Thursday, 23 January 2025
ECONBIZ

‘ซีไอเอ็มบี ไทย’ มองเศรษฐกิจปี 2025 ไร้ความไม่แน่นอน แนะตั้งรับแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบาย ‘ทรัมป์’

(23 ธ.ค.67) ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2025 เปรียบได้กับงูที่ใส่เกียร์เดินหน้าเลื้อยคดบนถนนเศรษฐกิจ จากภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงและซับซ้อนภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ไทยจำเป็นต้องปรับตัวและรับมือกับความท้าทาย โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว การแจกเงินจากภาครัฐ และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2025  แม้จะมีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก สำนักวิจัยฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 2.7%

เลื้อยคดบนถนนเศรษฐกิจไทยปี 2025
1. การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว การฟื้นตัวและขยายตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเป็นจุดเด่น จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายต่อหัวที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากตลาดยุโรปและเอเชีย โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแตะ 39.1 ล้านคนในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 35.6 ล้านคนในปี 2024 แต่ยังต่ำกว่าจำนวน 39.9 ล้านคนในปี 2019 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนยังไม่ถึงระดับก่อนโควิด แต่นักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งค่าโรงแรมและร้านอาหาร ส่งผลเชิงบวกต่อโรงแรมระดับ 4 และ 5 ดาว รวมถึงที่พักสไตล์บูติก ขณะที่โรงแรมระดับ 3 ดาวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจะยังฟื้นตัวช้ากว่า
2. โครงการแจกเงินจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนและลดภาระค่าครองชีพมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนในปี 2025 โดยเฉพาะในภาคบริการและสินค้าไม่คงทน
3. การลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) และแบตเตอรี่ โดยได้รับแรงหนุนจากการย้ายฐานการผลิตและโอกาสใหม่ในอาเซียน นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและพลังงานจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมในภาครัฐและเอกชน เสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยอาจยังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับห่วงโซ่อุปทานของจีน รวมถึงต้องรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการจีน

แม้ว่าจะมีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต แต่ก็ยังมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย  อาทิ กำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยอ่อนแอ การส่งออกที่ฟื้นตัวช้า และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา
1. กำลังซื้อของครัวเรือนรายได้น้อยอ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากภาคการเกษตร ยังคงเผชิญกับความยากลำบากจากรายได้ภาคการเกษตรที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจำกัดความสามารถในการใช้จ่าย แม้รัฐบาลจะมีโครงการโอนเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยก็ตาม 
2. การส่งออกยังคงฟื้นตัวช้า โดยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าโลกและความต้องการที่ลดลงจากตลาดสำคัญ เช่น จีนและอาเซียน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการค้าโดยรวม 
3. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา โครงการก่อสร้างใหม่มีจำกัด การลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องลดลง โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งความต้องการยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ความท้าทายบนเส้นทางข้างหน้า: P – R – N - D

ปีงู 2025 อาจสะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้การคาดการณ์เป็นเรื่องยาก นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้สามารถก้าวผ่านปีงูไปได้อย่างราบรื่น ในที่นี้ ขอใช้สัญลักษณ์ของเกียร์อัตโนมัติ (P-R-N-D) ที่แสดงถึงแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ ดังนี้
• การหยุดชะงักของโลกาภิวัตน์ (Pause Globalization) ทรัมป์อาจพิจารณาการเรียกเก็บภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากเพื่อลดการขาดดุลการค้าในประเทศกับคู่ค้าการค้าหลักของสหรัฐฯ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก ยุโรป และจีน ภาษีและอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อาจทำให้การค้าและการลงทุนทั่วโลกหยุดชะงักได้ และอาจทำให้โลกาภิวัตน์สะดุดลง การดำเนินมาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดการเติบโตทางเศรษฐกิจในเศรษฐกิจหลักๆ ซึ่งอาจเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก

• การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Reverse Reshoring) ทรัมป์ต้องการนำงานในภาคการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ เดิมทรัมป์ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศพันธมิตร หรือ "friend-shoring" แต่ระยะถัดไปทรัมป์น่าจะมุ่งเป้าหมายไปที่การนำงานมูลค่าสูงกลับเข้าสู่สหรัฐฯ โดยตรง เพื่อกระตุ้นการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ และลดการพึ่งพาจีน แม้การย้ายโรงงานมายังสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนแรงงานที่สูงจนกระทบความสามารถในการแข่งขัน เราเชื่อว่าทรัมป์จะเสนอลดภาษีนิติบุคคลเพื่อจูงใจธุรกิจ และกำหนดอัตราภาษีสูงเพื่อลงโทษบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตาม

• การใช้จ่ายที่นิ่ง (Neutral Spending) แม้ทรัมป์วางแผนลดภาษี แต่ไม่มีแผนลดการใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงยังอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากนโยบายควบคุมการอพยพครั้งใหญ่ ซึ่งอาจกดดันเสถียรภาพทางการคลังของสหรัฐฯ มาตรการทางการคลังเหล่านี้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นอาจสร้างความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่อการจัดหาเงินทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีอิทธิพลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งหมายความว่าพันธบัตรรัฐบาลไทยและบริษัทในประเทศอาจเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตอันใกล้

• การขับเคลื่อนการลดค่าเงินดอลลาร์ (Driving Dollar Devaluation) แม้เราคาดว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่า แต่ทรัมป์อาจพลิกมุมมองนี้ด้วยการดำเนินนโยบายลดค่าเงินดอลลาร์ ที่ผ่านมา เขาได้ตรวจสอบแนวทางการค้าของคู่ค้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวหาว่าบางประเทศมีการแทรกแซงค่าเงินและขู่จะเก็บภาษีตอบโต้ ทรัมป์อาจมองว่าเงินดอลลาร์มีมูลค่าสูงเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าจำนวนมาก มุมมองนี้อาจนำไปสู่การดำเนินกลยุทธ์คล้ายกับ Plaza Accord ในปี 1985 โดยกดดันประเทศผู้ส่งออกสำคัญให้ปรับค่าเงินให้แข็งค่าเทียบกับเงินดอลลาร์

เศรษฐกิจไทยปี 2024

สำนักวิจัยฯ ได้ปรับประมาณการ GDP ไทยปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 2.6% จากเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ขยายตัวดีเกินคาดที่ 3.0% YoY รวมถึงผลจากนโยบายการแจกเงินช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ขยายผลต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 โดยคาดว่า GDP ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ที่ 3.7% YoY หรือ 0.5% QoQ หลังปรับฤดูกาล (QoQ,SA) ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการแจกเงินของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักเป็นภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่ง และอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ กิจกรรมก่อสร้างภาครัฐเริ่มเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2024 ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะในอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์การเกษตร

อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ยังอ่อนแอ ส่งผลลบต่อการเติบโตของค่าจ้างและโอกาสการจ้างงาน แม้เราได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มซบเซาจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 กำลังซื้ออ่อนแอในกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ลดลงมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้ามาแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต่ำ และการถูกปฏิเสธสินเชื่อในอัตราสูง โดยเฉพาะกลุ่มประวัติการเงินหรือเครดิตไม่ดี ด้านกำลังซื้อกลุ่มครัวเรือนเกษตรกรรายได้ต่ำยังอ่อนแอ ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากอุทกภัยฉับพลันและสภาพอากาศเลวร้ายกลางปี 2024 ผลผลิตการเกษตรลดลง ท่ามกลางระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่ก่อนหน้า

