Thursday, 23 January 2025
ECONBIZ

‘เอกนัฏ’ หนุน!! ‘ดีพร้อม’ ขับเคลื่อนนโยบาย ยกระดับ โลจิสติกส์ไทย ลดปล่อยคาร์บอน 5.8 พันตัน/ต่อปี ดันเศรษฐกิจโต 200 กว่าล้านบาท

(14 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส’ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ด้วยการช่วยเหลือและยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ผ่าน “กระจายสินค้าของสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมตามแนวทาง BCG Model” ด้วยการพัฒนาให้สามารถเตรียมความพร้อมในการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร พร้อมกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เช่น บริการขนส่ง คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นต้น คาดว่าจะขยายผลการยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์กว่า 206 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,848 ตันคาร์บอนต่อปี 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาสังคมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบการโดยการพัฒนาองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจตามแนวคิด BCG เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นกติกาทางการค้าที่อุตสาหกรรมไทยจำเป็นต้อง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการตามนโยบาย ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส’ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งส่งเสริมและกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อม ๆ กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ ตลอดจนต้องการยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ขานรับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมผ่านการดำเนินโครงการการยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ด้วยการช่วยเหลือและยกระดับธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตให้มิตรต่อสิ่งแวดล้อม (BCG-driven Enterprise) ลดต้นทุนการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงจากชีวมวล (Biomass) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุเหลือใช้ภายในสถานประกอบการ (Upcycled Product) รวมถึงได้ดำเนินการ ‘กระจายสินค้าของสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมตามแนวทาง BCG Model’ ซึ่งเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตที่มีคลังสินค้าและ/หรือขนส่งของตนเอง และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Logistics Service Provider) เช่น บริการขนส่ง คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศให้สามารถรวบรวมข้อมูลและเตรียมความพร้อมที่จะขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) พร้อมกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนขององค์กร โดยเฉพาะระบบการ Tracking รถขนส่งเพื่อติดตามเส้นทาง พฤติกรรมการขับขี่ และประสิทธิภาพการใช้รถ โดยมีสถานประกอบการผ่านการคัดเลือกจำนวน 25 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายผลการยกระดับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้กว่า 206 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,848 ตันคาร์บอนต่อปี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการที่มีความพร้อมที่จะยื่นขอใบรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นต์องค์กร (CFO) จำนวน 5 กิจการ

นางสาวณัฏฐิญา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ดีพร้อม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ECO Move ระบบขนส่งลดคาร์บอนด้วยโลจิสติกส์เทคโนโลยีตามแนวทาง BCG Model ภายใต้กิจกรรมการพัฒนาและยกระดับกระบวนการผลิตสู่อุตสาหกรรมผลิตภาพสีเขียว (Green Productivity) การให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียว (Green Transport) และการอบรมด้าน Green Logistics และมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ตาม ISO 14064-1 ผู้ประกอบการสามารถติดตามข่าวสารของ ดีพร้อม ผ่านช่องทาง DIPROM Service (https://customer.diprom.go.th) นอกจากจะลดต้นทุนและลดของเสีย เปลี่ยนต้นทุนเป็นรายได้และกำไร พร้อมสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ แล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมของประเทศไทย ส่งผลต่อการเข้าถึง มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศได้ไวยิ่งขึ้นอีกด้วย นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

ราคาน้ำมันดิบ พุ่ง!! เกือบ 2% หวั่น!! คว่ำบาตรเพิ่มรัสเซีย-อิหร่าน

(14 ธ.ค. 67) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า การคว่ำบาตรเพิ่มเติมกับรัสเซียและอิหร่านอาจทำให้อุปทานตึงตัวขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในยุโรปและสหรัฐอาจช่วยหนุนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
• สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 74.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. และเพิ่มขึ้น 5% ในสัปดาห์นี้ ส่วนน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 6% ในสัปดาห์นี้ และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.

ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปตกลงที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งที่ 15 ในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน โดยมุ่งเป้าไปที่กองเรือบรรทุกน้ำมันเงาของรัสเซีย (shadow tanker fleet) ขณะที่สหรัฐก็กำลังพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกัน

อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีแจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า พวกเขาพร้อมที่จะกลับไปใช้มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศทั้งหมดต่ออิหร่านหากจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ทางด้านข้อมูลจาก ‘จีน’ ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยคาดว่าระดับการนำเข้าน้ำมันจะยังคงสูงต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568 เนื่องจากโรงกลั่นเลือกที่จะเพิ่มการจัดหาน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดเนื่องจากมีราคาที่ถูกลง ขณะที่โรงกลั่นอิสระเร่งใช้โควตาการนำเข้าของพวกเขา

ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2568 เป็น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่คาดไว้ที่ 990,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

การปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารในจีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อที่อ่อนแอในจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

IEA คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกินในปีหน้า เมื่อประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตน้ำมันประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้รับแรงผลักดันจากอาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา กายอานา และสหรัฐ

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นสมาชิกของโอเปกวางแผนที่จะลดการส่งออกน้ำมันในต้นปีหน้า เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส มุ่งเน้นการควบคุมการผลิตให้เข้มงวดขึ้น

ราคาน้ำมันดิบที่อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกโอเปกขายให้กับจีนนั้น เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้ความสามารถในการขนส่งลดลงและเพิ่มต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และคาดว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า และจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้า หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกินคาด

ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำนวน 4 คนสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หากอัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน

‘ดร.เอ้’ ชี้!! อนาคต AI ชี้!! หากไทยไม่ทำวันนี้ อาจสายเกินไป

(14 ธ.ค. 67) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ถึงเวลา ‘จุดประกาย AI ในประเทศไทย’

ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL ที่มุ่งมั่น สร้างคนไทยสู่เวทีระดับโลก ด้าน AI มาเป็น ‘Keynote Speaker’ องค์ปาฐก บรรยายเรื่อง ‘อนาคต AI’ ในงาน AI Summit 2024

เพราะวันนี้ หากไทยไม่สู้ อาจสายเกินไป เพราะประเทศอื่นก้าวกระโดดไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะเวียดนาม

เราจัดงาน AI Summit 2024 เพื่อรวมพลังสุดยอดคน AI ระดับโลก มาร่วมทีม AI ไทยแลนด์ พัฒนางานวิจัย และพัฒนา ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าสู่โลก AI ได้

และหมดยุค ‘แข่งกับตัวเอง’ หรือ ‘แข่งกันเอง’ เพราะทัศนคติแบบพูดเพียง ‘หล่อๆ’ นี้ ทำให้เราไม่คิดเปรียบเทียบ หรือแข่งกับ ‘คนเก่ง’ สุดท้ายเราก็ไม่พัฒนา สู้โลกไม่ได้ น่าเสียดาย

AI Summit 2024 จึงเป็นการ 'จุดประกาย' ให้คนไทย ตระหนักถึง ‘ยุค AI’ และ กลับมา ‘รวมพลัง’ คนเก่งของไทย ที่เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

แล้วท่านล่ะครับ พร้อมเข้าสู้ยุค AI หรือยังครับ

'กฟน. และกฟภ.' หยุดรับซื้อ!! ‘โครงการโซลาร์ภาคประชาชน’ ระบุชัด!! เต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ต้องรอจนกว่าจะเปิดเพิ่ม

(14 ธ.ค. 67) ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้หยุดรับซื้อไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ภาคประชาชนชั่วคราวแล้ว เนื่องจากมีผู้สนใจแห่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวกันเป็นจำนวนมากในปี 2567 จนเต็มโควตาที่เปิดรับซื้อ 90 เมกะวัตต์ โดยที่ผ่านมามีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือน ม.ค.- มิ.ย. 2567 ประมาณ 100 เมกะวัตต์ แต่ผ่านการพิจารณาด้านเทคนิคแล้วรวม 89.8 เมกะวัตต์ และจากนั้นได้เต็มโควตาไปเมื่อประมาณเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา

ดังนั้นหลังจากนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะต้องนำเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาเพิ่มโควตาการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024) ต่อไป

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กพช. ได้กำหนดโควตาเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน จำนวนรวม 90 เมกะวัตต์ ภายในเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2564-2573

โดยล่าสุดภาพรวมการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2567) ทั้งในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 10,107 ราย รวมกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 65.72 เมกะวัตต์

แบ่งเป็นทางด้าน กฟน. มีผู้ผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ จำนวน 4,174 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 23.15 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 3,740 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 20.4198 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นในปี 2567 จำนวน 7,914 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 43.91 เมกะวัตต์

ส่วนทางด้าน PEA นั้น ในปี 2567 มีผู้ทำสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ ( COD ) 1,559 ราย กำลังการผลิตประมาณ 8.25 เมกะวัตต์ และส่วนที่ COD แล้ว 634 ราย กำลังการผลิตประมาณ 3.56 เมกะวัตต์ โดยรวมมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 2,193 ราย คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 11.81 เมกะวัตต์

ดังนั้นเมื่อนับตั้งแต่เปิดโครงการดังกล่าวในปี 2562-2567 จึงมีปริมาณกำลังผลิตติดตั้งรวมประมาณ 100.221 เมกะวัตต์ แต่หากนับเฉพาะในส่วนของ 2564-2567 ตามมติ กพช. ที่เปิดรับซื้อรวม 90 เมกะวัตต์ ก็พบว่าปริมาณรับซื้อเต็ม 90 เมกะวัตต์แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ประชาชนแห่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนมาก เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ประกอบกับต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ปรับลดลง และประชาชนต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงทำให้หันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าบนหลังคากันมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับในช่วงเริ่มต้นโครงการฯ ปี 2562-2565 ที่เปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบปีต่อปี พบว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการไม่ถึงเป้าหมายแม้แต่ปีเดียว โดยเปิดรับซื้อไฟฟ้ารวม 260 เมกะวัตต์ แต่มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 9 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็นดังนี้

ในปี 2562 -2565 เปิดรับซื้อไฟฟ้าปีละ 100 เมกะวัตต์ แต่มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพียง 3-4 เมกะวัตต์เท่านั้น เนื่องจากราคารับซื้อไฟฟ้าที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ไม่จูงใจ

ต่อมาในปี 2564 จึงปรับลดเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้าเหลือ 50 เมกะวัตต์ และปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขายไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ เท่านั้น และในปี 2565 ได้ปรับลดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าลงอีกครั้งเหลือ 10 เมกะวัตต์ ในราคาเดิมที่ 2.20 บาทต่อหน่วย แต่ก็มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพียง 1.37 เมกะวัตต์

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2566 กกพ. ได้ปรับหลักเกณฑ์เป็นการรับซื้อระยะยาว 10 ปี (2564-2573) รวม 90 เมกะวัตต์ ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวก็เริ่มใช้ในปี 2566 นี้ และพบว่าประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น มีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบรวมกว่า 10 เมกะวัตต์ จากเป้าหมาย 90 เมกะวัตต์ ใน 10 ปี และยังมีกลุ่มผู้ร่วมโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (รอ COD) จำนวน 2,795 ราย กำลังการผลิตติดตั้ง 15.501 เมกะวัตต์ รวมเป็นปริมาณ 25.50 เมกะวัตต์

และล่าสุดในปี 2567 ณ เดือน มิ.ย. 2567 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคิดเป็นปริมาณ 100 เมกะวัตต์ และเต็มโควตา 90 เมกะวัตต์แล้ว ( นับรวมตั้งแต่ปี 2564-2567) และต้องหยุดรับซื้อไฟฟ้าไปจนกว่าจะมีการเพิ่มโควตาใหม่อีกครั้ง

'ประเสริฐ' ผลักดันโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลคนไทย ลงระดับอำเภอ มุ่งสร้างไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมีนางปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดีอี และนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมประชุม  

นายประเสริฐกล่าวถึงวาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติโครงการ 'ส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ' โดยมุ่งเน้นให้บุคลากรและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถถ่ายทอดข้อมูลนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ และให้ความช่วยเหลือด้านดิจิทัลแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

โครงการนี้ยังสนับสนุนการสร้างกลไกพัฒนาจังหวัดดิจิทัล (Digital Province) พร้อมยกระดับทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ

'Digital GDP' ขยายตัว ร้อยละ 5.7 - 'การส่งออกดิจิทัล' ขยายตัวร้อยละ 17.2 'รองนายกฯ ประเสริฐ' ชี้ผลสำเร็จรัฐบาลให้ความสำคัญ ยกระดับดิจิทัลไทย เผยปี 2567 เศรษฐกิจดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

(13 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวระหว่างร่วมเวทีสัมมนาเพื่อเผยแพร่การดำเนินโครงการ 'Thailand Digital Economy 2024' ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2567 นั้นได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดย Broad Digital GDP (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) ประมาณการว่าขยายตัว 5.7 คิดเป็น  2.2 เท่า ของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (สศช. ประมาณการ) ในด้านการค้าต่างประเทศ คาดว่าการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล (ราคาที่แท้จริง หรือ CVM) จะขยายตัวร้อยละ 17.2 คิดเป็น 2.8 เท่า ของการส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 6.1 (สศช. ประมาณการ) 

"รัฐบาลก่อนหน้าและรัฐบาลนายกแพทองธาร รวมทั้งผมเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านดิจิทัล รวมทั้งเร่งผลักดันภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ได้มีการส่งเสริมการลงทุนเรื่อง cloud services และ data centers ตลอดจนการลงทุนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล เชื่อว่าส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างดี ในปี 2567 สูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวม กว่า 2 เท่าตัว" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

ด้านนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการดีอี ได้สรุปประมาณการเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ ในปี 2567 ดังนี้

1. เศรษฐกิจโดยรวม นั้น Broad Digital GDP (CVM) มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง มีมูลค่า 4.44 ล้านล้านบาท มีการขยายตัว ร้อยละ 5.7 จากปี 2566 และคิดเป็นการขยายตัว 2.2 เท่า ของการขยายตัวของ GDP โดยรวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการ) แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต

2. ด้านการลงทุน โดยการลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน (CVM) มีการขยายตัวร้อยละ 2.8 จากปี 2566 ในขณะที่การลงทุนด้านดิจิทัลภาครัฐขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 จากปี 2566 ปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ที่ขยายตัวจากฐานที่ติดลบในปีก่อนหน้า

3. ด้านการบริโภคนั้นการบริโภคภาคเอกชนในอุตสาหกรรมดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.6 สูงกว่าการขยายตัวของการบริโภคของประเทศที่เท่ากับร้อยละ 4.8 สำหรับการบริโภคภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.4 จากการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สินค้าดิจิทัลเป็นสินค้าที่มีความต้องานบริโภคในระดับสูงทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน

4. ภาคการค้าและบริการในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการอุตสาหกรรมดิจิทัล ขยายตัวร้อยละ 17.2 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 5.1 สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 6.1 จากเดิมที่ขยายตัว ร้อยละ 2.1 ในปีที่ผ่านมา ในด้านการนำเข้าสินค้าและบริการดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 9.0 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการนำเข้าสินค้าและบริการของประเทศอุตสาหกรรมดิจิทัล จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการสร้างเม็ดเงินจากเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยยังคงพึ่งพาสินค้าดิจิทัลทั้งที่เป็นสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นสุดท้าย ตลอดจนสื่อดิจิทัลคอนเทนต์จากต่างประเทศ จึงทำให้เมื่อการส่งออกสินค้าขยายตัวจะมีผลทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

5. ภาคการผลิต ซึ่งในปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลขยายตัวร้อยละ 5.71 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.75 ตามการขยายตัวของการผลิตในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่ขยายตัวสูงสุด 2 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (+12.64%) และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+10.00%) ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์ที่มาของการเติบโต (Source of growth) พบว่า เกือบร้อยละ 80 ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัลเป็นผลจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (+1.90%) อุตสาหกรรมบริการดิจิทัล (+1.36%) และอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ (+1.27%) ตามลำดับ 

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมหมวดโทรคมนาคมมีผลต่อการเติบโตโดยรวมสูงเกือบ 1 ใน 3 ของการขยายตัวทั้งหมด โดยกิจกรรมการผลิตที่ขยายตัวสูงในปีนี้ ได้แก่ การผลิตเคเบิลเส้นใยนำแสง การขายส่งและการขายปลีกโทรศัพท์ และอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม โดยการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศด้านดิจิทัล (ราคาที่แท้จริง) และที่มาของการเติบโต

นายเวทางค์ กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2567 ขยายตัวได้ดี และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการลงทุนและการบริโภคภาครัฐด้านดิจิทัล รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการดิจิทัล เป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ในขณะที่การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชนยังไม่ขยายตัว และเชื่อว่าในปี 2568 และ 2569 การลงทุนด้านดิจิทัลภาคเอกชน จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญอย่างแน่นอน

รมว.กต.เผยเยือนออสเตรเลียกระชับความร่วมมือรอบด้าน ทั้งความมั่นคงมนุษย์-อาหาร-พลังงาน-หลักสูตรส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมชวนลงทุนในประเทศไทย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนนครแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย 'เพนนี หว่อง' เชิญเดินทางเยือน และได้มีการวางแผนการเยือนล่วงหน้าแล้วกว่า 3 เดือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างไทย และออสเตรเลีย ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ก่อนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ Thailand-Australia Biennial Foreign Ministers’ Meeting ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ระหว่างไทย-ออสเตรเลียจะเริ่มต้นขึ้นว่า พัฒนาการความร่วมมือไทย-ออสเตรเลียนั้น ฝ่ายออสเตรเลียพร้อมสนับสนุนประเทศไทย ทั้งการจัดสรรงบประมาณจำนวน 222.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับโครงการ Mekong-Australia Partnership ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้งด้านการฝึกอบรม การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งยังพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD Southeast Asia Regional Programme หรือ SEARP ของไทย ซึ่งเน้นบทบาท และความมุ่งมั่นของไทยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และออสเตรเลีย ยังพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตร อาหาร ยา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ในการประชุมฯ ดังกล่าว ยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่นคงของมนุษย์ อาหาร และพลังงาน ให้เป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และในภูมิภาค โดยตนเองได้นำเสนอศักยภาพ และข้อได้เปรียบของประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งในทำเลยุทธศาสตร์ สามารถเสริมสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างออสเตรเลียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยได้ยกตัวอย่าง EEC ที่ท่าเรือระนอง ตลอดจนโครงการ Landbridge ให้ได้รับทราบ พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนให้ฝ่ายออสเตรเลียมาลงทุน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ 

