Saturday, 14 December 2024
ECONBIZ

'แบงก์ชาติ' ร่วม 3 เอกชนเตรียมทดสอบสกุลเงินดิจิทัล คัดประชาชนร่วมเทสต์ 10,000 ราย ช่วงปลายปีนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมจับมือกับเอกชน 3 ราย เตรียมทดสอบสกุลเงินดิจิทัลช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 ขณะเดียวกันก็เตรียมทดสอบในด้านนวัตกรรมเพื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำมาปรับปรุงการออกแบบสกุลเงินดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของไทยในอนาคต

วชิรา อารมย์ดี รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางเพื่อให้ประชาชนใช้งาน (Retail Central Bank Digital Currency: Retail หรือ CBDC สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ) เป็นเรื่องที่ธนาคารกลางทั่วโลกให้ความสนใจ และอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนา เนื่องจากมีศักยภาพที่จะช่วยพัฒนาระบบการเงินในอนาคต

โดย ธปท. เตรียมจะขยายขอบเขตการศึกษาและพัฒนา Retail CBDC ไปสู่การใช้งานจริงในวงจำกัดร่วมกับภาคเอกชน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ...

การทดสอบระดับพื้นฐาน เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ รวมถึงรูปแบบของการนำเทคโนโลยีมาใช้งานจริงกับประชาชนรายย่อย โดยจะทดสอบการนำมาใช้ชำระค่าสินค้าบริการในพื้นที่เฉพาะ และในกลุ่มผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย ที่กำหนดโดย ธปท. และภาคเอกชนที่ร่วมทดสอบ 3 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ไปจนถึงกลางปี 2566

ครึ่งปีแรก แรงงานไทย ไปทำงานประเทศไหนมากที่สุด

ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศที่จำนวนคนไทยไปทำงานด้วยมากที่สุด ได้แก่ ไต้หวัน จำนวน 12,238 คน โดยไต้หวันมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 25,250 เหรียญไต้หวัน/เดือน หรือประมาณ 30,497 บาท 

แต่เนื่องจากค่าเงินและค่าครองชีพของไต้หวันกับไทยไม่แตกต่างกันนัก และส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงงาน อาทิ คนทำงานทั่วไป ช่างทั่วไป ช่างฝีมือ โดยภาพรวมแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แรงงานไทยบางกลุ่มเลือกไปประเทศนี้มากสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565

จุรินทร์อัดกว่า 200 ล้าน ลุยช่วยชาวสวนลำไย 'ดึงราคาขึ้น' เผยเกรดส่งออกและมัดปุ๊กราคากระเตื้องขึ้น 11-38% ส่วนรูดร่วงเกรดบี สูงกว่าปีก่อน 20%

วันที่ 3 สิงหาคม 2565 เวลา 11.50 น. นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์รายการขีดเส้นใต้เมืองไทย ช่องไทยรัฐทีวี ประเด็นราคาลำไย การดูแลราคาสินค้าและราคาปุ๋ย

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ลำไยมี 2 แบบ 1. ลำไยช่อ 2. ลำไยรูดร่วง ลำไยช่อมี 2 แบบ สำหรับการส่งออกที่เรียกว่า มัดปุ๊กขายในประเทศ ซึ่งอันนี้ไม่มีปัญหาปีนี้ราคาดีกว่าปีที่แล้วเยอะ เพราะเกรดส่งออกราคาดีกว่าปีที่แล้ว 21% สำหรับเกรดมัดปุ๊กทั่วไปราคาดีกว่าปีที่แล้ว 38% สำหรับในประเทศคือภาพรวม แต่ที่มีปัญหาคือลำไยรูดร่วง เพราะปีนี้ฝนตกชุกมาก ทำให้คุณภาพต่ำลง ประกอบกับลำไยรูดร่วงส่วนใหญ่เอาไปทำลำไยอบแห้งปรากฏว่าโรงอบแห้งของไทยชะลอการรับซื้อเพราะปีที่แล้วสต๊อกของไว้เยอะและเหลืออยู่มาก และที่ซ้ำเข้ามาคือจีนชะลอการรับซื้อเพราะเก็บสต๊อกปีที่แล้วไว้เยอะ  6 เดือนแรกของปีนี้เราส่งออกลำไยอบแห้งไปจีนบวกถึง 95% เกือบ 100% ทำให้ราคาลดลงมาสำหรับบางตัว ถ้าลำไยรูดร่วงเกรด AA ราคายังได้อยู่ เกรด B ราคาบวกถึง 20% แต่มีปัญหาคือเกรด A ที่ราคาลดลงมากระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้อยู่ในตอนนี้

