Monday, 20 May 2024
Special News Team

รสนิยม (ลด-สัก-นิด-โยม) | คิดเพลิน Learn&Play Talk EP.4

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

เมื่อ Eco-Friendly กลายเป็นกระแสหลักของโลก | LOCK LENS GURU EP.13

LOCK LENS GURU / EP.13 วันพุธที่ 12 พฤษภาคม

???? GURU : คุณหยก THE STATES TIMES Host & Content Creator

▶️ หัวข้อ : เมื่อ Eco-Friendly กลายเป็นกระแสหลักของโลก

 อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032807

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES 

.

.

ชาตินิยมจีน : ความรักชาติในแบบจีน ๆ เป็นอย่างไร ? | LOCK LENS GURU EP.12

LOCK LENS GURU / EP.12 วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม  

???? GURU : คุณสรวง สิทธิสมาน นักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้ ที่ใช้ชีวิตในประเทศจีนมานานกว่า 5 ปี

▶️ หัวข้อ : ชาตินิยมจีน : ความรักชาติในแบบจีน ๆ เป็นอย่างไร ?

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031310

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป | LOCK LENS GURU EP.11

ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป | LOCK LENS GURU EP.11

???? GURU : กภ. อุสา บุญเพ็ญ นักกายภาพบำบัด

▶️ หัวข้อ : ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032808

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

ธุรกิจสุขภาพ - ความงาม ยังปัง! ท่ามกลางสังคมที่ต้อง ‘ดูเด่น ดูดี’

กระแสสุขภาพและความงาม รวมไปถึงการสร้างรูปร่างให้ดูดี เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงมากในปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ต่างก็มีความต้องการที่จะให้ตนเองมีรูปร่างที่ดูดี มีทรวดทรงสวยงามชัดเจน ใครที่มีกล้ามเนื้อ แขน ขา หน้าท้อง ที่ดูดีสมส่วน ย่อมสร้างความมั่นใจเฉิดฉาย โชว์สัดส่วนได้ไม่อายใคร

แน่นอนว่า จากกระแสดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มธุรกิจและสินค้า ต่างหันมาให้ความสนใจ พร้อมผลิตสินค้าและพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวอย่างคึกคัก ทั้งกลุ่มที่สนใจในเรื่องการลดน้ำหนัก การดูแลและรักษารูปร่างให้สวยงามอยู่เสมอ

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสัดส่วน ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น เรื่องอาหารการกิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และการออกกำลังกาย

อย่างที่ทราบกันดีว่า หากต้องการให้สุขภาพแข็งแรง ร่างกายดูดี จะต้องเริ่มจากภายใน เพราะฉะนั้น ‘อาหารเพื่อสุขภาพ’ จึงเป็นส่งแรกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ทั้งนี้ หากมองในแง่การตลาดแล้ว ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นธุรกิจมีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เคยประเมินมูลค่าการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในปี 2562 เอาไว้ว่า มูลค่าของตลาดนี้ อยู่ที่ประมาณ 88,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น 2.4%

โดยกลุ่มโปรตีนจากพืชและนมพืช จะมีมูลค่าประมาณ 6,725 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัว 6.4% ตามความนิยมบริโภคอาหารโปรตีนสูงเพื่อสร้างสมดุลทางโภชนาการทดแทนเนื้อสัตว์ การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงการรักษาสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์

ขณะที่ผู้บริโภคบางกลุ่ม ที่ไม่เพียงแต่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังใช้อาหารเสริมร่วมด้วย เพราะเมื่อรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากการเลือกบริโภคอาหารบางอย่าง งดรับประทานอาหารบางชนิด ทำให้ต้องใช้อาหารเสริมเพื่อเติมเต็มสารอาหารในส่วนที่ร่างกายต้องการ ทำให้ธุรกิจ ‘อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ’ มีแนวโน้มมีอนาคตสดใสเช่นกัน โดยเฉพาะการที่คนไทยต้องเผชิญกับโรคโควิด-19 ทำให้ ผู้คนต่างหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มูลค่าทางการตลาดอาหารเสริมจะเติบโตก้าวกระโดดไม่หยุด

ขณะเดียวกันทางด้าน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ได้เผยภาพรวมของมูลค่าตลาดอาหารเสริมในปี 2563 ที่พุ่งสูงถึง 23,916 ล้านบาท หรือเติบโตราว 10% จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 20,876 ล้านบาท มาจากเทรนด์การรักษาสุขภาพและรูปร่างให้ดี โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ที่หันมาให้ความสนใจมากขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในปี 2563 ที่ระบุว่า ประชาชนชาวไทย 45.39% ได้หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายทั้งกลางแจ้งหรือในร่ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ขณะที่ด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็ได้มีการสำรวจเทรนด์การออกกำลังกายของคนไทยในช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไปอีกว่า ในช่วง 2 ปีมานี้ มีคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำประมาณ 13 ล้านคน ในจำนวนนี้ เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน อายุ 25 - 44 ปี ประมาณ 5.4 ล้านคน โดยเป้าหมายการออกกำลังกาย มีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจาก เป้าหมายเดิมทางด้านสุขภาพหรือป้องกันรักษาโรค (91.3%) โดยเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจและมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แก่ การรักษาหุ่น/เสริมสร้างกล้ามเนื้อ (47.0%) อยากลดน้ำหนัก (44.3%) เพื่อรักษาป้องกันโรค 40.0% ขณะที่ความต้องการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเอง (22.6%)