ด้านการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ตามคาด เพื่อประเมินผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคม ค่าเงินบาทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงปลายปี 2024 คาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยจาก 4.75% เหลือ 4.50% ช่วยลดส่วนต่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯให้แคบลง

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หลังปรับลดลง 25 bps เดือนตุลาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับลดดอกเบี้ยและติดตามการส่งผ่านของนโยบายการเงินต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมจาก 2.25% เป็น 1.50% ภายในสิ้นปี 2025 โดยมีปัจจัยสำคัญ 5 ประการที่เป็นแรงผลักดัน ได้แก่ การส่งออกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง รายได้ภาคเกษตรที่ลดลง และความจำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันด้วยการปล่อยค่าเงินอ่อนค่า ซึ่งปัจจัยสุดท้ายถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สงครามการค้าอาจลุกลามเป็นสงครามค่าเงิน

สำหรับอัตราเงินเฟ้อปี 2025 มีแนวโน้มที่จะไม่ถึงกรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% ส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาน้ำมันลดลง โดยคาดว่าทรัมป์จะกดดันราคาน้ำมันโลกให้ลดลงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ผ่านการเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ภายในประเทศ หรือการคลี่คลายความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียและตะวันออกกลาง คาดว่า ธปท. จะยุติการปรับลดดอกเบี้ยภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 สอดคล้องกับการพักการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด โดยการตัดสินใจของเฟด อาจได้รับอิทธิพลจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เกิดจากการลดภาษีและการเพิ่มการใช้จ่ายของทรัมป์

เงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากการไหลออกของเงินทุนไทยไปตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ รวมถึงการโยกสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ไปสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก แต่ก็อาจเพิ่มต้นทุนการนำเข้า ก่อให้เกิดความท้าทายต่อธุรกิจที่พึ่งพาวัสดุที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐปลายปี 2024 ก่อนที่จะอ่อนค่าลงต่อไปที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2025

‘สุริยะ’ ลุยแผนลงทุน!! ‘ทางคู่ - ไฮสปีด – มอเตอร์เวย์’ สร้างโครงข่าย!! การเดินทาง ขนส่งสินค้า ‘ไทย - ลาว - จีน’

(22 ธ.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนเป็นฐานการผลิตและการบริโภคที่สำคัญ และเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน GPD กว่า 623 ล้านล้านบาท การเชื่อมต่อการเดินทางที่มีประสิทธิภาพจากไทยไปสู่จีน จึงเป็นการสร้างโอกาสทั้งในด้านการเดินทาง การขนส่งสินค้า การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวออกไปยังจีนและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาการเดินทางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและจีนได้ทั้งทางถนนและทางรถไฟ

กระทรวงคมนาคมจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เชื่อมโยงระหว่างไทย - ลาว - จีน และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว โดยได้เร่งรัดพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งจากกรุงเทพฯ และพื้นที่ EEC ให้เชื่อมต่อไปยังลาว เวียดนาม และจีนได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง

ซึ่งปัจจุบันได้ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น เสร็จแล้ว ส่วนช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สำหรับระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น - หนองคาย และชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 2568 พร้อมนี้ได้เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ในปี 2571

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนามอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปัจจุบันใกล้เสร็จแล้วและจะเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้เหลือเพียง 2 ชั่วโมง อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบมอเตอร์เวย์สายใหม่ร่วมกับระบบรางจากแหลมฉบัง - นครราชสีมา เร่งรัดเปิดให้บริการสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) ภายในปี 2568 และอยู่ระหว่างพัฒนาศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยจะเปิดให้บริการได้ในปี 2568 และพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อเชื่อมรางกับถนนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่ตั้งว่าจะอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นหรือนครราชสีมา เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายการเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศ (Aviation Hub) ของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาท่าอากาศยานที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต อาทิ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 2.8 ล้านคนต่อปี ก่อสร้างลานกลับลำอากาศยานของท่าอากาศยานนครราชสีมา และสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาทำการบินให้มากขึ้น ขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่นและนครพนมให้สามารถรองรับจำนวนอากาศยานได้มากขึ้น และศึกษาออกแบบต่อเติมขยายความยาวทางวิ่งของท่าอากาศยานร้อยเอ็ดและเลย ให้สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้

นายสุริยะ กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็น Corridor สำคัญของไทย และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเปลี่ยน ‘ความท้าทาย’ ให้กลายเป็น ‘ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม’ ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดยได้มอบนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย’ ให้หน่วยงานในสังกัดใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน เดินหน้าลงทุนพัฒนา Mega Projects ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

‘แพทองธาร’ แถลงผลงาน!! 90 วัน แคมเปญ 2568 เพื่อให้คนไทย ‘มีกิน - มีใช้’ ในสังคมที่เท่าเทียม!!

(22 ธ.ค. 67) นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งโอกาส’ หลังบริหารประเทศครบ 90 วัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ‘2568 โอกาสไทย ทำได้จริง’ มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ผ่าน 5 นโยบายหลักและ 6 แผนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานประเทศในทศวรรษหน้า

ในการแถลงผลงานที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานภายใต้แนวคิด ‘ทุกคนคือทีมเดียวกัน’ โดยระบุว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การแก้หนี้ครัวเรือน การสร้างที่อยู่อาศัย การให้ทุนการศึกษา ไปจนถึงการลดค่าครองชีพและการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล เพื่อให้คนไทยทุกคน ‘มีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี’ ในสังคมที่เท่าเทียม

อาจจะงงๆ กับการหยิบยกตัวเลขบางอย่างมานำเสนอ ในเรื่อง ตลาดเครื่องดื่มของไทย พวกซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำแร่ น้ำหวาน มีการส่งออก มากกว่าปีละ 7 หมื่นล้านบาท รัฐสามารถเก็บภาษีได้ แสนแปดหมื่นห้าพันล้านบาท ต่อปี 

รัฐบาลไทยเก่งมากในเรื่องการจัดเก็บภาษี ที่สามารถเก็บภาษี ได้มากกว่า มูลค่าส่งออก ถึง 2.5 เท่า !!!

