

และ 2. คณะอนุกรรมการพัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ โดยมี
นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่ ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียน สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม ให้การรับเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนเป็นเรื่องง่ายผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ 

 “การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะดังกล่าว เรามุ่งดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจไทยยุคใหม่ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ร่วมกันหารือการจัดทำระบบที่เป็นมาตรฐาน มีฐานข้อมูลของผู้ขายและสินค้าที่ขายมีการใช้เทคโนโลยี  AI ในการตรวจสอบตัวตน สามารถตัดระบบผู้ที่ทำผิดกฎได้ในทันที เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ มีความปลอดภัย ได้รับสินค้าที่มีมาตรฐาน ทั้งนี้คณะกรรมการฯ แต่ละชุดจะเร่งจัดหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป” นายพงศ์พล กล่าว

‘การบินไทย’ หวังผงาด!! ครองมาร์เกตแชร์ภูมิภาค 35% ขยายฝูงบิน 150 ลำ พร้อมปรับแผน เพื่อลดต้นทุนการซ่อม

(1 ธ.ค. 67) สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินโลก IATA ประมาณการณ์รายได้รวมของสายการบินในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 119% ของรายได้รวมก่อนโควิด-19 โดยจะมีรายได้สูงถึง 996,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสาร และการรักษาเสถียรภาพของผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร

ขณะเดียวกัน IATA ยังคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกจะเติบโตถึง 2.1 เท่าภายในปี 2586 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะมีอัตราการเติบโตสูงสุดคิดเป็น 2 ใน 3 โดยประเมินว่าในช่วงปีดังกล่าวจะมีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศสูงถึง 8,600 ล้านคน และสัดส่วน 46% เดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

จากแนวโน้มการขยายตัวของปริมาณการเดินทางดังกล่าว บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วางแผนช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ครองฐานการบินในประเทศไทย ซึ่งเป็นเดสติเนชั่นยอดฮิตของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

‘ชาย เอี่ยมศิริ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยมุ่งมั่นจะเป็นสายการบินที่ให้บริการแบบเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างเป็นจุดแข็งในการขยายเครือข่ายเส้นทางบินในภูมิภาค โดยการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระยะสั้นจะช่วยสร้างความได้เปรียบของบริษัท และเพิ่มความถี่และเวลาของเที่ยวบิน เพื่อเชื่อมต่อจุดบินเมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับฐานการบินสำคัญอย่างกรุงเทพฯ

โดยภายใต้แผนขยายบริการแบบเครือข่ายนั้น การบินไทยจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนฝูงบินรองรับ พร้อมทั้งปรับปรุงฝูงบินครั้งใหญ่ เพื่อให้การบินไทยสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านการบินอย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งปัจจุบันวางเป้าหมาย ‘ลดแบบเครื่องบินเหลือ 4 แบบ’ จากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 การบินไทยมีฝูงบิน 8 แบบรวม103 ลำ ส่งผลให้ต้องแบกรับต้นทุนค่าซ่อมและอะไหล่ที่หลากหลาย โดยขณะนี้ได้ทำการปรับลดฝูงบินเหลือ 6 แบบรวม 79 ลำ และจะทยอยปรับลดต่อเนื่องในปี 2572 คาดเหลือ 5 แบบรวม 143 ลำ และท้ายที่สุดในปี 2576 จะเหลือ 4 แบบรวม 150 ลำ

สำหรับปลายทางของการปรับปรุงฝูงบิน ‘การบินไทย’ ในปี 2576 จะมีฝูงบินรวม 150 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินลำตัวกว้าง 98 ลำ และลำตัวแคบ 52 ลำ โดยมีประเภทเครื่องบิน ประกอบด้วย

• โบอิ้ง B777-300ER จำนวน 15 ลำ
• แอร์บัส A350 จำนวน 17 ลำ
• โบอิ้งตระกูล B787 จำนวน 66 ลำ
• แอร์บัส A320/A321 NEO จำนวน 52 ลำ

ทั้งนี้ การผลักดันแผนปรับปรุงฝูงบินดังกล่าว ปัจจุบันการบินไทยได้เจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Boeing และ GE Aerospace เพื่อจัดหาเครืองบินลำใหม่จำนวน 45 ลำ พร้อมกับสิทธิในการจัดหาเพิ่มอีก 35 ลำ นอกจากนี้การจัดหาเครื่องบินลำตัวแคบ ปัจจุบันได้ทำการเจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Lessor เพื่อจัดหาเครื่องบินลำใหม่รุ่นแอร์บัสA321 จำนวน 32 ลำ ซึ่งคาดว่าฝูงบินใหม่นี้จะทยอยรับมอบเข้ามาในปี 2570 – 2576

