Monday, 20 May 2024
Special News Team

‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้บุกเบิกเส้นทางการเมือง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ นักการเมือง ‘แมวเก้าชีวิต’ ที่ครบเครื่องทั้ง ‘ฝีมือ-กึ๋น-บารมี’

ในยุทธจักรการเมืองช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ตระกูลการเมืองที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ เหตุเพราะนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ได้กระโดดเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการตั้งพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2561 ก่อนจะเข้าสู่สนามการเลือกตั้ง เมื่อปี 2562 และถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค พร้อมกับตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี กรณีให้เงินพรรคกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท 

แม้ว่า จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่เชื่อของ ‘ธนาธร’ ก็ไม่ได้ห่างหายจากวงการการเมือง โดยได้ตั้งคณะก้าวหน้า และว่ากันว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ‘พรรคก้าวไกล’ ซึ่งเป็นพรรคสำรองของอนาคตใหม่ และตัว ‘ธนาธร’ แสดงตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดเจน จะเห็นได้จากการออกมาวิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อยู่เนืองๆ แม้ไม่ได้ทำงานในฐานะส.ส.แล้วก็ตาม

‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ไม่ได้มีแค่ ‘ธนาธร’

แต่หากจะย้อนดูเส้นทางทางการเมืองของตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ นั้น ผู้บุกเบิกที่แท้จริงนั่นคือ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ (บุตรของพัฒนา และ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ) นั่นเอง ต้องยอมรับว่าชื่อชั้นของ ‘สุริยะ’ นั้นได้สั่งสมบารมีทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้คนทุกวงการทั้งในด้านการเมืองและธุรกิจ ต่างให้การยอมรับในฝีมือ ที่สำคัญเป็นหนึ่งในบุคคลที่สามารถทำงานให้กับประเทศชาติได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสีเสื้อพรรคใดก็ตาม

เมื่อย้อนดูเส้นทางชีวิตของ ‘สุริยะ’ เขาไม่เพียงประสบความสำเร็จทางการเมืองเท่านั้น แต่ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่วงการการเมือง ตัวเขาเองนับเป็นนักธุรกิจที่มากด้วยฝีมือ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่นำพาเครือ ‘ซัมมิท’ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เบอร์ 1 ของประเทศ ก่อนที่ผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการเมืองเมื่อราวปี 2540

สำหรับประวัติส่วนตัวของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497 เป็นคนกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ อาฮง แซ่จึง (ถึงแก่กรรม) และบ่วยเชียง แซ่โป่ว (ถึงแก่กรรม) โดยเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน (คนที่ 2-5 ใช้นามสกุล จึงรุ่งเรืองกิจ) ดังนี้ สรรเสริญ จุฬางกูร, ดร.พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ, โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ อิสริยา จึงรุ่งเรืองกิจ (เดิมชื่อ อริสดา) น้องสาวคนที่ 5

ช่วงวัยเรียน ‘สุริยะ’ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก หลังจบระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้เข้าศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เพราะด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น จึงได้เรียนแค่ครึ่งปีเท่านั้น ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแทน

กระทั่งเมื่อปี 2521 จบระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของโลก

หลังจบการศึกษากลับมาจากสหรัฐ อเมริกา ซึ่งในขณะนั้น พี่ชายทั้งสอง คือ ‘สรรเสริญ’ และ ‘พัฒนา’ ต่างเป็นเจ้าของธุรกิจ โดย ‘สรรเสริญ’ เป็นเจ้าของซัมมิท ส่วน ‘พัฒนา’ แยกออกมาเป็นไทยซัมมิท ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการให้ ‘สุริยะ’ ไปช่วยงานของตนเอง

และท้ายที่สุด ‘สุริยะ’ ได้ตัดสินใจไปช่วยงาน ‘สรรเสริญ’ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล ที่ซัมมิท ก่อนแตกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเองในที่สุด ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนั้น ก็คือ ‘โกมล’ พี่ชายคนกลางนั่นเอง

ถึงแม้ว่า ‘สุริยะ’ จะตัดสินใจไปช่วยงาน ‘สรรเสริญ’ แต่ในด้านความสัมพันธ์กับ ‘พัฒนา’ ยังคงแนบแน่น เพราะถือเป็นน้องชายสุดที่รัก ช่วงที่เรียนอยู่ต่างแดน ‘พัฒนา’ ก็ทำหน้าที่ส่งเสียน้องชายตลอด กระทั่งกลับมาอยู่ไทย ช่วงหนึ่งก็พักที่บ้านเก่าของ ‘พัฒนา’ ที่สุขุมวิท ด้วยอุปนิสัยที่เข้ากับคนได้ทุกคน จึงทำให้ ‘สุริยะ’ มีสายสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องทุกคน

และด้วยสายสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องทุกคนนี่เอง จึงทำให้ ‘สุริยะ’ สามารถก้าวเข้าสู่วงการการเมืองได้อย่างไม่ลำบากนัก โดยมีพี่ ๆ เป็นแบ็คคอยหนุนหลังให้