ซึ่งก็เคยมีการหยิบยกคำให้สัมภาษณ์ บางประเด็น ที่เหมือนทีมงานเศรษฐกิจอาจไม่ได้จัดเตรียมข้อมูลให้ เลยทำให้การสื่อสาร มีผิดพลาด เช่น ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปัจจุบัน (24 ก.ย. 67) ว่า เรื่องของเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นในข้อเท็จจริงแล้วทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลเองเราสามารถทำได้ในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อดีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ให้ได้

การที่ค่าเงินบาทแข็ง คงไม่ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกเป็นแน่ ถึงแม้จะมีการให้สัมภาษณ์ ในเวลาถัดมาแก้ประเด็นการสื่อสาร ที่อาจผิดพลาด แต่มันทำลายความน่าเชื่อถือต่อภาพการบริหารเศรษฐกิจ ของหัวเรือใหญ่ทีมรัฐบาล

สำหรับประเด็นในการแถลงผลงาน 90 วัน ก็มีการนำเสนอแผนงานในปี 2568 ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นนโยบายประชานิยม รัฐบาลเดินหน้า 5 นโยบายหลัก ‘ล้างหนี้ประชาชน-บ้านเพื่อคนไทย-ทุนการศึกษา-รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-ดิจิทัลวอลเล็ต’

บ้านเพื่อคนไทย ทำให้นึกถึงภาพโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 ลอยเข้ามาในหัว

ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 1 ที่แจกไปแล้วกว่า 1.45 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงพอประเมินได้

รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ลำพัง การชำระหนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีมูลค่าหนี้สินสูงระดับแสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นภาระหนี้สินทั้งในส่วนของค่าจ้างงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M Electrical and Mechanical) ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

รวมถึงหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา (O&M Operation and Maintenance) แตะ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 จากการว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ก็เพิ่งเริ่มได้ชำระหนี้บางส่วนตามแผน และยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องอีก

ล้างหนี้ประชาชน การเสพติดนโยบายประชานิยม ย่อมส่งผลต่อวินัยทางการเงินของภาคประชาชน ซึ่งจะทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ เป็นเหมือนฟองสบู่ที่ใกล้จะแตก ธนาคารแห่งประเทศไทย เอง ก็พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การคลัง แต่ไม่รู้ว่าจะทานไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มมีเสียงจากฝั่งการเมือง เกี่ยวกับการจะนำเงินสำรองของประเทศ ออกมาใช้

วิกฤต ต้มยำกุ้ง ปี 2540 จะมาโผล่ ในปี 2568 อีกหรือไม่ ... ขอส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยคำอวยพรว่า ‘ประชาชนเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกกันให้ดีๆ’ ระมัดระวังดูแลสถานะการเงินของตนเอง

สุขสันต์วันปีใหม่ ต้อนรับปีมะเส็ง 2568 ขอให้สุขภาพดีกันทุกท่านครับ

‘ทักษิณ’ แนะ!! ส่งสาวอีสาน ไร้ศัลยกรรม ลุย!! ตลาดนางแบบโลก สร้างรายได้เข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (20 ธ.ค. 67) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมงานสัมมนา ‘ISANNEXT พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก’ พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย’

นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้ไม่ทราบจะพูดอะไรดี เพราะรัฐมนตรีทุกคนพูดได้ดีมาก ตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทยมาจนถึงทุกวันนี้ พี่น้องชาวอีสานก็ยังไว้วางใจตลอดเวลา เพราะตนเองไปเห็นพี่น้องชาวอีสานทุกซอกทุกมุม ก็คิดในใจตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไร ถึงจะพลิกฟื้นได้ โดยประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่มีเจ้าภาพ เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นหน่วยงานใครหน่วยงานมันทำหน้าที่ไป

นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเองขอเริ่มต้นด้วยคำว่า กันดารคือสินทรัพย์ ภาคอีสานมีความกันดารมาก่อนที่จะพัฒนามาจนถึงวันนี้ กันดารคือความยากจน ทำให้คนอีสานต้องดิ้นรน พยามสร้างวัฒนธรรมการสู้ชีวิต นี่คือข้อดีของความลำบาก และหวังว่าเราจะทำให้คนอีสานหมดความลำบาก ถึงเวลาที่จะต้องพลิกฟื้นอีสานให้ได้ด้วยความตั้งใจ

การสร้างความแข็งแกร่งให้กับคนอีสาน คือต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ เพราะสามารถฝึกทักษะความชำนาญได้ เอาวัฒนธรรมที่มีอยู่ เอาความอดทนของคนอีสานมาแตกแขนงออกไปในแต่ละด้าน เช่น อาหาร หรือกีฬา โดยวัฒนธรรมของคนไทย มักอยากเห็นลูกได้ปริญญา แต่แม้ได้มา ก็หางานไม่ได้ สิ่งที่ได้มาคือต้องได้ความรู้ และปัญญา แต่บางคนไม่ได้มา ได้มาเพียงใบประกาศนียบัตร ทำให้คนเห่อปริญญา และทิ้งสิ่งที่เป็นสาระสำคัญในการเรียนหนังสือคือความรู้ และโลกปัจจุบันสนใจทักษะมากกว่าปริญญา ต่อไปนี้คนอีสานต้องได้รับการพัฒนาการผสมเทคโนโลยีเข้าไปสู่ชีวิตประจำวัน

วันนี้ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยเยอะ ครูบาอาจารย์เยอะ แต่ใช้ประโยชน์เขาน้อย วันนี้ต้องใช้วิทยาลัยเหล่านี้เป็นแกนหลักในการสร้างผลของอีสานโดยเฉพาะการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ และพัฒนา OTOP

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า คนอีสานจนลง เพราะการผูกขาด เพราะทุกอย่างผ่านระบบนายหน้า แต่วันนี้เทคโนโลยีมาแล้ว ต้องได้รับการบริจาคภาครัฐ ยกเลิกการผูกขาด ให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ได้ราคาที่เหมาะสม และสามารถแข่งขันได้

ในวันนี้นายกรัฐมนตรี ได้ให้รัฐมนตรีไปดูกระบวนการผูกขาดทั้งหลาย ว่าจะไปแก้อย่างไร และซอฟต์พาวเวอร์ จะทำอย่างไรให้กลไกภาครัฐ เป็นตัวผลักดัน และใช้มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ฝึก ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ในแต่ละด้าน ส่วนการเกษตรของภาคอีสานต้องการความแม่นยำที่สุด  เพราะฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล การใช้เทคโนโลยีมาทำนายภูมิอากาศ เพื่อปลูกสิ่งที่เหมาะสม

นายทักษิณ กล่าวว่า รถไฟความเร็วสูงกำลังจะมา ถ้าเราตกลงกันเรียบร้อย ซึ่งจะผ่านเส้นทางอีสาน และกรุงเทพฯ จะส่งเสริมเรื่องการพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร ส่งของสดไปขายยังประเทศจีนได้ ทำให้โอกาสเกิดขึ้นอีกครั้ง

สิ่งที่ห่วงคนอีสานอีกเรื่องคือคุณภาพของประชาชน ที่ถูกมอมเมาด้วยยาเสพติด เพราะจะทำให้คนอีสานอ่อนแอ ซึ่งต้องทำอย่างกว้างขวางและจริงจังทั้งการบำบัดปราบ โดยนายกรัฐมนตรี กำลังสั่งให้ทำแอปพลิเคชัน ให้ได้รับรายงานจากพื้นที่โดยตรงว่าพื้นที่ไหนมีพ่อค้ายาเสพติด ก็จะรายงานโดยตรง