เกรดรูดร่วง AA ตอนนี้ปรับเพิ่มเป็น 12 - 16 บาท/กก. แล้วในภาพรวม และเกรด A ที่มีปัญหามากสำหรับรูดร่วงที่ราคาปีที่แล้ว 4-7 บาท/กก. ปีนี้เหลือ 4-6 บาท/กก. แต่กระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยดูเกรด B ราคาดีกว่าปีที่แล้ว เกรด B ปีที่แล้ว 2-3 บาท/กก. ปีนี้ 2-4 บาท/กก. +20% แต่เกรด A มีปัญหาหนัก ตอนนี้ราคาขยับขึ้นเพราะกระทรวงพาณิชย์เข้าไปใช้วิธีเอาเงิน คชก.(คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร) ลงไปช่วย 200 กว่าล้านบาท โดยให้โรงงานลำไยอบแห้งช่วยรับซื้อ 100,000 ตันสดและมีจุดรับซื้อทั้งหมด 400 จุด ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ทำให้ราคาดีขึ้นสำหรับตัวที่มีปัญหา ส่วนเกรด AA ราคาอยู่ในช่วง 12-16 บาท/กก. เกรด A ราคาขยับขึ้นมาแต่ยังไม่ถึงกับดีมากแต่ B ขยับดีขึ้น

ตั้งแต่เดือน เม.ย.ถึง มิ.ย. ผลไม้ในภาคตะวันออกทั้งหมด เราเข้าไปช่วยเดิมตลาดใหญ่คือจีน แต่จีนมีปัญหาเรื่องด่านการขนส่งทางบกมีปัญหามาก เราปรับระบบการขนส่งให้ขนส่งทางเรือมากขึ้น และกระทรวงพาณิชย์ประสานกับสมาคมผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ สมาพันธ์ สมาพันธ์โลจิสติกส์และเกษตรกร ล้ง ผู้ส่งออกทั้งหมดปรับ หาเที่ยวเรือและหาตู้คอนเทนเนอร์ให้ ทำให้ส่งออกไปจีนคล่องตัวมากขึ้นและราคาดีมากสำหรับปีนี้ เช่น หมอนทอง ภาคตะวันออกปี 64 ราคา 117 บาท/กก. ปีนี้เฉลี่ย 140 กว่าบาท/กก. ราคาดีขึ้น 22% ภาคใต้หมอนทอง ราคา +45% มังคุดผิวมัน +90% มังคุดคละ +114% เงาะโรงเรียน +168%  สับปะรดภูแลภาคเหนือ +20% สับปะรดโรงงาน +4% ลิ้นจี่จักรพรรดิ เกรด B +19% มะม่วงน้ำดอกไม้ +100% มะม่วงคละ +เกือบ50% 

ราคาที่ปรับดีขึ้นเพราะเราแก้ปัญหาทันท่วงทีและแก้ปัญหาเชิงรุก เข้าไปแก้ระบบการขนส่งทำให้ตัวเลขการส่งออกผลไม้ 6 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มไปแตะ 120,000 ล้านบาท สำหรับตลาดจีนมีปัญหาเฉพาะการขนส่งทางบกเพราะจีนใช้นโยบาย Zero Covid ตรวจโควิดเข้มข้นมาก การส่งออกผลไม้ทางบกต้องผ่านลาวและผ่านเวียดนามเข้าด่านจีนต้องตรวจเข้มและรถติด เดี๋ยวปิด-เปิดเป็นอุปสรรคมาก ตนจึงปรับระบบการขนส่งมาใช้ทางเรือมากขึ้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งทำให้ระบายผลไม้ไปจีนได้คล่องตัวมากขึ้นในปีนี้ตัวเลขราคาขยับไปเยอะ 

 

‘อินเดีย’ บล็อกนำเข้าแอร์ไทยที่ใส่สารทำความเย็น อ้าง!! ปฏิบัติตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล

ก.อุตฯ เร่งช่วยเหลือผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทย เหตุอินเดียห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่มีสารทำความเย็น อ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล สั่ง สมอ. จี้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการต่อ WTO พร้อมขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้าง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศอินเดียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นของไทยเป็นอย่างมาก ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Committee on Technical Barriers to Trade : TBT) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการที่สมอ. ได้รับเมื่อเดือนกันยายน 2564 สมอ. ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยหยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 86 เมื่อวันที่ 8-11 มีนาคม 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามพันธกรณีความตกลงที่ประเทศสมาชิกต้องถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ และถือเป็นอุปสรรคทางการค้าโดยไม่จำเป็น 

'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' เร่งการเติบโตสตาร์ตอัปในไทย ทะยานไกลสู่ระดับสากล

เมื่อ 1 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ร่วมมือกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ เอ็นไอเอ (NIA) บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บริษัท ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ และ บริษัท แสนรู้ จำกัด เปิดโครงการการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ประจำปี พ.ศ. 2565 

งานนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยสนับสนุนและเร่งยกระดับสตาร์ตอัปไทย สร้างนวัตกรรมชั้นยอดสู่ตลาดโลก ด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญที่สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แก่กลุ่มสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ของไทย เร่งสร้างอีโคซิสเต็มอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสตาร์ตอัปไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีไอซีทีชั้นนำ แหล่งเงินทุน และองค์ความรู้ในการทำธุรกิจจากหัวเว่ย เพื่อส่งเสริมสตาร์ตอัปให้เติบโตและประสบความสำเร็จในระดับโลก ผลักดันประเทศไทยขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส (MDES) ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการเปิดการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เร่งเดินหน้าตามแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ Data Economy ของประเทศไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในด้านสำคัญ ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโทรคมนาคมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ หุ้นส่วนทางอุตสาหกรรม ธุรกิจสตาร์ตอัป ตลอดจนผู้พัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลของไทย สำหรับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสําหรับกลไกขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อรองรับอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย

‘บิ๊กตู่’ มั่นใจปีนี้ เศรษฐกิจไทยโต 3.3% ลั่นปีหน้าดีขึ้นอีกจากส่งออก -นทท.ทะลัก

‘ประยุทธ์’ ชี้ ศก.ไทยโตต่อเนื่อง 3.3% คาดปีหน้าแตะ 4.2% ผลจากเอกชนฟื้นตัว - นทท.เข้าปท.กว่า 6 ล้านคน ด้านส่งออกยังมีข่าวดี ขยายตัว 7.9% ขอเชื่อมั่นเสถียรภาพการเงินประเทศ เตรียมกดอัตราเงินเฟ้อจาก 6.2% เหลือ 2.5% ภายในปี 2566 
 

เมื่อเวลา 12.20 น.วันที่ 2 ส.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า วันนี้ครม. รับทราบภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2565 โดยตนแจ้งครม. ทราบว่ามีหลายประเด็นมีแนวโน้มไปในทางที่ดี ซึ่งต้องแยกจากกันระหว่างเศรษฐกิจระดับมหภาคกับเศรษฐกิจระดับจุลภาค และประชาชนข้างล่างก็อีกเรื่องที่เราต้องแก้ปัญหาตรงนั้น แต่นี่คือภาพใหญ่ของประเทศที่เทียบเคียงกับทุกประเทศในโลก สรุปว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี แต่ยังมีประเด็นที่ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านการเงิน การคลังภายนอกประเทศเพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบกิจการและเตรียมการรับกับอนาคตที่จะมาถึง เนื่องจากเศรษฐกิจนั้นผูกติดกันหมดทั้งโลก 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องร้อยละ 3.3 ในปีนี้ และคาดการณ์จะเพิ่มเป็นร้อย 4.2 ในปีหน้า จากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้สูงในประเทศในครึ่งปีหลัง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ประมาณการอยู่ที่ 6 ล้านคน จากเดิมที่ประเมินไว้ 5.6 ล้านคน โดยเฉพาะเดือนนี้เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นจำนวนมากพอสมควรจากมาตรการเปิดประเทศของไทย และต่างประเทศที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ฉะนั้นในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 19 ล้านคน และภาคเศรษฐกิจก็คาดว่าจะมีการระดมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้ เราต้องเร่งพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนคือเรื่องค่าเงินบาท ที่มีผลต่อการนำเข้าและส่งออกซึ่งด้านการส่งออกสินค้าไทยถือเป็นข่าวดีที่แนวโน้มขยายตัว ร้อยละ 7.9 จากที่เดิมที่ประมาณการไว้ร้อยละ 7.0 และในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องอีก แต่ก็มีปัจจัยที่ทำการเกิดความผันแปรของผู้ค้าโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น จีน โดยปัจจัยหนึ่งคืออัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากผลของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผ่านไปยังต้นทุนสินค้าต่าง ๆ โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 6.2 แต่คาดว่าจะลดงเหลือร้อย 2.5 ในปี 2566  ขอให้ประชาชน และภาคธุรกิจเชื่อมั่นเสถียรภาพการเงินของไทยยังมันคงและแข็งแกร่งจากการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่รอบคอบและมีวินัยของเรา และเป็นที่เชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ นักลงทุนต่างประเทศจากความสนใจในการเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเรื่องการลงทุนมีหลายอย่าง หลายประเทศ หลายโครงการ ที่ตนยังไม่สามารถชี้แจงได้เนื่องจากอยู่ช่วงการเจรจาร่วมกัน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดเล็กจำนวนมากพอสมควร 

'ภูเก็ต' พร้อม!! เจ้าภาพ Specialised Expo 2028 งานใหญ่ระดับโลก เอื้อ!! เที่ยวไทยยั่งยืนในอนาคต

ภูเก็ตแสดงตัว พร้อมเป็นเจ้าภาพ Specialised Expo 2028 ต้อนรับตัวแทน BIE ตรวจความพร้อมในครั้งแรก เพื่อแข่งกับอีก 5 ประเทศ ทั่วโลก!!

นับเป็นอีกข่าวใหญ่ ที่ไทยเรายื่นเสนอตัวเพื่อเป็นเจ้าภาพงาน Specialised Expo 2028 Phuket ซึ่งเป็นงานแสดงศักยภาพของประเทศ ที่มีขนาดเป็นอันดับ 2 รองจาก World Expo 

พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเทียบ World Expo เป็น Olympic Specialised Expo ก็เป็น Asian Game โดยมีช่วงเวลาการจัดงานถึง 3 เดือน!!

