Thursday, 3 July 2025
ECONBIZ

‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ สแกนจ่ายค่าตั๋วโดยสารได้แล้ว ผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet

รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดบริการใหม่ ซื้อตั๋วโดยสาร เติมเงินบัตรโดยสาร สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet ได้แล้ววันนี้ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ RED Line SRTET ระบุว่า ซื้อตั๋ว เติมเงิน รถไฟฟ้าสายสีแดง สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ได้แล้ว และสามารถใช้งานได้ทุกธนาคาร รวมถึงแอปพลิเคชัน e-Wallet เช่น TrueMoney Wallet

โดยสามารถชำระเงินด้วย QR Code ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 น. - 24.00 น. และต้องเป็นชื่อบัญชี "การรถไฟแห่งประเทศไทย รายได้รถไฟฟ้าสายสีแดง"

ก่อนหน้านี้ รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดให้บริการ รับบัตรเครดิต เดบิต และสแกน QR Code ผ่านเครื่อง EDC ทุกสถานี มาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2565 โดยมีเงื่อนไข คือ รับชำระบัตร เครดิต เดบิต และสแกน QR Code ทุกธนาคาร สำหรับรายการที่เกี่ยวกับบัตรโดยสารทุกประเภทขั้นต่ำ 300 บาท และสามารถจ่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 06:00 น. ถึง 20:30 น.

‘พีระพันธุ์’ ยันทำตามหน้าที่ ปมเบรกประมูลขุด-ขนถ่านหินแม่เมาะ ชี้ชัด เพิกเฉยไม่ได้หลังมีผู้ร้องให้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างที่หละหลวม

‘พีระพันธุ์’ สั่ง กฟผ.เคลียร์ประมูลขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะให้ถูกต้อง ชี้จัดซื้อจัดจ้างหละหลวม ไม่มีความจำเป็นต้องประมูลด้วยวิธีการพิเศษ 

(13 มี.ค. 68) นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทำหนังสือถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงวันที่ 7 มี.ค.2568 เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.พร้อมกับส่งสรุปรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะกำกับดูแลการไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2567 นั้น บัดนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว 

รวมทั้งในหนังสือดังกล่าวได้ขอให้ผู้ว่า กฟผ.พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ตรวจสอบรายงานของคณะกรรมการฯ ประกอบข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว เห็นว่ามีประเด็นที่เป็นข้อสังเกตโดยสรุป ดังนี้

1.กรณีความจำเป็นเร่งด่วนของการจัดจ้าง ปรากฏสาเหตุที่ กฟผ.อ้างว่าต้องดำเนินการจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะตามสัญญาโดยเร่งด่วน เพราะมติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2567 ซึ่งเมื่อตรวจสอบมติ กพช.ดังกล่าว พบว่ามีสาเหตุมาจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2565 พิจารณาการเลื่อนแผนการปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8-11 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2568 เนื่องจากคาดการณ์ราคาก๊าชธรรมชาติเหลว (LNG) มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจนถึงปี 2568 หรือปี 2569 เพราะเหตุสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่ข้อยุติ รวมทั้งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย โดยอุปทานเพิ่มเติมจากโครงการผลิต LNG ยังคงจำกัด เพราะการลงทุนก่อสร้างโครงการผลิตใหม่ลดลง 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามมติ กพช.ดังกล่าวจะส่งผลให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 2 ล้านตัน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 จากเหตุดังกล่าวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ.จึงเสนอให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษ เป็นสัญญาที่ 8/1 แต่มีข้อขัดข้องหลายประการจึงทำให้ล่าช้า

โดยเฉพาะประเด็นใช้วิธีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม (สัญญาที่ 4 และสัญญาที่ 9) หรือต้องดำเนินการจัดจ้างใหม่ รวมทั้งหากต้องจัดจ้างใหม่จะดำเนินการโดยวิธีใด และเป็นกรณีเช่นใด 

อย่างไรก็ตามจากความล่าช้าในการดำเนินการดังกล่าวทำให้ปรากฎข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับราคาและการขาดแคลนก๊าซที่จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าตามการคาดการณ์ของ กบง.ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ มิ.ย.2565 ที่ให้เสนอต่อ กพช.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 นั้น ไม่เกิดขึ้นจริง

ดังนั้น เหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนตามข้อเสนอของ กบง.จึงผ่านพ้นไปแล้ว เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษจึงหมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งควรเสนอ กพช.ให้ทราบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อที่ กพช.จะพิจารณามีมตีในเรื่องนี้ใหม่ แต่กลับไม่มีการดำเนินการเช่นนั้น

อีกทั้งมีข้อมูลน่าเชื่อได้ว่า กฟผ.ยังคงมีสต๊อกสำรองถ่านหินปริมาณมากพอสมควร

นอกจากกรณีข้างต้นแล้วปรากฏว่า ในการประชุม กพช.เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2565 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ.นำโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งหากนับระยะเวลาที่คณะกรรมการ กฟผ.จะอนุมัติให้ว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเมื่อปลายปี 2567 แล้ว ก็เหลือเวลาเพียง 1 ปี ต้องยกเลิกการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าถ่านหินดังกล่าว

รวมทั้งหากพิจารณาตาม PDP 2018 Revision 1 กำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญามีอัตราสูงกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของระบบอยู่แล้ว ดังนั้น ปริมาณงานที่จะว่าจ้างให้ชุด-ขนถ่านหินตามสัญญาที่ 8/1 ดังกล่าว ย่อมมีปริมาณที่มากเกินความจำเป็นอีกด้วย ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการว่าจ้างโดยวิธีพิเศษอีกต่อไป

2.การว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินแม่เมาะสามารถดำเนินการได้ โดยการเปิดประมูลตามปกติ กฟผ.มีสายงานที่รับผิดชอบในส่วนเหมืองแม่เมาะเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว จึงอยู่ในวิสัยที่ กฟผ.จะทราบความจำเป็นที่จะต้องว่าจ้างชุด-ขนถ่านหินได้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้วางแผนและเตรียมการเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินแบบกรณีปกติได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ เพราะตามเงื่อนไขสัญญาที่ 4 จะสิ้นลงช่วงสิ้นปี  2568 

ทั้งนี้ หาก กฟผ.จำเป็นต้องใช้ถ่านหินเพิ่มเติม กฟผ.ก็เตรียมการล่วงหน้าที่จะเปิดประมูลขุด-ขนถ่านหินเพิ่มเติมได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ แต่กรณีที่ กฟผ.กล่าวอ้างมติ กพช.เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2565 ว่ามีกรณีจำเป็นเร่งด่วนจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงเป็นเหตุที่นำมาใช้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ แต่เมื่อสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ไม่เกิดขึ้นก็อยู่ในวิสัยที่ กฟผ.จะปรับแก้การดำเนินการดังกล่าวให้เหมาะสมและถูกต้องตาม PDP 2018 Revision 1 ได้

3.การพิจารณาการดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ กรณีนี้แม้มีข้อโต้แย้งจากผู้เกี่ยวข้องก็ตาม แต่โดยรูปคณะกรรมการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเห็นว่าเป็นข้อโต้แย้งในด้านการดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งอยู่ในถ้อยความรู้ของคู่กรณีที่ไม่อาจหาข้อยุติได้สืบเนื่องจากกฎระเบียบของ กฟผ.ในกรณีการจัดซื้อจัดจ้างมีความหละหลวมหลายประการ จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีพึงใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการต่อไปเอง