จากพฤติกรรมดังกล่าวนี้ จึงส่งผลให้มูลค่าตลาดของธุรกิจออกกำลังกาย (ฟิตเนส) ที่มีมูลค่าราว 10,000 – 12,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้ประการกว่า 800 ราย ยังคงมีโอกาสเติบโตอีกมาก (หากพ้นช่วงโควิด) ตามการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพความงามและการดูแลรูปร่าง ดังที่ยกเป็นตัวอย่างมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่ผู้บริโภคแตะต้องได้ เข้าถึงได้ไม่ยาก และใช้เงินจับจ่ายไม่สูงมากนัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ด้านภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตัวเอง แต่สำหรับใครคนไหนที่อยากหล่อสวยแบบทันใจสายด่วน อาจต้องเลือกวิธีศัลยกรรมความงาม ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด

แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่โลกธุรกิจที่กำลังมองหาช่องทางในการลงทุนต่อจากนี้นั้น การเกาะกระแสสุขภาพ ก็ยังไปได้อีกยาวๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก เพียงรู้ว่าผู้บริโภคกลุ่มไหนกำลังต้องการอะไรให้ได้ แล้วรีบจับเป็นพอ!!


อ้างอิง :

https://www.bangkokbanksme.com/en/supplement-food-after-growth-covid-19

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/835566

https://kasikornresearch.com/SiteCollectionDocuments/analysis/k-social-media/sme/fitnessBT/Fitness_BT2020.pdf

อดให้ตาย!! สุดท้ายกลายเป็น ‘ต้าวอ้วน’

เจ็บปวดทุกครั้งที่เพื่อนสาวคนสนิทย่องมากระซิบข้างหูเบาๆ ว่า “ช่วงนี้แกน้ำหนัก...’ ยังๆๆ ไม่ทันจะจบประโยค ในหัวของอิชั้นก็ตัดคำว่า ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในคำๆ นี้ออกไปเป็นที่เรียบร้อย หลงเหลือไว้เพียงแต่คำว่า ‘หนัก’ กระแทกใจให้ช้ำและย้ำว่า ‘ฉันอ้วน’ ใช่ไหม? เธอถึงเอ่ยคำนี้ออกมา

เพื่อนสาวอาจมิมีเจตนา แต่จิตใจของฉันหาคิดเยี่ยงนั้นไม่ พร้อมยอมรับอยู่ในใจว่าเรื่อง ‘หนักๆ’ มันเป็นปัญหาทางกายที่ก้าวก่ายไปสู่ปัญหาระดับชาติ ของคนมี ‘พุง’ และส่วนย้อยแบบยวบยาบ ครั้นคิดอยากลดน้ำหนัก ก็ดูจะ ‘ดีแต่พูด’ เพราะวันๆ ระหว่างที่เอาแต่เม้าท์สากกะบรรดา Friend ว่าจะหยุดปาก แต่ 2 นิ้วยังคงลากชีสเค้กเพิ่มชั้นครีมหนา 2เซ็นให้ลิ้นได้สัมผัสรสอยู่เล้ย

แต่เอาเถอะ!! ผลสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครจะเตือนหรือหยาบคายใส่ หากคิดว่าวันนี้อิชั้นคิดจะปฏิวัติกาย เพื่อผายอก ยกก้น ให้หนุ่มๆ อยากชนบั้นท้าย และปรายตามองพุงที่เรียบแป้ ก็ต้องเริ่ม!!

เอาจริงๆ นะ จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ‘การลดน้ำหนัก’ มันไม่ใช่เรื่องยากอันใดหรอก แต่มันเป็นเรื่องของการข่มจิต โดยเฉพาะก่อนที่คิดจะต่อยอดไปฟิตเนส และโยกค่าๆๆ ท่าพิสดารให้กายเพรียวด้วยแล้ว ควรหันมาข่มจิต ‘คุมพฤติกรรม’ อันผิดเพี้ยนให้อยู่หมัด แต่อย่าทะลึ่ง ‘อด’ ตามตำราใครก็ไม่รู้ ให้เสียเวลาซะล่ะ เพราะสุดท้ายร้อยทั้งร้อย ‘โยโย่’ จนกลับมากลายสภาพเป็น ‘ไอ้ต้าวอ้วน’ ให้เพื่อนเรียก แถมสุขภาพพังๆ พ่วงมาด้วยได้ง่ายๆ!!

พร่ำมาซะเยอะ ได้เวลาบอกทริก ของคนอยากเพรียว โดยชีวิตและสุขภาพไม่ (น่าจะ) พัง แต่แค่ต้องโต้กับพฤติกรรมที่ไม่คุ้นเคยกันให้ได้ตามนี้...

***คำเตือน ควรใช้จักรยานในการรับชม เพราะทริกดังกล่าวเป็นผลจากการปฏิบัติเป็นการส่วนตัว บวกกับอ้างอิงทฤษฎีชี้นำเบาๆ ซึ่งอาจมีผลลัพธ์และผลข้างเคียง (ที่ไม่ได้เกิดจากวัคซีน) แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล***

>> ทริกแรก เราไม่ได้อ้วนเพราะสูดอากาศเข้าไป

อาจจะดูโหดไปนิดสำหรับการเริ่มต้นของคนอยากเพรียว เพราะมันเป็นการค่อยเป็นค่อยไปแบบสุดทรมาน ที่เริ่มจากการ ‘ลดเนื้อสัตว์’ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว จากนั้นก็ต้องควบคุมปริมานคาร์โบไฮเดรตตาม และเริ่มดื่มน้ำแทนอาหารสัก 1 มื้อ จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาดื่มเป็นน้ำผักผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ ส่วนเรื่องของระยะเวลาในการประพฤติตน อันนี้ขอบอกเลยว่าอยู่กับความอึดและเป้าน้ำหนักว่าอยากให้มันวูบลงไปที่เท่าไร อ้อ!! วิธีการนี้ส่วนตัวว่าเวิร์ก เพราะการหันมาดื่มน้ำผัก ผลไม้ (สกัดเย็น) ไม่ได้ดีแค่เรื่องช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยล้างสารพิษ ช่วยเรื่องการขับถ่าย และช่วยไปจนถึงชะลอความแก่ที่จะมาเยือนได้อีกด้วย