สูตรสำเร็จของการบินจากการวางแผนธุรกิจและปรับปรุงฝูงบินครั้งนี้ มีเป้าหมายจะครองมาร์เกตแชร์สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลับมาในระดับ 35% ภายในปี 2572 เป็นต้นไป เพิ่มขึ้นหลังการปรับลดเครื่องบินและปรับปรุงฝูงบินในปี 2566 ที่การบินไทยมีจำนวนฝูงบิน 70 ลำ ครองมาร์เกตแชร์ 28% และจะเป็นผลบวกระยะยาวที่ทำให้การบินไทยสามารถบริหารต้นทุนทางการบิน ค่าซ่อมและอะไหล่เครื่องบินที่ลดลง

‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ร่อนแถลงการณ์ ข้อเท็จจริงปมลงทุน ‘โชห่วย’ หลังมีผู้ร้องเรียน ‘DSI’ ชี้!! สร้างความเสียหายอย่างมาก ให้บริษัท

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ออกแถลงการณ์กรณี มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ว่า บริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย พร้อมทั้งมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ

โดยบริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้เสมอมา โดยการดำเนินธุรกิจร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับร้านค้าปลีกในชุมชนอันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้าน

ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง บริษัทฯ มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมั่นใจว่าสามารถพิสูจน์ความสุจริตได้ในทุกประเด็น กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการกระทำเป็นขบวนการและก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐทุกแห่งรวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษเคยพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งยุติเรื่องเนื่องจากไม่มีมูลความจริงไปแล้วทั้งสิ้น

กลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนส่วนใหญ่มีประวัติเบียดบังทรัพย์สินและเงินของบริษัทฯ ไป และยังคงค้างชำระหนี้สินกับบริษัทฯ และบางรายอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ของบริษัทฯ พฤติกรรมการรวมตัวร้องเรียนดังกล่าวแสดงถึงความพยายามเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จด้วยการอ้างว่าถูกหลอกลวงลงทุนเพื่อสร้างกระแสข่าวให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในประเด็นหนี้สินและคดีความของตนเอง

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำให้บริษัทฯ เสียหายอย่างมาก ขอให้สื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปอย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งท่านสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และปราศจากมูลความจริงได้จากร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ หลายพันรายที่เชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตและโปร่งใสของบริษัทฯ จึงดำเนินธุรกิจกับบริษัทฯ ด้วยดีมาเป็นเวลาหลายปี และยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในชุมชนของท่าน

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงในการอธิบายข้อเท็จจริงต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว และพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่กลับพบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวยังคงกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจร้านค้าชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศ

บริษัทฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนับสนุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในความตั้งใจและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกชุมชนอย่างยั่งยืน

‘TOAVH’ ปรับทัพ!! ธุรกิจดีลเลอร์ ดัน!! ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ สู้ศึกตลาดรถ

(30 พ.ย. 67) นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัทในเครือ ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (TOAVH) เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายในการขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง TOAVH ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับชั้นแนวหน้าของจีน จำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ DEEPAL, ZEEKR, OMODA&JAECOO และ AION และทุ่มงบการลงทุน จำนวน 220 ล้านบาท ในการก่อสร้างและปรับโฉมโชว์รูม-ศูนย์บริการ เพื่อรองรับการบริการให้แก่ลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบสำหรับรถยนต์ทั้ง 4 แบรนด์

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดรถยนต์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในอนาคต

ทาง TOAVH จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ด้วยการควบรวมบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกแห่งเข้ามาอยู่ภายในสังกัดการบริหารงานของ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ โดยมี ‘จิระพล รุจิวิพัฒน์’ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านบริหารจัดการโดยรวมของทุกบริษัทในเครือ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรจุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

‘จิระพล’ นับเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มากประสบการณ์และเป็นผู้บริหารหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการบริหารงานธุรกิจดังกล่าว ซึ่งผมมั่นใจว่า ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ภายใต้การบริหารของ ‘จิระพล’ จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ของ TOAVH เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแน่นอน นายณัฏฐวุฒิ กล่าว