‘เอกนัฏ’ เผยจ่อเซ็น MOU ไทย-จีน หนุนอุตสาหกรรมแฝด ขยายความร่วมมือเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับมณฑลอานฮุย

(12 มี.ค. 68) รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมกับจีนอย่างต่อเนื่อง โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายในปีนี้คาดว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมของไทยและมณฑลอานฮุยของจีน ภายใต้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแฝดระหว่างสองประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน

นายเอกนัฏกล่าวว่า ระหว่างการเดินทางเยือนจีนเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับ นายลี จง รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความร่วมมือจากเดิมที่มีเพียง กรมพาณิชย์มณฑลอานฮุย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันร่าง MOU ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงอุตสาหกรรม ก่อนส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบเนื้อหา และเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ โดยกำหนดกรอบดำเนินงานให้สามารถลงนามได้ภายในปีนี้

นายเอกนัฏระบุว่า โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' จะมุ่งเน้นการพัฒนา อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ พลังงานใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอาหารปลอดภัย นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำความร่วมมือในการพัฒนา บุคลากรไทยและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทย

“โครงการนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนจากจีน โดยเฉพาะจากมณฑลอานฮุย ให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยไปขยายธุรกิจในจีนด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับ การพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนและค้าขายร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าไทย-จีน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินค้าระหว่างสองประเทศ และยกระดับห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่งขึ้น

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. และรักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมี จุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะช่วย ยกระดับซัพพลายเชนและอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย

“ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบ Belt and Road Initiative (BRI) หรือ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ เราหวังว่าแพลตฟอร์มการลงทุนและการค้าระหว่างไทย-จีนจะช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยมากขึ้น” นายสุเมธ กล่าว

ทั้งนี้ กนอ. มีแผนศึกษาแนวทางพัฒนา นิคมอุตสาหกรรมแฝด และความร่วมมือด้านอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ MOU และผลักดันให้โครงการ 'Two Countries, Twin Parks' บรรลุเป้าหมายสูงสุด

และในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน นายเอกนัฏเน้นย้ำว่าความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาภูมิภาคให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“ผมเชื่อว่าหากความร่วมมือกับมณฑลอานฮุยประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นต้นแบบที่สามารถขยายไปสู่มณฑลอื่นๆ ของจีน และช่วยให้เศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

รัฐบาลไทยตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจปี 2568 ทุ่ม 150,000 ล้านบาท หวังดัน GDP โตเกิน 3%

(12 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลไทยตั้งเป้ายกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงกว่า 3% ในปี 2568 โดยอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม มูลค่า 150,000 ล้านบาท (ราว 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งจะถูกนำไปปฏิบัติภายในสิ้นไตรมาสที่ 3 โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

“เรามีกระสุนเตรียมไว้เพียงพอ” นายเผ่าภูมิกล่าว พร้อมย้ำว่าการใช้จ่ายของรัฐจะเป็นไปอย่างชาญฉลาดและเหมาะสมกับช่วงเวลา

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่รัฐบาลให้ความหวังคือโครงการ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” มูลค่า 450,000 ล้านบาท (13,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมีเป้าหมายโอนเงิน 10,000 บาท (ราว 300 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้ประชาชนราว 45 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังซบเซาตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าการบริโภคยังคงเป็นปัญหา แม้ว่าการชำระเงินในระยะก่อนหน้าจะถูกนำไปใช้บางส่วน แต่มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำเงินไปชำระหนี้มากกว่าการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วอยู่ที่เพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ และตามหลังประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เฟสต่อไปของโครงการแจกเงิน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล จะใช้ช่องทางดิจิทัลในการส่งเงินให้กับประชาชนอายุระหว่าง 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน โดยจะเริ่มต้นในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า “เพราะเราใช้กลไกของเงินดิจิทัลวอลเล็ต มันจึงสามารถควบคุมและส่งเงินไปยังที่ที่ต้องการมากขึ้นได้”

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายใต้และโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อยกระดับระบบขนส่งและการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมภาคการส่งออกและการบริการด้วยมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวและ Soft Power

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการแลนด์บริดจ์ที่คาดว่าจะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค
"โครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การขนส่งสินค้าเร็วขึ้นและลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต" นายเผ่าภูมิกล่าว

นอกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแล้ว รัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันภาคบริการและการส่งออก โดยใช้มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนา Soft Power เช่น การสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิง อาหาร และวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

‘สมาคมนักบินไทย’ เตรียมยื่นศาลปกครอง 14 มี.ค.นี้ ขอให้คุ้มครองเพิกถอนมติ ‘นักบินต่างชาติบินในประเทศ’

(12 มี.ค. 68) สมาคมนักบินไทยยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง วันที่ 14 มี.ค.นี้ ขอคุ้มครองชั่วคราว เพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงาน กรณีอนุญาตให้สายการบินใช้นักบินต่างชาติบินในประเทศ

จากกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 อนุญาตให้สายการบินทำการจัดหาเครื่องบินแบบ Wet Lease (เช่าเครื่องบินพร้อมนักบิน) เป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (ต่ออายุให้ครั้งละ 6 เดือน เป็นจำนวน 2 ครั้ง) ซึ่งในขณะนี้มีสายการบินไทยเวียตเจ็ท เพียงสายการบินเดียวที่ใช้สิทธินี้ ดังนั้นจะเห็นนักบินต่างชาติ สามารถทำการบินเส้นทางบินในประเทศได้

ล่าสุด กัปตัน ธีรวัจน์ อังคสกุลเกียรติ นายกสมาคมนักบินไทย กล่าวว่า ในวันที่ 14 มีนาคม 2568 นี้ สมาคมนักบินไทย เตรียมจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพิกถอนคำสั่งประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องการอนุญาตให้นักบินต่างด้าว(นักบินต่างชาติ) สามารถบินในประเทศได้ 

โดยสมาคมนักบินไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง  เพื่อขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณี กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรี อนุญาตให้นักบินต่างชาติสามารถเข้ามาปฏิบัติการบินในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ผ่านแนวทาง การเช่าเครื่องบินพร้อมลูกเรือ (Wet Lease) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินไทยที่กำลังว่างงานเป็นจำนวนมาก

ทำไมสมาคมนักบินไทยต้องยื่นฟ้องศาลปกครอง กระทบต่ออาชีพนักบินไทย ปัจจุบันมีนักบินไทยจำนวนมากที่ยังว่างงานและพร้อมปฏิบัติการบิน แต่การเปิดช่องให้นักบินต่างชาติเข้ามาทำงาน อาจเป็นการลดโอกาสในการจ้างงานของนักบินไทย

ขัดต่อกฎหมายแรงงานไทย ตามประกาศกระทรวงแรงงาน งานควบคุมอากาศยานภายในประเทศถือเป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น ยกเว้นกรณีบินระหว่างประเทศ

กระทบต่อมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินไทยในระยะยาว หากปล่อยให้แนวทาง Wet Lease กลายเป็นแนวปฏิบัติปกติ อาจส่งผลให้สายการบินลดการลงทุนในการพัฒนานักบินไทย และกระทบต่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมการบินของประเทศ

