Wednesday, 24 April 2024
ECONBIZ

'รัดเกล้า' เผย ‘ไทย-จีน’ เตรียมศึกษาวิจัยด้าน ‘อวกาศ’ ร่วมกัน ผลักดันขีดความสามารถบุคลากร สู่การสร้างเทคฯ อวกาศฝีมือคนไทย

(4 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเรื่องน่ายินดี การศึกษาวิจัยด้านอวกาศของประเทศไทยก้าวไปสู่อีกขั้น โดยล่าสุด ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบสองวาระ ที่จะช่วยส่งเสริมให้คนไทยไปได้ไกลกว่าแค่ชั้นบรรยากาศโลก โดยที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เพื่อเป็นการวางรากฐานความร่วมมือในการร่วมสร้างสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ การสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศ และอวกาศส่วนนอกเพื่อสันติ รวมถึงดวงจันทร์และวัตถุในท้องฟ้าอื่น ๆ ซึ่งไทยจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายความร่วมมือด้านการสำรวจอวกาศเพื่อนำไปสู่การพัฒนากำลังคนในสาขาที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งการประยุกต์ใช้อวกาศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และกระชับความร่วมมือไทย - จีนในด้านอวกาศอย่างยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนากำลังคนและพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของไทยต่อไป

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ว่า ตลาดอุตสาหกรรมอวกาศทั้งโลกในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทคโนโลยีอวกาศแม้จะดูเหมือนไกลตัว แต่แท้จริงแล้วอยู่ในรอบตัวชีวิตประจำวัน อาทิ ด้านการติดต่อสื่อสาร แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความร่วมมือจากหลายฝ่ายนำองค์ความรู้ ความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาร่วมทำงานให้เกิด ผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม

“ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีอวกาศเป็นไปเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร รวมถึงยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงในประเทศ โดยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือที่ช่วยพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศน์สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอวกาศของประเทศให้เกิดขึ้นต่อไปได้อย่างยั่งยืน สู่การสร้างเทคโนโลยีดาวเทียมวิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทยในอนาคต” นางรัดเกล้า กล่าว

‘อโกด้า’ ชี้!! ‘อุดรธานี’ ขึ้นแท่นอันดับ 1 จังหวัดคุ้มค่าน่าเที่ยว ห้องพักราคาเฉลี่ย 1,022 บาท แซงหน้าแชมป์เก่าขอนแก่น

(3 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก Salika โพสต์ข้อความระบุว่า…

Pierre Honne, ผู้อำนวยการอาวุโสประจำประเทศไทย, อโกด้า กล่าวถึงผู้คนทั่วเอเชียต่างตั้งตารอวันหยุดนักขัตฤกษ์จำนวนมากที่กำลังจะมาถึง เช่น วันสงกรานต์ วันฮารีรายอ และโกลเด้นวีค ทั้งนี้ เดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการวางแผนหยุดไปท่องเที่ยวพักผ่อน ที่อโกด้าเรามุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนออกเดินทางท่องโลกทั้งใบได้ในราคาที่ถูกลงอยู่เสมอ ซึ่งการแนะนำจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าที่สุดในเอเชียก่อนช่วงวันหยุดที่จะมาถึงครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราที่เห็นได้อย่างชัดเจน

โดยอุดรธานี ครองอันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้นมาแย่งตำแหน่งแชมป์เก่าอย่างขอนแก่นที่อยู่อันดับเดียวกันในปี 2566 ที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็น 1 ใน 4 เมืองใหญ่ในภาคอีสาน อุดรธานีจึงเป็นจังหวัดที่คุ้มค่าที่จะไปเที่ยว

เมืองอันครึกครื้นแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมาย เช่น สวนสาธารณะหนองประจักษ์ที่มีทะเลสาบล้อม ประตูมังกร และพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี อุดรธานีเป็นเมืองที่ไปเที่ยวง่ายเพราะมีสนามบิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือใครที่อยากไปต่อที่ลาว ก็สามารถไปเที่ยวชมความสวยงามของกรุงเวียงจันทน์ที่อยู่เพียงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขงได้อย่างสะดวก (ราคาห้องพักเฉลี่ย 1,022 บาท)

ส่วนจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่มีราคาที่พักเฉลี่ยต่ำที่สุดในเอเชีย ได้แก่ สุราบายา (อินโดนีเซีย) เว้ (เวียดนาม) กูชิง (มาเลเซีย) อีโลอีโล (ฟิลิปปินส์) เบงกาลูรู (อินเดีย) นาริตะ (ญี่ปุ่น) และเกาสง (ไต้หวัน) ตามลำดับ 

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ไม่มีทุจริตเชิงนโยบาย ลั่น!! ถ้าเจอหลักฐาน แจ้ง ป.ป.ช. ได้เลย ยินดีให้ความร่วมมือ

(3 เม.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ชี้แจงฝ่ายค้านในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ สรุปได้ว่า การทำงานของกระทรวงมุ่งสร้าง ‘พลังงานเป็นธรรม’ โดยปัจจุบันค่าไฟรอบใหม่คงไว้ได้ไม่เกิน 4.18 บาทต่อหน่วย ส่วนน้ำมันเป็นโจทย์ยาก แต่จากนี้เมื่อมีการให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการนำเข้าและส่งออก ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน และจะเริ่มแล้วในวันที่ 15 เม.ย.67 ก็จะส่งผลต่อการสร้างราคาที่เป็นธรรมต่อน้ำมันในอนาคตแน่นอน 

