Saturday, 12 October 2024
Special News Team

‘พีระพันธุ์’ ชู ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ แก้ปัญหาคนเบี้ยว กยศ. ใช้แรงงาน-ความรู้ ทำงานให้รัฐแทนการใช้เงินคืน

(20 เม.ย.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงนโยบาย ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ ว่า เป็นนโยบายที่พรรคจะนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ภาครัฐ เช่น หนี้จากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่มีข้อถกเถียงกันมากก่อนหน้านี้ว่า จะยกเลิกหรือจะฟ้องร้องบังคับคดีกับผู้ที่ไม่ยอมใช้หนี้กองทุนฯ หลังจากที่กู้ยืมไปแล้ว โดยเห็นว่านโยบายการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาดังกล่าว มีจุดประสงค์สำคัญคือ การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ขาดโอกาสได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีความรู้จากการศึกษา โดยเด็กจำนวนมากไม่มีเงินทุนพอที่จะเรียน จึงเกิดโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาขึ้นมา แต่เมื่อเข้าไปเรียนแล้วได้ความรู้มาแล้ว หลายคนไม่ยอมกลับมาใช้หนี้กองทุนที่กู้ยืมไปจนกลายเป็นปัญหาส่งไปถึงรุ่นน้องๆ ต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า หากพิจารณาจากผู้ที่ไม่กลับมาใช้หนี้ กยศ.นี้จะเห็นได้ว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ตั้งใจจะไม่ใช้หนี้คืนเลยกลุ่มคนประเภทนี้จำเป็นต้องจัดการเด็ดขาด ด้วยการฟ้องร้องบังคับคดีเพราะเป็นคนที่ตั้งใจไม่ใช้หนี้ ทำให้รุ่นน้องเสียโอกาส 

ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ตั้งใจโกง แต่ประสบปัญหายังหางานทำไม่ได้ หรือได้งานแต่ว่าเงินเดือนไม่เพียงพอ เขาไม่อยากโกงแต่ไม่มีเงินใช้

‘เศรษฐา’ ยกทีมลงพื้นที่ตลาดบางลำภู จ.ขอนแก่น บรรยากาศคึกคัก แม่ค้าโผกอดขอถ่ายรูป เชียร์เป็นนายกฯ

(19 เม.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรคพท. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจ พรรคพท. พานายชัชวาล พรอมรธรรม ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น เขต 1 เบอร์ 6 พรรคเพื่อไทย เดินหาเสียงในพื้นที่ตลาดบางลำภู อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น สำหรับบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีแม่ค้าอาหารทะเลสดตะโกน “อยากกอดนายกฯ จังเลย” ก่อนเข้าโผกอดและขอเซลฟี่ โดยนายเศรษฐา กล่าวตอบรับว่า “ฝากเบอร์ 6 และเบอร์ 29 ด้วยนะครับ” ด้านแม่ค้าร้านขายปลา ทักทายนายพานทองแท้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ลูกทักษิณใช่หรือไม่”

ตลท. จับมือ ‘ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้’ แลกเปลี่ยนข้อมูล เชื่อมโยงโอกาสลงทุน ระหว่าง 2 ตลาดหุ้น

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange: SSE) เชื่อมโยงข้อมูลการลงทุนให้หลักทรัพย์ไทยและจีนเป็นที่รู้จัก ผ่าน www.settrade.com และ www.csindex.com.cn เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 ประเทศ 

(27 มี.ค. 66) นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เชื่อมโยงข้อมูลการลงทุนให้หลักทรัพย์ไทยและจีนเป็นที่รู้จัก โดยความร่วมมือนี้อยู่ภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านดัชนี (Index Cross-border Cooperation) ที่จัดทำขึ้นระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัท China Securities Index Company Limited (CSI) ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดทำและเผยแพร่ดัชนีในเครือตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เพื่อแลกเปลี่ยนการเผยแพร่ข้อมูลดัชนี โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำข้อมูลดัชนีของตลาดทุนไทยไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ CSI เพื่อชูศักยภาพและความน่าสนใจลงทุนของตลาดทุนไทย และเพื่อให้ผู้ลงทุนในประเทศจีนได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ CSI มีเครือข่ายผู้ใช้ข้อมูลเฉลี่ย 8,000 รายต่อวัน ความร่วมมือด้านดัชนีครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นผลจากการหารือเชิงลึกระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการตลาดทุนระหว่างสองตลาด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียนด้านดัชนี ทั้งนี้ นายจาง จื่อหมิง ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท China Securities Index Company Limited (CSI) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การเชื่อมโยงข้อมูลดัชนีนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างตลาดทุนจีนและอาเซียน ซึ่ง CSI มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ทั้งสองแห่ง ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มการรับรู้และความน่าสนใจในดัชนีของจีนในระดับสากล

ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถติดตามข้อมูลการเผยแพร่ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ไทย ประกอบด้วย ดัชนี SET Index, SET 50 Index และ SET THSI Index ได้ที่ www.csindex.com.cn และดัชนีของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ประกอบด้วย ดัชนี SSE Composite Index, SSE 50 Index, SSE Science and Technology Innovation Board 50 Index, CSI 300 Index และ CSI Smallcap 500 Index ที่ www.settrade.com ภายใต้เมนู Global โดยใช้ชื่อว่า “International Index Cooperation”

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันตั้งแต่ปี 2553 เพื่อขยายโอกาสให้หลักทรัพย์ไทยและจีนเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสการเชื่อมโยงทั้งสองตลาดเพื่อเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนบุคลากรและจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง

‘ตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า’ ยื่นหนังสือร้องถึง พปชร. เร่งแก้กฎหมาย - ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน

(9 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ รับเรื่องร้องเรียนจากตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า พร้อมนายศิระ อวยศิลป์ หัวหน้าพรรคไทยเป็นหนึ่ง ยื่นหนังสือต่อ เพื่อให้ทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม

นายรัฐภูมิ ระบุว่า พรรคไทยเป็นหนึ่ง ได้ส่งเรื่องให้กับพรรคพลังประชารัฐ ช่วยผลักดันการจำหน่าย และใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย เพราะมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก เมื่อใช้แล้วก็ถูกจับ อีกทั้งข้อกฎหมายบางข้อไม่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน

นายศิระ กล่าวว่า เรากำหนดนโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฏหมายตั้งแต่เริ่มตั้งพรรค และนโยบายของเราได้รับสนับสนุนจากกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า เห็นว่านายชัยวุฒิ จะเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ ตนมีนโยบายคล้ายกัน จึงอยากจะร่วมผลักดันให้เรื่องนี้ถูกต้องตามกฏหมาย หากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย จะมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้า ทำให้ไม่เกิดผลเสียหรือผลกระทบ พรรคพลังประชารัฐและพรรคไทยเป็นหนึ่ง มีจุดยืนร่วมกัน เป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาพบกันแล้วคุยกับข้อเรียกร้องต่าง ๆ

กลุ่ม ปตท. ดันเทคโนโลยีดิจิทัล หนุน ศก.สร้างสรรค์ ช่วยขับเคลื่อนเสน่ห์ Soft Power ไทยสู่เวทีสากล

กลุ่ม ปตท. ร่วมขับเคลื่อน Soft Power ไทย ดันเทคโนโลยีดิจิทัลหนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมส่งออกคอนเทนต์ไทยคุณภาพสู่เวทีสากล จับมือพันธมิตรต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย สนับสนุน ‘ระบบนิเวศสร้างสรรค์’ ผ่านอุตสาหกรรมคอนเทนต์ มุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้ได้มาตรฐานสากล รองรับการผลิตคอนเทนต์ไทยสู่ตลาดโลก เพื่อพัฒนารายได้และคุณภาพชีวิตคนไทย ยกระดับเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการแพร่ขยายอิทธิพลทางค่านิยม หรือ วัฒนธรรม ที่นานาประเทศผลักดันให้เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) 

ปตท. เล็งเห็นถึงโอกาสของการต่อยอดแนวคิดดังกล่าว เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงานให้พร้อมรับการแข่งขันบนเวทีโลก ด้วยวิสัยทัศน์ “Powering Life with Future Energy and Beyond” จึงจัดตั้งโครงการ Soft Power for Better Thailand ขึ้น เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์ไทย หรือ 'เสน่ห์ไทย' ที่เกิดจากวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีปฏิบัติอันเป็นภูมิปัญญาของประเทศไทย ที่อยู่ในความสนใจของชาวต่างชาติ ซึ่งนอกจากจะเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจที่จะสามารถดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพื่อขยายฐานอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Industry) ในประเทศไทย ที่จะช่วยสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังสถานการณ์โรคติดเชื้อ COVID-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อีกทางหนึ่งด้วย 