ก่อนที่จะฉายแววเป็นนักการเมืองผู้มากด้วยบารมีดังเช่นทุกวันนี้ ‘สุริยะ’ ที่ผันตัวเองจากนักธุรกิจ เข้าสู่เส้นทางการเมืองในสีเสื้อของของพรรคกิจสังคม โดยเริ่มต้นด้วยการที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม - ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ – ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ก่อนที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2541 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ 

แต่ชื่อเสียงของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ’ เริ่มก้าวสู่ทำเนียบนักการเมืองระดับบิ๊กเนม เมื่อปี 2544 หลังจากแท็กทีม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ลาออกจากพรรคกิจสังคม แล้วย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ก่อตั้งพรรคใหม่ในขณะนั้น

ด้วยฐานเสียงของ ส.ส.ภาคเหนือตอนล่างในมือของ ‘สมศักดิ์’ ผนวกกับการมีทุนใหญ่อย่าง ‘สุริยะ’ ทำให้มุ้งการเมืองในชื่อ ‘กลุ่มวังบัวบาน’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นมุ้งใหญ่ที่มีอำนาจการต่อรองสูงขึ้นมาในทันที

แน่นอนว่า ด้วยทุนและอำนาจต่อรองในมือ รวมถึงการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถคุยได้กับทุกก๊กทุกก๊วนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ ‘สุริยะ’ ขยับขึ้นเป็นแกนนำหลักของ พรรคไทยรักไทย ในเวลาไม่นาน มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค และผู้สมัคร ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น พร้อมตามมาด้วยการเป็นเจ้ากระทรวงเกรดเอ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ปี 2544 และปี 2548) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ปี 2545 และปี 2548) เรื่อยมา โดย ‘สมศักดิ์’ ช่วยเหลือผลักดันอยู่เบื้องหลัง  

ก่อนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กลุ่มของ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ที่ได้แยกออกมาตั้งกลุ่ม ‘วังน้ำยม’ ถูกลดบทบาทลง โดยตำแหน่งสุดท้ายของ ‘สุริยะ’ ในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย เหลือเพียงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

หลังถูกยึดอำนาจปี 2549 ‘สุริยะ’ เก็บตัวเงียบ พร้อมข่าวลือที่ว่าเขาหลบไปรักษาอาการป่วยหนักที่ต่างประเทศประกอบกับขณะนั้น โดนพิษการเมืองเล่นงาน ซึ่งถือเป็นรอยด่างในชีวิตการเมือง ทั้งกรณีถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2550 จากคดียุบพรรคไทยรักไทย และถูก คสต. ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระภายในสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTX 9000 ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อปี 2548 แต่ต่อมา ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องไปเมื่อปลายปี 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แต่มักมีคำกล่าวว่า คนเก่งย่อมตกงานไม่นาน เมื่อจู่ ๆ ก็ปรากฏชื่อของ ‘สุริยะ’ หวนคืนสนามการเมืองอีกครั้งในนาม พรรคภูมิใจไทย ในปี 2552 เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เวทีเลือกตั้งในปี 2554 จากการชักชวนของอดีตแกนนำจากไทยรักไทย นำโดย ‘เนวิน ชิดชอบ’ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ แต่การเลือกตั้งในครั้งนั้น ได้จำนวน ส.ส.ต่ำกว่าเป้าอย่างมาก โดยได้มาเพียงแค่ 34 ที่นั่งเท่านั้น ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ และชื่อของ ‘สุริยะ’ ก็เริ่มหายจากหน้าสื่ออีกครั้ง

แต่แล้วเมื่อปลายปี 2561 ชื่อของ ‘สุริยะ’ ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อแท็กทีมกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน - สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ตั้ง กลุ่มสามมิตร ก่อนที่จะตั้งเป็น ‘พรรคพลังประชารัฐ’ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย

ภายใต้สีเสื้อของพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีหลายกลุ่มหลายก๊วน เรียกว่าเป็นแหล่งซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์ แต่ ‘สุริยะ’ ก็ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมาก โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน ทำให้ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ และถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐ กวาด ส.ส. มาได้กว่าร้อยที่นั่ง ตามหลังพรรคเพื่อไทยที่มากกว่า ราวสิบที่นั่งเท่านั้น พร้อมกับการได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ทำให้ ‘สุริยะ’ ได้หวนคืนกระทรวงอุตสาหกรรมอีกครั้ง ในฐานะเจ้ากระทรวงเป็นคำรบที่ 3 แม้หลายคนจะตั้งข้อสังเกตุว่า ที่ได้ตำแหน่งมา เพราะกุมจำนวนส.ส.ในมือจำนวนมาก