เกี่ยวกับกรณีที่ฝ่ายค้านขุดปมทุจริตเกี่ยวกับการประมูลสัมปทานผลิตไฟฟ้าให้ภาคเอกชน จนส่งผลให้รัฐต้องซื้อไฟจากเอกชนรายใหญ่ในราคาแพง สร้างภาระต่อเนื่องให้คนไทย แถมยังมีการกีดกัน กฟผ.ออกจากการประมูล ซึ่งกลายเป็นข้อครหาว่า เป็น ‘การประเคน’ มากกว่า ‘การประมูล’ นั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังหาทางแก้ไขเรื่องนี้อยู่ เพราะรับไม่ได้กับผู้ที่ได้ประมูล โดยไม่ได้มาจากการกำหนดหลักเกณฑ์ แต่ใช้เพียงดุลพินิจเลือก 

“ทาง ก.พลังงาน ต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน และแน่นอนว่าเป็นอีกเรื่องที่ผมได้เข้ามาจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ฉะนั้นขอยืนยันว่า รัฐบาลและ ก.พลังงานในยุคของผม ไม่มีการทุจริตเชิงนโยบาย มีแต่หาทางลดภาระประชาชนให้มากที่สุด หากฝ่ายค้านมีหลักฐานยื่น ป.ป.ช. ได้เลย ผมยินดีให้ความร่วมมือด้วยอีกแรง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ขีดเส้น!! 10 เม.ย.นี้ ปัญหาขอใบ ร.ง.4 ต้องจบ สั่ง ‘กรอ-สอจ.’ เช็กขั้นตอนรายละเอียดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

(3 เม.ย. 67) แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ที่ภาคเอกชนร้องเรียนว่า มีความล่าช้าอย่างมาก เป็นตัวถ่วงการลงทุนว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อาทิ ปลัดกระทรวง รองปลัด ผู้ตรวจราชการ และอธิบดีทุกกรม ซึ่งบรรยากาศภายในที่ประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด

เนื่องจากการแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตขณะนี้ เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า เช่น โยนเรื่องที่ค้างจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กลับไปที่อุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งอุตสาหกรรมจังหวัดบางจังหวัดก็ระบุว่า ก่อนหน้านี้ยื่นเรื่องเข้าไปกว่า 6-7 เดือน แต่กลับโยนเรื่องกลับมาแล้วสั่งให้ตรวจสอบทุกอย่างให้ถูกต้องภายใน 15 วัน

นางสาวพิมพ์ภัทราจึงได้สั่งการให้ กรอ. และอุตสาหกรรมจังหวัด กลับไปทำข้อมูลให้ชัดเจนทั้งหมดว่า แต่ละรายยังติดปัญหาอะไร ติดที่ใคร อย่างไร และต่อไปจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตออย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซาก และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน

“เรื่องนี้รัฐมนตรีบอกในที่ประชุมว่า ตอนนี้ยังได้รับการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง จนภาคเอกชนนำเรื่องนี้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหา เพราะนายกฯ เดินสายพบนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดึงเข้ามาลงทุนในไทย แต่จะไม่มีผลเลย ถ้ามาติดปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาต ร.ง.4

จึงเป็นเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและเรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปพบ เพื่อขอรับทราบข้อเท็จจริง และขอให้ติดตามแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เสียบรรยากาศของการลงทุน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พูดกลางที่ประชุมตรง ๆ เลยว่า นักลงทุน มาพูดกับตนว่า ปัญหาการยื่นขอรับใบอนุญาต ร.ง.4 เวลานี้ คือ คุยแล้วไม่จบ เป็นเรื่องที่รับไม่ได้มาก ๆ ต้องเร่งแก้ให้เร็วที่สุด”

อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่คาดว่าทำให้การอนุมัติใบ ร.ง.4 ล่าช้า คือ เมื่อปลายปี 2565 ได้มีคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงในกรมรายหนึ่ง ออกคำสั่งแนวทางการดำเนินงานในการขอใบอนุญาต ให้กองที่รับผิดชอบดำเนินงานเสนอการขอใบอนุญาต ต้องเสนอเรื่องให้ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งเห็นชอบ ก่อนที่จะดำเนินการแจ้งให้ผู้ขอรับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มองว่าเป็นกระบวนการซ้ำซ้อน เสียเวลา ต้องรอให้คนคนเดียวตรวจสอบ เหมือนสมัยก่อนที่มีคณะกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาอนุญาตโรงงานฯ ทำให้ล่าช้า ถูกร้องเรียนเชิงลบอย่างหนัก จนต้องยุบออกไป

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัญหาการออกใบอนุญาต ร.ง. 4 ล่าสุด ยังพบปัญหาช่องว่างระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) กรณีที่ สอจ.ต้องตรวจสอบคำขออนุญาตพร้อมข้อมูลที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ระบุไว้ เพื่อส่งให้ กรอ. พิจารณาอนุญาต แต่เจ้าหน้าที่ กรอ. อาจขอข้อมูลหรือคำชี้แจงเพิ่มเติมจากผู้ยื่นคำขออนุญาตอีก ส่วนมากจะขึ้นกับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่

ตรงจุดนี้ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สร้างความสับสน และเป็นภาระแก่ผู้ประกอบการได้ ต่อไปต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ควรใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนได้ให้ทุกฝ่ายกลับไปเช็กขั้นตอนรายละเอียดทั้งหมด และอะไรที่ยังเป็นปัญหา เพื่อให้ขั้นตอนทุกอย่างเป็นแนวทางเดียวกัน ทำให้ขั้นตอนอนุมัติเร็วขึ้น โดยให้เสนอกลับมาในที่ประชุมวันที่ 10 เมษายนนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาถึงต้นตอ ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีก

“ตนได้ย้ำกับผู้บริหารกระทรวงตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาให้ทำการปรับลดขั้นตอนการอนุญาตให้รวดเร็ว เน้นการบริการแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว เพราะท่านนายกรัฐมนตรีได้ชักชวนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องรับไม้ต่อในเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน โดยเฉพาะการออกใบอนุญาตต่าง ๆ ได้สั่งการให้เร่งเคลียร์คำขออนุญาตที่ค้างอยู่ในระบบให้หมดภายใน 30 วัน และให้ผู้ตรวจราชการทุกท่าน ตรวจสอบคำขออนุญาตในทุกจังหวัดว่ายังหลงเหลืออยู่จำนวนเท่าใด ติดขัดในขั้นตอนไหน ให้รีบแก้ไขเพื่อให้สามารถออกใบอนุญาตโรงงานได้โดยเร็ว

เรื่องนี้ตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและผู้ประกอบการทุกคน แต่ก่อนตนเคยมาขอใบอนุญาตที่ กรอ. เคยประสบปัญหาความล่าช้ามาก่อน เข้าใจความรู้สึกดี และต้องไม่ให้เกิดในยุคของตน”

‘PTT Station’ เตรียมพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์ จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน 12-17 เม.ย. ยาว 6 วัน

(3 เม.ย. 67) พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดระหว่างวันที่ 12-17 เม.ย. 67 รวม 6 วัน และหากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงก็จะปรับราคาน้ำมันลงตาม อีกทั้งเตรียมความพร้อมให้ พีทีที สเตชั่น ทุกแห่งให้มีน้ำมันเพียงพอในช่วงเทศกาล และเป็นจุดแวะพักระหว่างเดินทาง พร้อมมอบโปรโมชั่นมากมายสำหรับผู้เดินทาง ที่ใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น

ด้าน นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า OR ได้เตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง  รองรับการเดินทางท่องเที่ยว และการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชน โดยจะไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันเป็นเวลา 6 วัน ระหว่างวันที่ 12-17 เมษายน 2567 ถึงแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและอำนวยความสะดวกผู้บริโภค แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง OR ก็จะปรับราคาน้ำมันลง ตลอดจนได้สำรองน้ำมันทั้งที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และคลังน้ำมันของ OR ทั่วประเทศให้มีน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการ และยังได้จัดให้ พีทีที สเตชั่น เป็นจุดแวะพักที่จะช่วยเติมเต็มความสุขให้ทั้งผู้คน สังคม และชุมชน โดยได้จัดเตรียม ‘จุดช่วยเหลือเพื่อนเดินทาง’ ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ปฐมพยาบาล และอุปกรณ์ช่วยเหลือรถเบื้องต้นเพื่อช่วยเหลือผู้เดินทางได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ OR ยังได้จัดกิจกรรมในช่วงสงกรานต์ 2567 เพื่อเติมเต็มความสุขให้ผู้บริโภค ด้วยโปรโมชั่นพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และร้านค้าต่าง ๆ ในเครือ OR  ดังนี้

- สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น มอบโปรโมชั่นพิเศษ ‘เติมเต็มความห่วงใย แจกประกันภัย ฟรี! สงกรานต์’ เติมน้ำมันทุกชนิดตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป รับคูปอง QR Code ท้ายใบเสร็จ เพื่อ Scan ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันอุบัติเหตุฟรี ความคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ (จำกัด 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์) ตั้งแต่วันที่ 11 - 18 เมษายน 2567 นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชั่น ‘เติมน้ำมัน รับฟรี! น้ำดื่ม ขนาด 600 มล.’ เมื่อเติมน้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE ทุกชนิด ครบ 500 บาท/ใบเสร็จ และคุ้มยิ่งกว่าเมื่อเติมครบ 900 บาท/ใบเสร็จ รับไปเลย 2 ขวดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 30 เมษายน 2567 และโปรสุดคุ้ม ‘เติมสุข วันศุกร์’ เมื่อเติมน้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE ทุกชนิดครบ 800 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ  รับคูปองส่วนลดน้ำมัน 20 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดน้ำมันครั้งถัดไป ทุกวันศุกร์ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 - 26 เมษายน 2567 ณ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศที่ร่วมรายการ 

- ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ จัดโปรโมชั่นพิเศษ ‘FITต่อรถ ดีต่อคุณ’ มอบสิทธิพิเศษมากมาย เช่น บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง PTT Lubricants ฟรีไส้กรองและค่าแรง เปลี่ยนยางครบ 4 เส้น ฟรี โปรแกรมดูแลยาง FIT Care มูลค่า 4,000 บาท รวมทั้ง ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการขั้นต่ำ 5,000 บาท ที่ FIT Auto ทุกสาขา (เฉพาะธนาคารที่ร่วมรายการ) และโปรโมชั่นอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 - 30 มิถุนายน 2567

- สถานีชาร์จ EV Station PluZ เตรียมจุดให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในและนอก พีทีที สเตชั่น กว่า 830 แห่ง ครอบคลุมเส้นทางถนนสายหลัก 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมมอบโปรโมชันสุดพิเศษ เมื่อเข้าใช้บริการที่ EV Station PluZ และมียอดการใช้งานสะสมครบ 800 บาท 150 ท่านแรกจะได้รับคูปองส่วนลดค่าชาร์จ 100 บาท พร้อมพลัซความสะดวก ด้วยแอปพลิเคชัน ‘EV Station PluZ โดยการจองล่วงหน้า ชาร์จ จ่าย สะดวก’ โดยสามารถจองเพื่อเข้าชาร์จ เริ่ม-หยุดการชาร์จ ชำระเงิน และการตรวจสอบประวัติการใช้งาน ได้ด้วยแอปเดียว พร้อมด้วย Call Center โทร. 02-061-9519 บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชม.