>> ทริกต่อมา กินให้เป็นเวลาซะ

ตรงนี้เป็นการฝืนแก้พฤติกรรมของชีวิตยุคใหม่ ที่มักจะไปเบียดเบียนช่วงเวลาของการบริโภคอาหาร เช่น จากที่เคยกินครบ 3 มื้อ และอดอาหารไปจนถึงเช้า ก็กลายเป็น กินดึก นอนดึก ตื่นเช้า พอเป็นแบบนี้แล้วร่างกายจะมีโอกาสทรุดโทรม ป่วยง่าย ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเบสิกที่ต้องยึดติดไว้เลย เช้ากินซะ (ใช้พลังงานและหัวสมองมากสุดในวัน) เที่ยงซัดกันได้ แต่เบาๆ ปริมาณจากที่เคยทานปกติลงสักเกือบครึ่ง (ช่วยลดอาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อนในออฟฟิศได้ดีเชียวนะ) ส่วนเย็นอยากกินต้องได้กิน แต่ควรหากิจกรรมอื่นๆ ควบคู่ เช่น การเล่นกีฬา และสันทนาการอื่นๆ จะเริ่ดมาก

>> ทริกสุดท้าย การนอนคือการอดอาหารตามธรรมชาติ

ที่จริงแล้ว ธรรมชาติของคนเรานั้นจะมีมาตรการอดอาหารในตัวทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็คือช่วงเวลาของ ‘การนอน’ โดยการนอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของคนเราจะได้หยุดพักทุกสิ่งอย่าง และอดอาหารตามธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับตอนที่เราป่วย ที่ทำให้ร่างกายสั่งงดความอยากอาหารลง เพื่อให้ช่วงเวลาในการอดอาหารนี้ไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ รวมไปถึงกำจัดสารพิษที่เข้ามาในร่างกาย นั่นหมายความว่าการนอนที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เพียงพอ แต่ต้องถูกช่วงเวลานะ (เขานอนกันตอนไหนก็หัดนอนตามๆ กันซะ ไม่ใช่เอาแต่ท่อง Netflix) จะช่วยเผาผลาญส่วนเกินของร่างกายได้วิธีหนึ่ง แถมช่วงเวลานี้เราจะไม่เพลียจากการได้นอนพักผ่อนด้วย

จริงๆ ทริกที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ หลายคนก็คงจะเคยทำกันมาแล้ว สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ไปบั่นทอนสุขภาพเท่าไรนัก ดีกว่าการหักดิบแบบ ‘อดอาหาร’ ไปเลย ซึ่งส่วนตัวก็เคยทำ และมองว่ามันเป็นวิธีที่เห็นผลเหมือนไม่น้อย แต่ผลที่ตามมา คือ สุขภาพจิตเรามันจะย่ำแย่ พร้อมๆ ไปกับสุขภาพที่ค่อยๆ ทรุดโทรมจากการขาดสารอาหาร ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำงาน แถมตอนนี้ต้องเร่งประสิทธิภาพของร่างกายสู้กับสารพัดเชื้อโรคในสังคมด้วยแล้ว จึงอยากช่วยยันให้ว่า ‘อดอาหาร’ แบบหักดิบ ไม่เป็นผลดีเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรซะ ที่เล่าๆ มาก็เป็นวิธีการที่อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่าถ้าเราอยากชัวร์ในการพรากพุงอย่างสุขภาพดี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ควบคู่ไปด้วย รับรองชัวร์คูณ 2


อ้างอิง:

https://absolute-health.org/th/blog/post/service-regenerative-detox-fasting-detox.html

https://www.happymarketing.co.th/content/5246/อดอาหาร-เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ ( 10 - 14 พ.ค.) !! 

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !! 
???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม - วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม  
???? ทุกเช้า 8 โมงตรง   
???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้
.
????EP.11 วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม
???? GURU : กภ. อุสา บุญเพ็ญ 
นักกายภาพบำบัด 
▶️ หัวข้อ  : ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032808
.
????EP.12 วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม
???? GURU : คุณสรวง  สิทธิสมาน
นักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้ ที่ใช้ชีวิตในประเทศจีนมานานกว่า 5 ปี 
▶️ หัวข้อ  : ชาตินิยมจีน : ความรักชาติในแบบจีน ๆ เป็นอย่างไร ?
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031310
.
????EP.13 วันพุธที่ 12 พฤษภาคม
???? GURU : คุณหยก THE STATES TIMES  
Host & Content Creator 
▶️ หัวข้อ : เมื่อ Eco-Friendly กลายเป็นกระแสหลักของโลก
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032807
.
????EP.14 วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม
???? GURU : คุณตาล วัณย์ทิศากร  พิณแพทย์
สาวสัตหีบชาวไทย ที่ใช้ชีวตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากกว่า 21 ปี 
▶️ หัวข้อ : การคมนาคมใน ‘สวิตเซอร์แลนด์’ ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042513
.
????EP.15 วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม
???? GURU : อาจารย์ระวีวรรณ  ทรัพย์อินทร์  
อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา
▶️ หัวข้อ : มายาคติ...ต่อผู้สูงอายุ
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040304
.
???? ดำเนินรายการโดย เจ  THE STATES TIMES
.
???? ช่องทางรับชม LIVE 
Facebook: THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES

ฉันอยากผอม…ฉันเลย (คลั่ง) ผอม

“ถ้าเธอผอม เธอจะน่ารัก/สวยกว่านี้นะ”

“เสียดาย ทำไมอ้วน ไม่น่าปล่อยตัวแบบนี้เลย”

“ไปทำไรมา…ทำไมอ้วนขึ้นแบบนี้ล่ะ”

ไม่แน่ใจว่าหลาย ๆ คน จะเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จากคนใกล้ ๆ ตัว กันบ้างไหมคะ ? ว่าถ้าสมมุติเราผอม หรือ เราลดน้ำหนักได้สัก 5 – 6 กิโล เราคงจะมีความสุขนะ แล้วเราก็จะดูดีมากๆ

ขอบอกว่า ผู้เขียนเอง ก็เคยมีประสบการณ์ ยอมหันมาลดน้ำหนักจากเสียงเอื้อนเอ่ยของชาวบ้านเขาเล่ามา แล้วเราก็ว่าตามไปได้ดีมาแชร์กันค่ะ ซึ่งกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ มันไม่ง่ายเลย…

ในช่วงสมัยมัธยมปลาย แต่ก่อนหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ด้วยความที่ตัวเองนั้นสูงเพียงแค่ 170 ก็เลยจะดูอวบนิด ๆ (หรือประมาณว่าจ้ำม่ำค่ะ ????) ในช่วงเวลานั้นเรามีความรู้สึกแค่ว่าหิว ก็ทาน ชอบทานพวกของทอด ของมัน หมูกระทะต้องสามชั้น เบคอนเท่านั้น ผักไม่ค่อยแตะค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่อร่อย แต่ก็ทานบ้างนะคะ

เพื่อน ๆ พอเจอเราเข้าไปก็ตกใจว่าทำไมดูอ้วนขึ้น มีแก้ม มีพุง ขนาดนี้ ตัวผู้เขียนก็แค่ตอบไปว่า ก็เรากิน ไม่ได้ดม… เพื่อน ๆ ก็ต่างพากันหัวเราะชอบใจ แต่ในใจเราก็เจ็บเหมือนกันนะคะ เราก็อยากให้เพื่อนทักว่า ดูดีขึ้น

แต่สภาพตอนนั้นไอ้เราก็คงไม่อยากไปบังคับให้เพื่อนพูดโกหก เพื่อเอาใจหรอกค่ะ ว่าแล้วก็เลยเริ่มหาวิธีลดน้ำหนัก แต่ไม่ว่าจะออกกำลังกาย ทานผัก ผลไม้ (รู้สึกตัวเบาลงนะคะ) แต่น้ำหนักก็ยังคงเท่าเดิม ก็เลยเริ่มหาวิธีลัดเพื่อที่อยากจะดูผอม ดูดีในสายตาเพื่อน ๆ (กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย อยากดูเป็นเฟรชชี่เด็กปี 1 น่ารัก ๆ)

ตอนนั้นก็เลยเริ่มวิธีเบสิคง่าย ๆ ก่อนเลยคือ ไม่ว่าเราจะทานอะไรเข้าไปจนอิ่มแล้ว … เราจะไปล้วงคอ!!

ใช่ค่ะ!! การล้วงคอจะทำให้เราอาเจียนสิ่งที่เราทานไปทั้งหมดให้ออกมา ซึ่งในตอนนั้นเราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากเลยค่ะ รู้สึกท้องเบาหวิว

( เครดิตภาพ : pobpad )

ใช่ค่ะ!! การล้วงคอจะทำให้เราอาเจียนสิ่งที่เราทานไปทั้งหมดให้ออกมา ซึ่งในตอนนั้นเราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากเลยค่ะ รู้สึกท้องเบาหวิว

ยังๆๆ พอเราทำไปได้ระยะหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองยังผอมไม่พอ ทีนี้เลยตัดสินใจอดอาหารเพิ่มค่ะ กินวันล่ะมื้อ ถ้าหิวก็ดื่มน้ำเปล่า ตอนนั้นเราผอมมากเลยค่ะจากน้ำหนัก 70 กว่าเราเหลือประมาณ 60 กิโลในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน

แต่ชีวิตช่วงนั้น มันก็จะแปลกๆ นิด ตรง ‘นิสัย’ และความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปค่ะ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด โวยวายง่าย ทำให้คนรอบข้างเรา เพื่อนของเราแม้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากจะคุยกับเราเลยค่ะ

เรากลายเป็นคนล่ะคนไปเลย เราเสียใจมากเลยค่ะ พอคิดแบบนั้น ก็เลยลองหาข้อมูลดูว่าตัวเรามีอาการอะไรกันแน่ แล้วก็ได้ไปเจอกับโรคหนึ่งที่ชื่อว่า ‘โรคคลั่งผอม’ หรือ ‘Anorexia Nervosa’ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่หลาย ๆ คนเป็น โดยเฉพาะคนที่อยากผอม หรือ ต้องการที่จะผอมมากกว่านี้

จริงๆ แล้ว โรคคลั่งผอมนั้น เพื่อนๆ หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินจากการที่ศิลปินหรือพวกนางแบบเป็นกัน อย่าง อดีตสมาชิก OH MY GIRL อย่าง ‘จินอี’ ที่ในวงเธอผอมที่สุด แต่กลายเป็นว่าที่เธอต้องออกจากวง เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองอ้วนมากในตอนขึ้นเวที จึงพยายามลดน้ำหนักจนกลายเป็นโรคคลั่งผอม