ซึ่งไทยเราได้ยื่นเสนอตัวแสดงความต้องการที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ไปเมื่อ ต้นปี ที่ผ่านมา 

>> ตามลิงก์นี้ https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1349570082148134/?d=n

โดยตอนก่อนหน้านี้ที่ได้ยื่น ก็ยังไม่ทราบว่ามีประเทศอะไรสนใจเข้าร่วมบ้าง แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ามีทั้งหมด 5 ประเทศ จากการเข้านำเสนอให้กับ BIE (องค์การนิทรรศการนานาชาติ : Bureau Of International Des Expositions) ได้แก่

* Thailand (Phuket)
* Argentina (San Carlos de Bariloche)
* Serbia (Belgrade)
* Spain (Malaga)
* United States (Minnesota)

>> รายละเอียดแต่การนำเสนอแต่ละประเทศ https://www.bie-paris.org/site/en/news-announcements/expo-2027-28-en/five-visions-for-specialised-expo-2027-28

ยิ่งไปกว่านั้น ทาง BIE ก็ได้มีการส่งตัวแทนมาที่ภูเก็ตเมื่อวันที่ 25-29 กรกฎาคม 65 ที่ผ่านมา เพื่อมาทำความเข้าใจแผน พร้อมกับตรวจความพร้อมของพื้นที่จัดงาน รวมถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่จัดงานหลังงานจบ (ตรงนี้สำคัญมาก)

ซึ่งถ้าเทียบผู้เสนอตัวทุกเมือง พบว่าภูเก็ตเป็นเมืองที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากเป็นหนึ่งใน Top Desination ระดับโลกอยู่แล้ว!!!

เพียงแค่เราเตรียมแผนให้ดี แสดงความตั้งใจ และความพร้อมเป็นเจ้าภาพ งานนี้คงไม่หลุดมือเราแน่นอน
—————————
*** Concept ของ Phuket Specialised Expo 2028

*** หัวข้อ “Future of Life: Living in Harmony, Sharing Prosperity” ชีวิตในอนาคต การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและธรรมชาติ 

*** หัวข้อรอง คือ (1) Life and Well-Being (2) Human-Nature (3) Mutual Prosperity

*** ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม ถึง 17 มิถุนายน 2571 ระยะเวลารวมกว่า 3 เดือน
—————————
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ถือว่าเป็นงาน Specialised Expo แรกของอาเซียนเลย!!!!

โดยจะใช้พื้นที่ของ โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 

บริเวณตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ใช้พื้นที่กว่า 140 ไร่

>> ตำแหน่งสถานที่จัดงาน https://goo.gl/maps/XvWvj5XvF2wzZmbC6

โดยพื้นที่การจัดงานประกอบด้วย...
- พื้นที่ทางเข้า (Ring of Harmony) 
- พื้นที่อาคารศาลาไทยและศาลาแนวคิดการจัดงาน (National Pavilion & Thematic Pavilion) 
- พื้นที่อาคารนานาชาติ (International Pavilion)
- พื้นที่นิทรรศการร้านค้าและร้านอาหารริมบ่อน้ำ (Corporate Pavilion & Commercial) 
- พื้นที่ป่าอนุรักษ์และแลนด์มาร์ก (The Pearl) 
- ส่วนสนับสนุนการจัดงานภายในพื้นที่จัดงาน (Internal Service) 

ในส่วนกิจกรรมที่แสดงภายในงาน มีการแสดงทางวัฒนธรรม (Cultural Performance) กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด (Theme) การจัดงาน กิจกรรมการประชุม เสวนา และแลกเปลี่ยนทางวิชาการ

โดยการทำอาคาร Exhibition กลาง ของ Specialized Expositions จะแต่ต่างจาก World Expo คือ เจ้าภาพเป็นผู้ก่อสร้างอาคาร Exhibition ให้กับ ผู้เข้าร่วมงาน เป็นไปในรูปแบบเดียวกันซึ่งเป็นในกรรมสิทธิ์ของเจ้าของงาน

*** ซึ่งภายหลังงาน อาคาร Expo นี้จะถูกเปลี่ยนจุดประสงค์การใช้งานเป็นอาคารอย่างอื่น เช่นศูนย์แสดงสินค้า พื้นที่สำนักงาน ห้าง และอื่นๆ ซึ่งของภูเก็ต จะใช้ถูกเปลี่ยนเป็น โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หลังจากงานเสร็จ 

>> กระทรวงสาธารณสุข เป็นแม่งานนี้ 

>> ความคาดหวังจากงาน : คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 4,900,000 คน แบ่งเป็นชาวต่างชาติร้อยละ 54 และชาวไทยร้อยละ 46

การจัดงานใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคภายในภูเก็ตไปอีกระดับกันเลยทีเดียว!! ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเคยเชียร์ให้ EEC จัด Specialised Expo เป็นการเปิดตัว EEC แต่งานไปลงที่ ภูเก็ต ก็ยังดีครับ

โพสต์เดิมเรื่องข้อเสนอ Specialised Expo ใน EEC >> https://www.facebook.com/491766874595130/posts/868854116886402/?d=n

มติ ครม. เรื่องการเลือกภูเก็ตในการจัดงาน >> https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50171
—————————
ดูจากความตื่นตัวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในพื้นที่ภูเก็ต เห็นแล้วชื่นใจครับ เพราะมีความต้องการร่วมกันจะพัฒนาภูเก็ตสู่ World Wellness Desination!!!

การจะจัดงานใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีการปรับปรุงสาธารณูปโภคของเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งมีเวลากว่า 7 ปี 

ถ้าสรุปโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีแผนอยู่ในภูเก็ตและบริเวณโดยรอบ เท่าที่ตามข่าวจะมี...

- โครงการ LRT ท่านุ่น-สนามบิน-ห้าแยกฉลอง
>> รายละเอียดโครงการ https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1007264576378688/?d=n

- ทางรถไฟ สุราษฎร์ธานี-ภูเก็ต(ท่านุ่น) 

- ทางด่วน กะทู้-ป่าตอง
>> รายละเอียดโครงการ https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1108003709638107/?d=n

รู้จัก ‘เออเก้’ แบรนด์รองเท้าจีนใจบุญ บริจาคแม้ตัวเองลำบาก จนได้ใจชาวจีน

เมื่อคุณไม่ทอดทิ้งเรา ก็อย่าหวังว่าเราจะทอดทิ้งคุณ

บริบทนี้น่าจะกลายเป็นอีกปรากฏการณ์ในสังคมที่พูดถึงกันมากขึ้น เกี่ยวกับ ‘แบรนด์คนดี’ ที่กำลังกระจายตัวมากขึ้นในสังคมโลก โดยล่าสุด ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หยิบยกปรากฏการณ์ที่เคยโด่งดังและเป็นกรณีศึกษาทางการตลาด ผ่านการทำ ‘ความดี’ ในประเทศจีน มาแชร์ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...

กระแสฟีเว่อร์อลังการที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เริ่มต้นจากเหตุอุทกภัยในมณฑลเหอหนานของจีน 

ภาคส่วนต่าง ๆ ส่งกำลังคนและกำลังทรัพย์เข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้ากีฬาอย่าง ERKE หรือ ‘เออเก้’ 

แบรนด์นี้มีชื่อในภาษาจีนว่า ‘หงซิงเอ่อร์เค่อ’ (鸿星尔克) เรียกว่ากำลังอยู่ในสภาวะยากลำบากพอสมควร

เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินค้ากีฬาของจีนเอง รวมถึงการเข้ามาของแบรนด์ต่างชาติดีกรีระดับโลก

ส่งผลให้อนาคตของ ‘เออเก้’ ดูไม่สดใสมีตัวเลขขาดทุนมาหลายไตรมาสติดต่อกัน

หลายคนบอกว่ารองเท้ายี่ห้อนี้กำลังจะเจ๊ง!!

แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นจากการบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นจำนวน 50 ล้านหยวน หรือประมาณ 250 ล้านบาท

ตอนแรกแทบจะไม่มีข่าวเลย เพราะชื่อเสียงของแบรนด์ไม่ได้โด่งดังมากมายนัก กระทั่งมีชาวเน็ตแอบไปเห็นโพสต์ของทางบริษัท

“เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ลงเรือลำเดียวกันแล้วต้องช่วยเหลือกัน ทางบริษัทขอบริจาค 50 ล้านหยวนให้ เหอหนาน สู้ ๆ”

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทที่กำลังขาดทุนอย่างหนัก แต่กล้าควักเงินบริจาคจำนวนมากไม่แพ้คู่แข่งรายใหญ่ ๆ 

นี่มันรองเท้ากีฬาแบรนด์จีนผู้รักชาติ พวกเราต้องสนับสนุน!!

เท่านั้นแหละ เกิดกระแสลูกค้าจำนวนมหาศาลหลั่งไหลสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ต่าง ๆ

รวมถึงรายการไลฟ์ขายรองเท้าเออเก้บนหลายๆ แพลตฟอร์ม พนักงานแทบจะขายกันไม่ทัน บริษัทต้องเร่งเติมคนเข้ามาช่วย และขอให้ทำล่วงเวลา

ชาวจีนแห่เข้ามาซื้อรองเท้าเออเก้เพื่อต้องการสนับสนุน ‘แบรนด์คนดี’ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคง 

อุดมการณ์ร่วมกันของชาวเน็ตต้องการจะปั้นยอดขายให้ ‘เออเก้’ เท่ากับยอดเงินบริจาค 50 ล้านหยวนเป็นอย่างน้อย

“คุณบริจาคช่วยชาติเท่าไหร่ พวกเราจะอุดหนุนคุณเท่านั้น”

กระแสที่จุดติดขึ้นมา ดันยอดขายของเออเก้ ทะลุเกินตัวเลขเงินบริจาคไปแล้ว พูดง่าย ๆ คือขายรองเท้าได้เป็นร้อยล้านบาทภายในคืนเดียว!!