สมาคมนักบินไทยขอเรียกร้องให้ภาครัฐทบทวนมาตรการดังกล่าว และให้ความสำคัญกับนักบินไทยเป็นลำดับแรก

พวกเราขอยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิ์ของนักบินไทยทุกคน และขอแรงสนับสนุนจากสมาชิกและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินให้ร่วมกันแสดงจุดยืนที่สมาคมนักบินไทยยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ขอให้คุ้มครองชั่วคราว กรณีการอนุญาตให้นักบินต่างชาติปฏิบัติการบินภายในประเทศ 

กัปตัน ธีรวัจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อสังเกตเกี่ยวกับความถูกต้องของประกาศฉบับนี้

ข้อสังเกตที่ 1 การออกประกาศนี้ขัดกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ 2 กฎหมายหลัก ได้แก่
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 

พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
ประกาศกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ห้ามคนต่างด้าวขับขี่เครื่องบินภายในประเทศ ตาม มาตรา 7 ของพระราชกำหนดฯ

อย่างไรก็ตาม มาตรา 14 ของกฎหมายเดียวกันอนุญาตให้มีข้อยกเว้นได้เฉพาะ 3 กรณีเท่านั้น คือ

เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
กรณีนี้ แม้จะอ้างว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่น่าจะเข้าข่าย “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ” ในระดับที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ควรสามารถใช้ มาตรา 14 เป็นเหตุผลในการออกข้อยกเว้น

ข้อสังเกตที่ 2: ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ
กฎหมาย พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 กำหนดชัดเจนว่า นักบินที่ปฏิบัติหน้าที่ต้องมีสัญชาติไทย โดยอ้างอิงจาก

มาตรา 44 ของพระราชบัญญัติฯ ซึ่งกำหนดว่าผู้ประจำหน้าที่ต้องมีสัญชาติไทย หากจะมีข้อยกเว้น ต้องได้รับการอนุมัติจาก ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่ง ยังไม่มีการออกประกาศยกเว้นใด ๆ

กรณีนี้ Wet Lease ถือว่านักบินเป็นผู้ประจำหน้าที่ ตามนิยามของพระราชบัญญัติการเดินอากาศ แต่กลับไม่มีการประกาศยกเว้นจาก CAAT ก่อน กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรีจึง ไม่มีอำนาจออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าวปฏิบัติหน้าที่นักบินในประเทศ ถือเป็นการออกประกาศที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทำให้สมาคมนักบินไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อ ศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราว กรณี กระทรวงแรงงานและคณะรัฐมนตรี อนุญาตให้นักบินต่างชาติสามารถเข้ามาปฏิบัติการบินในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว ผ่านแนวทาง การเช่าเครื่องบินพร้อมลูกเรือ (Wet Lease) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินไทยที่กำลังว่างงานเป็นจำนวนมาก

‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ ยืนหนึ่ง ‘ธนาคารกลางแห่งปี 2025’ จาก ‘Central Banking Publications’ สื่อชั้นนำด้านการเงินของโลก

(12 มี.ค. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of The Year 2025) จากการมอบรางวัล Central Banking Awards ในปีนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับรางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 (Central Bank of The Year 2025) จาก Central Banking Publications ที่เป็นสื่อชั้นนำด้านการเงินและการธนาคารกลางของโลก เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

รางวัล Central Banking Awards แบ่งออกเป็น 16 สาขา มีรางวัลธนาคารกลางแห่งปีเป็นรางวัลสูงสุด โดย ธปท. ถือเป็นธนาคารกลางแห่งที่ 12 จากธนาคารกลางทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนี้ นับแต่เริ่มการมอบรางวัลในปี 2014 เป็นต้นมา

Central Banking Publications ระบุว่า รางวัลธนาคารกลางแห่งปี 2025 นี้ สะท้อนการทำงานของ ธปท. ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการเงินระยะยาว ด้วยการรักษาสมดุลของการดูแลเศรษฐกิจและการมุ่งรักษาเสถียรภาพราคาและเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งผสมผสานนโยบายเพื่อดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานทางการเงินของประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต

อีกทั้ง ธนาคารกลางประเทศไทย ยังมีผลงานที่โดดเด่นด้านการบริหารจัดการเพื่อฝ่าฟันสถานการณ์ความผันผวน และความไม่แม่นอนของโลกที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งเหมือนกับบรรดาธนาคารกลางทั่วไป แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศไทย และเผชิญกับแรงกดดันตากการเมืองครั้งสำคัญด้วย

ธนาคารกลาง ประเทศไทย ยังได้แสดงออก และรักษาความเป็นอิสระขององค์กรท่ามกลางการปฏิรูปด้านภาคการเงินหลายๆ ด้าน นอกจากนี้ ยังแสดงความมุ่งมั่นในการยึดหลักความมีเสถียรภาพด้านราคา หรือภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน

เกี่ยวกับรางวัล Central Banking Awards

รางวัล Central Banking Awards จัดขึ้นโดย Central Banking Publications ซึ่งเป็นสื่อชั้นนำด้านธนาคารกลางระดับโลก เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นในการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

โดยรางวัล Central Bank of The Year เป็นหนึ่งในรางวัลสำคัญของเวทีนี้ ที่มอบให้แก่ธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นในด้านความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย ความโปร่งใส และการสื่อสารกับสาธารณะ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว

‘กรวิน’ จับมือ ‘MASTER’ ทุ่ม 250 ล้าน เปิด “KRM Plastic Surgery Hospital” รพ.ศัลยกรรมความงามใหญ่สุดแห่งแรกในอีสานตอนกลาง

‘กรวิน คลินิก’ จับมือ ‘MASTER’ ทุ่มลงทุน 250 ล้านบาท เปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งใหญ่สุดแห่งแรกในภาคอีสานตอนกลางอย่างเป็นทางการ เน้นศัลยกรรมความงามครบวงจร ชูจุดเด่นทำเลดีใกล้สนามบิน รองรับกลุ่มลูกค้าขอนแก่น-พื้นที่ใกล้เคียงและต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน พร้อมส่องเทรนด์ความงามปี 2568 ยังโตดี ตอบโจทย์ดีมานด์เน้นความปลอดภัย มาตรฐานโรงพยาบาล และแพทย์ชำนาญการเป็นหลัก ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 15-20% 

เมื่อวันที่ (11 มี.ค. 68) นายแพทย์กรวิน ศิริโรจนทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เค เมดิคอล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ประกอบการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงาม ภายใต้แบรนด์ ‘กรวิน คลินิก’ ‘รณภีร์ คลินิก’ และ ‘KRM Plastic Surgery Hospital’ เปิดเผยว่า บริษัทร่วมทุนกับ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ (MASTER) ในนามโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” โรงพยาบาลเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งเคอาร์เอ็ม ขอนแก่น โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรใหญ่สุดแห่งแรกในภาคอีสานตอนกลางอย่างเป็นทางการ ด้วยเงินลงทุน 250 ล้านบาท เพื่อให้บริการด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด และขยายเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น ดึงหน้า ยกคิ้ว เสริมหน้าอก ตัดหนังหน้าท้อง ดูดไขมัน ปลูกผม บริการด้านผิวพรรณ และตรวจสุขภาพ เป็นต้น รองรับกลุ่มลูกค้าในขอนแก่นและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น นครราชสีมา อุดรธานี มหาสารคาม หนองคาย ชัยภูมิ บุรีรัมย์ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น 