- คาเฟ่ อเมซอน จัดโปรโมชั่นพิเศษรับเทศกาลสงกรานต์ ‘Fruit of Summer Combo Set’ เมื่อซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว (เมนูใดก็ได้) คู่กับเบเกอรี่ที่ร่วมรายการ ได้แก่ ชีสเค้กมะม่วง มาการองมะขาม เค้กโรลลำไย หรือพายสับปะรด จำนวน 1 กล่อง ภายในใบเสร็จเดียวกัน รับทันทีส่วนลด 10 บาท ตั้งแต่วันที่ 10 - 25 เมษายน 2567

GGC จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM)

เมื่อวานนี้ (2 เม.ย. 67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการ และ นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ได้เข้าร่วมการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) 

โดยถ่ายทอดสดจากห้องประชุม The Synergy Hall ชั้น 6  อาคารซี ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบปี 2566 การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และการอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ตามกฎหมาย

เปิดยอดพีคไฟฟ้าปี 2567 รอบ 3 ทะลุ 33,340 เมกะวัตต์ คาดอากาศร้อนระอุ ดันสถิติใช้ไฟรอบ 4 พุ่งเป็นประวัติการณ์

ประเทศไทยร้อนจัด หลังก้าวเข้าสู่เดือน เม.ย. 2567 ประชาชนใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงสุดรอบที่ 3 ของปี 2567 เกิดพีคไฟฟ้าขึ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 ช่วงกลางคืนเวลา 21.00 น. ยอดใช้ไฟฟ้าแตะ 33,340 เมกะวัตต์ จ่อทุบสถิติพีคไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกิดในปี 2566 ที่ 34,827 เมกะวัตต์ ตามคาดการณ์ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ชี้พีคไฟฟ้าปี 2567 อาจทะลุ 35,000 เมกะวัตต์ได้หากไม่มีฝนมาช่วยคลายร้อน

(2 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) รายงานว่า เมื่อก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนเดือน เม.ย. 2567 ประเทศไทยก็เกิดยอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ของปี 2567 ขึ้นทันที โดยเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ได้เกิดพีคไฟฟ้าสูงสุดของปี 2567 ขึ้น มียอดการใช้ไฟฟ้าถึง 33,340 เมกะวัตต์ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนสะสมมาหลายวันอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 35-43 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประชาชนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าคลายความร้อนมากขึ้น

โดยพีคไฟฟ้าดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เฉพาะปี 2567 ซึ่งในแต่ละครั้งเกิดพีคไฟฟ้าดังนี้…

- ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.24 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989 เมกะวัตต์
- ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. มียอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
- ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดพีคไฟฟ้าอยู่ที่ 33,340 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาพีคไฟฟ้าโดยภาพรวมจะพบว่า ยอดพีคไฟฟ้าในปี 2567 ดังกล่าว เริ่มใกล้เคียงกับยอดพีคไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของไทย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2566 เวลา 21.41 น. ที่มียอดพีคไฟฟ้าสูงสุดที่ 34,827 เมกะวัตต์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนเช่นเดียวกับพีคไฟฟ้าของปี 2567 เช่นกัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้คาดการณ์พีคไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนของปี 2567 ว่า อาจเกิดยอดพีคไฟฟ้าทำลายสถิติสูงสุดมากกว่า 35,000 เมกะวัตต์ หากมีสภาพอากาศร้อนสะสมยาวนาน และไม่มีฝนมาช่วย ทั้งนี้หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการใช้ไฟฟ้าที่ทำลายสถิติพีคของประเทศในปี 2566 ที่มียอดใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ประมาณ 34,827 เมกะวัตต์ และจะเป็นยอดพีคไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 15-16% จากพีคปี 2566 ด้ว

นอกจากนี้ ช่วงเวลาการเกิดพีคไฟฟ้าเริ่มไปเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน เนื่องจากช่วงกลางวันมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้นและมาช่วยตัดยอดพีคไฟฟ้าช่วงกลางวันได้ แต่ตอนกลางคืนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ทำให้ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงอื่น ๆ เต็มที่ ดังนั้น สนพ.คาดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้า กระทรวงพลังงานจะต้องบริหารจัดการกับการผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับพีคไฟฟ้าใหม่ โดยต้องพิจารณาว่าในช่วงกลางคืนจะมีพลังงานทดแทนชนิดใดที่พึ่งพาได้มาช่วยเสริมระบบ เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานลม และไฟฟ้าส่วนเกิน เป็นต้น

สำหรับสถิติยอดใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือน นับตั้งแต่ ม.ค.- เม.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนี้…

- เดือน ม.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 11 ม.ค. 2567 เวลา 18.52 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 29,051 เมกะวัตต์
- เดือน ก.พ. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. 2567 เวลา 19.29 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 30,989 เมกะวัตต์
- เดือน มี.ค. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 7 มี.ค. 2567 เวลา 19.47 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 32,704 เมกะวัตต์
- เดือน เม.ย. 2567 มียอดพีคไฟฟ้าเกิดขึ้นในวันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 21.00 น. ยอดใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 33,340 เมกะวัตต์

ส่วนการใช้ไฟฟ้าล่าสุด วันที่ 2 เม.ย. 2567 เวลา 14.22 น. มียอดการใช้ไฟฟ้าแตะ 31,476 เมกะวัตต์ ซึ่งหากสภาพอากาศยังคงร้อนสะสมต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดพีคไฟฟ้าของปี 2567 รอบที่ 4 ขึ้นได้ และอาจทำลายสถิติพีคไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศได้เช่นกัน