ทางบริษัทรีบสั่งผลิตสินค้าอย่างเร่งด่วน เพื่อเติมเข้ามาในสต๊อกที่เริ่มขาดแคลน

ด้าน CEO อย่าง ‘อู๋หรงจ้าว’ (吴荣照)ต้องมาออกรายการไลฟ์สด ขอบคุณบรรดาลูกค้าด้วยตัวเอง ที่ได้ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่บริษัท

แต่ขณะเดียวกันได้อ้อนวอนให้ลูกค้า “กรุณาใช้เหตุผลและไตร่ตรองให้ดีในการซื้อสินค้า อย่าซื้อเพราะอยากช่วยเรา แต่ขอให้ซื้อเพราะชอบสินค้าเรา”

คือ เถ้าแก่ออกมาห้ามลูกค้าว่าอย่าซื้อเยอะ!!

>> ปรากฏโดนคนจีนด่ากลับ บอกว่า “อย่าเรื่องมาก เป็นคนขายของอย่าเยอะ ลูกค้าจะซื้อ ยุ่งอะไรด้วย”!!

หัวใจอันทรงคุณธรรมและเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของคนจีนในเวลานี้ถูกยกระดับขึ้นถึงขีดสุด

ในเมื่อบริษัท ‘เออเก้’ มีน้ำใจช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังต่อสู้กับเหตุภัยพิบัติอยู่ที่เหอหนาน

ประชาชนชาวจีนทั้งผองมีหน้าที่ส่งเสริมเออเก้ให้เจริญเติบโตสู่ระดับหัวแถว 

สั่ง ก.ล.ต.ไล่เช็กผู้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล หวั่นสร้างความเสียหายซ้ำรอย Zipmex

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เข้าไปตรวจสอบบริษัทผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล ทุกราย มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนตามใบอนุญาตอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับนักลงทุน

ส่วนกรณีปัญหา Zipmex สำนักงาน ก.ล.ต. ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประสานไปยัง ก.ล.ต.ของสิงคโปร์ เพื่อดูแลความเสียหายนักลงทุน โดยกระทรวงการคลัง ได้ติดตามปัญหาบริษัท Zipmex ผู้ให้บริการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทรัพย์ดิจิทัลและคริบโตเคอร์เรนซี อย่างใกล้ชิด

‘สุริยะ’ ชี้ MPI ฝ่าวิกฤตศก. ครึ่งปีโต 0.48% เผยอานิสงส์เปิดประเทศ หนุนปิโตรเลียม – สิ่งทอ ฟื้น

อก. เผย MPI 6 เดือนแรกปี 65 ขยายตัวร้อยละ 0.48 อานิสงส์เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว หนุนอุตฯ น้ำมันปิโตรเลียมและอุตฯ สิ่งทอ ฟื้นต่อเนื่อง

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ครึ่งปีแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 0.48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอบรับสถานการณ์การผลิตกลับมาฟื้นตัวหลังรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว พร้อมผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 หนุนกำลังการบริโภคประชาชน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว สะท้อนจากอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อน ส่งผลให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ด้านสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยประมาณการ MPI ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 2.0 – 3.0 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการเปิดประเทศ ส่งผลให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง มีคำสั่งซื้อและเพิ่มกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทช่วยสนับสนุนให้การส่งออกขยายตัว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องท่ามกลางวิกฤตความมั่นคงทางอาหารของโลก คาดว่าในปีนี้การส่งออกอาหารแปรรูปจะสร้างมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท และจะเป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สำหรับภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 0.48 ขณะที่เดือนมิถุนายน 2565 อยู่ในระดับทรงตัว และอัตราการใช้กำลังการผลิต 6 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 63.81 ทั้งนี้ คาดว่าดัชนี MPI ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป 

นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 98.05 และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 62.41 โดย สศอ. ได้ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 1.5 – 2.5 และ GDP ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 2.0 - 3.0 จากการบริโภคในประเทศส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบประกอบกับประชาชนสามารถออกมาใช้ชีวิตประจำวันและบริโภคได้ตามปกติมากขึ้น การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว สะท้อนได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี อาทิ ยานยนต์ เครื่องประดับ อัญมณี รองเท้า กระเป๋า และเบียร์ รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อภาคการส่งออกทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกัน จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศที่การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณเฝ้าระวัง โดย สศอ. ใช้เครื่องมือระบบเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย (The Early Warning System Industry Economics : EWS-IE) ในการคำนวณ พบว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยใน 1-2 เดือนข้างหน้า ปัจจัยภายในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อุปสงค์ในประเทศทยอยฟื้นตัว ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวและปลดล็อกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มส่งผลกระทบ ประเทศคู่ค้าเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้คำสั่งซื้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ ต้องจับตาดูสถานการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงยืดเยื้อ สภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยและปัญหาการขาดแคลนอุปทานที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายประเทศ อาทิ ศรีลังกา เมียนมาร์ และลาว อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนของไทย

‘บิ๊กตู่’ เผย ครม.เคาะแล้ว คนละครึ่งเฟส 5 วงเงินคนละ 800 บาท ใช้ได้ 2 เดือน ก.ย.-ต.ค. นี้

รัฐบาลสายเปย์ !! ‘บิ๊กตู่’ เผย ครม.เคาะแล้ว คนละครึ่งเฟส 5 วงเงินคนละ 800 บาท ระยะเวลาใช้ 2 เดือน ก.ย.-ต.ค. นี้

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเป็นประธานการประชุม ครม.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงว่า สำหรับการประชุม ครม.ในวันนี้ มีเรื่องพิจารณาที่สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหลายเรื่อง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชน การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางวิกฤตที่ยังคงอยู่ในโลกต่อไป

เรื่องแรกเป็นมาตรการช่วยเหลือ-ลดภาระค่าใช้ครองชีพให้กับ ประชาชน ซึ่งเป็นการใช้เงินกู้ ในปี 64 ต่อเนื่องมา 2 ปีกว่า จนถึงปัจจุบัน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ช่วยเหลือเยียวยาด้านเศรษฐกิจ ให้แก่ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย แรงงานประกันสังคม ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร กลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ กว่า 45 ล้านคน วงเงินประมาณ 854,000 ล้านบาท รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการจ้างงาน วงเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ ครม.พิจารณาเห็นชอบอีก  2 รายการ ได้แก่ 

สื่อนอกตีข่าว 'KFC' เตรียมขายกิจการในไทย คิดเป็นวงเงินประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ฯ

รอยเตอร์ รายงานอ้างแหล่งข่าววงในว่า บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (RD) มีแผนจะขายธุรกิจแฟรนไชส์ของเคเอฟซีในประเทศไทย คิดเป็นวงเงินประมาณ 300 ล้านดอลลาร์

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ 3 คนที่ระบุว่า บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเมนท์ (RD) หนึ่งในผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านไก่ทอดเคเอฟซีไทย ร่วมกับกลุ่มทุนที่นำโดย AIGF Advisors Pte Ltd กำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับบริษัทที่ปรึกษาอย่างน้อยหนึ่งแห่งเกี่ยวกับการขายกิจการเคเอฟซี ในส่วนที่บริษัทถืออยู่ในประเทศไทย 

ที่ผ่านมา RD เคยพิจารณาที่จะขายธุรกิจเคเอฟซีในปี 2563 แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การเจรจาต้องเลื่อนออกไป

แต่ขณะนี้ สถานการณ์ได้คลี่คลายและเศรษฐกิจของไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียนก็มีการฟื้นตัวเช่นเดียวกับรายได้ของบริษัทที่ฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน

รายงานข่าวระบุว่า ยอดขายกระเตื้องขึ้นเช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทยที่ขยับสูงขึ้นด้วยในเดือน มิ.ย. นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจากมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

ขณะที่ ช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ ทาง RD สามารถทำยอดขายรายไตรมาสได้สูงสุด ทั้งยังสามารถทำอัตราเติบโตสูงสุดด้านยอดขายเฉลี่ยรายปีของร้านที่เปิดบริการเกิน 1 ปีในช่วงดังกล่าวอีกด้วย

คว้างานจาก PEA ให้ปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี เพิ่มยอดงานโครงการวิศวกรรมมูลค่า 314.8 ล้านบาท

ภายหลังจาก บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชัน (ILINK) ได้ร่วมกับบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (บริษัทย่อย) ในนาม “INTERLINK CONSORTIUM” เป็นผู้ชนะการประกวดราคา และได้รับหนังสือสั่งจ้าง “งานจ้างก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี จังหวัดปราจีนบุรีตามโครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่าย ระยะที่ 2 แผนที่ 2 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)” จากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) แล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ (25 ก.ค. 65) นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้ร่วมลงนามกับ นายประพันธ์ สีนวล รองผู้ว่าการวิศวกรรม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อก่อสร้างปรับปรุงสถานีไฟฟ้านนทรี จังหวัดปราจีนบุรี มูลค่างาน 314,800,000 บาท โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดใน 510 วัน นับจากวันลงนามสัญญา โดย INTERLINK CONSORTIUM จะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป

ศ.สุชาติ! แบงค์ชาติ​ควรค่อยๆ​ ขึ้นดอกเบี้ย​ ไม่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากไป​ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของการส่งออกและรายได้ประชาชาติ

ศ​าสตราจารย์​ ดร.สุชาติ​ ​ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ อดีตรัฐมนตรี​ว่าการกระทรวงการคลัง​ และอดีตหัวหน้าพรรค​เพื่อ​ไทย​ ให้ความเห็นว่า​