KRM Plastic Surgery Hospital ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ขนาดพื้นที่กว่า 3,500 ตร.ม. ประกอบด้วย ห้องผ่าตัด (OR) จำนวน 7 ห้อง ห้องพักฟื้น 8 เตียง ห้อง IPD  6 เตียง ห้องเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ (CSSD) พร้อมอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ประจำโรงพยาบาล เช่น 
•นายแพทย์ศิรพล ประชากุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ศัลยแพทย์เฉพาะทางตกแต่งใบหน้า (Facial Plastic Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมจมูก ดึงหน้า และยกคิ้วส่องกล้อง 
•นายแพทย์กวีศักดิ์ เสาทองหลาง ศัลยแพทย์เฉพาะทางตกแต่ง (Plastic Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ตัดหน้าอก ดึงหน้า ตัดหนังหน้าท้อง ยกคิ้วส่องกล้อง และดูดไขมัน 
•นายแพทย์พิจักษณ์ สิริรัตนากุล ศัลยแพทย์ทั่วไป (General Surgery) ชำนาญการหัตถการเสริมหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ดูดไขมัน และตัดเหนียง
•นายแพทย์อภิชิต วิรัชพงศานนท์ ศัลยแพทย์ทั่วไป (General Surgery) ชำนาญหัตถการเสริมหน้าอก  ตา 2 ชั้น ปากกระจับ เสริมจมูก และเสริมคาง 
•นายแพทย์อธิกร เทียบพา ศัลยแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมประสาทและสมอง (Neuro Surgery) ชำนาญการหัตถการดึงหน้า ยกคิ้ว ส่องกล้อง เสริมหน้าผาก เสริมขมับ เสริมร่องแก้ม ตา 2 ชั้น ปากกระจับ เสริมจมูก และเสริมคาง 
•นายแพทย์ชนัตถ์ มาลัยกนก ศัลยแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวช (OB /GYN Surgery) ชำนาญการหัตถการตกแต่งเลเบีย 
ยกกระชับช่องคลอด และฟิลเลอร์เติมเต็มน้องสาว 
•แพทย์หญิงปิยทิพย์ ปิยอรรถกิจ แพทย์หญิงณัฐวรรณ ครุธามาศ และ แพทย์หญิงดรรชนี สิงห์ไธสง แพทย์ประจำศูนย์ความงาม และ Wellness 

“จังหวัดขอนแก่นจัดเป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก ตามกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว ในฐานะเป็น MICE City 1 ใน 5 พื้นที่ของประเทศ ด้วยศักยภาพความพร้อม ทั้งศูนย์กลางทางการแพทย์ การลงทุน การค้า เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การคมนาคม การศึกษา และศูนย์ราชการ ทำให้มีผู้คนสัญจรและเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้าจังหวัดจำนวนมากและต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของ KRM Plastic Surgery Hospital และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการศัลยกรรมความงามของภาคอีสานตอนกลาง ด้วยความมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลสู่ระดับสากลและความปลอดภัยสูงสุด” นายแพทย์กรวินกล่าว  

ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 2568 อุตสาหกรรมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและรูปร่างอยู่ในช่วงขาขึ้นและเติบโตต่อเนื่อง ตามตลาดความงามที่มีความต้องการซื้อสูง ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด และได้รับการดูแลจากแพทย์ที่ชำนาญการสูงสุดด้านการศัลยกรรม ผสมผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ากับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่จะเน้นความละเอียดอ่อน และผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงการเลือกสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ และมีแพทย์ชำนาญการเฉพาะทาง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นี้ เน้นสร้างความเชื่อมั่นให้ KRM Plastic Surgery Hospital เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และนำเสนอบริการต่าง ๆ ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการที่ MASTER เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบสารสนเทศโรงพยาบาล Hospital Information Systems (HIS) รวมถึงระบบงานบริหารจัดการความพึงพอใจของลูกค้า Customer Relationship Management (CRM) อีกด้วย

ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดแบบ Online Marketing มากขึ้น แนะนำบริการด้านศัลยกรรมความงามกับกลุ่มเป้าหมายในทุกระดับ ซึ่งต่อจากนี้บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของศูนย์ดูแลผิวพรรณ ได้นำนวัตกรรมเครื่องยกกระชับรุ่นใหม่ “Ulthera Prime” (อัลเทอร่าไพร์ม) ที่ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก ลดริ้วรอย รอยใต้ตา ยกหางตา-หางคิ้ว ร่องแก้ม ช่วยเก็บกรอบหน้า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวหน้าเรียบเนียน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อย ผิวไม่ค่อยกระชับ แบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เพื่อเพิ่มรายได้ของการดูแลผิวพรรณอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 560 ล้านบาท หรือคิดเป็นเติบโต 15-20%

นอกจากนี้ภายในงานเปิดตัว “KRM Plastic Surgery Hospital” ยังแต่งแต้มสีสันกับทัพเหล่าดารา คนดัง และ อินฟลูเอนเซอร์ เช่น คุณแม่นกน้อยอุไรพร, เฮียหน่อย หมอลำไอดอล, บอสโจ และ น้องอุ๋งอิ๋ง สาวน้อยเพชรบ้านแพง, ผู้ใหญ่บ้านฟินแลนด์ และคุณโกกิ โตเกียวมิวสิค, คุณใหม่ พัชรี, คุณบิว จิตรฉรีญา, คุณป๊ายปาย โอริโอ, คุณดิว ธีรภัทร, ธัญญ่า อาร์สยาม, กิ๊ก รุ่งนภา, นะนุ่น & Collarich, Team Mister Khonkaen 2024, นางสาวไทยสกลนคร 2568  มาร่วมแสดงความยินดีกับงานเปิดตัวโรงพยาบาล  

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ในนาม โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ผู้นำอันดับต้นของอุตสาหกรรมด้านความงามในไทยและเอเชีย ในฐานะ Regional Company กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าถือหุ้น 40% ใน กรวิน คลินิก การร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ MASTER ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต 

โดย MASTER พร้อมให้การสนับสนุน กรวิน คลินิก ในทุกมิติ ด้วยการส่งทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช เช่น หมอกาย- นพ.ณัฐดนัย ชาวชายโขง แพทย์ชำนาญการหัตถการดูดไขมัน, หมอเป็ด-นายแพทย์ชิดพงศ์ ทองกุม แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า และหมอฟรี-นายแพทย์วรดร สกลพรวศิน แพทย์ชำนาญการด้านสุขภาพเพศชาย มาร่วมเสริมทัพที่ KRM Plastic Surgery Hospital ด้วย และในโอกาสนี้ร่วมยินดีกับ กรวิน คลินิก ที่สามารถเปิดตัวโรงพยาบาลได้สำเร็จตามแผนที่ตั้งไว้  