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนได้ใช้เงินส่วนตัวให้ต่างประเทศศึกษาเรื่อง OTOP ช่วงที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พยายามปรับปรุง OTOP และหลังปีใหม่นี้เขาจะมาอธิบายให้ฟังว่าจะปรับปรุงอย่างไร เช่น ผ้าพันคอแอร์เมส ซึ่งเป็นลายม้า ทำไมเราถึงไม่ใช้ลายบ้านเชียงมาทำบ้าง ดังนั้น เราขายดีไซน์ไทย คุณภาพการตัดเย็บแบบสากล จะต้องใช้เทคโนโลยี และดีไซน์ที่เป็นที่ต้องการต่างประเทศ โดยจะต้องมีการนำมาปรับปรุงให้ขายได้ทั้งโลก ฟื้นด้วยความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น โดยไม่ทิ้งวัฒนธรรมของไทย เพียงแต่ประยุกต์ให้เป็นสากล ซึ่งเท่าที่คุยกันไว้จะเริ่มต้นในปีหน้า เริ่มต้นใช้สถาบันการศึกษาเป็นแกนพัฒนาและปรับปรุงทั้งหมด และสิ่งที่คนอีสานต้องเรียนรู้อีกเรื่องคือ Ai เรียนรู้การสั่งการ

วันนี้ประเทศไทยเป็นหนี้เยอะมากสูงยันกว่า 60% ของจีดีพี ซึ่งเรามีเพดานอยู่ที่ 70% เพราะฉะนั้นจึงกู้ไม่ไหว รัฐบาลจึงต้องลดหนี้ด้วยการเพิ่มจีดีพี เป็นเรื่องที่พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ ซึ่งจะเพิ่มจีดีพีได้ ต้องเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเราดูดเงินจากระบบเยอะ เม็ดเงินเราเลยโตน้อยกว่าประเทศอื่นทั่วโลก

ที่ผ่านมารัฐบาลออกพันธบัตร ขายให้สถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ โดยโดนัล ทรัมป์ กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีรอบที่ 2 และเอาจริงเอาจังเรื่องบิทคอยน์ คริปโตเคอร์เรนซี่ ดังนั้น สหรัฐอเมริกากำลังเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบของคริปโต ถ้าเราไม่ทำก็ไม่ทันเขา ทำอย่างไรให้ประชาชนไม่เกิดความเสี่ยง พันธบัตรที่เราต้องทุกปี ปีละ 8 แสนล้านบาท นำเงินส่วนนั้นออกมา และขายบุคคลทั่วไปดีหรือไม่ ให้อายุพันธบัตรสั้นลง เพื่อหมุนเวียนในตลาดได้ ออกมาในรูปแบบของเหรียญ หรือคอยน์ ซึ่งเงินเหล่านี้ จะอยู่ในเงินของประชาชน ดีกว่านำไปแช่ไว้ในสถาบัน ซึ่งจะนำมาใช้กับทุกภาค ทั้งประเทศเพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจีดีพีเราไม่มีทางโต ทำนายกี่ครั้งก็ 2% ตนเองฟังแล้วทุเรศ และจะทำยังไงให้ถึง 4% -5% ให้ได้ นี่เป็นวิธีเดียวที่ไม่ต้องไปพิมพ์แบงค์ คราวนี้ที่รัฐบาลจะต้องเป็นมาหมุนเวียนเป็นหนี้ประชาชนดีกว่า

สิ่งที่ตนอยากจะลองอีกเรื่อง ผู้หญิงอีสานทำไมถึงมีฝรั่งมาชอบเยอะแยะ ความสวยของธรรมชาติบางทีบางครั้งมีเสน่ห์ ถ้าเราจะประกวดคนอีสาน ที่ไม่ผ่านการศัลยกรรมเลย แล้วนำไปสอน เป็นนางแบบระดับโลกดีหรือไม่ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนอีสาน เช่น คนผิวดำแอฟริกาที่เป็นนางแบบระดับโลก และทั้งหมดที่ตนพูดเน้นที่คนอีสานก่อน และการพัฒนาคนก่อน

‘จุลพันธ์’ เผย!! กระทรวงการคลัง ร่างกฎหมายคาสิโน เสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดช่องตั้ง!! เอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์ เชื่อทำรายได้ หลายแสนล้านบาท

(21 ธ.ค. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์ว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในลำดับถัดไป

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นี้ ถือเป็น ‘จุดเปลี่ยนประเทศไทย’ เพราะถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่จะเข้ามาทั้งจากการลงทุนและการใช้จ่าย โดยประเมินว่า เม็ดเงินลงทุนในช่วงการก่อสร้างนั้น จะทำให้การลงทุนของประเทศขยายตัวได้เพิ่มขึ้นกว่า 0.2% ต่อปี และจะทำให้การใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 0.7% ต่อปี

“รายได้ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งของโรงแรม กีฬา สถานบันเทิง ต่าง ๆ ซึ่งคาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์เท่านั้น” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่าทั้งนี้ ในส่วนของกฎหมายที่ได้ร่างขึ้นมานั้น จะเทียบเท่ากฎหมายของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะสามารถผลักดันโครงการดังกล่าวได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์จะครอบกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ เพื่อผ่อนปรนให้โครงการนี้เกิดขึ้น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หลังจากปีใหม่ ตนจะเร่งเดินหน้าโครงการนี้ ซึ่งจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อพิจารณารายละเอียดของโครงการ ซึ่งหมายรวมถึง การกำหนดจุดที่จะจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ด้วย เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้นักลงทุนเข้ามาล็อกสเปคพื้นที่การก่อสร้าง

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ เชื่อว่า โครงการนี้จะมีประโยชน์ด้านการสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น หรือมีเม็ดเงินลงทุนราว 1 แสนล้านบาท โดยยกตัวอย่างกรณีสิงคโปร์ที่มีโครงการในลักษณะเดียวกันได้สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 5 หมื่นล้านบาท และมีรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ 2 หมื่นบาท

‘อินเตอร์ลิ้งค์’ ได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ในระดับ A สะท้อนถึงความมุ่งมั่น!! ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล

(21 ธ.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ในฐานะเป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้าค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายตู้ RACK ผลิตภัณฑ์ 19 GERMANY EXPORT RACK อันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมี 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่

• ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business)
• ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business)
• ธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center

โดยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ILINK ได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้รับการจัดให้อยู่ในระดับ A ในกลุ่มอุตสาหกรรม Technology ซึ่งเป็น 1 ใน 228 บริษัทจดทะเบียน และเร็ว ๆ นี้ ILINK ได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 อีกด้วย

โดยผลการประเมินดังกล่าวเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ILINK ในการดำเนินงานทั้ง 3 ธุรกิจ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการพัฒนานวัตกรรมในสายงานด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งใจในการบริหารจัดการซึ่งที่ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาวต่อไปอย่างเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน

'พิชัย' ลุยญี่ปุ่น ถกหอการค้า-อุตสาหกรรมญี่ปุ่น และนักลงทุนยักษ์ใหญ่ ชวนขยายการลงทุนไทยพร้อมให้คำมั่น พาณิชย์ พร้อมอำนวยความสะดวกเต็มที่  