'รัดเกล้า' เผย!! ครม.เห็นชอบร่างประกาศฯ คนต่างด้าวทำงานในไทย โฟกัส!! กลุ่มกิจการในเรือประมง ขยายเวลายื่นขออนุญาตได้ตลอดปี

(2 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี / รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ร่างประกาศ 2 ฉบับ คือ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการออกหนังสือคนประจำเรือว่าด้วยการประมง โดย สาระสำคัญ มีการแก้ไขคุณสมบัติคนต่างด้าวที่จะยื่นหนังสือเป็นคนประจำเรือ รวมถึงแก้ไขระยะเวลาในการยื่นขออนุญาตได้ตลอดทั้งปี จากเดิมที่ 2 ช่วง คือ กำหนด 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. และ 1 ก.ย.- 30 พ.ย. และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าว 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม ที่ได้รับอนุญาตทำงานในราชอาณาจักรไทย เป็นกรณีพิเศษ ในกิจการประมง 

ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานประมงได้รับการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย โดยให้ยื่นคำขอหนังสือคนประจำเรือเป็นกรณีพิเศษหรือ ได้ตลอดปี และในอนาคตนอกเหนือจาก 4 สัญชาติ สามารถจะมาทำงานดังกล่าวได้ ทั้งนี้กรมประมงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นรวมถึงวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากกฎหมายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

"นายกฯ สั่งการให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบให้เกิดความเรียบร้อย โดยเรื่องของการแก้ไขปัญหาประมงในระยะยาว มอบหมายให้คณะกรรมการประมงแห่งชาติ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานไปศึกษาการแก้ปัญหาต่อไป" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

‘สุริยะ’ มั่นใจ!! ‘รถไฟฟ้าม่วง-แดง’ 20 บาทตลอดสายทำได้ ปลื้ม!! ลดราคาลง คนใช้เพิ่ม 20% กำไรมากกว่าก่อนลด

(2 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ว่า “ทำได้แน่นอน ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตั๋วร่วม โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม จะกำหนดให้ตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเป็นเงินอุดหนุนในนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้”

นายสุริยะ กล่าวว่า “สำหรับผลประกอบการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงนั้นมีประชาชนมาโดยสายเพิ่ม 20% คิดว่ามีแนวโน้มผู้ประกอบการจะมีกำไรมากกว่าช่วงที่ไม่ลดราคา”

ส่วนจะมีรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ลดราคาเป็นเฟสที่ 2 เฟสที่ 3 ต่อไปหรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า “ขณะนี้ในส่วนที่กระทรวงคมนาคมทำได้ คือ รถไฟฟ้าสายที่อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม ส่วนสายอื่นที่อยู่นอกเหนือในการดูแลของกระทรวงคมนาคมไม่สามารถลดราคาได้ ต้องไปลดทีเดียวพร้อมกันอีก 1 ปีเศษตามนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย”

‘เรือด่วนเจ้าพระยา’ เปิดตัวเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร 25 บาทตลอดสาย ให้บริการแล้ว

เรือด่วนเจ้าพระยา เปิดตัวเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 โดยจะให้บริการเป็นเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร จอดรับ-ส่งทั้งหมด 12 ท่าเรือหลัก เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ราคา 25 บาทตลอดสาย พร้อมให้บริการแล้ววันนี้

(2 เม.ย. 67) นาวาตรีเจริญพร เจริญธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางปากเกร็ด-วัดราชสิงขร ได้เปิดเผยว่า เรือด่วนเจ้าพระยารูปแบบใหม่ ซึ่งก็คือ เรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 จะให้บริการเป็นเรือโดยสาร ‘ธงทอง’ เส้นทางนนทบุรี-สาทร สำหรับช่วงเช้าและเย็น และเส้นทางพรานนก-สาทร สำหรับช่วงกลางวัน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกและรวดเร็ว

สำหรับเส้นทางนนทบุรี-สาทร ในช่วงเช้าและเย็น เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 12 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ นนทบุรี, พระราม 7, บางโพ (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางโพ), เกียกกาย, เทเวศร์, พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, สี่พระยา และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ส่วนเส้นทางพรานนก-สาทร ในช่วงกลางวัน เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 7 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, ไอคอนสยาม และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ตารางเวลาให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาธงทอง

>> จันทร์-ศุกร์ (เช้า-เย็น)
- นนทบุรี-สาทร 06.30 | 07.30 น.
- สาทร-นนทบุรี 17.30 | 17.55 น.

>> จันทร์-ศุกร์ (กลางวัน)
- พรานนก-สาทร 13.10-16.40 น.
- สาทร-พรานนก 12.40-15.40 น.

สำหรับเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 เป็นเรือโดยสารชั้นเดียว มีความยาว 28 เมตร ความกว้าง 3.80 เมตร รองรับผู้โดยสารได้ 150 คน ใช้เหล็กเป็นวัสดุตัวเรือ มีความแข็งแรงทนทาน ง่ายต่อการบำรุงรักษา ตัวเรือได้รับการออกแบบถูกต้องตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของกรมเจ้าท่าและใช้หลักนาวาสถาปัตย์ร่วมกับแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ รูปทรงเรือถูกออกแบบมาเพื่อลดการเกิดคลื่นโดยเฉพาะ ทั้งยังประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ ค่าโดยสารเรือธงทอง ราคา 25 บาทตลอดสาย หากชำระค่าโดยสารด้วยบัตรแรบบิท จะได้รับส่วนลดทันที 2 บาทต่อเที่ยว เหลือเพียง 23 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่ใช้บัตรแรบบิทจ่ายค่าโดยสาร โดยโปรโมชั่นนี้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.67 อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิ์ได้กับเรือด่วนเจ้าพระยาทุกธง ทุกเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธงส้ม ธงเหลือง ธงเขียวเหลืองและธงแดง

ติดตามข้อมูลข่าวสารตารางเวลาให้บริการและเส้นทางที่อัปเดตจากทางเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านช่องทางเพจเฟซบุ๊ก Chao Phraya Express Boat - เรือด่วนเจ้าพระยา หรือที่ LINE: @cpxcare

‘นายกฯ’ หนุน!! ผลักดันสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย มุ่งสู่สายตานานาชาติ ช่วยกระจายรายได้ให้ ปชช.

(2 เม.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญ มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสาขาศิลปะในฐานะ Soft Power ไทยสู่สายตานานาชาติ เพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมชื่นชอบสินค้าไทย และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะเพิ่มโอกาสการสร้าง และกระจายรายได้ให้กับประชาชน ควบคู่กับการธำรงรักษาเอกลักษณ์ และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ The Support Arts and International Centre of Thailand (SACIT) พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในปี 2566 เติบโตถึง 340,820 ล้านบาท โดยสินค้าศิลปหัตถกรรมที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง (91,161 ล้านบาท) เครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน (56,060 ล้านบาท) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน (46,850 ล้านบาท) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง (22,982 ล้านบาท) และเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากฝ้าย (17,719 ล้านบาท) และประเทศ/เขตบริหารพิเศษ ที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตกรรมไทยมากที่สุด อันดับที่ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (94,203 ล้านบาท) อันดับที่ 2 ฮ่องกง (26,764 ล้านบาท) อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น (21,232 ล้านบาท) อันดับที่ 4 เยอรมนี (20,147 ล้านบาท) และอันดับที่ 5 สหราชอาณาจักร (16,357 ล้านบาท)

นายชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายสินค้าศิลปหัตกรรมไทยผ่านช่องทางของ SACIT ในปี 2566 มีมูลค่าถึงกว่า 291 ล้านบาท และมีการจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ซึ่งไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ทั้งในไทยและต่างประเทศทาง online และ offline ตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่ารวมกว่า 1.16 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ SACIT พร้อมยกระดับสินค้าศิลปหัตกรรมไทยสู่การเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืนผ่านการจัดงาน ‘sacit Craft Power: แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย’ ที่นำเสนอความรู้และทิศทางในการต่อยอดสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในทุกสาขาแก่ผู้ประกอบกิจการสินค้าทั่วประเทศให้สามารถมองแนวโน้มสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในอนาคตได้อย่างชัดเจน และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ประสงค์ให้ประเทศในยุโรป เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ด้านงานศิลปะของไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ได้ร่วมสนับสนุนให้ผู้มีความสามารถด้านภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย นำผลงานมาจัดแสดงภายใต้ชื่อ ‘Bangkok Series’ และ ‘Muay Thai Series’ ณ Manes Gallery กรุงปราก เมื่อวันที่ 14 - 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นการนำเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยและอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้กับนานาชาติผ่านการนำเสนอผลงานศิลปะ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยินดีที่กระแสความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าสินค้าไทยเป็นความสำเร็จที่ทำให้ มูลค่าส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยมีปริมาณการเจริญเติบโตสูง พร้อมขอบคุณทุกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนกระบวนการ Soft Power ไทยด้านศิลปะที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคจากทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างสร้างสรรค์ด้วย Soft Power โดยเชื่อมั่นว่าการบูรณาการร่วมมือการทำงานจากทุกภาคอย่างเข้มแข็ง จะพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยให้แข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้นในเวทีโลก

‘บิทคับ’ ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นเข้าเทรดหุ้น IPO ใน SET ปี 2568

สื่อนอกเผย กระดานเทรดบิทคับ มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยภายในปี 2568 หลังกระแสบิทคอยน์ และตลาดคริปโตฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นระดับ $70000 ต่อเหรียญบิทคอยน์ 

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bitkub Capital Group กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีแผนที่จะนำ บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. ภายในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน

ขณะที่ในส่วนของงวดบัญชีผลประกอบการล่าสุด บริษัทมีกำไรประมาณ 80% โดยปี 2564 บิทคับมีรายได้ 5,510 ล้านบาท กำไร 2,545 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 2,846 ล้านบาท และกำไร 341 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ได้ขายหุ้นจำนวน 9.2% ให้กับ Asphere Innovation เป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทั้งกิจการ 6,500 ล้านบาท (ขณะที่บริษัท Asphere หรือชื่อเดิมคือ Asiasoft หรือ AS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านซอต์ฟแวร์และการให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้จากความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% แล้วในในปี 2567 นี้

ในขณะที่ดัชนี CoinDesk20 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดคริปโตในวงกว้างเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้จำนวนบัญชีที่ใช้งานในประเทศพุ่งถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บลูมเบิร์กกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามกระดานเทรดบิทคับ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจาก ‘ไบแนนซ์ ไทยแลนด์’ ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนของธุรกิจดิจิทัลครบวงจรของ ‘กัลฟ์ อินโนวา’ ได้เปิดให้บริการอย่างเป้นทางการ