“เรียกได้ว่า กรวิน คลินิก เป็นหนึ่งในผู้นำด้านศัลยกรรมเสริมจมูกเทคนิคปิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้เริ่มทำศัลยกรรม ถือเป็นตลาดใหญ่ติด 1 ใน 3 ของตลาดเสริมจมูกเทคนิคปิด ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 16 ปี มีจุดเด่น คือ แพทย์เป็นเจ้าของเองและมีความชำนาญการด้านการเสริมจมูกเทคนิคปิดโดยเฉพาะ พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาความงามทั้งใบหน้าและผิวหน้าแบบครบวงจร โดยออกแบบใบหน้าเคสต่อเคส ดูแลทุกขั้นตอนด้วยแพทย์ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันนาน 12 เดือน ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มสร้างผลกำไรให้ MASTER เข้าเต็มปี 2569 เป็นปีแรก” นางสาวลภัสรดากล่าว

MASTER พร้อมรับโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งด้าน Organic และ Inorganic พร้อมด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) ทั้ง Cross Border - Cross Selling และ Cross Synergy ซึ่งที่ผ่านมา MASTER ขยายการลงทุนเข้าไปถือหุ้นสัดส่วน 36-40% ของบริษัทชั้นนำในวงการศัลยกรรมความงาม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 15 บริษัท ครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่มกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทำให้เป็นแรงสนับสนุนการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันของกลุ่มบริษัท และส่งเสริมให้ MASTER ครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดศัลยกรรมความงามและแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น อย่างไรก็ตามปี 2568 MASTER ยังมั่นใจผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดหวังลูกค้าต่างประเทศจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40%   

“มาดามแป้ง” เคลื่อนไหวเดือดถึง “สมยศ” หลัง ส.บอลแพ้คดีต้องจ่าย 360 ล้าน พร้อมปูดอดีตนายกสมาคมฯ คนเก่า กู้เงินฟีฟ่า 155 ล้าน

(11 มี.ค. 68) จากกรณีคดีพิพาทระหว่าง สยามสปอร์ต กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้บทสรุปว่า สมาคมฯ จะต้องจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยให้ สยามสปอร์ต 360 ล้านบาท หลังมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นตั้งแต่ยุค "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฯ แต่มามีคำพิพากษาในยุคของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ที่เพิ่งทำงานในฐานะนายกสมาคมฯ ครบ 1 ปีไปไม่นานนี้

ล่าสุด "มาดามแป้ง" ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงเวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า 

"วันที่เลื่อนแถลงข่าวที่ผ่านมา เพราะป่วย และที่ผ่านมาติดภารกิจไปพบฟีฟ่าที่ต่างประเทศ"

"ในขณะที่แป้งเข้ามารับตำแหน่ง สภากรรมการได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ทรัพย์สิน หนี้สิน สมาคมฟุตบอล จากการตรวจสอบพบว่า สมาคมมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด อยู่ 27 ล้านบาท มีหนี้สิน 132 ล้านบาท เรื่องทั้งหมดนี้ถูกตรวจสอบทั้งหมด แต่แป้งไม่เคยออกมาพูด"

"เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ท่านอดีตนายกสมาคมฯได้สารภาพ ว่าได้กู้ยืมเงินระยะยาวจากฟีฟ่า โดยเป็นเงินกู้และเบิกรับครั้งเดียว 5 ล้านเหรียญ คือ 155 ล้านบาท โดยแบ่งจ่าย 10 งวด 10 ปี"

"แป้งคงไว้ไม่ยกเลิกสัญญากับแพลนบี เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเดียวกับสยามสปอร์ต โดยที่แพลนบีการันตีรายได้ให้มากขึ้น แพลนบีคืนสิทธิ์ในการจำหน่ายตั๋ว และวางหลักประกัน การถ่ายทอดสดกับไทยรัฐหรือพีพีทีวี"

"สมาคมในยุคที่แล้วได้มีการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีกให้ต่างประเทศ แป้งได้ไปซื้อกลับมา และยังขายสิทธิ์ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดแก่คนนอก นั่นคือ Data analysis ถูกขายไปจนถึงปี 2571 ให้กับ perform มาเลเซีย"

"ตั้งแต่แป้งเข้ามารับตำแหน่งไม่เคยรับเงินเดือน แต่ในยุคก่อนท่านรับเงินเดือนจากทั้งสมาคมฟุตบอลและไทยลีก รวม 2 ที่ 1 ล้านบาท ไม่รวมโบนัส และส่งผลให้มีการร้องเรียนถึงความเหมาะสม ล่าสุดมีการพิจารณาว่านายกสมาคมไม่สามารถรับเงินเดือนได้ เพราะไม่ใช่ลูกจ้างสมาคม เป็นการอาสาเข้ามา และยังไม่พบว่ามีการคืนเงินให้สมาคมแล้ว"

"ปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เกิดในสมัยสภากรรมการชุดเดิม แป้งเข้ามาและทราบข้อความจากฝ่ายกฎหมายแล้วว่าศาลชั้นต้นแพ้ให้สยามสปอร์ต ต้องจ่าย 50 ล้าน"

"ต่อมาศาลอุทธรณ์ให้สมาคมจ่าย 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย จากนั้นคำพิพากษาศาลฎีกา ให้สมาคมฯ จ่าย 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย"

"จำเลยที่ 2-19 ท่านอดีตนายกสมาคม ไม่ต้องรับผิดชอบการเงินเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นการกระทำในกรอบอำนาจหน้าที่"

"ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการยกเลิกสัญญาที่ไม่ถูกต้อง จากคำพิพากษาจากแฟนบอลทั่วไป หรือหลายท่าน ที่อดีตนายกสมาคม ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น คือจริงๆ ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทย์คือสยามสปอร์ต แต่อย่างไรก็ตามแป้งและฝ่ายกฎหมายศึกษาอย่างเด่ดชัดแล้วว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 76 จึงเป็นที่มาว่า แป้งตัดสินใจแล้ว จะนำเรื่องนี้เข้าสู่สภากรรมการเฉพาะกิจเร่งด่วนเพื่อฟ้องไล่เบี้ยแก่จำเลยที่ 2 และสภากรรมการยุคนั้น"

ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว มาดามแป้ง ได้โพสต์เพซบุ๊กว่า 
“ปกติทุกท่านคงจะทราบ แป้ง เป็นมือประสานสิบทิศ ไม่อยากเป็นศัตรูของใครเลย แต่การทำงานของ แป้งในวันนี้ แป้ง ทำด้วยผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก”

“กีฬาฟุตบอลไทย เป็นกีฬาที่คนไทยดูมากที่สุด 70% และคนเล่นสูงสุดรองจากมวย ดังนั้น แป้ง คิดว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาของคนทั้งชาติ สิ่งที่แป้งและคณะกรรมการ จะทำต่อไป ไม่ได้มีความขัดแย้ง ส่วนตัวกับท่านใด แต่ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสมาคมฯ และของชาติไทย”

'กกพ.' เสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 68 ที่ 4.15-5.16 บาท/หน่วย ชี้ แนวโน้มอาจตรึงค่าเอฟทีเท่าปัจจุบัน เหตุภาระหนี้และต้นทุนเชื้อเพลิงยังกดดัน