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนประชุมฯ ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้นำชมสถาบัน Australian Institute for Machine Learning หรือ AIML ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นประโยชน์ด้าน พลังงาน การจัดการข้อมูล และการคำนวณ ซึ่งตนเห็นว่า ภารกิจและความเชี่ยวชาญของสถาบันฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรม และ Workforce สำหรับอนาคต โดยคำนึงถึงการหาสมดุล ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลกับความเป็นส่วนตัว จึงได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ประจำออสเตรเลียแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่าง AIML กับสถาบันการศึกษาในไทย เพื่อจัดตั้ง School of AI ในการพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยี AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศออสเตรเลีย เป็นคู่ค้าอันดับ 7 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของออสเตรเลีย ซึ่งระหว่างไทยและออสเตรเลียนั้น มูลค่าการค้ารวมกว่า 19,054.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้ากว่า 5,375.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทย มีการส่งออกไปออสเตรเลียประมาณ 12,214.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าสำคัญได้แก่ รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เม็ดพลาสติก และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ส่วนประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย จำนวนราว 6,839.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะ และผลิตภัณฑ์ถ่านหิน และเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเทศไทย มีภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการลงทุนในออสเตรเลียโดยรวมประมาณ 7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ ปตท.สผ., บริษัทมิตรผล, บริษัทราช เครือไมเนอร์ และบริษัทบ้านปู และออสเตรเลียเอง มีการลงทุนในประเทศไทย จำนวนประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ บริษัท Linfox, บริษัท Anca Manufacturing 

สำหรับตัวเลขด้านการท่องเที่ยวนั้น มีนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยรวม 687,745 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทย ไปท่องเที่ยวที่ออสเตรเลียรวม 107,320 คน รวมทั้งยังมีคนไทยในออสเตรเลีย จำนวน 113,751 คน แบ่งเป็นเป็นนักเรียน-นักศึกษา 25,887 คน โดยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนนักเรียน-นักศึกษาในออสเตรเลียมากเป็นอันดับ 7 รองจากจีน, อินเดีย, เนปาล, โคลอมเบีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงยังมีร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย ประมาณ 2,200 ร้าน และคนออสเตรเลียในประเทศไทย ประมาณ 35,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ

Foxsemicon ยักษ์ใหญ่ผลิตชิปจากไต้หวัน ตั้งฐานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในนิคมชลบุรี-ระยอง

(11 ธ.ค.67) BOI อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตอุปกรณ์และโมดูลสำหรับเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำของกลุ่ม Foxsemicon Integrated Technology Ic. (FITI) ในเครือของ Foxconn

หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวัน และเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของบริษัท Applied Materials ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำระดับโลก

บริษัท Foxsemicon ยื่นขอรับการส่งเสริมในนามบริษัท ยูนิค อินทิเกรตเต็ด เทคโนโลยี จำกัด มีมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 10,500 ล้านบาท ตั้งโรงงาน 2 แห่งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 4 ของโลกในกลุ่ม Foxsemicon ก่อนหน้านี้มีโรงงานอยู่ที่จีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา

โดยบริษัท Foxsemicon เป็นบริษัทไต้หวันที่เป็นผู้นำในการผลิตอุปกรณ์สำหรับเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์แบบครบวงจร มีขีดความสามารถตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การออกแบบ การผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์และโมดูลสำหรับเครื่องจักร โดยใช้จุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิตที่มีความแม่นยำสูง การผสมผสานระหว่างระบบเครื่องกล ระบบไฟฟ้า และระบบอัตโนมัติเข้าด้วยกัน

โรงงานในไทยจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 1,400 คน เพื่อผลิตอุปกรณ์และโมดูลที่มีความแม่นยำสูงสำหรับเครื่องจักรสำคัญที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ (Water Fabrication) ที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าส่งออกกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี และระยะเริ่มต้นจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศสัดส่วนกว่า 25% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งสิ้น โดยจะเพิ่มมากขึ้นในระยะถัดไป

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า การตัดสินใจลงทุนของบริษัท Foxsemicon ครั้งนี้ ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ผลิตอุปกรณ์ขั้นสูงสำหรับเครื่องจักรเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก่อนหน้านี้มีบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เริ่มเข้ามาลงทุนในไทย ทั้งการออกแบบวงจรรวม (IC Design) การทดสอบ Wafer และ IC

โดยบริษัท Analog Devices และการผลิตชิปตั้นน้ำโดยบริษัท Hana เชื่อมั่นว่าจากนี้ไป จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลได้ตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ซึ่งจะมีการกำหนดโรดแมปแต่ละระยะ

รวมทั้งพัฒนาบุคลากรและปรับปรุงระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับประเทศไทยเป็นฐานรองรับการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมหลักอื่น ๆ ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล โทรคมนาคม ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์หรืออุปกรณ์การแพทย์ในอนาคตด้วย

Kosé ยักษ์เครื่องสำอางญี่ปุ่น ซื้อกิจการเครื่องหอม 'ปัญญ์ปุริ'

(11 ธ.ค. 67) บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Kosé Corporation ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถึงการเข้าซื้อกิจการ Pañpuri แบรนด์สปาและเครื่องหอมหรูของไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การขยายธุรกิจระดับโลกของบริษัท รายงานข่าวไม่ได้ระบุถึงมูลค่าทางการตลาดในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางการตลาดของ Pañpuri ระบุว่าในปี 2024 ที่ผ่านมามีรายได้รวมราว 1,079 ล้านบาท