แต่หากมองให้ลึกลงไป รัฐบาลชุดนี้ ที่กำลังผลักดันประเทศให้ปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืน ถ้าจะมองหาใครซักคนในรัฐบาลชุดนี้ ที่มี ‘กึ๋น’ มีฝีมือเจนจัดในเรื่องอุตสาหกรรมของประเทศไทย เชื่อว่าชื่อแรกที่เด้งขึ้นต้องเป็น ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อย่างแน่นอน

เพราะ ‘บารมี’ และ ‘กึ๋น’ ของ ‘สุริยะ’ ที่สั่งสมมายาวนาน ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากแวดวงการเมืองเท่านั้น แต่ในฟากธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ต่างยอมรับในฝีมือของเจ้ากระทรวงคนนี้ ที่รู้ลึก รู้จริง ในทุกเรื่องที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ

แม้ในชีวิตการเมืองของ ‘สุริยะ’ จะมี ‘รอยด่าง’ อยู่บ้าง จากคดีความที่ถูกกล่าวหาโดยค.ต.ส. และการติดร่างแห คดียุบพรรคไทยรักไทย รวมถึงมีหลานอา อย่าง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่อยู่คนขั้วการเมืองอย่าง ‘ตัดขาด’ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน นอกจาก ‘นามสกุล’ เท่านั้น 

แต่หากพูดถึงฝีไม้ลายมือในการทำงานแล้ว ‘สุริยะ’ ไม่เป็นสองรองใครแน่ เพราะได้ผ่านการพิสูจน์ฝีมือมาแล้ว ไม่เช่นนั้น พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชวน พรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลทักษิณ ในนามพรรคไทยรักไทย จนมาถึงรัฐบาลพ.อ.ประยุทธ์ ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ ต่างยกให้เป็นมือ ‘ทำงาน’ ในกระทรวงสำคัญ ระดับเกรดเอ ทั้งสิ้น

เช่นนี้แล้ว คงปฏิเสธยากว่าผู้ยิ่งใหญ่ของกลุ่มสามมิตร ในพรรคพลังประชารัฐ นาม ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ คือหนึ่งใน ‘แมวเก้าชีวิต’ ของวงการการเมืองไทยอย่างแท้จริง

???? LOCK LENS GURU เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !! (17 พ.ค. - 21 พ.ค)

???? LOCK LENS GURU เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !!

???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม - วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม

???? ทุกเช้า 8 โมงตรง

???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้

 

????EP.16 วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม

???? GURU : ดร.โญธิน มานะบุญ

นักวิชาการอิสระ

▶️ หัวข้อ : Vietnamese Boat People รำลึก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ ชีวิตสุดสิ้นหวังของผู้อพยพลี้ภัยกลางทะเล

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050108

 

????EP.17 วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม

???? GURU : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา

อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

▶️ หัวข้อ : ฟ้าผ่า ภัย(ไม่)เงียบ ที่มาพร้อมกับพายุ ฝนฟ้าคะนอง

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021041704

.

????EP.18 วันพุธที่ 19 พฤษภาคม

???? GURU : ดร.พีรภัทร ฝอยทอง

ทนายความและที่ปรึกษากฏหมาย

▶️ หัวข้อ : โทเคนดิจิทัล ทางเลือกใหม่ของการลงทุนในยุคดิจิทัล

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042405

 

????EP.19 วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม

???? GURU : คุณอรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ

คอลัมน์นิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว

▶️ หัวข้อ : รู้จัก Nongshim บะหมี่เบอร์ 1 สัญชาติเกาหลีใต้ สำเร็จบนความศรัทธา ที่แลกมาด้วยการตัดพี่ตัดน้อง

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042508

.

????EP.20 วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม

???? GURU : อาจารย์อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์

อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

▶️ หัวข้อ : ถอดรหัส 'วันทอง' รอยต่อ 'ความสำเร็จ' ของช่องวัน ขึ้นแท่น “นัมเบอร์วัน” ละครหลังข่าว

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050213

 

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

 

???? ช่องทางรับชม LIVE

Facebook: THE STATES TIMES

YouTube: THE STATES TIMES

รู้จัก ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ‘พี่สาม’...ผู้ Low Profile แต่ High Profit เลือดแท้ ‘ตระกูลจึง’ นอกรั้วธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์

ภายหลังจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ประเทศไทยก็ได้มี 3 ส.ส. จาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ใช้นามสกุลเดียวกันว่า ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’

คนแรกคือ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ไพร่หมื่นล้าน หัวหน้าพรรค ‘อนาคตใหม่’ (ถูกยุบ)

อีก 2 ท่านคือ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้ลงสมัครในฐานะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ในอันดับที่ 2 และ 16

หลายคนอาจจะมองว่าตระกูลเดียวกัน ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด!! ต่อให้อยู่ฝ่ายการเมืองแบบคนละฟาก แต่สัมพันธภาพของครอบครัวก็พร้อมจะยอมรับกับเส้นทาง ‘ซ้าย’ หรือ ‘ขวา’ ของคนใน ‘ตระกูล’ แบบรู้เห็นเป็นใจกันบ้างไม่มากก็น้อย

แต่หากมองจาก ‘เส้นทาง’ ในปัจจุบันของ ส.ส. 2 ฟากจากวงเครือญาติเดียวกัน คงพอพูดได้ว่า ‘ยากจะบรรจบ’ เพียงแต่จะให้ฟันธงว่าทั้ง 2 ขั้วการเมืองในตระกูลเดียวกัน มีความขัดแย้งในแง่อื่นๆ หรือไม่นั้น? อันนี้พูดยาก!! พูดยาก!! พูดยาก!!