‘กกพ.’ เสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด พ.ค. – ส.ค. 2568 ที่ 4.15 – 5.16 บาทต่อหน่วย ชี้หลายปัจจัยยังคงกดดันค่าไฟ ทั้งภาระหนี้ต่อ กฟผ. อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ ปริมาณความต้องการไฟฟ้าเพิ่มต่อเนื่อง ปริมาณไฟฟ้าพลังน้ำนำเข้าลดลงตามฤดูกาล และแนวโน้มต้นทุนไฟฟ้าจากถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ค่าเอฟทีในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2568 ยังคงมีภาระการชดเชยต้นทุนคงค้างที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังผันผวนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการระบายน้ำของเขื่อนในประเทศได้ลดลงในฤดูแล้ง แม้จะมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแล้ว แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามสภาพอากาศร้อน ทำให้ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีลงได้

“ปัจจัยหลักๆ ยังคงเป็นภาระการชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับเป็นช่วงฤดูแล้งและอากาศที่ร้อนทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำลดลงตามฤดูกาล ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยลบที่กดดันค่าเอฟที และไม่สามารถปรับลดค่าเอฟทีลงได้อีก” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่ กกพ. ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อร่วมหาแนวทางใหม่เพิ่มเติม ในการปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ กกพ.ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเพิ่มเติม ที่จะสามารถนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีได้ทันตามวงรอบปกติของการพิจารณาค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2568 ที่ถูกกำหนดให้ต้องทบทวนค่าเอฟที และค่าไฟฟ้า ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 1 เดือนก่อนที่การประกาศจะมีผลบังคับใช้

ทั้งนี้ในการประชุม กกพ. ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันพุธที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา กกพ. มีมติให้สำนักงาน กกพ. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 2568 แบ่งเป็น 3 กรณีตามเงื่อนไข ดังนี้

กรณีที่ 1: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 137.39 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้ม (1) ต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และ (2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 21.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมจำนวน 121.00 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – ธันวาคม 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.16 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 2: ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 116.37 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟทีที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 71,740 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 99.98 สตางค์ต่อหน่วย) โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.95 บาท ต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท

กรณีที่ 3: กรณีตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดปัจจุบัน (ข้อเสนอ กฟผ.) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 จำนวน 16.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมได้จำนวน 14,590 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 20.33 สตางค์ต่อหน่วย) เพื่อนำไปพิจารณาทยอยคืนภาระค่า AF ให้แก่ กฟผ. และมูลค่าส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บ เดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ในระบบของ กฟผ. ต่อไป โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 60,474 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 4.15 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับงวดปัจจุบัน

“จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงจากงวดก่อนหน้า 0.91 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 68) เป็น 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2568 ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง โดยการไฟฟ้าได้ลดต้นทุนโดยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังต้องจัดหานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาตลาดจร (LNG Spot) มากกว่าช่วงต้นปี โดยราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณความต้องการในตลาดโลกมาอยู่ที่ 14.0 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจัยที่ยังไม่สามารถทำให้ค่าไฟลดลงได้ยังคงมาจากภาระหนี้ค่าเชื้อเพลิงสะสมในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมากจากงวดก่อนหน้า แต่ภาระหนี้ที่มีอยู่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงและต้องได้รับการดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศด้วย” ดร.พูลพัฒน์ กล่าว

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสาเหตุหลักซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวลดลง แต่เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าที่ยังคงสูงอยู่ ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงกลางปี 2568 นี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าเอฟทีขึ้นสู่ระดับ 116.37 – 137.39 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อคืนหนี้คงค้างให้กับ กฟผ. และ ปตท. ซึ่งทำให้เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด พ.ค. – ส.ค. 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 4.95 – 5.16 บาทต่อหน่วย หรือหากตรึงค่าเอฟทีไว้ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย โดยทยอยคืนหนี้คงค้างควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อการปรับค่าไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดดเพื่อลดภาระของประชาชน ค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย เท่ากับปัจจุบัน

สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าได้ง่ายๆ 5 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งานปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทั้ง 5 ป. จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองด้วย

ทั้งนี้ กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 11 – 24 มีนาคม 2568 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

รทสช. ร่วมยินดี ‘กฎหมายสุรารวมไทย’ ผ่านวุฒิสภา ช่วยเปิดกว้างการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรท้องถิ่น

‘โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ’ ร่วมยินดีกฎหมายสุรารวมไทยผ่าน ส.ว. เปิดกว้างการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร แง้มอีกหลายกฎหมายยึดผลประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชน จ่อเข้าคิวพิจารณา 

(11 มี.ค.68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยกรณีวุฒิสภาได้มีมติผ่าน ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ว่า 

ในลำดับแรกต้องขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนที่ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือ กฎหมายสุรารวมไทย ได้ผ่านวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นก้าวที่มีความสำคัญที่ปลดล็อกให้วิสาหกิจชุมชนสามารถผลิตสุราสีได้ ซึ่งจะเป็นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร ผ่านการแปรรูปสินค้าทางการเกษตร เช่น พืชและผลไม้ในท้องถิ่น 

และคาดว่าผลของกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ปรากฏสุราของไทยที่ผลิตจากผลไม้ขึ้นชื่อในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นลำไย มะพร้าวน้ำหอม สับปะรด มังคุด หรือผลไม้พื้นถิ่นต่างๆ เพื่อจำหน่ายเป็นของฝากในท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งส่งออกไปยังต่างประเทศ ถือเป็นการส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น ให้เติบโตยิ่งขึ้น

กฎหมายฉบับนี้จะเป็นเปิดกว้างตลาดการผลิต ทลายทุนผูกขาด ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด จึงขอขอบคุณวุฒิสมาชิกที่ได้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้เสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน โดยการนำของนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ

และไม่ใช่แค่กฎหมายฉบับนี้เท่านั้น กฎหมายที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติยังมีอีกหลายฉบับซึ่งเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนที่รอการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร เช่น กฎหมายการแข่งขันทางการค้า การปรับปรุงกฎหมายโรงงาน กฎหมายสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ กฎหมายเครดิตบูโร กฎหมายการควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า เป็นต้น ซึ่งทางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ดำเนินการติดตามความคืบหน้าในการพิจารณากฎหมายต่อไป

กระทรวงอุตฯ เอาจริง!! นำทีมสุดซอยบุกตรวจโรงงานผิดกฎหมายในสมุทรสาคร ทลายแหล่งผลิตกล่องโฟมเถื่อน ยึดของกลางกว่า 4 ล้านชิ้น

(11 มี.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้ทีมตรวจ 'สุดซอย' ลงพื้นที่ตรวจสอบ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หลังได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านไลน์ 'แจ้งอุต' ว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่มีใบอนุญาต

จากการตรวจสอบพบว่า โรงงานที่ถูกร้องเรียนคือ บริษัท ไทยสมายล์ เทเบิลแวร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตกล่องโฟมและจานโฟมใส่อาหาร ใช้เครื่องจักรกำลังรวม 544.9 แรงม้า ซึ่งเข้าข่ายเป็นโรงงานลำดับที่ 53(1) และจัดเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 แต่ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน นอกจากนี้ โรงงานดังกล่าวยังแสดงเครื่องหมาย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการรับรอง

ทีมสุดซอยและเจ้าหน้าที่ได้ทำการ ยึดอายัดผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยรวม 10 รายการ จำนวน 4,093,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,281,150 บาท และได้ดำเนินคดีในข้อหาตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนตาม พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ในส่วนของ การผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับมาตรฐาน มอก. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนแจ้งเข้ามาผ่านแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' ซึ่งเป็นช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาในภาคอุตสาหกรรมที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำหนังสือร้องเรียนเหมือนในอดีต

“ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้วกว่า 682 เรื่อง ทำให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่มีปัญหาได้มากขึ้นและจัดการกับธุรกิจสีเทาในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างทันท่วงที”

ทั้งนี้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับโรงงานผิดกฎหมายหรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ผ่านไลน์ไอดี 'traffyfondue' โดยเลือกเมนู 'แจ้งอุต' และกดเลือกปัญหาที่พบ เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่ตรวจสอบทันที

“แพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ช่วยเปิดเผยปัญหาในภาคอุตสาหกรรมให้ชัดเจนขึ้น และทำให้ภาครัฐสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้รวดเร็วและตรงจุด” นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

ครม. ไฟเขียว ตั้งกองทุนใหม่ ‘Thai ESG Extra’ หวังโยกเงินจาก LTF จูงใจลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท

ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โยกเงินจาก LTF เดิมเข้ากองทุนใหม่ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท พร้อมให้ซื้อกองทุนใหม่ได้ในวงเงินอีก 3 แสนบาท พร้อมลดหย่อนภาษีได้ “พิชัย” เชื่อชะลอแรงขายหุ้น สร้างความเชื่อมั่นเพิ่มในช่วงตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

(11 มี.ค. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมเห็นการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนกองทุนใหม่ หรือเรียกว่ากองทุน “Thai ESG Extra” โดยกองทุนนี้จะรองรับเงินลงทุนของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น 2 ส่วนโดยส่วนแรกมาจากเงินลงทุนที่มาจากนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ปัจจุบันมีวงเงินคงค้างอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยในส่วนนี้จะให้นักลงทุนโยกเงินจากกองทุน LTF มาอยู่ในกองทุน Thai ESG Extra โดยได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 5 แสนบาท สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปี 2568 ได้ 3 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาท จะให้ใช้สิทธิ์ในปีภาษีต่อๆไปปีละ 50,000 บาทจนครบจำนวน อีกส่วนหนึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESG Extra เพื่อลดหย่อนภาษีซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นเงินลงทุนใหม่โดยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาทในปี 2568 โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนภายในระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย.ปีนี้

นายพิชัย กล่าวว่าปัจจุบันสถานการณ์ในตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่ามีความผันผวนมากจากนโยบายของโดนัลก์ ทรัมป์ที่มีการปรับขึ้นภาษีกับคู่ค้า ล่าสุดในสหรัฐฯตลาดหุ้นก็ลดลงมากทั้งดัชนี Nasdaq และดาวน์โจนส์ ส่วนดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงโดยหุ้นไทยเคยลงมาอยู่ในระดับต่ำประมาณ 1,200 จุด ตอนนั้นเราทำกองทุนวายุกภักษ์ก็สามารถดึงดัชนีขึ้นไปได้ที่ประมาณ 1,400 จุดก่อนจะปรับลดลงมาที่ระดับ 1,200 จุดและได้รับผลกระทบจากข่าวสารภายนอก

ทั้งนี้รัฐบาลมีแนวคิดว่าในกองทุน ESG มีการเลือกหุ้นที่ดีมีอนาคต การเติบโตที่ยั่งยืน และมีการลงทุนในเทคโนโลยี ซึ่งถือว่ามีโอกาสเติบโตในอนาคต เมื่อมีความชัดเจนเรื่องนโยบายนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถชะลอแรงขายของดัชนีหุ้นลงได้

'กรมที่ดิน' ทยอยเพิกถอนโฉนด 'อัลไพน์' เผยหากครบ 120 วัน จะโอนกลับไปเป็น ‘ที่ธรณีสงฆ์’

‘เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ปทุมธานี’ ทยอยเพิกถอนโฉนด ‘อัลไพน์’ พร้อมประทับตราห้าม ‘จำหน่ายจ่ายโอน’ เผยหากครบ 120 วัน จะโอนเป็น ที่ธรณีสงฆ์ ขณะที่ ‘เจ้าของที่ดิน’ ทยอยฟ้อง ‘ศาลปกครอง’ เพิกถอนคำสั่ง

จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2568 นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ได้ลงนามคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย และมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร (ที่ดินอัลไพน์) และส่งเรื่องให้กรมที่ดินดำเนินการ นั้น

ล่าสุดนายสมคิด จันทมฤก ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ถึงความคืบหน้าในการเพิกถอนโฉนดที่ดินอัลไพน์ ว่า ได้รับทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี กรมที่ดิน ได้ดำเนินการทยอยขีดหลังโฉนดที่ถูกเพิกถอนแล้ว และประทับตราห้ามจำหน่ายจ่ายโอน แต่ยังไม่ครบทุกแปลง ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการดังกล่าวครบ 120 วัน แล้ว จึงจะดำเนินการโอนเป็นที่ธรณีสงฆ์

“เมื่อถึงขั้นตอนนั้น ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดจะต้องรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ” นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด ระบุด้วยว่า หลังจากที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดได้เริ่มเขียนหลังโฉนดว่า ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินแล้ว ทราบว่าเจ้าของที่ดินบางรายได้ทยอยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่งฯดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ กรมที่ดินได้จัดทำเอกสารสรุปขั้นตอนการดำเนินการ ในกรณีที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ) และให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 กลับมามีผล และกรณีการดำเนินการหลังมีการเพิกถอนรายการจดทะเบียน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 ดังนี้

กรณีการดำเนินการของกรมที่ดิน เมื่อรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เพิกถอนคำสั่งของปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)

เมื่อรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิม และวินิจฉัยอุทธรณ์ใหม่ โดยให้คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 กลับมามีผล กรมที่ดินจะแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ พร้อมทั้งสิทธิการฟ้องคดีให้กับกลุ่มเจ้าของที่ดิน ได้แก่ 1.กลุ่มเจ้าของที่ดินซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ 16 ราย 20 แปลง เนื้อที่ 13-0-14.2 ไร่ และผู้รับโอนต่อมา และ 2.กลุ่มผู้อุทธรณ์เดิม 294 ราย 624 แปลง เนื้อที่ 911-2-60.8 ไร่ และผู้รับโอนต่อมา

จากนั้นสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี จะแจ้งให้บุคคลดังกล่าว ให้ส่งมอบโฉนดที่ดินเพื่อหมายเหตุการณ์เพิกถอน ซึ่งในกรณีที่ไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินนั้น จะมีการออกใบแทน (มาตรา 61 วรรคหก แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) โดยประกาศภายใน 30 วัน ตามข้อ 17 (6) กฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537)

กรณีการดำเนินการภายหลังเพิกถอนรายการจดทะเบียน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544

เมื่อคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 2308/2544 ลงวันที่ 20 ธ.ค.2544 กลับมามีผล ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 20 และ 1446 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กลับเป็นทรัพย์มรดกของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทางผู้จัดการมรดกต้องโอนมรดกตามพินัยกรรมของนางเนื่อมฯ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร

จากนั้นวัดธรรมิการามวรวิหาร จะยื่นขออนุญาตได้มา ซึ่งที่ดินตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 95/2546 ลงวันที่ 20 มี.ค.2546) มีคำสั่งอนุญาตให้วัดฯได้มาซึ่งที่ดิน โดยวัดฯจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดิน โดยการจดทะเบียนโอนมรดก ส่วนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้น จะไม่ตกเป็นของวัดฯ