ตามข่าวประชาสัมพันธ์ของ Kosé เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ระบุว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ “Vision for Lifelong Beauty Partner – Milestone 2030” ซึ่งมุ่งขยายพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ผ่านความร่วมมือในระดับภูมิภาค แทนที่จะพึ่งพาการพัฒนาแบรนด์ภายในเพียงอย่างเดียว โดยคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ Kosé ในตลาดประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“แนวทางดั้งเดิมของ Pañpuri ที่ผสมผสานการออกแบบผลิตภัณฑ์อันประณีตและความมุ่งมั่นต่อคุณภาพของกลิ่นหอม สอดคล้องกับปรัชญาของ Kosé ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส พร้อมเคารพในประเพณีและนวัตกรรม” คาซูโตชิ โคบายาชิ ประธานและซีอีโอของ Kosé กล่าว  

วรวิทย์ ศิริพากย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและเจ้าของแบรนด์ Pañpuri กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถช่วยให้แบรนด์สามารถใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญระดับโลกของ Kosé ในขณะที่ยังคงรักษามรดกทางวัฒนธรรมด้านสุขภาพของไทยไว้ “ความร่วมมือนี้จะช่วยให้เรารักษารากฐานและพัฒนาไปสู่การสร้างสรรค์ประสบการณ์ความงามที่มีความหมายยิ่งขึ้น” 

ปัจจุบัน Pañpuri มีสาขาค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าหรู โรงแรมระดับไฮเอนด์ และศูนย์การค้าชั้นทั้วประเทศไทย พร้อมแผนการขยายสู่ฮ่องกงในเดือนสิงหาคม 2024 นอกจากนี้ ยังมีช่องทางอีคอมเมิร์ซให้บริการลูกค้าในญี่ปุ่น จีน และยุโรป  

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ Kosé ขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโต ขณะเดียวกัน Pañpuri จะได้รับประโยชน์จากศักยภาพการวิจัยและพัฒนา รวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายระดับโลกของ Kosé

บางจากฯ กวาด 4 รางวัลใหญ่ อันทรงเกียรติจาก 3 เวที ตอกย้ำ!! ความแข็งแกร่งด้าน ‘ผลิตภัณฑ์-บริการ-แบรนด์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ บริการและแบรนด์ จากรางวัลทรงเกียรติในปี 2567 รวม 4 รางวัล จาก 3 งานประกาศผลรางวัล ประกอบด้วย

1) รางวัลถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 
สยามบรมราชกุมารี สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Product/Service Excellence) ในงานประกาศผลรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2024 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2) รางวัล Superbrands Thailand 2024 จากแบรนด์บางจาก โดยแบรนด์ ‘บางจาก’ ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงของ ‘บางจาก ไฮ พรีเมียม 97’ น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง สูตรที่ดีที่สุดของบางจากฯ 

3) รางวัล Superbrands Thailand 2024 จากแบรนด์กาแฟอินทนิล โดยแบรนด์ ‘อินทนิล’ ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ในฐานะแบรนด์กาแฟรักษ์โลกอันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่มีความโดดเด่นในด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อินทนิล เพื่อคุณ เพื่อโลก’

4) รางวัล ‘แบรนด์สร้างแรงบันดาลใจ’ ระดับภูมิภาคเอเชีย โดยแบรนด์ “บางจาก” ได้รับรางวัล 
Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2024 สาขา Inspirational Brand Award หรือ รางวัล ‘แบรนด์สร้างแรงบันดาลใจ’ ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil and Gas ที่ได้รับการยกย่องในด้านภาพลักษณ์และปรัชญาที่เป็นต้นแบบและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มาตลอดระยะเวลา 40 ปี ก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 ด้วยแบรนด์ไอเดีย Greenovate to Regenerate: สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด

นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “รางวัลต่าง ๆ ที่บางจากฯ ได้รับในปี 2567 นี้ถือเป็นความภาคภูมิใจและนับเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับสินค้าและบริการของบางจากฯ เพื่อส่งมอบความสุขพร้อมประสบการณ์ที่แตกต่าง จนได้รับการยกย่องการันตีด้วยรางวัลอันทรงเกียรติ และเป็นรางวัลที่ได้รับอย่างต่อเนื่องในทุกปี ขอขอบคุณท่านผู้ประกอบการ คู่ค้า สมาชิกบางจากกรีนไมลส์ และลูกค้าทุกท่าน สำหรับทุกการสนับสนุน ความเชื่อมั่น และรางวัลจากทุกเวทีที่มอบให้กับบางจากฯ เราจะยังคงสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย พร้อมพัฒนาธุรกิจอื่น ๆ เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพการให้บริการควบคู่กันไป” 

‘กระทรวงพาณิชย์’ เผย!! TEMU จดทะเบียนนิติบุคคล ในไทยแล้ว พร้อมเดินหน้า แก้ไขปัญหานอมินี ลั่น!! ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

(10 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสินค้าไร้คุณภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งกรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มความเข้มข้นต่อไป หลังจากผลการทำงานที่ผ่านมา ได้ผลเป็นอย่างดี และแก้ไขปัญหาลงไปได้มาก สามารถดูแลผู้บริโภค และผู้ประกอบการ SME ได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ TEMU ล่าสุดตนได้รับรายงานว่า เมื่อ 11 พ.ย.67 ที่ผ่านมาทาง TEMU ได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ชื่อบริษัท เวลโค เทคโนโลยี จํากัด

ส่วนการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนั้นมี  2 ช่องทางคือ ช่องทางการส่งเสริมการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)และตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้ทางจีนก็ยินดีที่จะส่งเสริมการส่งออกสินค้า SME ไทยให้เข้าไปจำหน่ายในจีนทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริม และยกระดับ SME ไทยและแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานอย่างเข้มข้น ทำให้สินค้าไร้คุณภาพเข้าสู่ประเทศลดลง โดยช่วงก่อนมีมาตรการ ม.ค. - มิ.ย.2567 มีการนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 3,112 ล้านบาท และตั้งแต่เดือนก.ค.- ปัจจุบัน การนำเข้าลดลงเหลือ 2,279 ล้านบาท ลดลง 27% ลดลงทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่มีมาตรฐาน

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตรการในการกำกับดูแล โดยสินค้าเกษตร ให้เพิ่มการตรวจสอบสารปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง แมลงตกค้าง จาก 500 ครั้งต่อเดือน เป็น 5,000 ครั้งต่อเดือน