ปัจจุบัน ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์  โดยมีโชว์รูม-ศูนย์บริการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหมด 16 สาขา ได้แก่

1.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MERCEDES-BENZ ในนาม บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ พัทยา จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขาเลียบด่วน-เอกมัยรามอินทรา กับสาขาพัทยา จ.ชลบุรี เฟส 1 บนพื้นที่พัทยา-นาจอมเทียน และเฟส 2 พื้นที่พัทยาใต้

2.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DEEPAL ในเครือ CHANGAN ในนาม บริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ ชลบุรี จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขารามคำแหง และสาขาชลบุรี

3.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ZEEKR ในนาม บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด โดยมีสาขาที่ราชพฤกษ์ และป๊อปอัพ สโตร์ ที่เดอะมอลล์ บางแค

4.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ OMODA&JAECOO ในนามบริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด มี 1 สาขา คือ ที่พระราม 9

5.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AION ในนาม บริษัท ไพรม์มัส มอเตอร์ส อมตะนคร จำกัด มีสาขาตั้งอยู่ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี

6.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MG ในนามกลุ่มบริษัท เบส ออโต้ เซลส์ มีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเพชรเกษม65, สาขาบางนา กม.5, สาขาบายพาส ชลบุรี, สาขาศรีราชา, สาขาพัทยา นาจอมเทียน และศูนย์ซ่อมสี-ตัวถัง อมตะนคร, สาขาแม่โจ้ และสาขาหางดง เชียงใหม่

7.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ SUZUKI ในนาม บริษัท ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีสาขาอยู่ที่ศรีราชา  จ.ชลบุรี

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ได้เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของ ไพรม์มัส กรุ๊ป ไม่ได้คำนึงการทำตัวเลขยอดขายเป็นหลัก หากให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ด้านรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ พร้อมคัดสรร

ผลิตภัณฑ์รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายรุ่นและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งยกระดับการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าเราในทุกแบรนด์ ตามสโลแกน “เรื่องรถ ให้ไพรม์มัส ดูแล

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และการบริการระดับพรีเมี่ยมของรถยนต์ทั้ง 7 แบรนด์ ได้แก่ Deepal, Mercedes-Benz, Zeekr, Omoda&Jaecoo, Aion, MG และ Suzuki ในช่วงงาน Motor Expo ทาง ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ จึงได้นำจัดแสดงรถยนต์ให้เลือกชมและเป็นเจ้าของได้อย่างสะดวกสบายที่โชว์รูมและศูนย์บริการของเราทุกแห่ง โดยจะมีการเปิดจองรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเงินสด, ดอกเบี้ย 0%, เลือกผ่อนเริ่มต้น 222 บาทต่อวัน หรือโปรช่วผ่อน 4 เดือน มูลค่า 100,000 บาท เป็นต้น

และพิเศษ! ในงาน Test Drive Day Primus Expo เฉพาะที่โชว์รูมรถยนต์ MG และ Suzuki ทุกสาขา รับเพิ่ม!! ทองคำ มูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ถึง 15 ธ.ค. นี้

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จาก ‘สถาบันไทยพัฒน์’ ตอกย้ำ!! ความมุ่งมั่น ด้านความยั่งยืน – ความโปร่งใส ขององค์กร

(30 พ.ย. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้ความสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วน และโปร่งใส โดยเน้นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล  

พิธีมอบรางวัลนี้ ดร.ชลิดา  อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ จัดขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี องค์กรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมมากมาย มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ (Award) 58 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 57 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 29 แห่ง รวมทั้งสิ้น 144 รางวัล 

โดยการมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ในปี 2567 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ 

• Sustainability Disclosure Award มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จำนวน 58 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Recognition มีองค์กรที่ได้รับประกาศเกียรติคุณ จำนวน 57 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Acknowledgement มีองค์กรที่ได้รับกิตติกรรมประกาศ จำนวน 29 แห่ง

และบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับการยกย่องในฐานะองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการบริหารงานที่โปร่งใส พร้อมรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นับว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม เรื่องการบริหารจัดการ ด้าน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบเชิงบวกที่องค์กรมีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับว่ารางวัลนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 12.6 ร่วมกัน โดยปัจจุบัน SDC มีองค์กรสมาชิกจำนวน 167 ราย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และการช่วยเหลือชุมชน ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้รับรางวัลนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน อีกทั้ง รางวัลนี้ถือเป็นการยืนยันถึงการทำงานของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ยังใส่ใจต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนอย่างมั่นคง”  