1. แบงค์ชา​ติ​ อาจขึ้นดอกเบี้ย​ 0.25% เพื่อทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริง​ (ดอกเบี้ยหักด้วยเงินเฟ้อ)​ ไม่ติดลบมากนัก​ โดยดอกเบี้ยไม่ต้องสูงเท่าดอกเบี้ยสหรัฐ​ เพราะเศรษฐกิจ​สหรัฐ​เติบโตเกินกำลังการผลิต​ จึงเกิดเงินเฟ้ออันเนื่องมาจากพิมพ์​เงินดอลลา​ร์​ มาใช้มากเกินไป​ แต่ไทยเป็นเงินเฟ้อที่มาจากต้นทุนนำเข้า​ เศรษฐกิจ​ไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว​ การผลิตและการจ้างงาน​ยังต่ำอยู่มาก

2. การขึ้นดอกเบี้ย​ ไม่ควรทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าเงินประเทศอื่น ๆ​ ที่อ่อนค่าลง​ทั่วโลก​ อันเนื่องมาจากเงินสหรัฐ​ แข็งค่าขึ้นอย่างมาก

3. การส่งเสริมการส่งออกสินค้าบริการ​ รวมต่างชาติมาท่องเที่ยว (Exports-E)​ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ​การส่งออกคือ​ "ร​ายได้​ " แต่​เราไม่ควรส่งเสริมการนำเข้า (Imports-M)​ โดยไม่มีเป้าหมาย​ เพราะ​การนำเข้า คือรายจ่าย​ "เราส่งเสริมให้​ เพิ่มรายได้​ ลดรายจ่าย​ ขยายโอกาส" 

4. หาก​รัฐบาล​ไปทำให้ค่าเงินบาทแข็ง​เกินไป การนำเข้าก็จะเพิ่มขึ้น​ ซึ่งจะไปลด​รายได้ประชาชาติ​ (GDP)​ เพราะ​ใน​สมการ GDP​=C+I+G+E-M ตัว​ M จะไปหักออกจาก​ GDP 

5. เราจึงต้องรักษาค่าเงินบาทให้อ่อนเล็กน้อย​ เพื่อ​ให้การส่งออกสามารถแข็งขันได้​ดี เพื่อเพิ่มรายได้​ และทำให้ราคานำเข้าแพงขึ้นเล็กน้อย​ ทำให้ลดการนำเข้า​ เพื่อลดรายจ่าย​ จะเป็นการ​เพิ่ม​ GDP​ ทั้ง 2 ด้าน

6. การทำค่าเงินบาทให้อ่อน​ลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่ม​การส่งออกทั้งปริมาณและมูลค่า จะให้ผลบวกเกือบทุกคนในประเทศ เพราะผู้ส่งออกที่แท้จริงคือ​ กรรมกรและชาวนา​ชาวสวน ซึ่งจะมีรายได้เพิ่มขึ้น​ โดยส่งผ่านมาจากบริษัทส่งออก และทำให้แม่ค้าข้าวแกง​ขายได้มากขึ้น​ด้วย การส่งออกจึงทำให้เกือบทุกคนในประเทศ​ มีรายได้และฐานะดีขึ้น​ และเนื่องจากการส่งออกก็คือผลผลิต​ (GDP​)​ ถึง​ 70% จึงจะทำให้อัตราความเติบโตของประเทศ (GDP​ growth rates) สูงขึ้น​ด้วย

Welcome to the World of Privacy PDPA สำคัญ!! แต่ไม่ต้องไปกลัว!!

ในปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์อยากจะเริ่มทำ Data-Driven Marketing แต่ก็กลัวว่าการใช้ข้อมูลลูกค้าที่เก็บไว้จะไปผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA สุดท้ายก็เลยไม่กล้าไปแตะต้องข้อมูลที่มีอยู่ 

ความกลัวนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ตลาดเองก็ยังไม่ชิน เนื่องจากเพิ่งจะมีการบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมานี้เอง 

และก็แน่นอนว่า ในฐานะคนทำ Data-Driven Marketing ย่อมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เห็นข้อมูลอันมีมูลค่ามหาศาลถูกนั่งทับไว้นิ่ง ๆ ไม่ได้นำไปใช้งาน เพียงเพราะกลัว PDPA 

แต่จริง ๆ แล้ว เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปกลัว เราสามารถนำข้อมูลไปใช้สร้างมูลค่าได้ แค่ต้องเตรียมพร้อมให้ดี

นั่นก็เพราะใจความหลักของ PDPA คือ การให้สิทธิความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับผู้บริโภค ผู้ที่จะใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีขอบเขตของการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ที่จำกัด หรือถ้าใช้นอกเหนือจากขอบเขตที่กำหนดไว้ ก็ต้องขอความยินยอมจากแต่ละคนก่อนนั่นเอง ไม่ใช่ว่าห้ามใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเลย 

พูดง่าย ๆ แค่เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย!! 

นอกจากนี้อีกสิ่งที่สำคัญและมักจะลืมกันไป คือ ผู้บริโภคจะต้องได้ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลด้วย หมายความว่าถ้าเราสามารถนำข้อมูลไปสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะยินดีเปิดเผยข้อมูล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top