“ปตท. จับมือพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ ทั้งจาก บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV) บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านซอฟท์พาวเวอร์ ผ่านการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย ภายใต้แนวคิด TECH CREATE FUN คือ การนำเทคโนโลยี (TECH) เช่น Virtual Reality, Augmented Reality, Drone และ Metaverse เป็นต้น มาเสริมศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลงาน (CREATE) เช่น ภาพยนตร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ หรือ งานศิลปะ เพื่อให้ทั้งผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีขึ้น (FUN) รวมไปถึงยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ในการจัดกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาซอฟท์พาวเวอร์ไทย ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมคอนเทนต์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร การสนับสนุนด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยมียุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่...

1. สร้างคอนเทนต์ไทยสู่สากล ผ่านโครงการ Content Lab โดยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) จัดโปรแกรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับผลิตภาพยนตร์ ซีรีส์ งานโฆษณา งานอีเวนต์ และเกม ให้กับนักเรียน นักศึกษา นักสร้างอนิเมชั่น และบุคคลทั่วไปที่สนใจ เพื่อต่อยอดการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) สำหรับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ทันสมัยเทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล รวมถึงได้รับประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีการถ่ายทำชั้นนำของประเทศไทย โดยจะมีกิจกรรม Open House โครงการในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้

2. สร้างบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ TGIF - Technology is Fun โดยนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการยกระดับซอฟท์พาวเวอร์ จัดแสดงที่มหาวิทยาลัย 11 แห่งทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมีนาคม - กันยายน 2566 เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ได้มีโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่จะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศได้ในเชิงพาณิชย์ 

และ 3. จัดแสดงศักยภาพซอฟท์พาวเวอร์ด้านศิลปะไทย ผ่านนิทรรศการ “Locating the Locals: A Virtual Exhibition by PTT” โดยคัดเลือกผลงานบางส่วนจากการจัดประกวดศิลปกรรม ปตท. ที่เคยได้รับรางวัลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 นำออกจัดแสดงอีกครั้ง โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ชมบนพื้นที่จัดแสดงศิลปะแบบเสมือนจริง (Virtual Art Gallery) ซึ่งนอกจากการจัดแสดงครั้งแรก ณ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ เมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ได้การตอบรับเป็นอย่างดีแล้ว นิทรรศการนี้จะมีการจัดแสดงขึ้นอีกในงาน Bangkok Design Week 2023 ณ River City Bangkok ระหว่างวันที่ 4 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 และ Isan Creative Festival 2023 ณ จ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 1 - 9 เมษายน 2566 ซึ่งผู้สนใจยังสามารถชมนิทรรศการในโลกเสมือนที่ virtualspacebyptt.com ได้อีกด้วย”

DES เตือนสายช็อปซื้อของออนไลน์ช่วงปีใหม่ หากพบปัญหา แจ้งสายด่วน 1212 ได้ตลอด 24 ชม.

(29 ธ.ค. 65) นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ในเทศกาลปีใหม่ จะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจำนวนมากจะซื้อสินค้าในราคาพิเศษและโปรโมชันต่าง ๆ มากมาย อีกช่องทางในการซื้อสินค้าคือการสั่งซื้อทางออนไลน์ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอฝากเตือนประชาชนในการซื้อสินค้าให้สามารถซื้อสินค้าได้อย่างคุ้มค่า และปลอดภัย ดังนี้

1. เลือกดูสินค้าและสังเกตราคาก่อนเข้าร่วมโปรโมชั่นให้ดี ควรสำรวจราคาสินค้าที่ต้องการซื้อ เพื่อดูว่าสินค้าในราคาปกติก่อนเข้าร่วมโปรโมชันลดราคานั้นมีราคาเท่าไร เพราะบ่อยครั้งที่บางร้านใช้โอกาสติดป้าย ลดราคาเพื่อร่วมแคมเปญ แต่ถือโอกาสขึ้นราคาสินค้าให้แพงกว่าปกติ รวมทั้งเปรียบเทียบราคาสินค้าชนิดเดียวกันจากหลายร้านค้าเพื่อให้ได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด

2. ศึกษาร้านค้าก่อนเลือกซื้อ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าออนไลน์เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ควรทำไม่ว่าจะเป็นการตรวจดูว่าร้านค้านั้น ๆ ได้รับการรับรองจากแพลตฟอร์มหรือไม่ อ่านรีวิวสินค้าจากผู้ซื้อคนอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจ หรืออ่านนโยบายดูแลหลังการขาย / การเคลมสินค้าของร้าน

3. ศึกษาโปรโมชั่นพิเศษ / โค้ดส่วนลด เนื่องจากบ่อยครั้งสิทธิพิเศษต่าง ๆ จะมีจำนวนจำกัด หากอยากได้สินค้าในราคาที่สุดคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม ก็ควรทำการศึกษาเงื่อนไขโปรโมชัน ระยะเวลาที่เข้าร่วมโปรโมชัน และเตรียมตัวเก็บโค้ดส่วนลดในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ร้านค้าได้จัดเตรียมไว้ให้ผู้ซื้อ

15 ธันวาคม วันชาสากล วันรณรงค์ให้ตั้งราคาสินค้าใบชาอย่างเป็นธรรม กับเครื่องดื่มที่อยู่คู่มนุษยชาติกว่า 2,000 ปี

‘วันชาสากล’ วันที่เกษตรกรผู้ปลูกชา ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการค้าชา และเป็นวันแห่งเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก!!

วันที่ 15 ธันวาคมของทุกปีเป็น ถูกยกให้เป็น ‘วันชาสากล’ (International Tea Day) วันนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2548 จุดเริ่มต้นมาจากเกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ ในเบงกอลตะวันตก และหลายรัฐทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิและความชอบธรรมในการค้าชาของตน โดยในช่วงนั้น แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่อุตสาหกรรมค้าชาในประเทศอินเดียกลับมีความอ่อนแอและบริหารจัดการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ 

กระทั่งองค์กรเพื่อการสื่อสารและการศึกษาของประเทศอินเดีย (CEC – Centre for Communication and Education) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสิทธิของเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยได้รับความร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติด้วยอีกทาง ในที่สุดจึงสามารถเข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ค้าชากลุ่มย่อย ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมในการค้าชาและทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

กรมศุลฯ ดักจับแก๊งนำเข้าเนื้อสุกรแช่แข็ง มูลค่า 1.4 แสนบาท จำนวน 950 กก.

กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งซุกซ่อนในรถกระบะ จำนวน 950 กิโลกรัม รวมมูลค่า 141,300 บาท บริเวณถนนป่าไร่-ดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดย นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษา ด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย 

กรมศุลกากรจึงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ เข้มงวดในการตรวจค้นจุดที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรเข้ามาในประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค พร้อมปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศอย่างต่อเนื่อง 

โดย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอรัญประเทศได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเอาเนื้อสุกรที่ชำแหละแล้วจากฝั่งประเทศกัมพูชาเข้ามาในประเทศตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ในพื้นที่ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจึงได้วางแผนจับกุม พบรถยนต์กระบะต้องสงสัย ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน บริเวณถนนป่าไร่-ดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้เทศบาลตำบลป่าไร่ และอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 3 กิโลเมตร ผลการตรวจค้นพบเนื้อสุกรแช่แข็งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติก และจากการได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าเนื้อสุกรดังกล่าวเป็นเนื้อสุกรที่ลักลอบนำมาจากฝั่งประเทศกัมพูชาโดยที่ยังไม่ผ่านพิธีการทางด่านศุลกากร จำนวน 950 กิโลกรัม มูลค่า 141,300 บาท

แอควา พาวเวอร์ - ปตท. - กฟผ. ร่วมลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย เดินหน้าสู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

ปตท. เดินหน้าเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไทย ผนึก แอควา พาวเวอร์ - กฟผ. ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย สู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ตอบรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดของประเทศและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน อับดุลอาซิซ อัล-เซาด์ (His Royal Highness Prince Abdulaziz bin Abdulaziz AL-Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Minister of Energy of the Kingdom of Saudi Arabia) และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาและลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) เพื่อตอบสนองการใช้พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังภูมิภาคใกล้เคียง ระหว่าง บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด (ACWA Power) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน ณ บ้านปาร์คนายเลิศ กรุงเทพฯ