และระยะกลาง เพิ่มการตรวจสอบเป็นวันละ 200 ครั้ง หรือปีละ 7.2 หมื่นครั้ง สินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำหน่ายผ่านเว็บไซต์ ให้ อย. และ สคบ. ตรวจสอบการติดสลาก คุณภาพสินค้า จากปกติ 1,200 ครั้ง เป็น 1,600 ครั้งต่อเดือน และเพิ่มเป็น 3,000 ครั้งต่อเดือน

ส่วนที่นำเข้า ให้ตรวจเข้ม 100% ในบางสินค้า และ 20-30% ในบางสินค้า และให้ชะลอการจ่ายเงินไว้ 5 วัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบสินค้า รวมทั้งต้องตรวจสอบการติดสลาก อย. มอก. อย่างเข้มข้น

ส่วนการดำเนินคดี กรมศุลกากรได้ดำเนินคดีแล้ว 12,145 ราย มูลค่าความเสียหาย 529 ล้านบาท สมอ. 59 คดี 33 ล้านบาท สคบ. 159 คดี 27.8 ล้านบาท กรมทรัพย์สินทางปัญญา 177 คดี 153 ล้านบาท และ อย. 30,393 รายการ ยังประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ได้

นายนภินทร กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหานอมินี ได้แบ่งกลุ่มตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยง 6 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจขนส่งทางบก ธุรกิจโกดัง และคลังสินค้า ธุรกิจซื้อขายที่ดินเพื่อการเกษตร และธุรกิจอื่นๆ โดยผลการตรวจสอบตั้งแต่ 1 ก.ย. - 4 ธ.ค.2567 สามารถดำเนินคดีได้ 747 ราย มูลค่า 11,720 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าของธุรกิจที่ได้เข้าไปตรวจสอบ

“ขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่กระทำการเป็นนอมินีให้กับคนต่างด้าว เข้ามาทำธุรกิจในไทย ขอให้หยุดการกระทำ และแจ้งข้อมูลมายังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 จะกันตัวไว้เป็นพยาน แต่ถ้ายังขืนดื้อดึง และทำผิดต่อไป หากจับกุมได้ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ไม่มีละเว้น” นายนภินทร กล่าวทิ้งท้าย

เปิดใหม่กว่า 7,000 แห่ง - สปาเทรนด์มาแรง กทม. ครองแชมป์จำนวนร้านนวดมากสุด

(9 ธ.ค. 67) ธุรกิจนวดและสปาในประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยความนิยมจากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการขยายธุรกิจในตลาดนี้ โดยข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการเพื่อสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เดือนตุลาคม 2567 พบว่าทั้งประเทศไทยมีสถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพทั้งสิ้น 17,897 แห่ง จำนวนนี้แบ่งเป็น ร้านนวดเพื่อสุขภาพ 16,609 แห่ง สปา 1,092 แห่ง และร้านนวดเพื่อความงาม 196 แห่ง ขณะที่ข้อมูลจากสมาคมสปาไทยระบุว่าธุรกิจนวดและสปามีการกระจายตัวทั่วประเทศในแต่ละภูมิภาค ดังนี้ ภาคกลาง 7,502 แห่ง พื้นที่ที่มีธุรกิจนวดมากที่สุด คือกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นแหล่งรวมท่องเที่ยวสำคัญ

รองลงมาคือ ภาคใต้ 3,902 แห่ง เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียงของไทย เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการผ่อนคลายของนักเดินทางทั่วโลก อันดับสามคือ ภาคอีสาน 2,292 แห่ง เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของร้านนวดสูงเนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้น  

อันดับสี่คือ ภาคตะวันออก 1,983 แห่ง ส่วนเขต EEC: 1,738 แห่ง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างชาติซึ่งส่งเสริมธุรกิจนวดในพื้นที่  

อันดับห้าคือ ภาคเหนือ 1,861 แห่ง  โดยเชียงใหม่และเชียงรายเป็นเมืองยอดนิยมสำหรับธุรกิจร้านนวดเนื่องจากเป็นหัวเมืองสำคัญด้านการท่องเที่ยว และอันดับหกคือ ภาคตะวันตก 124 แห่ง ซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อย แต่มีโอกาสเติบโตจากการพัฒนาในด้านการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพยังคงสูง

ข้อมูลจากสมาคมสปาไทยยังชี้อีกว่า แม้ธุรกิจนวดและสปาเคยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 แต่กลับฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีการเปิดธุรกิจใหม่มากกว่า 7,000 แห่งหลังโควิด การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากธุรกิจร้านนวดเพื่อสุขภาพแล้วสปาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ สอดคล้องกับเทรนด์ของชาวไทยและชาวต่างชาติที่นิยมการหากิจกรรมผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน

นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐด้านการลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบจองออนไลน์และแอปพลิเคชันบริการนวดและสปา ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์และความสะดวกสบายให้กับลูกค้า  

สสว. เผยตัวเลขดัชนี SMESI ต.ค. สูงสุดรอบ 3 เดือน อานิสงส์มาตรการกระตุ้น ศก. – แจกเงินหมื่น - ฤดูท่องเที่ยว

(9 ธ.ค. 67) ดัชนี SMESI ต.ค. 67 ฟื้นตัวแตะระดับ 52.2 กลับสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 3 เดือน ด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกและการท่องเที่ยวแต่ละภูมิภาค เติบโตอย่างชัดเจน SME คาดการณ์กำลังซื้อจะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังขอให้ภาครัฐช่วยดูแลต้นทุนและเพิ่มศักยภาพแข่งขัน

นางสาวปณิตา  ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รักษาการ ผอ.สสว. เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ว่า ดัชนี SMESI ประจำเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 52.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.6 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนและกลับสู่ระดับความเชื่อมั่นอีกครั้ง หลังจากชะลอลงต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่นต่อเนื่อง 3 เดือน 