(21 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น นักลงทุนญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และนักลงทุนญี่ปุ่นหลายบริษัท ประกอบด้วย GS Yuasa International , Extrabold Corporation , Hitachi , Scheme Verge , SIIX , Mitsubishi Electric Corporation  และ Softbank เป็นต้น รวมถึง JETRO, JICA, แบงค์กรุงเทพในญี่ปุ่น สำนักงาน BOI โตเกียว โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วม ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นายพิชัย ระบุว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2566 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย และเป็นประเทศศักยภาพที่สำคัญของไทยในด้านการลงทุน โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทยมานานกว่า 50 ปี และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีลงทุนสะสมในไทยมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ขอขอบคุณนักลงทุนญี่ปุ่นที่เล็งเห็นว่าไทยมีศักยภาพในการเติบโตและมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด อยากให้มีความมั่นใจและมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทางรัฐบาลโดยการนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และทางกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

สำหรับ JETRO ซึ่งเป็นเสมือนกัลยาณมิตรของคนไทยมายาวนาน ตนได้ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในไทยมาโดยตลอด และขอให้ทำงานใกล้ชิดกันต่อไป ส่วน JICA ได้ขอบคุณที่สนับสนุนโครงการพัฒนาคุณภาพกล้วยหอมที่ปลูกบนเนินสูงของไทย จนสามารถทำให้กล้วยหอมไทยเข้าไปจำหน่ายในญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ถึง 5,000 ตัน มูลค่า 100 ล้านบาท และหวังว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต

ต่อมา นายพิชัยได้นำคณะ หารือกับ NTT Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านไอทีและให้คำปรึกษาธุรกิจระดับโลกมีสำนักงานบริการทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ ว่าตอนนี้มีแผนงานที่ชัดเจนจะมาลงทุนที่ประเทศไทยในการทำ Data Center และหวังที่จะขยาย Data Center เพิ่มขึ้น ถ้ามีความต้องการมากขึ้น 

นอกจากนั้น ตนยังได้หารือกับผู้บริหารของ Nippon Steel Corporation (NSC) บริษัทผู้ผลิตเหล็กแบบครบวงจรที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก โดยไทยเป็นประเทศที่ทาง NSC มาลงทุนเป็นอันดับสาม รองจาก อเมริกาและอินเดีย NSC ยังสนใจที่จะมาลงทุนเพิ่มในไทย

ซึ่งระบบการผลิตเหล็กของเขาเป็นแบบครบวงจร แม้ว่ายังมีปัญหาเรื่องการถูกดั๊มราคาสินค้าและมีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาเยอะจนอาจเป็นปัญหาได้ แต่ทางบริษัทฯมั่นใจว่าจะลงทุนที่ไทย ซึ่ง NSC ลงทุนที่ไทยมาแล้ว 60 ปี และจะมาลงทุนอีกหลายหมื่นล้านบาท ตนจึงให้ความมั่นใจว่ารัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยให้ได้ 

“การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ผมมั่นใจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ว่า จะสามารถดูแลและลดข้อกังวลต่างๆ จากที่ได้พบปะพูดคุย ผมเชื่อว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนใหม่ในไทยอีกกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ในเร็วๆ นี้ และญี่ปุ่นยืนยันมุ่งเป็นเบอร์หนึ่งของต่างชาติเข้าลงทุนในไทย  ซึ่งรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุนในทุกด้าน” นายพิชัย กล่าว

‘เอกนัฏ’ เอาจริงปิดยาว ‘รง. ซิน เคอ หยวน’ หลังเกิดเหตุไฟไหม้ พบบกพร่องหลายจุดจนเกิดเหตุระเบิด ส่อโดนฟันมาตรฐานเพิ่มเติม

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ตรวจเข้ม ‘รง. เหล็กซิน เคอ หยวน’ ที่เกิดเหตุไฟไหม้ เผยไม่แจ้งย้ายถังก๊าซจนเกิดเรื่อง สั่งปิดยาวปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ‘ฐิติภัสร์’ เผย สมอ.พบผลิตเหล็กไม่ทำตามหลักเกณฑ์สั่งแก้ไขทันที ส่อโดนยึดใบอนุญาต จ่อฟันข้อหาเพิ่มหากผลตรวจเหล็กตกเกรด

เมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายใน บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จากการรั่วไหลของถังก๊าซ LPG ขนาด 110,000 ลิตร ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 5 คน เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.67 ว่า ได้ส่งชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผอ.กองตรวจการมาตรฐาน 1 เจ้าหน้าที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด มีการเคลื่อนย้ายถังก๊าซ LPG โดยไม่แจ้งขออนุญาตจากสำนักงานพลังงานจังหวัดระยอง ซึ่งในส่วนนี้สำนักงานพลังงานจังหวัดระยองได้สั่งระงับไม่ให้ใช้งานภายในบริเวณถังก๊าซที่เกิดเหตุ สั่งห้ามนำถังก๊าซที่เกิดเหตุกลับมาใช้ใหม่และต้องแก้ไขพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุให้กลับอยู่สภาพเดิมตามที่เคยขออนุญาตไว้ โดยต้องมีวิศวกรควบคุม พร้อมปรับเงินจำนวน 5 หมื่นบาท ในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้สั่งให้ผู้ประกอบการต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในทั้งหมด ตรวจสอบสภาพถังก๊าซให้เป็นไปตามมาตราฐานทั้งโรงงาน ตรวจสอบสภาพอาคารภายในโรงงานทั้งหมดว่าแข็งแรงปลอดภัยหรือไม่

“อุตสาหกรรมจังหวัดระยองได้สั่งให้ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด หยุดประกอบกิจการเป็นระยะเวลา 30 วัน และต้องแก้ไขตามข้อสั่งการ รวมถึงแก้ไขสิ่งแวดล้อมภายในโรงงานทั้งหมด โดยต้องมีวิศวกรเฉพาะด้านรับรอง และแจ้งให้อุตสาหกรรมจังหวัดระยองร่วมตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยก่อนจึงจะพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการอีกครั้ง” นายเอกนัฏ กล่าว

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ร่วมตรวจสอบสายการผลิตและผลิตภัณฑ์เหล็กของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ด้วย โดยพบว่า ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ สมอ. โดยมีการซื้อวัตถุดิบจากผู้ขายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอยู่ในระบบทะเบียนของบริษัท ไม่กำหนดเกณฑ์ตัดสินความสามารถของผู้ขายวัตถุดิบ กำหนดเกณฑ์การตัดสินทางเคมีไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่ มอก. กำหนด สมอ.จึงสั่งให้แก้ไขปรับปรุงภายใน 15 วัน หากไม่แจ้งกลับมาจะถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการ

“สมอ.ยังได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เหล็กไปตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์หรือไม่ด้วย คาดว่าจะได้ผลในสัปดาห์หน้า และหากพบว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

‘พีระพันธุ์’ ผุดไอเดียแปลงพลังน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้า ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน แถมชาวบ้านได้ใช้ไฟราคาถูก

‘พีระพันธุ์’ ผุดไอเดียแปลงพลังน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้า แก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน แถมประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูก

จากการลงพื้นที่ภาคใต้ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ได้เปิดเผยถึงวิธีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนอีกแนวทางหนึ่ง นั่นคือ การแปลงพลังงานน้ำให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะช่วยชะลอกระแสน้ำไม่ให้สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนแล้ว ความแรงของกระแสน้ำยังสามารถนำไปผลิตไฟฟ้าในต้นทุนต่ำเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของครัวเรือน และยังเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรได้ด้วย