ทั้งนี้ ในการดำเนินการกับที่ดิน ซึ่งวัดฯเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ฯนั้น จะมี 3 แนวทาง คือ 1.วัดให้เจ้าของที่ดิน คนปัจจุบันเช่า ซึ่งกรณีระยะเวลาการเช่าเกินกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี ต้องได้รับ ความเห็นชอบจากกรมการศาสนา (ปัจจุบันสำนักงานพระพุทธศาสนา) ตามข้อ 4 (1) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (พ.ศ.2505) 2.วัดฯขอออก หนังสือรับรอง ทรัพย์อิงสิทธิ ไม่เกิน 30 ปี (มาตรา 4 พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ.2562)

และ 3.วัดโอนที่ดิน โดยตราเป็น พ.ร.บ. (มาตรา 34 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505) ซึ่งเป็นไปตามความเห็น ของคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงวันที่ 1 เม.ย.2545 โดยให้เฉพาะบุคคลซึ่งได้สิทธิในที่ดินมาโดยสุจริต

ขณะที่การดำเนินการกับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ซึ่งไม่ตกเป็นของวัด นั้น มี 2 แนวทาง คือ 1.วัดฯต้องชดใช้ราคา ให้กับเจ้าของปัจจุบัน และ 2.เจ้าของขอรื้อถอนออกไป โดยเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ

'ภูเก็ต' ยืนหนึ่งเมืองทำเงินสูงสุดกวาดรายได้ 4.9 แสนล้าน รัฐเร่งเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ หวังดัน GDP ไทยโตต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาการบริหารจัดการพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยในจังหวัดสงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดสงขลาเมื่อเดือนที่ผ่านมาในเรื่องการพัฒนาท่าเรือเพื่อเพิ่มจุดท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสงขลาและจังหวัดในฝั่งอ่าวไทย

ทั้งนี้ คณะฯได้ติดตามการพัฒนา การให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ที่ใช้บริการท่าเรืออำเภอดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นท่าเรือเฟอร์รี่ที่ขนคนและยานพาหนะซึ่งผู้แทนกรมเจ้าท่ายืนยันว่ายังมีความพร้อมและเพียงพอในการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวไปยังเกาะสมุยซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งที่รับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากฝั่งอันดามัน เช่น จังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ที่สามารถเดินทางข้ามฝั่งมาเที่ยวที่ฝั่งอ่าวไทยบริเวณท่าเรือดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนมาก

ส่วนที่อำเภอเกาะสมุย โครงการจัดทำท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าเริ่มก่อสร้างในเร็ววันนี้จะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายในการศึกษาจัดทำจุดจอดเรือเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยโดยเฉพาะจุดท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลาต่อเนื่องมายังเกาะสมุย สุราษฎร์ฯ เพื่อเพิ่มจุดและเดินทางท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวในฝั่งอ่าวไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายทะเลฝั่งอ่าวไทยของภาคใต้ 

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้ติดตามผลการดำเนินงานการจัดการน้ำเสีย บนเกาะสมุย และความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่ห้องประชุมมุกสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายชัชชัย มณี ปลัดอำเภอเกาะสมุย รักษาราชการแทนนายอำเภอเกาะสมุย นายสิทธิศักดิ์ ยิ่งเชิดสุข นายช่างโยธาชำนาญงาน ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพน้ำเสียของเทศบาลนครเกาะสมุย และรายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ ที่เกาะสมุย ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม โดยนายอดูลย์ ระลึกมูล ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเกาะสมุย ได้รายงานความพร้อมในการดำเนินการว่าเป็นไปตามกำหนดการที่รัฐบาลได้มอบหมาย

“รัฐบาลให้ความสำคัญ กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ในภาคใต้ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเพิ่มประสิทธิภาพของตำรวจท่องเที่ยว และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการจัดทำแหล่งท่องเที่ยวระดับชาติในภูมิภาคอาเซียนซึ่งนักท่องเที่ยวจะสามารถใช้เรือสำราญขนาดใหญ่เดินทางจากสิงคโปร์เข้าสู่สงขลาผ่านมายังสุราษฎร์ธานีเกาะสมุย ไปยังพัทยาและประเทศต่างๆทางฝั่งตะวันออกได้”

สำหรับโครงการท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่นี้ การดำเนินงาน เป็นไปตามเป้าหมายคาดว่าในปี 2572 จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ และจะแล้วเสร็จในปี 2575 ซึ่งจะเป็นการสร้างช่องทางการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางด้วยเรือสำราญระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ส่วนการบริหารจัดการน้ำเสียในพื้นที่อำเภอเกาะสมุยแม้ว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการเองแต่ก็ยังมีงบประมาณไม่เพียงพอ ในที่ประชุมได้ประสานกับองค์การจัดการน้ำเสียกระทรวงมหาดไทยให้ร่วมกันดำเนินการเพื่อจัดทำบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ต่อไป

ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในพื้นที่เกาะสมุยซึ่งพบว่ามีปริมาณความต้องการมากกว่าน้ำที่ส่งทางท่อจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาที่เกาะสมุย  ที่ประชุมได้ขอให้การประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาเพิ่มเติมท่อส่งน้ำเพื่อให้เกาะสมุยมีน้ำประปาใช้ได้เพียงพอโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น

ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 3 กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พลตำรวจตรี ภพพล จักกะพาก ที่ดูแลพื้นที่ 22 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่าปัญหาของเกาะสมุยและเกาะพะงันส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มีมากกว่าที่พักบนเกาะพะงันทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปงานสำคัญคือฟูมูนปาร์ตี้แบบไปกลับทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมเจ้าท่าในการกวดขันตรวจเรือโดยเฉพาะสัญญาณไฟและอุปกรณ์ชูชีพในเรือให้พร้อมตลอดเวลาซึ่งในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวได้ดำเนินการตรวจสารเสพติดต่อผู้ขับขี่เรือระหว่างเกาะต่าง ๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างต่อเนื่อง

จากนั้น คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ดูความคืบหน้าของโครงการบริเวณแหลมหินคม ตำบลตลิ่งงามซึ่งห่างจากที่ว่าการอำเภอไปประมาณ 15 กิโลเมตร โดยพบว่าปัจจุบันไม่มีการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่  อยู่ระหว่างขั้นตอนการมอบเงินที่ได้จากการเวนคืนที่ดินเพื่อจัดสร้างท่าเรือดังกล่าว ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

‘แพทองธาร’ สั่งเดินหน้าเร่งเครื่องเศรษฐกิจ หวังทุกหน่วยงานทั้งรัฐ-เอกชน ช่วยดันจีดีพีโตเกิน 3%

นายกรัฐมนตรี เปิดประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 สั่งทุกหน่วยงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผลักดันจีดีพี ปี 2568 โตเกิน 3%

(10 มี.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเกินเป้าหมาย 3% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้

นายกฯ ระบุว่า แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนให้ขยายตัวได้มากกว่านี้ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงและภาคเอกชน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันคิดค้นมาตรการและโครงการที่สามารถเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะเน้นไปที่การขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก ควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความยั่งยืนในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top