ด้วยความมุ่งมั่นในแนวทางดังกล่าว อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จะยังคงเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบโจทย์แก่ยุค พร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

‘ศาลแพ่ง’ ยกฟ้อง!! ‘ไทยไบโอ อินโนเวชั่น’ จากกรณีผิดสัญญา!! ซื้อขาย น้ำมันปาล์มดิบ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับข้อพิพาทของบริษัท กรณีบริษัท ไทยไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด (เดิมชื่อบริษัท อนันตา กรีน จำกัด) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท โดยอ้างว่าบริษัทผิดสัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และเรียกร้องให้บริษัทฯ คืนเงินและชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 595.10 ล้านบาท และดอกเบี้ยนั้น 

ศาลแพ่งมีคำพิพากษายกฟ้องทำให้บริษัทไม่ต้องชำระค่าเสียหายใดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธณณ์ได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือตามกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ 

‘พีระพันธุ์’ ตรึงค่าไฟฟ้ามาแล้วกว่า 1 ปี พร้อมทำทุกวิถีทางหวังช่วยลดภาระให้ประชาชน

(29 พ.ย.67) งานแรก ๆ หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 คือการออกมาตรการอย่างเข้มใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลระบบพลังงานโดยรวมของไทยดังนี้ 

(1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ มีการเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ 

(2) น้ำมัน ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างเสถียรภาพให้กับราคาเชื้อเพลิงพลังงาน 

และ (3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า

โดยที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมด ไม่ว่าการออกใบอนุญาตผลิตกระแสไฟฟ้า การกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า FT (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ อันเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ โดย กกพ.เป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน

นับแต่ กกพ.ชุดแรกเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาต่างให้ กกพ.เป็นผู้ดำเนินการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า ดังนั้น ‘ค่า FT’ จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ กกพ. ได้พิจารณา แต่สำหรับ ‘พีระพันธุ์’ แล้วการตรึงค่าไฟฟ้านั้นทำได้ด้วยการใช้มาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานในการทำให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่า FT ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ใช้ความพยายามในการแสวงหาวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ เพื่อทำให้ค่า FT ต่ำที่สุด อาทิ มาตรการที่กำลังทำอยู่คือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) โดยนอกจากจะได้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG อันเป็นก๊าซหุงต้มที่พี่น้องประชาชนคนไทยใช้กันมากที่สุดแล้ว ยังมีการสำรองก๊าซ LNG อันเป็นก๊าซเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของบ้านเราในปัจจุบันก็จะถูกสำรองเก็บไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงทางพลังงานที่สำคัญของประเทศ

ดังเช่น ค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 ตามที่ประกาศ ถ้าเป็นไปตามที่ กกพ.เสนอจะอยู่ที่หน่วยละ 5.49 บาท ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ไม่เห็นด้วย กกพ. จึงเสนอให้ราคาคงที่หน่วยละ 4.18 บาทเหมือนเดิม แต่ ‘พีระพันธุ์’ ยังขอให้ลดลงอีกหน่อยจนเหลือหน่วยละ 4.15 บาท ทำให้มีการลดอัตราค่าไฟฟ้าจริงหน่วยละ 1.34 บาท ไม่ใช่  3 สตางค์ตามที่สังคมไทยโดยรวมเข้าใจเช่นนั้น ซึ่งสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบบริหารจัดการในการซื้อขายกระแสไฟฟ้าของประเทศคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดังนั้นความจริงก็คือ ภาระดังกล่าวถูกผลักให้ ‘กฟผ.’ ต้องรับผิดชอบ โดยพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นหนี้ ‘กฟผ.’ เพราะ ‘กฟผ.’ เรียกเก็บค่าไฟฟ้าต่ำกว่าต้นทุนของตัวเองจากนโยบายของรัฐที่จะไม่ให้พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ามากจนเกินไป 

ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทยอยใช้หนี้ดังกล่าวคืนให้กับ ‘กฟผ.’ เพื่อให้ ‘กฟผ.’ นำเงินที่ได้ไปใช้หนี้คืนอีกทอดหนึ่ง ทำให้เกิดสมการที่ใช้ในการเก็บ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ ว่าจะต้องเก็บเท่าไรเพื่อที่ ‘กฟผ.’ จะมีเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ตามข้อเสนอของกกพ.ตามแนวทางที่ได้กล่าวมา 

ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ตัดสินใจเสนอให้มีการยืดหนี้แล้วจ่ายบางส่วน ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยรับภาระน้อยกว่าที่กกพ.ได้เสนอมา และในขณะเดียวกัน ‘กฟผ.’ เองก็จะมีเงินเพื่อนำไปชำระหนี้จำนวนหนึ่ง โดยอัตราค่าไฟฟ้าหน่วยละ 5.49 บาท ตามแนวทางแรกที่กกพ.เสนอนั้น ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ทั้งยอดจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ถ้าจ่ายอัตราค่าไฟฟ้าที่หน่วยละ 4.15 บาท ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อไปชำระหนี้ 13,000ล้านบาทก่อน ซึ่งทุกวันนี้ ‘กฟผ.’ ต้องแบกรับภาระหนี้แทนพี่น้องประชาชนไทยอยู่ และผู้ใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเริ่มผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวคืนให้กับกฟผ.เพื่อไม่ให้ยอดหนี้นั้นแกว่งจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกฟผ.ด้วย

ดังนั้น ค่าไฟฟ้าของเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 มีการใช้ไฟฟ้าไป 100 หน่วย ถ้าต้องจ่ายในอัตราที่กกพ.เสนอที่หน่วยละ 5.49 บาท จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเป็นเงิน 549 บาท แต่เป็นหน่วยละ 4.15 บาทตามที่ ‘พี่ตุ๋ย’ พีระพันธุ์เสนอแล้วพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าจะจ่ายเพียง 415 บาท ซึ่งทำให้จ่ายน้อยลง 134 บาท การแบกรับค่า Ft ของ ‘กฟผ.’ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนของค่าความพร้อมเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า (AP) และต้นทุนของเชื้อเพลิง LNG ที่มีการเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้ารวมทุกอย่างแล้วสูงกว่าราคาที่ขายให้พี่น้องประชาชนคนไทยในปัจจุบัน เมื่อต้นทุนสูงแต่เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ ‘กฟผ.’ ต้องไปกู้เงินมาจ่ายค่าไฟฟ้าที่ซื้อมาจากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งหนี้จากค่า LNG ที่ ‘กฟผ.’ ซื้อมาจากปตท.ในส่วนที่ ‘กฟผ.’ นำมาผลิตไฟฟ้าเอง และเมื่อมีโอกาสหากมีเงื่อนไขที่สามารถทำให้ต้นทุนลดลงได้อีกแล้ว ‘กฟผ.’ จึงค่อยเรียกเก็บเพิ่มจากพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อมาเฉลี่ยใช้หนี้ดังกล่าวต่อไป

สภา กทม.อนุมัติจ่ายหนี้บีทีเอส 1.4 หมื่นล้านแล้ว ‘ชัชชาติ’ ระบุจ่ายก่อนวันสุดท้าย ช่วยลดดอกเบี้ย

(29 พ.ย.67) ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 3) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วมประชุม

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติดังกล่าว โดยเริ่มจากชื่อร่าง หลักการ เหตุผล คําปรารภ ตัวร่างข้อบัญญัติ เรียงตามลําดับจนจบ ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดและมีมติให้ผ่านงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ…. จำนวน 14,549,503,800 บาท โดยใช้เงินสะสมจ่ายขาดของ กทม. เนื่องจาก กทม.มีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567

ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. จำนวนเงิน 14,549,503,800 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 43 คนเห็นชอบให้ประกาศใช้ 33 คน งดออกเสียง 10 คน ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการเบิกจ่าย เพื่อเป็นประโยชน์ในการลดภาระดอกเบี้ยของ กทม.

ด้าน นายชัชชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภายในระยะเวลา 34 วัน หลังจากนี้ เมื่อมีการประกาศข้อบัญญัติดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา จะมีการชำระหนี้ให้กับบีทีเอส ภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ หรือไม่เกินต้นเดือน ม.ค. 68 โดยจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการก่อนชำระหนี้แล้ว เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยคิดคำนวณตามที่ศาลระบุ ซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มยอดเงิน 14,549,503,800 บาท เพราะตัวเลขนี้คิดในกรณีที่ต้องจ่ายวันสุดท้าย (22 มกราคม 2568) ตามคำสั่งของศาล

‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวปลอม ตั้งป้อมโจมตีกล่าวหา ‘ผู้บริหาร ปตท.’ ด้วยข้อมูลเท็จ