( เครดิตภาพ : WM Entertainment )

ขออ่านต่อไปอีกนิด เริ่มหลอนละ เพราะโรคนี้เป็นอาการที่เกิดจากภาวะจิตใจที่กระทบไปสู่ร่างกาย ยังไงน่ะหรือ ภาวะจิตใจในที่นี้คือเจอแรงกดดันจากคนใกล้ตัว ที่คิดว่าทำไมตัวเองถึงโดนคนอื่นบอกว่าอ้วน หุ่นไม่ดี คนที่เป็นโรคนี้จะมีสภาพจิตใจที่ค่อนข้างแย่เลยทีเดียวค่ะ จะต้องการลดน้ำหนัก พอลดได้ก็จะดีใจจนลดต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผู้ป่วยจะไม่มีทางพอใจในรูปร่างของตนเอง ไม่อยากทานอะไรเพราะจะกลัวกลับไปอ้วน ทำให้ร่างกายไม่ได้รับพลังงาน อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

ที่น่ากลัว คือ ผู้ป่วยโรคนี้มีสิทธิ์ที่จะเสียชีวิตได้เลยนะคะ ฉะนั้นใครที่เข้าข่าย ควรไปพบแพทย์เพื่อให้หมอตรวจดูอาการ และรักษาอย่างถูกวิธี พอเสร็จจากการรักษา ก็ต้องยอมรับตัวเอง และ คอยประคับประคองจิตใจไม่ให้กลับไปคลั่งผอมอีก

เชื่อไหมว่า พอผู้เขียนได้อ่านบทความนี้โดยละเอียด ก็แอบกลัวที่จะลุกลามจนต้องไปหาหมอรักษา เลยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทานอาหารเหมือนเดิม พอทานข้าว ทานขนมได้ ทีนี้ไม่หยุดเลยค่ะ จนทำให้น้ำหนักเราดีดขึ้นเกือบ 10 กิโลกรัม หรือหลาย ๆ คนอาจจะรู้จักที่เรียกว่า โยโย่เอฟเฟกต์ ( YoYo Effect ) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายอดอาหารและ พอกลับไปทานอาหารร่างกายปรับตัวไม่ทันจึงเกิดภาวะน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นบอกได้เลยว่าท้อใจ และหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตเลยค่ะ แต่พอได้เข้ามหาวิทยาลัยเพื่อน ๆ เจอเราสภาพนี้ตอนแรกก็กลัวนะคะว่าเพื่อน ๆ จะรับไม่ได้ ไม่อยากคุยกับเรา…

แต่กลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ในมหาลัยต่างรักและเอ็นดูเรา ไม่ใช่เพราะเราอ้วนดูน่าแกล้งนะคะ แต่เป็นเพราะเราจริงใจ และ เป็นมิตร เพื่อน ๆ ต่างมีความสุขเวลาอยู่กับเรา เราเป็นคนสนุก เฮฮาด้วย

จากวันที่เรากำลังเข้าใกล้สภาวะ ‘โรคคลั่งผอม’ และหลุดออกมาได้จนถึงวันนี้ ทำให้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า มนุษย์เราไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน อ้วน ผอม ดูดี หุ่นไม่ดีหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าเรามีจิตใจที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส อะไร ๆ ก็จะดีขึ้นเองค่ะ

แต่ยังไงซะ ส่วนตัวก็ยังไม่ยอมท้อในการลดน้ำหนักนะคะ ยังคงพยายามลดน้ำหนักอยู่ เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน ทานผักผลไม้ ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะ ๆ ใส่กำลังใจดีๆ เข้ามาในกาย และใช้ชีวิตให้มีความสุข ลดด้วยความที่อยากให้สุขภาพดี ไม่ต้องภาพลักษณ์ดี คิดแบบนี้กันดีกว่าค่ะ

อ้อ!! แล้วก็ไม่ต้องให้ เค้าหรือใครคนนั้น มาตัดสินเราด้วยล่ะ Have a good day ค่ะ ????

ว่าแล้ว ช่วงนี้ เหงาจัง ร้านบุฟเฟ่ต์ปิด!!


อ้างอิง:

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคคลั่งผอม เป็นโรคหรือแค่วิตกกังวล

https://www.lovefitt.com/tips-tricks/เทคนิคหยุดโยโย่ เอฟเฟกต์

ย้อนฟิล์มเก่า ‘ฮันนะซัง สวยสั่งได้’ กรณีศึกษาสะท้อนสังคมปัจจุบัน ฉันควรเป็น ‘ฮันนะ’ หรือ ‘เจนนี่’ ดี?

...ไม่รู้ว่าค่านิยมของสังคมในสมัยนี้เป็นอะไรกันหมด

...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงการยึดโยงกับอุดมคติอันโหดร้ายที่ว่า...

>> ‘คนสวย จะต้องผอม’

>> ‘ยิ่งผอม ยิ่งดูดี ’

>> ‘ผู้ชาย ชอบผู้หญิงผอม’

เรื่องนี้มีปัจจัยชวนคิด ที่ก่อให้เกิดค่านิยมในโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องรูปลักษณ์ / เรือนร่าง อยู่ 3 ปัจจัย…

1.) การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนในปัจจุบันมองว่า ร่างกายเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง

2.) การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามรุดหน้ามาก แพทย์สามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายมนุษย์ไร้ที่ติ หรือใช้กรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้ผู้หญิง ผู้ชาย สวยหล่อได้ดังใจปรารถนา

และ 3.) อิทธิพลของสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ เรือนร่าง สร้างรูปร่างในอุดมคติของวัยรุ่นขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นนายแบบ นางแบบ ดารา นักร้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?