ทั้งนี้มาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคผ่านการแจกเงิน 10,000 บาท เฟสแรก ที่มีผลตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลดีกับกลุ่มธุรกิจการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และเห็นแนวโน้มการใช้จ่ายในกลุ่มสินทรัพย์คงทน เช่น รถจักรยานยนต์ เครื่องจักร อุปกรณ์ทางการเกษตร เป็นต้น บางกลุ่มมากขึ้น นอกจากนี้ หลายพื้นที่ยังได้รับผลบวกจากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงงานเทศกาลบุญและประเพณีประจำปี ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงสั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี 

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของดัชนีเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า องค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อโดยรวม ปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ต้นทุน (ต่อหน่วย) กำไร และการจ้างงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 59.3, 56.2, 41.5, 55.5 และ 50.4 จากระดับ 54.9, 52.7, 39.4, 49.8 และ 49.9 ในขณะที่องค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวม ปรับตัวจากระดับ 51.1 ของเดือนก่อนหน้า ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.4 แสดงให้เห็นถึงความกังวลของผู้ประกอบการที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงยังไม่เชื่อมั่นในการลงทุนมากนักแม้เริ่มมีสัญญาณบวกในองค์ประกอบอื่น ๆ

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายสาขาธุรกิจ ประจำเดือนตุลาคม 2567 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ภาพรวมทุกภาคธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 52.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 50.7 ซึ่งในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของกำลังซื้อในกลุ่มสินค้าคงทนเป็นสำคัญ ทั้งสินค้าในกลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ 

รวมถึงกลุ่มการผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและความงาม ผลจากอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐฯ ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 52.1 ปรับตัวดีขึ้นมาจากระดับ 49.7 สาเหตุจากกลุ่มการค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผู้บริโภคเร่งการจับจ่ายใช้สอยปริมาณมากในครั้งเดียวเพิ่มขึ้นชัดเจน สะท้อนการกักตุนสินค้าของกลุ่มผู้ได้รับมาตรการกระตุ้นฯ รวมถึงบางส่วนยังมีการรวมเงินกันเพื่อซื้อสินค้าคงทนในกลุ่มจักรยานยนต์ ทั้งมือ 1 และมือ 2 ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 51.7 ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 48.5 เป็นผลจากกิจกรรมการท่องเที่ยวในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคเหนือ ส่งผลดีต่อเนื่องในกลุ่มบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการผ่อนคลาย สันทนาการ รวมถึงกลุ่มบริการนวดและสปา ภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 54.9 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.3 โดยภาคธุรกิจการเกษตรปรับตัวดีขึ้น จากช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในหลายพื้นที่เพาะปลูกสำคัญของภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อย่างไรก็ตามในพื้นที่ภาคเหนือยังเผชิญกับผลผลิตที่เสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาค พบว่า ทุกภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น และกลับเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นจากแรงหนุนของมาตรการรัฐ และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว 

โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.7 ภาคเศรษฐกิจขยายตัวชัดเจน จากแรงหนุนของการแจกเงิน 10,000 บาท ส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่อครั้งในปริมาณมากจากกลุ่มร้านค้าส่ง รวมถึงการขยายตัวในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องประดับ และสินค้าและบริการเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ 

ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 50.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 47.1 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่มีแนวโน้มดีขึ้นและกลับเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นอีกครั้ง จากการขยายตัวของกำลังซื้อที่เร่งตัวสูงขึ้น ทั้งจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ และจากกำลังซื้อของภาคธุรกิจการเกษตรในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังเห็นการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลบุญกฐิน 

ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 48.5 ของเดือนก่อนหน้า เศรษฐกิจในพื้นที่เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของอุทกภัยที่ยาวนานกว่า 2 เดือน ด้วยแรงหนุนของกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวได้ ในขณะที่ภาคการก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้รับผลดีจากการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย จากมาตรการเยียวยาผลกระทบของอุทกภัยในขณะที่สินค้าเกษตรในหลายพื้นที่เผชิญกับปัญหาผลผลิตเสียหาย 

ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 51.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 48.2 ของเดือนก่อนหน้า โดยภาคธุรกิจในพื้นที่เริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้งจากแรงหนุนของกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นสำคัญ เนื่องจากประเทศต้นทางเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ในขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของคนในพื้นที่ได้แรงผลักดันบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเห็นการรวมเงินก้อนเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และมือสองเพิ่มขึ้นชัดเจน 

ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 53.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.5 มีสาเหตุมาจากกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงในช่วงต้นเดือนยังได้รับแรงหนุนจากเทศกาลสารทเดือนสิบ ที่กระตุ้นให้ผู้คนในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับสวัสดิการรัฐฯ มาจับจ่ายใช้สอย 

เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 51.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.2 โดยภาคธุรกิจขยายตัวเล็กน้อย จากมาตรการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลดีกับร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น กิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่ยังมาจากรูปแบบการใช้บริการระยะสั้นเพื่อรอเดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่นเป็นหลัก

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 54.5 ปรับตัวดีขึ้น ตามความคาดหวังการพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องของกำลังซื้อจากปัจจัยชั่วคราว อาทิ การกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ และแรงส่งของช่วง High season โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SME ยังคงไม่แสดงแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้วก็ตาม อาจเนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ในด้านการให้ความช่วยเหลือที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการอย่างเร่งด่วน คือต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง และหามาตรการป้องกันในระยะยาว รวมไปถึงด้านการควบคุมราคาสินค้า/วัตถุดิบซึ่งกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน เช่น โครงการเงินดิจิทัลควรมีการเร่งดำเนินการพิจารณากลุ่มผู้มีสิทธิได้รับเงินกลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายช่วงเทศกาลส่งท้ายปี นอกจากนี้ การส่งเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดหรือการต่อสู้กับคู่แข่งในระดับสากล เช่น การส่งเสริมทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาหรือการเพิ่มทักษะแรงงาน การส่งเสริมการเปิดตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่ง สสว. มีบริการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ SME จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301

‘ประชัย’ เตือน!! ‘แบงค์ชาติ’ คุมค่าเงินบาท ให้จริงจัง ก่อนกลียุคทางเศรษฐกิจ ชี้!! คนจนได้รับผลกระทบ