(29 พ.ย.67) จับตาตำรวจไซเบอร์ พุ่งเป้า ‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวโจมตี-กล่าวหา ‘กลุ่มผู้บริหารปตท.’ ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เตรียมเอาผิดข้อหาหนัก เผยผู้อยู่เบื้องหลังคือ 'กลุ่มที่ทุจริตปาล์มน้ำมันอินโดฯ-สต๊อกลม' ที่ดิ้นพล่าน ต้องการดิสเครดิตผู้บริหารในปัจจุบัน

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จทางโลกออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นที่แอบอ้างว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้ว่าฯปตท.และ CEO OR เข้าข่ายทุจริต ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ, ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเนื้อหาของข่าวดังกล่าว เป็นการระบุแบบคลุมเครือ ไม่ได้มีการระบุชื่อตัวบุคคลอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการอ้างตำแหน่ง เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับบุคคลทั่วไปที่รับข่าวสารทางโลกสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังมีการรวบรวมหลายประเด็นที่เกิดขึ้นใน 'อดีต' แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกันแบบเหวี่ยงแห โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งทำลายตัวบุคคลที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต อื้อฉาวใน 'อดีต' แต่อย่างใด

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ (ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ : ศปอส.ตร.) ถึงกรณีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จดังกล่าวนี้ ทำให้ทราบว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบ Account ที่มีการโพสต์ประเด็นดังกล่าว ไปยังกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนการโพสต์ ดังนี้

-ราชสมัคร xxx จำนวน 4 โพสต์
-ออสติน พระxxxxxx จำนวน 2 โพสต์
-Tom Srixxx จำนวน 1 โพสต์

และเมื่อได้ตรวจสอบพฤติกรรมของ Account ทั้งหมด พบว่า 3 Account ดังกล่าว ได้มีการทิ้งระยะห่างเวลาในการโพสต์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เน้นไปที่ 'กลุ่มการเมือง' ที่เปิดเป็นสาธารณะ อีกทั้งยังมีการใช้รูปภาพเเละเนื้อหาเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

1.Account : ราชสมัคร xxx โพสต์ประเด็นดังกล่าวในลักษณะเดียวกันนี้ จำนวนทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมา หน้าโปรไฟล์มักเเชร์ข่าวเกี่ยวกับ 'การออม/การเงิน/การลงทุน'

2.Account : ออสติน พระxxxxxx และ Tom Srixxxx มีการเข้าร่วมกลุ่ม เเละโพสต์ประเด็นดังกล่าวร่วมกัน

3.ทั้ง 3 Account ไม่ใช้รูปตนเอง เเละตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปรถ, รูปการ์ตูน เเละรูปสัตว์ทะเล

ข้อมูลเท็จ-บิดเบือน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวเท็จ-ข่าวปลอมในเรื่องนี้ คือกลุ่มบุคคลกลุ่มที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และ บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ ยังเกี่ยวข้องกับกรณี 'สต๊อกลม' ของ GGC มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บางคดียังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวน ซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่บางคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วว่า อดีตผู้บริหารของ GGC และผู้ค้า “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีดังกล่าว

ที่ผ่านมา ยังพบว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าว ยังมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์จากการขายไบโอดีเซลให้กับกลุ่ม ปตท. ในราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน ได้ดำเนินมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอีก เช่น การปฏิเสธการฮั้วประมูลไบโอดีเซล รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีในกรณี “สต๊อกลม” ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการตอบโต้ มีการใช้ 'ทนายความ' ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม ปตท. จำนวน 100 หุ้น โดยที่ไม่มีประวัติการลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน จากนั้นได้มีการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ โดยพุ่งเป้ามาที่ 'ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน' ที่มีบทบาทในการดำเนินมาตรการป้องกันดังกล่าว ประกอบกับข้อร้องเรียนที่ได้มีการยื่นมา โดยอ้างสถานะการเป็นผู้ถือหุ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว และ 'ไม่พบข้อบกพร่อง' หรือ 'ประเด็นที่มีมูลความผิด' ตามที่มีการร้องเรียนแต่อย่างใด

ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้แจ้งว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า

1.การกด Like ฐานข้อมูลหรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงเสี่ยง เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

2.การกด Share ข้อมูลที่มีความผิดโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

3.การเป็นแอดมินเพจ ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯอย่างชัดเจน ถือเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

4.การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น โดยเฉพาะการใส่ข้อความ รูปภาพ อันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top