ความคิดเหล่านี้ เกิดจากอิทธิพล และแรงกดดันของสังคม ที่ยังให้ความสำคัญกับผู้หญิง หรือผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม รวมถึงมีร่างกายผอมเพรียว โดยเฉพาะยิ่งปัจจุบันด้วยแล้ว คนจะมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย หรือมักมีการเปรียบเทียบรูปร่างตัวเองกับผู้อื่น

พูดง่ายๆ ก็คือ เพียงเพราะว่ามนุษย์ต้องการการยอมรับจากสังคม!! และเมื่อสังคมมองเห็นว่าสิ่งไหนดี ก็พยายามเป็นไปตามที่สังคมวางไว้ ส่วนใครที่ไม่เป็นไปตามสิ่งที่สังคมมองว่าดี ก็จะถูกบูลลี่ ล้อเลียน หรือกลายเป็นคนที่ผิดแปลกไปเลยในสังคมนั้น ๆ

กรณีศึกษาที่เทียบเคียงกับกรณีดังกล่าวได้ดีมาจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนานมาแล้วเรื่องหนึ่งอย่าง ‘200 Pounds Beauty ฮันนะซัง สวยสั่งได้’ ที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัดมากอ

จากเนื้อเรื่อง ‘ฮันนะ’ เป็นสาวร่างท้วมน้ำหนักกว่า 200 ปอนด์ แต่พรสวรรค์ของเธอ คือ มีเสียงร้องเป็นเลิศ แต่เธอก็ทำได้แค่ต้องหลบอยู่ใต้หลังเวทีแล้วคอยร้องลิปซิงค์ให้กับนักร้องสาวสวย หุ่นดี และมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ‘เอมี่’ จากการเกลี้ยกล่อมของ ‘ซังจุน’ โปรดิวเซอร์เพลง ที่ฮันนะเองนั้นตกหลุมรัก

เพื่อต้องการเอาชนะใจของซังจุน ฮันนะจึงยอมทำทุกอย่าง และก็มีความสุขเสมอที่ได้ทำ เพียงเพราะอยากใกล้ชิดกับซังจุน

แต่สาวร่างท้วมคนนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าน้ำหนักเจ้ากรรมของเธอ !! จะเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง...ทั้งต่อ ‘ซังจุน’ และคนรอบข้าง

และนี่ก็คือจุดเปลี่ยน !! เมื่อฮันนะรู้ว่าถูกทีมงานในค่ายเพลงมองเหมือนเธอเป็นตัวตลกคนหนึ่ง และแกล้งมาทำดี เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากเสียงของเขาเท่านั้น แต่มันคงไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่ หากหนึ่งในนั้นไม่ใช่ ซังจุน โปรดิวเซอร์คนที่เธอแอบรักมานาน

เรื่องนี้ทำให้ฮันนะเสียใจและคิดจะฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายเธอเลือกทำสิ่งตรงข้าม ฮันนะได้ตัดสินใจไปทำศัลยกรรมแปลงโฉมทั้งตัว ทั้งดูดไขมัน ลดความอ้วน เปลี่ยนตา ปรับจมูก แต่งปาก ทำทุกอย่างที่ทำได้ จนเหมือน ‘ตายแล้วเกิดใหม่’ เพราะหลังจากนั้นฮันนะเอง ก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ และทำเป็นไม่รู้จักใครอีกเลย แม้แต่พ่อของเธอเอง

จากนั้น ฮันนะ กลายเป็นนักร้องสาวสวยเสียงดี ชื่อ ‘เจนนี่’ หลังจากเขากลับไปสมัครเป็นนักร้องเงาเสียงที่ค่ายเดิมกับซังจุนอีกครั้ง ด้วยความที่สวยครบทุกอย่างแล้ว แถมมีพรสวรรค์เสียงดีเป็นทุนเดิม เจนนี่ หรือฮันนะเลยได้เป็นนักร้องจริง ๆ และสามารถกลับมามัดใจซังจุนได้ด้วยความสวยของเขา ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นแบบที่ฮันนะใฝ่ฝัน

หลังจากที่ฮันนะ ได้เป็นที่ต้องการ เป็นที่ยอมรับของสังคมและคนที่เขารักมากขึ้น แต่ฮันนะกลับรู้สึกว่าเธอ...

>> ‘พราก’ ตัวตนของตัวเองออกไปจากชีวิต

>> ‘พราก’ ครอบครัว คือ พ่อที่เธอรักให้ถอยห่างออกไป

>> ‘พราก’ เพื่อน ที่เคยอยู่เคียงข้างกายให้หมดสิ้นความหมาย

แม้ว่าจะมีทั้งความสวยพร้อม และรูปลักษณ์ภายนอกที่ครบสมบูรณ์ตามที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่นี่คือสิ่งที่เธอต้องเสียไปทั้งหมด

ทว่า จนแล้วจนรอด สุดท้ายวันหนึ่ง ซังจุน ก็ได้รู้ความจริงว่า เจนนี่สาวสวย คือ ฮันนะสาวอ้วน และเขาก็ยอมรับไม่ได้ที่ฮันนะทำศัลยกรรมมา แถมซังจุนก็ยังมองว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นฮันนะหรือเจนนี่ ก็เป็นแค่สินค้าที่จะทำเงินให้ซังจุนเท่านั้น