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า จากการไปตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนครั้งนี้ ตนเห็นว่าในบางพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมากและไหลแรงสามารถนำกระแสน้ำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน และสามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้ในการเพาะปลูก อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำมีต้นทุนถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติหลายเท่า โดยตนได้มอบหมายให้ทางพลังงานจังหวัดศึกษาข้อมูลรายละเอียดและประสานงานกับส่วนกลางเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ต่อไป 

“จากการที่ผมได้ไปตรวจเยี่ยมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่ บ้านห้วยน้ำเน่า อ.สิชล ผมก็ได้แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอีกวิธีหนึ่ง พื้นที่ตรงนั้นมีปริมาณน้ำเยอะและไหลแรง แต่ผมไม่ได้เห็นเป็นแค่น้ำ ผมเห็นเป็นไฟฟ้า ผมเลยคิดว่าตรงนี้น่าจะทำเป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กให้ชาวบ้าน ซึ่งจะช่วยชะลอน้ำเวลาถึงฤดูน้ำหลาก และยังสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร ขณะเดียวกัน แรงของน้ำที่ไหลผ่านยังสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างน้อย 2 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถดูแลพี่น้องประชาชนได้ประมาณ 400 ครัวเรือน และจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าหลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยเพราะผลิตจากก๊าซ ขณะที่ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำอยู่ที่ประมาณ 1 บาทกว่า ๆ เท่านั้น ผมกำลังให้กระทรวงพลังงานรวบรวมข้อมูลและศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดทำเป็นโครงการต้นแบบในการแก้ปัญหาน้ำท่วมอีกแนวทางหนึ่ง” นายพีระพันธุ์กล่าว

'ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์' จับมือ 'ไทเกอร์' ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการสโมสร

(20 ธ.ค.67) ไทเกอร์ แบรนด์เครื่องดื่มพรีเมียมชั้นนำในเอเชีย ขึ้นแท่นเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของสโมสรฟุตบอลท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญหลังการประกาศ ความร่วมมือกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยความร่วมมือในครั้งนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการเชื่อมต่อกับคอมมูนิตี้แฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ทำให้แฟนบอลได้ใกล้ชิดกับสโมสรโปรดมากยิ่งขึ้น

ฌอน โอดอนเนลล์ ผู้อำนวยการแบรนด์ระดับโลกของไทเกอร์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าความกล้าหาญของแต่ละบุคคลมีรากฐานมาจากการสนับสนุนของคนรอบข้าง โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อของเราที่ว่าความก้าวหน้าไม่ได้มาจากคนเพียงคนเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากการร่วมมือกันเพื่อสรรสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เราภูมิใจที่ไทเกอร์เป็นแบรนด์ที่พร้อมจะเฉลิมฉลองและเติมเต็มประสบการณ์เชียร์บอลของแฟน ๆ ทั่วโลก”

ด้วยฐานแฟนบอลกว่า 195 ล้านคนในเอเชีย สโมสรฟุตบอลท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ จึงเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ไทเกอร์ ในการสร้างคอมมูนิตี้ที่เหนียวแน่นและเชื่อมโยง แฟนบอลทั่วโลกเข้าด้วยกัน

ไรอัน นอริส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของสโมสรท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับไทเกอร์ แบรนด์พรีเมียมชั้นนำที่พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับแฟนบอลในเอเชีย โดยใช้ฟุตบอลเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงผู้คนและสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำร่วมกัน”

ไทเกอร์ ได้ทำการสำรวจกับแฟนบอลกว่า 2,000 คน และพบว่าเกือบ 3 ใน 4 ของกลุ่มแฟนบอล เชื่อว่า การที่แบรนด์มีกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับทีมที่เชียร์มากยิ่งขึ้น แบรนด์ไทเกอร์จึงเตรียมมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและไม่เหมือนใครให้กับแฟนบอลของสโมรสรท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น แฟนมีตติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โอกาสพิเศษในการเข้าชมการฝึกซ้อมของทีม และการเข้าร่วมเวิร์กช็อปฟุตบอลกับทีมโค้ชระดับโลก

'เผ่าภูมิ' นำ EXIM บุกแดนจิงโจ้ ถก CEO Standard Chartered และ EFA เชื่อมกลไกการเงินผลักลงทุน 2 ประเทศ หนุนกระบะไทยในออสฯ

(20 ธ.ค.67)ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังจากที่ได้นำคณะธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) หารือกับนาย John Hopkins กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรการส่งออกแห่งประเทศออสเตรเลีย (Export Finance Australia (EFA)) และนาย Jacob Berman ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคาร Standard Chartered Australia ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ว่า

การหารือกับทั้งสององค์กรได้เน้นถึงการเสริมสร้างความร่วมมือกับ EXIM BANK ในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมมือในรูปแบบ Co-financing และ Blended finance เชื่อมกลไกทางการเงินเพื่อเพิ่มช่องทางการค้าระหว่างประเทศซึ่งกันและกัน โดยการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจหรือโครงการต่างๆ การแสวงหาโอกาสการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการลงทุนในภาคธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructure)  ธุรกิจด้านอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะตลาดรถกระบะซึ่งออสเตรเลียเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ธุรกิจด้านการศึกษาซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงในรูปแบบ Joint Program นอกจากนั้นยังหารือแนวทางในการให้ไทยเป็นช่องทางเปิดรับการลงทุนของกองทุนบำนาญของออสเตรเลียในอนาคต

นอกจากนั้นยังได้หารือถึงการใช้กลไกทางการเงินของทั้งสองฝ่ายสนับสนุน Digital Asset ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และยังหารือถึงช่องทางการนำผู้ประกอบการไทยเข้าลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียซึ่งกำลังประสบปัญหาการขาดอุปทานของที่อยู่อาศัย

พร้อมนี้ยังได้เชิญชวนสถาบันการเงินออสเตรเลียเข้ามาลงทุนใน Financial Hub ของไทยซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในต้นปีหน้า

‘ไทยออยล์’ อัดงบเพิ่ม พร้อมจ่ายดอกเบี้ย 8 หมื่นล้าน หวังเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาดให้เสร็จสมบูรณ์

‘บอร์ดไทยออยล์’ ไฟเขียวเพิ่มงบประมาณโครงการพลังงานสะอาด (CFP) วงเงิน 63,028 ล้านบาท พร้อมเตรียมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 ก.พ. ปีหน้า ยืนยันผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงด้านพลังงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

(20 ธ.ค.67) นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ นัดพิเศษ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท การเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP ครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการก่อสร้าง การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าที่ปรึกษาต่างๆ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง และประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น 

ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14.00 น. เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการอนุมัติการเพิ่มงบประมาณในโครงการ CFP ดังกล่าว

“โครงการ CFP จะทำให้ไทยออยล์มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 400,000 บาร์เรลต่อวัน และสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 90% เมื่อโครงการสำเร็จจะสามารถตอบโจทย์การเติบโตทางกลยุทธ์ในระยะยาว ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ทำให้ไทยออยล์สามารถแข่งขันได้ และเป็นผู้นำ ในภูมิภาคซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ ในระยะยาว หากโครงการเดินหน้าต่อจะทำให้ซัพพลายเชน รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีงานทำ มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง” นายบัณฑิตฯ กล่าว