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2565 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยื่นเสนอซื้อกิจการของบิทคับ ออนไลน์ ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดแล้วดีลดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป หลังจากที่บิทคับถูกสำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับจากความผิดในการสร้างออเดอร์ปริมาณการซื้อขายปลอม และทาง SCB ประเมินว่ามูลค่าหุ้นที่จะลงทุนนั้น ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยมูลค่าที่แพงกว่าความเป็นจริงมากเกินไป 

และต่อมาทาง SCB ได้จัดตั้งศูยน์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและยื่นขอใบอนุญาติกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ในชื่อบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์​ จำกัด)) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และแพลตฟอร์ม ‘InnovestX Super App’

'เจ้าของชายสี่' สยายปีก!! ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ พัฒนาสินค้าใหม่ พร้อมพูดติดตลก หวังเข้า 'ตลท.' เพื่อป้องกันลูกๆ ทะเลาะกัน

(1 เม.ย.67) นายพันธ์รบ กำลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กว่า 30 ปี ของ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยวจนถึงวันนี้เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับธุรกิจและองค์กรให้สอดรับและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง จึงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารมืออาชีพรุ่นใหม่ เข้ามาเติมไฟให้กับธุรกิจ เดินหน้าสู่การทรานส์ฟอร์มภายใต้ชื่อ 'ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น' ส่งมอบอาหารและบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และพร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตต่ออย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดยปัจจุบัน ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีแบรนด์สตรีตฟู้ดในเครือ รวม 7 แบรนด์ ได้แก่ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, ชายสี่พลัส, ชายใหญ่ข้าวมันไก่, พันปีบะหมี่เป็ดย่าง, อาลีหมี่ฮาลาล, ไก่หมุนคุณพัน, ลูกชิ้นทอดโอ้มายก๊อด รวมทุกแบรนด์กว่า 4,500 สาขา และยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ ซึ่งทุกแบรนด์สินค้าในเครือต่างได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพที่สดใหม่ วัตถุดิบส่งตรงจากศูนย์การผลิตและกระจายสินค้าทั้งหมด 7 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ รวมถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และราคาที่เข้าถึงได้จากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค ทำให้ชายสี่เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของคนไทย

ด้านนายอนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพสร้างการเติบโต โดยหลังจากผ่านวิกฤต โควิด-19 ที่ผ่านมา เรากลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 เป็นปีที่เราสร้างยอดขายได้สูงสุดในประวัติกาล โดยมีรายได้รวม 1,085 ล้านบาท และยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 เช่นกัน

ล่าสุดในปี 2565-2566 บริษัทฯ ได้เริ่มสู่การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาด รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารงาน โดยให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

"จากทั้งหมดที่ได้ลงมือทำ เราสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1.1 พันล้านบาท และการเติบโตของกำไรได้มากกว่า 100% สะท้อนถึงศักยภาพในการปรับปรุงรากฐานขององค์กรให้แข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน และการปฏิบัติการเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเรากำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ผ่านการดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลยุทธ์ ที่มุ่งสนับสนุนให้ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เติบโตได้อย่างยั่งยืน"

1. พัฒนามาตรฐานแฟรนไชส์ ผ่านการปรับปรุงระบบการบริหารแฟรนไชส์และการบริการทั้งหมดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้ประโยชน์จากศูนย์การผลิตและจัดส่งที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยในการเข้าถึงคู่ค้าและควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์

2. พัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมตามความต้องการของตลาด โดยให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้โดยง่าย ทั้งร้านอร่อยริมทาง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนอกจากแบรนด์สตรีตฟู้ดทั้ง 7 แบรนด์แล้ว เรายังมีสินค้าพร้อมทานที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ

3. พัฒนาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน รวมถึงการการเข้าซื้อกิจการต่างๆ ที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังเมืองกรุงเก่า 'เสือร้องไห้' และแบรนด์เบเกอรี่ที่เป็นที่นิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยว 'บริกซ์' โดยในการเข้าซื้อกิจการได้ใช้รูปแบบที่จะยังคงสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อให้เจ้าของแบรนด์ยังได้ใช้ความเชี่ยวชาญของตนในการบริหารและพัฒนาแบรนด์ต่อได้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Cabalen Group กลุ่มธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่ของประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อส่งมอบตำนานความอร่อยสู่สากล

“บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการรีแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ทันสมัย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ขึ้นเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนองค์กร ผ่านโปรแกรมพัฒนาบุคคลสู่ความสำเร็จ พร้อมจัดสวัสดิการพนักงานให้ทัดเทียมองค์กรชั้นนำ ชายสี่ฯ เชื่อมั่นว่าการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ผ่านกลยุทธ์หลักนี้ จะส่งเสริมและยกระดับให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์แถวหน้าในธุรกิจอาหารของไทยและเติบโตได้ไร้ขีดจำกัด” นายอนุชิต กล่าวสรุป

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่ง นายพันธ์รบ กำลา ได้เผยถึงอนาคตในการเตรียมพร้อมนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ 2-3 ปีข้างหน้าแบบติดตลกในงานแถลงข่าวด้วยว่า...