อย่างไรเสีย ฉากจบของเรื่อง เกิดขึ้นในงานคอนเสิร์ต โดย เจนนี่ หรือ ฮันนะ ได้สารภาพว่าตัวเองคือ ฮันนะสาวอ้วนที่คอยเป็นลิปซิงค์ให้ศิลปินหลังเวที แถมยังทำศัลยกรรมมาทั้งตัว แต่สุดท้าย ก็เป็นไปตามพลอตเรื่องของหนังที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะแฟนคลับก็รับได้ในสิ่งที่เขาเป็น จากผลงานและความสามารถของเขา และเธอก็ได้ใจของ ซังจุน รวมถึงได้สิ่งที่เธอเสียไป ไม่ว่าจะเป็นตัวตน ครอบครัว และเพื่อนกลับมา

ถึงกระนั้น หากสะท้อนภาพเสียดสีเจ็บๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้จะพบว่า ‘ความดูดี’ กำลังกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่น่าเศร้า สังคมที่โลกสวยและชอบพูดหน้าฉากว่า ‘นิยมคนดี คนเก่ง’ กลับเทียบไม่ได้เลยกับ ‘ความดูดี’ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อให้เห็นชัดจาก ฮันนะ ที่ต่อให้มีความสามารถแค่ไหน แต่รูปร่างหน้าตาไม่ผ่าน ก็ไร้ประโยชน์

ว่าแต่สังคมเราทุกวันนี้ ยังเป็นแบบนั้นกันจริงๆ อยู่หรือเปล่า?

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คืออะไร?

...ภาพลักษณ์ที่ดูดี

...ความสามารถ

...หรือ จิตใจดีๆ แบบไหน คือ คำตอบ?

แล้วสรุปเราควรจะเลือกเป็น ‘ฮันนะ’ หรือ ‘เจนนี่’ ดีในสังคมทุกวันนี้?

‘มหากาพย์การอดอาหาร’ สู้เพื่อความยุติธรรม หรือเพื่อเจตนาอันใด?

เลขที่ออก 94...

ขึ้นต้นมาด้วยตัวเลข ไม่ได้ใบ้หวยแต่อย่างใด แค่หยิบยกเอาตัวเลขจากข่าวที่หลายคนติดตามกันมานานพอสมควร นั่นคือ การอดอาหารประท้วง ของ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่เมื่อสัปดาห์ก่อน มีรายงานออกมาว่า เพนกวินมีน้ำหนักลดฮวบลง ตัวเลขอยู่ที่ราว ๆ 94 กิโลกรัม จากน้ำหนัก 110 กิโลกรัม สาเหตุก็มาจากการประท้วงอดอาหาร หลังจากไม่ได้รับการประกันตัวจากศาลเสียที

80 กว่าวันกับการอยู่ในเรือนจำ และ 40 กว่าวันกับการอดอาหาร รวมกับอีก 9 ครั้งในการยื่นขอประกันตัว และหากนับถึงเวลาที่บทความนี้ออกสู่สายตาคุณ น่าจะทราบผลแล้วว่า การยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 10 ของเพนกวิน (ในวันที่ 6 พ.ค.) ผลจะออกมาเป็นเช่นไร

กลับมาที่กิจกรรม ‘การอดอาหารประท้วง’ กันอีกที หลายคนอาจพอทราบกันมาบ้าง ว่าเป็น ‘กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์’

สืบย้อนกลับไป การอดอาหารประท้วงมีมานานตั้งแต่ยุคโรมัน เคยมีการอดอาหารประท้วงจักรพรรดิโรมัน เพื่อขออนุมัติการเดินทางจากเหล่าขุนนาง หรือแม้แต่ที่อินเดีย ก็เคยมีการอดอาหารที่หน้าบ้านพวกเศรษฐี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมที่ถูกข่มเหงรังแก รวมถึงการอดอาหารอยู่หน้าบ้านคู่กรณี เพื่อประท้วงที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในบันทึกของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เรื่องราวการอดอาหารที่ผู้คนคุ้นเคย คงหนีไม่พ้น การอดอาหารในตำนานของ ‘มหาตมะ คานธี’ ในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของอินเดียจากอังกฤษ ช่วงปี ค.ศ. 1919 – 1947

หรืออีกเหตุการณ์สำคัญในช่วงปี ค.ศ. 1981 นักโทษกองกำลังกู้ชาติของไอร์แลนด์เหนือ ที่ถูกจับกุมในข้อหาก่อความไม่สงบ จากสาเหตุการประท้วงให้มีการแบ่งแยกดินแดนจากอังกฤษ ต่อมานักโทษเหล่านี้ได้ทำการประท้วงด้วยการอดอาหาร จนมีผู้เสียชีวิตไปถึง 10 ราย จนเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำเอารัฐบาลอังกฤษ ภายใต้การนำของนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าใจร้ายใจดำ เนื่องจากปล่อยให้มีเหตุการณ์ยืดเยื้อจนมีคนตายในที่สุด

มาที่เมืองไทยของเรา หลายคนยังจำกันได้ ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์อดอาหารประท้วงของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร ในการขับไล่ พลเอกสุจินดา คราประยูร ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี พ.ศ. 2535

และล่าสุด เหตุการณ์การอดอาหารของเพนกวิน-พริษฐ์ (รวมไปถึง รุ้ง – ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) หลังจากที่ทั้งสองคนทำการยื่นขอประกันตัวต่อศาล เรียกว่ายื่นแล้วยื่นอีก แต่ยื่นยังไงก็ไม่ผ่าน จนต้องออกมาอดอาหารประท้วงกันอย่างที่เห็น

หยิบยกเหตุการณ์จากอดีตสู่ปัจจุบันมาเล่าถึง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมการอดอาหาร ถูกนำมาใช้ ‘ข้อเรียกร้อง’ ต่อเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง กันมานักต่อนัก