'พิชัย' โชว์วิชั่นบนเวทีอาเซียน-ญี่ปุ่น ดึงดูดการค้า-ลงทุน ให้ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนเบอร์ 1 ต่อเนื่อง ย้ำไทยพร้อมเป็นฮับการผลิต PCB - Data Center - AI - ยานยนต์ยุคใหม่ ของอาเซียน

(20 ธ.ค.67) เวลา 11.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกล่าวเปิดงาน 'ASEAN-Japan Economic Co-Creation Forum 2024' ตามคำเชิญของ Mr. MUTO Yoji (นายมูโตะ โยจิ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ของญี่ปุ่น เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมองและแนวคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยมี Mr. Nguyen Hong Dien (นายเหงียน ห่ง เตี้ยน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม เลขาธิการอาเซียน ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น(JCCI) ผู้แทนจากทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ตลอดจนคณะผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญจากทั้งอาเซียนและญี่ปุ่นร่วมงานกว่า 300 ราย

นายพิชัยกล่าวว่า ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาอย่างต่อเนื่อง เรามีรัฐประหารในปี 2014 การลงทุนจากต่างชาติลดลงต่อเนื่อง แต่เมื่อเรากลับมามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งการลงทุนก็กลับมา วันนี้เราอยากเห็นญี่ปุ่นกลับมาลงทุนในไทยเป็นเบอร์หนึ่งของไทยต่อไป ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ PCB เซมิคอนดักเตอร์ ดิจิทัล AI ยานยนต์ยุคใหม่ และพลังงานสะอาด 

ไทยมีความพร้อมในการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีการส่งเสริมการลงทุนและการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ ยานยนต์ยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยยังพร้อมเป็นฮับ PCB ของภูมิภาคด้วย ที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับ UAE ในการทำ Intelligence center และร่วมกับบริษัท  Microsoft และ Google สร้างการลงทุนขนาดใหญ่  พร้อมที่จะเป็นฐานการผลิตและที่ตั้งของ Data Center ของอาเซียน 

“วันนี้ขอต้อนรับนักลงทุนจากทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยไทยมีแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติที่ครอบคลุมแนวทางในการพัฒนาและการรับมือต่อความท้าทายด้าน AI ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับการพัฒนาพลังงานสะอาดซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทย” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย ระบุเพิ่มเติมว่า อาเซียนและญี่ปุ่นเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนร่วมกัน จึงได้จัดทำข้อริเริ่ม “การออกแบบอนาคตและแผนปฏิบัติการสำหรับการร่วมสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนของความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น” เมื่อปี 2566 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและรับมือกับความท้าทายทางสังคมระหว่างกัน โดยเตรียมจัดทำแผนแม่บทสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคต่อไประหว่างอาเซียน - ญี่ปุ่น และแผนการดำเนินการร่วมสร้างสรรค์ต่อนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2568 เพื่อให้ความเห็นชอบทั้งสองแผนดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น ครั้งที่ 31 ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2568 อันจะนำไปสู่การพัฒนาให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกยานยนต์ยุคใหม่ รวมถึงการนำดิจิทัลและ AI มาปรับใช้ในการขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคอาเซียนและญี่ปุ่นในทศวรรษต่อไป

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ในปี 2566 การค้าระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น มีมูลค่า 241,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของอาเซียน ขณะที่ญี่ปุ่นมีการลงทุนโดยตรงในอาเซียน เป็นมูลค่า 14,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งถือว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนในอาเซียนมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ขณะที่การค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ในปี 2566 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 55,789 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 24,594ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงวงจรไฟฟ้า และไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น 31,195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์

ทีมThink Tank 'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' เผยแนวทางขับเคลื่อนโครงการโลว์คาร์บอน ไทยแลนด์เพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อนพร้อมเดินหน้าพัฒนาป่าชุมชนสู่ป่าคาร์บอนเพิ่มรายได้ชุมชนทุกภาค 1.1 หมื่นแห่ง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้หลังจากเป็นประธานการประชุมที่ปรึกษาของรมว.ทส. ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งที่ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆจากทุกภาคส่วนทำหน้าที่เสมือนคลังสมอง(Think Tank)เพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางนโยบายรวมทั้งโครงการต่างๆภายใต้ภารกิจของกระทรวง ทส.โดยได้มีการประชุมหารือภารกิจหลัก 6 ด้าน
1.ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2.ด้านทรัพยากรน้ำทั้งระบบ
3.ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขยะ และมลพิษ 
4. ด้านยุทธศาสตร์ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและเมกะโปรเจค
5.ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
6.ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดและข้อเสนอใหม่ๆที่น่าสนใจหลายประเด็นเช่น
การขยายความร่วมมือกับองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ(FAO)ภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก องค์การยูเนสโกธนาคารโลกและ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA)ทางด้านการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change)เช่นปัญหาความมั่นคงอาหาร ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ปัญหากรุงเทพจม ปัญหาน้ำท่วมภัยแล้ง ปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งประเด็นBlue BondและGreen Bond นอกจากนี้ยังมีการหารือแนวทางการพัฒนาป่าชุมชน(Community Forest) สู่ป่าคาร์บอน(Carbon Forest)เพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อนพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกว่า1.1หมื่นแห่งทุกภาคทั่วประเทศให้เป็นแหล่งอาหารชุมชน (Community Food Bank) แหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Bank)แหล่งคาร์บอน (Carbon Bank) แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecological Tourism)โดยใช้รูปแบบการบริหารจัดการใหม่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคีในพื้นที่ด้วยโมเดล3หุ้นส่วน ( 3‘P : Public-Private-People Partnership model) ซึ่งถอดบทเรียนจากโครงการสระบุรี แซนด์บ็อก รวมทั้งข้อเสนอโครงการ โลว์คาร์บอน ไทยแลนด์ (Low Carbon  Thailand)ประกอบด้วยโครงการย่อยเชิงโครงสร้างเช่น โลว์คาร์บอน ซิตี้ โลว์คาร์บอน แคมปัส โลว์คาร์บอน อินดัสตรีฯลฯ

“ที่ประชุมยังหารือแนวทางนโยบายการแก้ปัญหากรุงเทพจม ปัญหาPM2.5 ปัญหาขยะ การพัฒนาระบบน้ำในระดับประเทศระดับภาคและEEC การพัฒนาระบบน้ำใต้ดินการลดคาร์บอนด้วยพลังงานทดแทนเช่นโซล่าเซลล์และพลังงานลม  การแก้ปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร การสร้างระบบเตือนภัยความร้อน (Heat Sensor) และการพัฒนาระบบความเย็นในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ การสร้างเมืองน่าอยู่ (Liveable City) และแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนสถานภาพและการปฏิบัติหน้าที่ของอาสาสมัครในสังกัดกระทรวง ทส.ที่มีอยู่เกือบ3แสนคนเป็นต้น โดยจะนำเสนอต่อรัฐมนตรี ทส.เพื่อพิจารณาต่อไป“ นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีที่ปรึกษาที่เข้าร่วมประชุมแบบอินไซท์และออนไลน์ได้แก่ ศจ.ดร.ดุสิต เครืองาม ,รศ.ดร. ไพบูลย์ กวินเลิศวัฒนา ,ดร.ประกอบ รัตนพันธ์ ,พล.ร.อ.ดร.สมัย ใจอินทร์ ดร.มณทิพย์ ศรีรัตนา,นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท,นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์,พล.อ.ประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์,ร.ต.ปรพล อดีเรกสาร,พล.อ.รักเกียรติ พันธุ์ชาติ,ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร,นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร,นายภานุ สุขวัลลิ ฯลฯ