ทั้งนี้ หากลองไล่เรียงความเป็นมาของ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ จะพบว่า ตระกูลนี้เติบโตมาจากการทำมาค้าขายธุรกิจชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันเฉพาะแค่ ‘ซัมมิท’ และ ‘ไทยซัมมิท’ (ธนาธร) ก็น่าจะครอบคลุมส่วนแบ่งตลาดในไทยไปแล้วกว่า 80% แล้ว

….แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าตระกูลนี้ไม่ใช่ ‘กงสี’ ธุรกิจฝั่งใครก็ฝั่งนั้น และคนที่แยกธุรกิจออกไปทำเอง ก็ไม่ได้มีความผูกพันกันแต่อย่างใดต่ออีกครอบครัว

ขณะเดียวกันหากลงไปดูสาแหรกเครือญาติแล้ว คนรุ่นใหม่ของตระกูลอย่าง ‘พงศ์กวิน’ และ ‘ธนาธร’ ที่เข้ามาในวงการเมืองด้วยวัยหนุ่มแน่นนั้น ถือเป็นยุคเดียวกันของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยอายุห่างกันแค่ปีเศษๆ

โดยปู่และย่าของทั้งคู่ คือ ‘โหลยช้วง แซ่จึง’ และ ‘บ่วยเซียง แซ่จึง’ ซึ่งทั้ง 2 ท่านมีลูกด้วยกัน 5 คน ได้แก่…

• สรรเสริญ จุฬางกูร

• พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ (บิดาธนาธร)

• โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ (บิดาพงศ์กวิน)

• สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

• และ อริสดา จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้งนี้ สรรเสริญ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ ได้เปลี่ยนนามสกุลไปให้แตกต่างจากพี่น้องคนอื่นเป็น ‘จุฬางกูร’ ขณะที่พี่น้องอีก 4 คนใช้นามสกุลร่วมกันคือ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’

ส่วน ‘ธนาธร’ แห่งอนาคตใหม่ คือ บุตรชายคนโตของ ‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ (เสียชีวิต) และ ‘สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ’

ขณะที่ ‘โฟม-พงศ์กวิน’ แห่งพลังประชารัฐ คือ บุตรชายคนโตของ ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งทั้งคู่อายุห่างกันเพียงปีเศษเท่านั้น

หลายคนอาจจะรู้จัก ‘ธนาธร’ ดีถึงดีมาก รวมถึงคุณแม่สมพร แต่หลายคนอาจจะแค่คุ้น ‘พงศ์กวิน’ แต่ถ้าย้อนไปมองคุณพ่อ ‘โกมล’ ต้องบอกว่าชื่อนี้คือชื่อของชายชายแห่งตระกูลจึงที่เจนจัดมากๆ ในสังเวียนธุรกิจและการลงทุนสูง

โกมล เป็นน้องคนที่ 3 ของ ‘สรรเสริญ จุฬางกูร’ และเป็นพี่ชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งในวงการสื่อมักจะยกให้เขาเป็นบุคคลที่ ‘Low Profile’ แต่ ‘High Profit’ เป็นคนทำธุรกิจแบบเรียบง่าย ไม่ชอบเปิดตัว 

บ่อยครั้งชื่อของ ‘โกมล’ ปรากฏออกมาในตลาดหุ้น ด้วยการถือหุ้นหลายบริษัท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักคิดโยงใยว่าเขามีส่วนกับการเก็งกำไรหุ้นร้อนหลายตัวในตลาด ซึ่งในความเป็นจริง ‘เขา’ คือ บ่อทองที่นักธุรกิจรายใหญ่ ต่างวิ่งเข้ามาหาเองเสียมากกว่า จากการที่ลงไปจับอะไร ก็มีโอกาสปังเกือบทั้งสิ้น

โกมลเป็นนักธุรกิจที่มากด้วยกิจการในฐานะเจ้าของ 100% ทุกธุรกิจที่ทำประสบความสำเร็จ ปราศจากปัญหาสภาพคล่อง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจรองเท้า ‘แอร์โรซอฟท์’ ที่ผลิตเดือนละ 2 ล้านคู่ ส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นหลักที่ 70% โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ตะวันออกกลาง

เขามีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สท ย่านรังสิต เป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ให้เช่าหลายหมื่นยูนิต ย่านรังสิต เป็นเจ้าของรับเหมาก่อสร้าง ไปจนถึงโรงงานผลิตเคมีสำหรับงานเคลือบหลังคากระเบื้อง 

นอกจากนี้ยังถือหุ้นใหญ่กว่า 60% ในบริษัท อกริเพียวโฮลดิ้งส์ฯ (APURE) ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน APURE มีสภาพไม่ต่างจาก IEC (บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) ที่ถูกดร.อดีตมือดีของ ดีแทค เพิ่มทุนไป-มา ทำพังและนำมาสู่ความย่ำแย่ของ IEC) โดยตอนนั้น ‘โกมล’ ออกมาแสดงฝีมือการบริหารด้วยตัวเอง ตั้งแต่การซ่อมบำรุงเครื่องจักรการผลิตใหม่ทั้งหมด ด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งมีความรู้ช่างเครื่องเป็นอย่างดี ช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมากให้กับ APURE 

และไม่เพียงแค่การลงแรงดูเครื่องจักร เขายังลงมาคลุกกับการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ให้ผลผลิตต่อหน่วยที่สูง ผลิตเม็ดพันธุ์ข้าวโพดที่มีคุณภาพ การบริหารจัดการผลประโยชน์ให้กับชาวไร่ข้าวโพด ทำให้ APURE ฟื้นจากบริษัทขาดทุน สู่บริษัทที่กลับมาสร้างกำไรได้ในเวลาไม่นานนัก โดยผลงานที่ชัดมาจากตัวเลขกำไรของ APURE เมื่อปี 2559 ที่สร้างสถิติสูงสุด 191 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 ที่มีกำไร 96 ล้านบาท โตเกือบเท่าตัว และปี 2557 มีกำไรเพียง 79 ล้านบาท จนในที่สุดกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ปีละ 2 ครั้ง ได้ถึงทุกวันนี้

แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลให้ต่อมาบรรดาผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 25,000 คนของบริษัท IEC ตัดสินใจเลือก โกมล เข้ามากอบกู้ IEC ยุคคลุกฝุ่น เพราะมองว่าเป็นคนที่มีความตั้งใจ มีศักยภาพพร้อมทั้งเงินและบุคลากร โปร่งใส ไม่เอาเปรียบ ทำร้ายผู้ถือหุ้น และพร้อมทำธุรกิจใหม่ๆ ที่จะปรับปรุงธุรกิจเดิมที่มีอยู่ให้เดินหน้าต่อไปได้ แม้สุดท้าย IEC จะต้องเดินเข้าแผนฟื้นฟูก็มิได้แคร์ 

ทั้งนี้ หากมองการลงทุนส่วนตัว ‘โกมล’ ก็มักจะถูกเล็งในฐานะแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนรายย่อย เพราะไม่ว่าจะลงทุนหุ้นตัวไหน ก็มักเชื้อเชิญรายย่อยมาร่วมเติมเต็มมูลค่าการซื้อขายตัวนั้นๆ เสมอ เช่น...

การลงทุนใน พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟ็ค จำกัด (มหาชน) หรือ PF และหุ้นบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG จนทำให้ 2 หุ้นที่แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย กลับมาซื้อขายกันอย่างคึก ทั้งมูลค่าซื้อขายที่หนาตาและราคาที่ร้อนแรง โดยรูปแบบการเก็งกำไรหุ้น PF และ BWG ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนกระบวนท่าอะไรมากหนัก เป็นการเข้าไล่เก็บหุ้นในกระดาน เหมือนกับปกติที่เคยลงทุนหลายตัวมาในอดีต

แต่ไฮไลต์มันอยู่ตรงที่ ‘โกมล’ มีการขยับพอร์ตหุ้น PF อีกครั้ง ด้วยการเข้าซื้อหุ้น PF เพิ่ม 0.23% วันที่ 25 พ.ค.63 ซึ่งก็เพียงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนผสมโรงแห่ซื้อตาม จนราคาพุ่งพรวดเกือบ 40% และจังหวะหุ้นกำลังขึ้นนั่นเอง วันที่ 1 มิ.ย.63 ‘โกมล’ ตัดสินใจเจียดขายหุ้น PF ออกมา 0.07% ได้กำไรเท่าไหร่? ลองคิดเอาดูละกัน?