แต่เรื่องที่ควรรู้อย่างหนึ่งของการอดอาหารประท้วง คือ หลักการสำคัญนี้... “เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตาย หรือไม่ได้เป็นการประกาศฆ่าตัวตาย แต่เป็นการทรมานร่างกายของผู้ประท้วง เพื่อเรียกร้องคู่กรณีให้หันมาพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้น จากการกระทำอันอยุติธรรมของคู่กรณีต่อผู้ประท้วง”

ขอขีดเส้นใต้ตัวโตๆ ตรงประโยค >> ‘จากการะทำอัน อยุติธรรม ของคู่กรณีต่อผู้ประท้วง’ ไว้สักนิด แล้วตัดภาพกลับมาคิดต่อกับเรื่องราว ‘การอดอาหารของเพนกวินและรุ้ง’ เพราะอย่างที่เล่าไปว่า พวกเขาได้ทำการขอยื่นประกันตัวต่อศาลมาหลายครั้ง จนภาพที่ออกมา ดูเหมือนว่า กระบวนการยุติธรรม ทำหน้าที่ ‘ไม่ค่อยจะยุติธรรม’ สักเท่าไร

พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะหยิบประโยคที่ขีดเส้นใต้ข้างต้นมาเรียบเรียงเหตุการณ์นี้ใหม่ จะตีความได้ว่า ‘เพนกวิน-รุ้ง อดอาหารประท้วง จากการกระทำอันอยุติธรรมของศาล’ ขยายความเพิ่มอีกนิด เพนกวิน-รุ้ง อดอาหารจากการที่ศาลไม่ยอมให้ประกันตัว เพราะศาลทำหน้าที่อย่างไม่ยุติธรรม

ใช่หรือไม่?

มาดูข้อเท็จจริงทางด้านศาลกันบ้าง เล่าโดยย่อในประเด็นที่ว่า การพิจารณาการปล่อยตัวชั่วคราวจากกรณีนี้ ศาลต้องใช้หลักกฎหมายตามมาตรา 108/1 ซึ่งหัวใจสำคัญมีอยู่ว่า หากให้ประกันแล้ว จะไม่ไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือพูดง่ายๆ ว่า เรื่องที่เคยกระทำมาแล้ว ห้ามไม่ให้กลับไปทำอีก

แต่จากข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน ที่ผ่านมา ทั้งเพนกวินและรุ้ง ไม่เคยมีการยื่นคำร้องใน ‘เงื่อนไขนี้’ ไปที่ศาลเลย มากไปกว่านั้น ในการขึ้นไต่สวนหลายครั้งที่ผ่านมา ยังมีพฤติกรรมขอถอนกระบวนการพิจารณา ถอนทนาย พร้อมทั้งไม่ลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา รวมถึงนำรายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนเอง ภายหลังจากที่ศาลลงจากบัลลังก์ไปแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้ขาดความน่าเชื่อถือ และทำให้ศาล ไม่เชื่อว่า จำเลยจะกระทำตามเงื่อนไขได้

กรณีกลับกัน ในรายของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน) เเละนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม (หมอลำแบงค์) เหล่าผู้ต้องหาที่อยู่ในกรณีเดียวกัน แต่ทั้ง 3 คน ได้มีการลงชื่อในคำร้อง และยืนยันต่อศาล ขอให้ศาลทำการไต่สวน และทำการแถลงต่อศาลด้วยตนเองว่า จะไม่กระทำลักษณะที่ถูกฟ้อง และจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่น เมื่อศาลรับเงื่อนไข จึงนำมาสู่การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างที่ปรากฎ

เรื่องเดียวกัน แต่ผลออกมาต่างกัน!!

สาเหตุง่ายๆ ไม่ซับซ้อน!! ก็เพราะการกระทำที่ไม่เหมือนกันไง!!

เรื่องราวเหล่านี้ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ ‘ความยุติธรรมหรืออยุติธรรม’ หากแต่อยู่ที่การปฏิบัติตาม ‘หลักการ’ หรือไม่? ซึ่งสุดท้าย ก็ต้องย้อนกลับไปถามถึง ‘เจตนา’ ของผู้อดอาหารประท้วงแล้วล่ะว่า ทำไมถึงไม่ยอมรับหลักการนั้น?

อย่างที่บอกไปว่า ก่อนบทความนี้จะออกสู่สายตาคุณ ข่าวการยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 10 ของเพนกวิน น่าจะทราบผลกันแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าใจถึงหลักการ รู้ถึงที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิด น่าจะเป็น ‘สาระสำคัญ’ มากกว่าความขุ่นข้องหมองใจ ต่อเรื่องราวการประท้วงที่ไม่เป็นผล หรือแม้แต่การพากันทุกข์ใจต่อร่างกายที่ทรุดหนักของเพนกวิน หรือรุ้งเองก็ตาม

ถึงตรงนี้ หน้าประวัติศาสตร์ของ ‘การอดอาหาร’ อาจไม่มีความหมายใดๆ เลย ถ้าเราไม่พยายามเข้าใจถึง ‘บริบท’ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง

อดอาหารน่ะ ‘อดได้’ แต่ถ้าขาดความรู้และปัญญา ปัญหามันก็ไม่มีทางหมดไปได้ร้อก!!


ข้อมูลอ้างอิง:

https://en.wikipedia.org/wiki/Hunger_strike,

https://www.matichon.co.th/columnists/news_253996,

https://www.naewna.com/local/569779,

https://www.facebook.com/800980833325664/posts/871902402900173/,

https://prachatai.com/journal/2006/03/7610


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top