ส่องแนวคิดขึ้น VAT ‘คิดถูก’ หรือ ‘คิดผิด’ เก็บภาษีได้เพิ่ม แต่ต้องแลกกับผลกระทบคนรายได้น้อย

จากการที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดในการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% โดยอ้างว่า “แค่บอกว่าแนวโน้มโลกเขาทำกันอย่างไร แค่ขอไปศึกษาเท่านั้นเอง พร้อมย้ำอีกว่า เป็นแค่การศึกษา” พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ทราบว่า อันที่จริงแล้วกฎหมายกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงของไทยนั้นอยู่ที่ 10% แต่มีการผ่อนผันโดยเรียกเก็บจริงที่ 7% โดยนับแต่ประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มในปี พ.ศ. 2535 ในปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในระยะเวลาสั้น ๆ เป็น 10% ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2540 ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลงเหลือ 7% อีกครั้งมีอายุการใช้งาน 2 ปี และคณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี โดยที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 ใน 9 ที่เก็บได้ จะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่เหลืออีก 8 ส่วนจะถูกโอนให้แก่รัฐบาลกลาง การต่ออายุการผ่อนผันอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% ได้ดำเนินการมาต่อเนื่องยาวนานจนปัจจุบัน 27 ปี จึงทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต่างพากันเข้าใจว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% เรื่อยมา

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นครั้งแรก จากการที่เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีการกล่าวถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างภาษีการค้าต่อเศรษฐกิจของประเทศ อันได้แก่ความซ้ำซ้อนของระบบภาษีการค้าที่เป็นอยู่ และความหลากหลายของโครงสร้างอัตราภาษีนอกจากความบกพร่องของระบบภาษีการค้า ความต้องการเปลี่ยนแปลงระบบภาษีของทางการยังสืบเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านภาษีอากรอีกด้วย กล่าวคือ ความสามารถในการหารายได้ของรัฐผ่านเครื่องมือทางภาษีการค้าและภาษีศุลกากรได้ลดน้อยลงเป็นลำดับ ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงการคลัง จึงได้เสนอพิจารณายกเลิกภาษีการค้า และนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทน โดยภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะมีอัตราเดียวที่ใช้กับสินค้าและบริการทุกชนิด สำหรับสินค้าใดที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่จะเก็บสูงกว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากภาษีมูลค่าเพิ่ม

ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ในโลกส่วนมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเกือบทั้งสิ้น โดยเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุดและเรียกเก็บจริงที่ 25% สำหรับประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรปแม้จะมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มระหว่าง 15-25% แต่มีการผ่อนผันโดยเรียกเก็บจริงแล้วไม่มีประเทศไหนเก็บถึง 15% เลย เช่นเดียวกับประเทศในทวีปอื่น ๆ ซึ่งมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มระหว่าง 5-24.5% แต่มีการผ่อนผันโดยเรียกเก็บจริงแล้วไม่มีประเทศไหนเก็บถึง 15% เช่นเดียวกับการปฏิบัติในทวีปยุโรป โดยประเทศที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่ที่ 15% คือ  นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ มอลตา (ภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% สำหรับบางบริการ เช่น การท่องเที่ยว) และ เซเชลส์ สำหรับประเทศในทวีปอเมริกาเหนือเฉพาะแคนาดาที่มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแตกต่างกันไปตามมณฑลต่าง ๆ ที่ 5%(Alberta, British Columbia, Manitoba, Northwest Territories, Nunavut, Quebec, Saskatchewan และ Yukon) 13%(Ontario) และ 15%(New Brunswick, Newfoundland and Labrador, Nova Scotia และ Prince Edward Island) ในสหรัฐอเมริกาทั้ง 50 มลรัฐก็มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกว่าภาษีขาย (Sales Tax) โดยประกอบด้วยภาษีในส่วนของรัฐบาลมลรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เมืองหรือเทศมณฑล (City หรือ County)) แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 0%(Alaska, Delaware, Montana, New Hampshire และ Oregon) จนกระทั่ง 10.350%(Seattle, Washington) และเม็กซิโกมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 16%

ในส่วนของประเทศไทยที่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ในปี พ.ศ. 2566 สามารถเก็บได้ 913,550.89ล้านบาท เป็นภาษีที่จัดเก็บได้สูงสุด หากเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 15% เมื่อคิดคำนวณแบบง่าย ๆ แล้วรัฐจะสามารถเก็บภาษีส่วนนี้ได้ร่วม 2ล้านล้านบาทเลยทีเดียว แต่อันที่จริงแล้วการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน และน่าจะเป็นผลกระทบในทางลบต่อพี่น้องประชาชนคนไทยมากกว่าที่จะเป็นผลกระทบในทางบวก ทั้งนี้ ด้วยเพราะ ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีถดถอย การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้มีรายได้น้อยในสัดส่วนที่มากกว่าผู้มีรายได้สูง ซึ่งจะทำให้บรรดามนุษย์เงินเดือนและผู้ที่มีรายได้น้อย โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนคนไทยที่เป็นรากหญ้ามีเงินเดือนน้อยจะเข้าถึงสินค้าต่าง ๆ ได้ยากขึ้น และได้รับผลกระทบมากสุด เพราะอาจจะไม่สามารถเข้าถึงสินค้าที่มีความจำเป็นบางอย่างที่เดิมสามารถเข้าถึงได้ เมื่อรายได้คงเดิมโดยไม่ได้ปรับตามฐานภาษีที่เพิ่มขึ้น เงิน 100 บาทในกระเป๋าหักภาษี 7% จะเหลือเงิน 93 บาท แต่ถ้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% แล้วจะเหลือเงินเพียง 85 บาทเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่าเงินที่มีอยู่ลดลงแต่รายจ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น และย่อมต้องส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทำให้การบริโภคภายในประเทศลดลง จะส่งผลกระทบทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง จนธุรกิจบางส่วนอาจจะต้องปิดตัวลงหรือลดขนาดกิจการ และเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มมากขึ้น และเรื่องสำคัญที่สุดในการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มคือ “เหตุผลที่ต้องปรับขึ้นต่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งรัฐบาลต้องสามารถอธิบายอย่างเป็นเหตุและเป็นผลจนเป็นที่เข้าใจของสังคมไทยโดยรวม” สำหรับแนวทางที่น่าจะมีความเหมาะสมที่สุดคือ การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้กลับไปสู่อัตราปกติที่ 10% อย่างค่อยเป็นค่อยไป อาทิ การปรับขึ้น 1% ในเวลา 3-5 ปี โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 3% ในระยะเวลา 9-15 ปี จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมพอดี และจะเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top