ตามที่รัฐบาลได้ประกาศคำมั่นว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 ประเทศไทยมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนตํ่า (Low-Carbon Circular Economy) ของประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ท้าทายนี้ แอควา พาวเวอร์ ปตท. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันศึกษาโอกาสการลงทุนด้านพลังงานสะอาด เพื่อจัดตั้งโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย และมีเป้าหมายผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทยประมาณ 2.25 แสนตันต่อปี หรือเทียบเท่ากรีนแอมโมเนีย 1.2 ล้านตันต่อปี ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบรับเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และศึกษาโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน

นายแพดดี้ ปัทมานาทาน รองประธานกรรมการ บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การประกาศความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบีย ในการสนับสนุนพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การสนับสนุนและร่วมศึกษาโอกาสการลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) ในประเทศไทย ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกับซาอุดีอาระเบีย ส่งมอบพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพึ่งพาได้ เป็นการส่งเสริมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับวาระด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. ในครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานที่จำเป็น รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม ตลอดจนทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายต่อไป

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. มุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมสร้างเสถียรภาพทางด้านพลังงานแห่งอนาคตให้กับประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ 'Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต' ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ในการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญระดับประเทศและระดับโลก ปตท. จึงตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15  ภายในปี ค.ศ. 2030  บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ

ผบ.ตร. มอบรางวัลคลิป ฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด และคลิปอื่นๆใน 'โครงการอาสาตาจราจร' รวมเงินรางวัลกว่า 60,000 บาท เร่งประชาสัมพันธ์การใช้โทรศัพท์ ขณะขับรถอย่างถูกกฎหมาย

วันนี้ (19 ต.ค. 65) เวลา 10.00 น.ณ ห้องศรียานนท์ โซนซี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รอง จตช., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษา ฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์  สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100 

ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปที่บันทึกเหตุการณ์ฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด ที่ถนนสุขุมวิท และคลิปกล้องหน้ารถอื่นๆ อีก 10 รางวัล (คลิปประจำเดือน ส.ค.2565) รวมเงินรางวัล จำนวน 60,000 บาท โดยมีบริษัท วิริยะฯ สนับสนุนเงินรางวัลในกิจกรรมดังกล่าว  

ผบ.ตร.กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการรณรงค์เพื่อร่วมกันสร้างจิตสำนึกในการขับรถตามกฎจราจร เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน  โดยผู้ที่พบเห็นการทำผิดกฎจราจร หรือพบเห็นอุบัติเหตุจราจรสำคัญ ให้บันทึกเหตุการณ์จากคลิปกล้องหน้ารถ หรือกล้องโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งมาให้ในเพจตำรวจทางหลวง หรือเพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  

นอกจากนั้น จะขยายช่องทางการตรวจสอบคลิปที่แชร์การทำผิดกฎจราจร ใน Platform ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น Twitter หรือ Tiktok ตัวอย่างเช่น คลิปฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด ที่ถนนสุขุมวิท เมื่อวันที่ 14 ต.ค.65 ได้มาจาก TIKTOK ซึ่งประชาชนที่พบเหตุการณ์ดังกล่าว ได้บันทึกจากโทรศัพท์มือถือ โดยผู้โดยสารที่ซ้อนท้ายเป็นผู้ถ่ายคลิป และหลักฐานจากคลิปดังกล่าว สามารถเป็นข้อมูลให้ตำรวจ สน.ลุมพินี สามารถติดตามผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นชาวต่างชาติมาดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา “กีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวางหรือทอดทิ้งสิ่งของหรือกระทำด้วยประการอื่นใด” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ปรับเป็นเงิน 1,000 บาท ซึ่งคลิปเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น คลิปที่สามารถเป็นอุทาหรณ์แสดงถึงอันตรายที่เกิดจาก ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร หรือคลิปที่สามารถเป็นพยานหลักฐานในการติดตามผู้กระทำผิดมารับโทษ จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากมูลนิธิเมาไม่ขับและบริษัท วิริยะประกันภัยฯ เดือนละ 10 รางวัล โดยคลิปที่ได้ลำดับ 1 จะได้รับรางวัลสูงสุดถึง 20,000 บาท


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top