(8 ธ.ค. 67) นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ค่าเงินบาทเป็นตอนที่ 21ว่า ข่าวสารการปิดโรงงานโรงแล้วโรงเล่า ทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นยากที่ธปท.และรัฐบาลจะแก้ไขได้ ตามที่เครดิตบูโรและธปท.ได้แถลงไว้นั้น  เหตุเนื่องมาจาก ธปท.ปฏิบัติหน้าที่รักษาเสถียรภาพเงินบาทอย่างเสรีนิยมโดยปล่อยให้ค่าเงินบาทขึ้นลงตามธรรมชาติหรือตามยถากรรมแล้วแต่ผู้ก่อการร้ายนิวยอร์กจะปั่นขึ้นเท่าที่พวกมันต้องการทั้งๆที่ช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาประเทศคู่แข่งทางการค้าของเราเช่น จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ ต่างปล่อยให้ค่าเงินของเขาอ่อนค่ากว่าเราเป็น 10% ขึ้นไป แม้แต่ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์อินเด็กซ์ ค่าเงินบาทก็แข็งกว่า 18.93% ทำให้สินค้าส่งออกแพงกว่าของคู่แข่ง

ขณะเดียวกันราคาสินค้านำเข้าจากคู่แข่งทางการค้าราคาคิดเป็นเงินบาทกลับถูกกว่าของเรา เป็นเหตุให้สินค้าส่งออกขาดทุน ขณะเดียวกันสินค้านำเข้าก็ถูกกว่าต้นทุนการผลิตจากโรงงานภายในประเทศทำให้ต้องปิดโรงงานโรงแล้วโรงเล่า คนงานตกงานเป็นสิบล้านคน

สำหรับสินค้าปฐมภูมิก็เช่นกัน สินค้าต่างประเทศที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ด้อยค่ากว่าเงินบาท ทำให้ราคาสินค้าที่เกษตรกรและฟาร์มปศุสัตว์ในประเทศได้รับตกต่ำลง เงินที่จะจับจ่ายซื้อสินค้าหายไปมาก ภาษีที่รัฐบาลเก็บได้ต่ำกว่างบประมาณแผ่นดิน หนี้สินครัวเรือนและหนี้สินไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นยากแก่การแก้ไข สถาบันการเงินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงซึ่ง ธปท.รู้เป็นอย่างดีตามรายงานของ ธปท.และเครดิตบูโรที่แนบมาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยต้มยำกุ้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดย world bank อาจสั่งแช่แข็งสถาบันการเงินและปัจจัยการผลิตทั้งประเทศแล้วหั่นศพแยกอวัยวะศพขายให้ผู้ก่อการร้ายนิวยอร์กและพวกในราคาเท่าเศษเนื้อไปทำกำไร 

แต่ครั้งนี้คงจะเกิดกลียุคเพราะคนจนที่ได้รับผลกระทบมีมากอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมืองเพราะคนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ตามสมควร

ขอวอนให้ ธปท.อย่าประมาททำการรักษาเสถียรภาพเงินบาทอย่างจริงจังอย่างน้อยบาทควรอ่อนลง

ก.11.5%เหมือนเงินหยวนจีน
หรือ

ข. 18.93%เหมือนกับดอลลาร์อินเด็กซ์
หรือ

ค.
16.67+24.5=41.17% เหมือนกับเงินวอนเกาหลีใต้
หรือ

ง.  83.26%เหมือนกับเงินดองเวียดนาม
(หมายเหตุ:ข้อ ค.และข้อ ง.อ่อนมากเกินไป)

ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ การปิดโรงงาน การว่าจ้างแรงงาน คนว่างงาน
การบริโภคภายในประเทศ หนี้ครัวเรือนและหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ GDP โต 3-5%

‘ธนกร’ แนะรัฐ!! ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ต่อเนื่อง มั่นใจ!! โกยรายได้เข้าไทย รับไฮซีซันยาวทั้งปี 68

(8 ธ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและ  สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ   กล่าวว่า หลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนท่องเที่ยวในประเทศไทย ภาพรวมปี 2567 ประเมินว่าจะอยู่ที่ 35 ล้านคน โดยคาดการณ์ว่าจากนโยบายและแคมเปญของรัฐบาลที่สนับสนุนให้จัดกิจกรรมบิ๊กอีเวนท์ตั้งแต่ปลายปีนี้ยาวจนถึงปี 2568 ทั้งปี ที่จะมีทั้งการแข่งขันวอลเลย์บอลและไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาซีเกมส์ ช่วงปลายปีนั้น มั่นใจว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไปแตะถึง 40 ล้านคนเป็นครั้งแรกได้ ซึ่งตนขอฝากให้รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ททท.ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดความต่อเนื่อง และไม่เพียงแค่ดึงดูดชาวต่างชาติเท่านั้น แต่ควรจะมีโครงการส่งเสริมคนไทยเที่ยวในประเทศให้มากขึ้นด้วย พร้อมกับการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยภาคภูมิใจและเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เกิดความประทับใจ

"มั่นใจว่า การท่องเที่ยวจะสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นไปตามเป้า ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจ จีดีพีเติบโตขึ้น ซึ่งรัฐบาลเอง ควรจะเร่งเครื่องมาตรการและโครงการต่างๆ เข้ามาเสริมเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ทั้งการสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพให้กับประชาชน การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้เกิดความเหมาะสม โดยมองว่าควรทำควบคู่กับการแก้หนี้สินในครัวเรือนไปพร้อมกัน จะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวให้เกิดความยั่งยืนได้  อีกทั้ง ต้องเร่งแก้ปัญหายาเสพติด เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเดินหน้าลุยปราบปรามและแก้ไขให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย" นายธนกร กล่าว

นายธนกร กล่าวต่อว่า หลังจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเรื่องความพึงพอใจของประชาชนต่อผลงานของรัฐบาลในรอบ 2 เดือน ออกมาว่าคนไทยส่วนใหญ่ 48.8% ยังมีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง มองว่า หากรัฐบาลเร่งเครื่องทำผลงานให้ชัดเจน ทั้งการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ปรับค่าแรงขั้นต่ำ ควบคู่กับการแก้หนี้ ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ยากจน และปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เชื่อว่า ระดับความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อผลงานรัฐบาล ในรอบ 90 วัน จะปรับระดับเพิ่มขึ้นได้แน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top