“ผมกลัวว่า ลูกจะฆ่ากันตายก่อน กลัวเป็นตลาดเลือด แล้วโลโก้ชายสี่มันแบ่งครึ่งกันไม่ได้ ถ้าเอาเข้าตลาดหุ้นฯ ลูกจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน รวมถึงต้องการระดมทุนเพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้แบบยั่งยืน”

'มิตซูบิชิ' ยกทัพ ยานยนต์รุ่นใหม่ บุกมอเตอร์โชว์ จัดใหญ่ทั้งบูธ ขนทัพ ‘เอ็กซ์แพนเดอร์-ปาเจโร’ ดึงดูดสายลุยทุกเส้นทาง

เมื่อไม่นานมานี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขนทัพยานยนต์รุ่นใหม่คุณภาพสูง ภายใต้แนวคิด ที่มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำโดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ร่วมด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นปี 2024 พร้อมจัดเต็มโปรโมชั่นพิเศษ ดอกเบี้ย 0% และข้อเสนออื่น ๆ อีกมากมายที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 พร้อมตอกย้ำ ดีเอ็นเอผู้นำด้านมอเตอร์สปอร์ตและจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันแรลลี่ ด้วยการจัดแสดงรถแข่ง ออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ พร้อมลงสู้ศึกเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ หรือ ‘AXCR 2024’

ไฮไลท์ภายในงานปีนี้ ได้แก่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รุ่นแรกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ใหม่ในแบบ Mitsubishi e:MOTION เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง จากการผสาน 3 สุดยอดเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน และ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดที่อยู่ภายในรถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี มาจัดแสดงให้ชมแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย การจัดแสดงนี้ จะเผยให้เห็นความประณีตในการออกแบบเครื่องยนต์ มอเตอร์ ชุดแบตเตอรี่ และชิ้นส่วนขับเคลื่อนที่มอบสมรรถนะขับขี่และการควบคุมอันเหนือชั้น ในแบบ Mitsubishi e:MOTION

อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานนี้ ได้แก่ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นปี 2024 มาพร้อมขุมกำลังใหม่ 'ไฮเปอร์พาวเวอร์' (Hyper Power) เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรลเจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 - 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ใหม่ ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดง รถออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ท จะใช้ลงแข่งในการแข่งขัน เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ หรือ AXCR 2024 เพื่อท้าทายความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยสถิติแชมป์อันดับ 1 การแข่งขัน AXCR 2022 และรางวัลชนะเลิศประเภททีม ในปี 2023 โดย รถแข่ง ออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ สร้างขึ้นจากรถกระบะ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ที่ผลิตในไทย รุ่นเดียวกับที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ให้ขุมพลังแรงเร็วเต็มสมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ผู้สนใจสามารถชมรถยนต์ มิตซูบิชิ ทุกรุ่นได้ที่บูธ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย A09 ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี 

‘ห้าดาว’ ร่วมโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ ผลักดันนวัตกรรมสีเขียว ส่งต่อน้ำมันใช้แล้ว ผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน

(1 เม.ย.67) ‘ธุรกิจห้าดาว’ (Five Star) ของ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ผู้นำธุรกิจจุดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทาน ร่วมสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้ร่วมลงทุน และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 5,000 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ บนเส้นทางการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในไทยมานานกว่า 40 ปี ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BSGF กับกรมอนามัย ในฐานะที่ห้าดาวเป็นหนึ่งกลุ่มพันธมิตรการค้า ที่มีอุดมการณ์เดียวกันในการนำน้ำมันพืชใช้แล้วไปรีไซเคิล ผลิตเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF เพื่อลดปัญหาสุขภาพ และสร้างความยั่งยืน โดยมี นายธนพันธ์ นามวิริยะโชติ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ เป็นผู้แทนห้าดาว นำทีมร่วมงาน

“ปัจจุบันมีร้านห้าดาวและเถ้าแก่ห้าดาว ร่วมโครงการฯ นี้แล้วกว่า 130 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และบางสาขาตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันบางจากเอง ตั้งเป้าขยายสาขาเข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 5,000 สาขา ทั่วประเทศ ภายในปี 2567 และเดินหน้าเข้าร่วมโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ ตามเกณฑ์มาตรฐาน MOU การรณรงค์ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำในครั้งนี้ โดยเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อน CPF ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับทางบางจากในการผลักดันนวัตกรรมสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายธนพันธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ เป็นการต่อยอดจากโครงการ ‘ทอดไม่ทิ้ง’ ด้วยการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการไม่นำน้ำมันใช้แล้วที่เป็นอันตรายกับสุขภาพมาใช้ทอดอาหารซ้ำ หรือ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ เพื่อช่วยขับเคลื่อนและผลักดันด้านอาหารทอดปลอดภัย จากความตระหนักถึงสุขภาพของผู้บริโภค คุณภาพชีวิต รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม จากการกำจัดของเสียอย่างถูกวิธีด้วยการ และช่วยสร้างรายได้เสริมจากการจำหน่ายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว โดยหลังจาก BSGF รับซื้อน้ำมันใช้แล้ว จะออกใบประกาศนียบัตรให้กับร้านที่จำหน่ายน้ำมันดังกล่าว ว่าเป็นร้านอาหารที่ใช้น้ำมันปรุงอาหารทอดไม่ซ้ำ เพื่อยกระดับมาตรฐานร้านนั้น ๆ โดยการรับรองของกรมอนามัย

สำหรับร้านอาหารที่จะได้รับใบรับรองฯ ต้องผ่าน 3 เกณฑ์สำคัญ ได้แก่ 1. ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ 2. ขายน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว นำไปผลิตเป็น SAF อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน 3. ผ่านการตรวจค่าสารโพลาร์ (Polar compounds) โดยมีค่าสารโพลาร์ไม่เกินร้อยละ 25 ของน้ำหนักน้ำมันตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

ทั้งนี้ การลงนาม MOU โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ มีนายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน BSGF ร่วมลงนามกับ แพทย์หญิงอัจฉรา ปวะบุตร นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย ภายในงานห้าดาวนำผลิตภัณฑ์ไก่จ๊อห้าดาวที่ปรุงโดยใช้น้ำมันปรุงอาหารแบบทอดไม่ซ้ำไปร่วมออกบูธด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top