เช่นเดียวกับหุ้น BWG ที่เก็บเพิ่มช่วงเดือน เม.ย.63 อีกประมาณ 0.52% เกิดภาพเดียวกับหุ้น PF เลย หลัง ‘โกมล’ เข้าเก็บมีแรงผสมโรงเข้าซื้อหุ้น BWG จากนักลงทุนรายอื่นๆ จนราคาปรับขึ้นกว่า 35% จนวันที่ 1 มิ.ย.63 ‘โกมล’ มีการเจียดขายหุ้นออกมา 0.20% ดูจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่าฟาดกำไรไปไม่น้อยทีเดียว

นี่คือ..ความเจนจัดบนสังเวียนหุ้นและสังเวียนธุรกิจของ โกมล ที่หลายคนอาจจะไม่สังเกต และรู้แค่ว่าเขาเป็นคน Low Profile แต่ High Profit เพราะส่วนหนึ่ง คือ ในบรรดาตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ทั้งหมด เขาน่าจะเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากที่สุดคนหนึ่งด้วย เหตุจากการไม่ชอบเปิดตัวหรือเข้าสังคมไฮโซไฮซ้อกับใคร 

แต่ทุกวันนี้ชื่อของ โกมล กลับเริ่มถูกคลิกค้นหาบ่อยหน่อย อาจจะเพราะลูกชายอย่าง ‘โฟม-พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองในพรรคประชารัฐ ทำให้คนเริ่มสนใจความเป็นมาของคนอื่นๆ ในตระกูลนอกจาก ‘สุริยะ’ และ ‘ธนาธร’ จึงรุ่งเรืองกิจ 

พูดถึง โฟม เขาเป็นคนหนุ่มที่น่ารัก อัธยาศัยดี ไม่ถือตัว และเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีมุมคิดเชิงบวกสูงมาก ซึ่งเขาเล่าให้ฟังไว้ว่า สิ่งที่เขาเป็นทุกวันนี้ ก็มาจากการเลี้ยงดูที่ดีของผู้เป็นพ่อ (โกมล) 

โฟม ขยายความวัยเด็กว่า “พ่อเลี้ยงดูผมอย่างเข้มงวดเรื่องการเงิน พยายามให้เงินลูกไปโรงเรียนน้อยที่สุด เรียนชั้นประถมได้เงินวันละ 5 บาท มัธยมได้วันละ 20 บาท จึงใช้เงินอย่างประหยัดมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ต้องคิดและเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง และอย่าเอาแต่บ่น อย่าเอาแต่เป็นผู้ชมที่คอยติ ถ้าอยากเห็นอะไรดีขึ้น ก็ต้องลงมือทำเอง”

โฟม ยังเล่าแตะไปถึงเส้นทางการเมืองของเขาอีกว่า พ่อของเขาไม่เคยบังคับให้เข้ามาเล่นการเมือง เฉกเช่นเดียวกันกับคุณอา (สุริยะ) ที่แม้จะไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาในเส้นทางการเมือง แต่ก็ไม่แนะนำอะไรทั้งนั้น นอกจากบอกให้ไปเรียนรู้เอาเอง 

ฉะนั้นการก้าวเข้ามาของ โฟม ในพรรคเดียวกับคุณอา จึงไม่ได้เกิดจากมีการชี้นำของใคร แต่เขาเลือกตามสิ่งที่คิดว่าถูกต้องตามมุมมองและความคิดส่วนบุคคลภายใต้รั้วครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจฟากฝั่งคุณพ่อและคุณอา โดยเขาเคยเผยว่า เหตุผลง่ายๆ ที่เลือกฟากพรรคปัจจุบัน (พลังประชารัฐ) เพราะเป้าหมายของพรรค ‘ไม่ต้องการความขัดแย้งแบบ 2 ขั้ว’ 

หากจะให้สรุปว่าตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจในวันนี้ มีขั้วความคิด 2 ฟาก คงไม่ได้ผิดอะไรนัก เพราะ โฟม เองก็เคยเผยว่า ตัวเขากับ ‘เอก- ธนาธร’ ลูกพี่ลูกน้องตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็ไม่เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใดๆ อยู่แล้ว ยิ่งธุรกิจของตระกูลก็แยกกัน ไม่ได้ร่วมกันแบบ ‘กงสี’ ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไม่มีความใกล้ชิดกันมากเท่าไร จะคิดเห็นต่างใดๆ ก็ไม่แปลก ซึ่งนั่นคงหมายรวมถึง ‘เส้นทางการเมือง’ ที่มาจากมุมคิดส่วนตัว ไม่ใช่จากฉันทามติของตระกูลรวม!!

ฉะนั้นถึงแม้จะใช้ชื่อตระกูลเดียวกัน แต่เส้นทางและอุดมการณ์ต่างกัน มันก็เป็นเรื่องปกติ!!

เพียงแต่ ‘ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ’ ของ ‘แท้-เทียม’ วัดกันจากจุดไหน? อันนี้คงต้องดูจากทิศทางและบทบาทของตระกูลส่วนใหญ่ที่ประพฤติกันในวันนี้ 

ส่วนทิศทางของ ‘ครอบครัว’ ที่แค่หยิบนามสกุลเขามาใช้เดินเกมชีวิตแบบต่างสุดขั้ว 

อันนี้ก็อย่าไปเหมารวม!! ว่า ‘จึง’ เป็นแบบนี้แบบนั้นทั้งสาแหรกเชียว!!


ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.kaohoon.com/content/369229
https://www.thansettakij.com/content/money_market/216957
https://www.matichonweekly.com/column/article_156902

‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากน้องชายคนที่สองของตระกูล สู่ประธานอาณาจักรไทยซัมมิท พ่อผู้วางรากฐานให้ลูกชายที่ชื่อ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’

พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ ชื่อนี้คุ้นหูแค่ไหน?

หากจะบอกว่า เขาคือ (อดีต) ประธานแห่งอาณาจักรไทยซัมมิทกรุ๊ป ผู้คนในแวดวงธุรกิจคงร้องอ๋อ แต่หากเพิ่มความคุ้นเคยเข้าไปอีกสักนิด เขาคนนี้ คือคุณพ่อบังเกิดเกล้าของ เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นั่นเอง

พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ เดิมมีชื่อว่า นายฮั้งฮ้อ แซ่จึง เป็นบุตรชายคนที่สองของ นายโหลยช้วง แซ่จึง กับนางบ่วยเชียง แซ่โป่ว มีพี่น้องด้วยกัน 5 คน คือ พี่ชาย-นายฮังตง แซ่จึง (เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น สรรเสริญ จุฬางกูร) น้องชายคนที่สาม โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายคนที่สี่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และน้องสาวคนเล็ก อิสริยา จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้ง ฮังตง (สรรเสริญ) และ (ฮั้งฮ้อ) พัฒนา เกิดที่เมืองจีน และได้ติดตามป๊าและม้าเดินทางมาที่เมืองไทย โดยเป็น พัฒนา ที่ช่วยกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวของพ่อและแม่ จนได้พบรักกับลูกสาวร้านขายกระเพาะปลาที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน นั่นคือ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และตัดสินใจแต่งงานกันในเวลาต่อมา

พัฒนาไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือสูงนัก เขาจบแค่ ป.4 เพราะต้องช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่อายุ 8 – 9 ขวบ แต่ต่อมา สรรเสริญ-พี่ชาย ได้ชวนให้ไปช่วยงานที่ร้านซ่อมเบาะ ซึ่งเจ้าตัวลงทุนเปิดร่วมกับเพื่อนที่ชื่อว่า สามอิ้ว ที่แปลว่า สามมิตร แต่กิจการในระยะแรก ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ในที่สุด เพื่อนก็ถอนตัว เหลือแต่คู่พี่น้องที่ต้องลุยกันเอง

“คุณพัฒนาเป็นคนขยัน เขาจะไปเฝ้าร้านตั้งแต่เช้า จนวันหนึ่งโอกาสมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่ของยามาฮ่าเอาเบาะรถมาถามว่า ทำแบบนี้ได้ไหม คุณพัฒนารีบรับเรื่องไว้ แล้วไปควานหาซื้ออะไหล่มาทำเองทุกอย่าง ปรากฏว่าผลงานเป็นที่พอใจ หลังจากนั้น ทางยามาฮ่าก็ป้อนงานเรื่อย ๆ แถมยังได้งานจากฮอนด้า ซูซูกิ และคาวาซากิ พองานเข้าเยอะขึ้น จึงขยับขยายไปแถวสาธุประดิษฐ์ เริ่มสร้างโรงงานและเปลี่ยนชื่อให้อินเตอร์ขึ้นเป็น ซัมมิท ออโต อินดัสตรี จำกัด”

สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเส้นทางชีวิตของสามี โดยเล่าที่มาที่ไปของการเติบโตทางธุรกิจว่า เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของสามี จึงทำให้ธุรกิจเติบโต เนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน พัฒนาได้ขยายไลน์ธุรกิจทำเบาะ ไปทำชิ้นส่วนอะไหล่มอเตอร์ไซค์ และขยายไปยังชิ้นส่วนรถยนต์ในที่สุด

กระทั่งในปี พ.ศ. 2520 พัฒนาจึงแยกตัวธุรกิจออกจากพี่ชาย พร้อมกับซื้อที่ดินย่านบางนาตราด แล้วเปิดบริษัทใหม่ของตัวเอง โดยเปลี่ยนชื่อเพื่อกันความสับสน นำคำว่า ‘ไทย’ เข้ามาใส่ข้างหน้า จึงเป็นที่มาของบริษัทที่ชื่อว่า ไทยซัมมิท จนถึงทุกวันนี้

แม้จะมีคำว่า ‘ซัมมิท’ (Summit) ที่มีความหมายว่า จุดสูงสุด เหมือนกัน แต่บนเส้นทางธุรกิจแล้ว ‘พี่น้องแซ่จึง’ เลือกเดินทางใครทางมัน ไทยซัมมิทภายใต้การบริหารของพัฒนา เติบโตรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณการใช้มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ของคนไทยในเวลานั้น มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจของเขาก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว

และแม้จะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่พัฒนาก็ยึดถือเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจอยู่ 3 อย่าง คือ ระบบดี คนดี และสังคมดี นอกจากนี้ เขายังยึดรูปแบบการบริหารธุรกิจแบบผสมผสาน โดยใช้วิธีบริหารแบบอนุรักษ์นิยม หรือเรียกว่าแบบครอบครัวคนจีน ที่ค่อนข้างเก็บตัว เน้นการทำงาน ไม่เน้นออกงานสังคม 

ผสมกับวิธีบริหารแบบสมัยนิยม ที่มีความเป็นสากล โดยเฉพาะการเน้นการออกไปขยายฐานการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งหมดจึงส่งให้ ‘ไทยซัมมิท’ ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอาณาจักรธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่ลำดับท็อป ๆ ของเมืองไทย

พัฒนาและสมพร แทบจะเรียกว่า เป็นเงาในการทำงานคู่กัน พัฒนาเป็นประธาน สมพรเป็นเลขาฯ ที่รอบรู้และจัดการทุกเรื่องในบริษัท แต่ก้าวข้ามจากเรื่องการงาน พวกเขามีบุตรด้วยกัน 5 คน คือ ชนาพรรณ ธนาธร รุจิรพรรณ สกุลธร และบดินทร์ธร 

พัฒนาเป็นคุณพ่อที่ดูแลใส่ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างดี แต่ในคราวเดียวกัน เขาก็สอนให้ลูก ๆ รู้จักความลำบากมาตั้งแต่เล็ก ๆ โดยครั้งหนึ่ง ธนาธรเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาถูกคุณพ่อส่งเข้าโรงงานตั้งแต่อยู่ ป.3 ทุก ๆ ปิดเทอม พ่อจะให้ทำงานนับเหล็ก โดยให้ค่าแรงวันละ 30 บาท หรือเมื่อตอนอายุ 15 – 16 ปี พ่อก็ส่งให้ไปเรียนรู้ชีวิตอยู่สหรัฐอเมริกา งานล้างจาน เจ้าตัวก็เคยทำมาแล้ว 

ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจของพัฒนา ถือเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่แล้วเมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2545 ก็เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่กับครอบครัว เมื่อพัฒนาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ 

ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อหัวเรือใหญ่ของบ้านต้องจากไป จึงนำมาสู่การดึงตัว ‘ลูกชายคนโต’ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานั้นกำลังเรียนอยู่ที่อังกฤษกลับมา แม้เจ้าตัวจะสนใจการทำงานด้านเอ็นจีโอมากกว่าการทำธุรกิจ แต่เมื่อในเวลานั้น พี่สาวคนโต (ชนาพรรณ) มีสถานภาพแต่งงานแล้ว ส่วนน้องสาวคนที่สาม (รุจิรพรรณ) กำลังเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น น้องชายคนที่สี่ (สกุลธร) ก็เรียนอยู่ที่อังกฤษ ด้านน้องชายคนเล็ก (บดินทร์ธร) ก็เพิ่งอายุ 10 ขวบ ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลให้เขา ต้องกลับมารับช่วงต่อธุรกิจ และดำเนินงานร่วมกับคุณแม่ทันที

แม้จะไม่ใช่เงาร่างที่ทับซ้อนกันแบบไร้รอยต่อ แถมยังคนละสไตล์กับคุณพ่อ แต่ในวัย 23 – 24 ปี กับตำแหน่งรองประธานกรรมการไทยซัมมิทกรุ๊ป ธนาธรก็ออกตัวลุยธุรกิจตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่ ไม่น่าเชื่อว่า นับจากปี พ.ศ. 2544 ที่บริษัทมีรายได้รวม 16,000 ล้านบาท ผ่านมาถึงปี พ.ศ. 2560 ไทยซัมมิทกรุ๊ป มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 80,000 ล้านบาท โดยขยายฐานการผลิตออกไปต่างประเทศมากกว่า 7 ประเทศ และมีธุรกิจในเครือข่ายทั้งอดีตและปัจจุบันรวมกันอยู่ที่มากกว่า 100 บริษัท

สิ่งที่ธนาธรทำ ดูไม่ไกลจากคำว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ แต่แล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 ลูกไม้ต้นนี้ก็กระโดดออกจากร่มไม้ใหญ่ เมื่อเขาได้ทำการจดทะเบียนพรรคการเมืองที่ชื่อ ‘อนาคตใหม่’ พร้อมการประกาศลงสนามการเมืองเต็มตัว หันหลังให้กับอาณาจักร 8 หมื่นล้านที่สร้างมากับมือ 

ในเวลาต่อมา สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า นางสมพรผู้เป็นแม่ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการตัดสินใจของลูกชายครั้งนี้ จนครั้งหนึ่ง ธนาธร เคยเล่าเรื่องราวความขัดแย้งของตนเองกับคุณแม่ ผ่านสื่อออกมาว่า 

“แกเริ่มคำถามแรกว่า สำหรับผมแล้ว ไทยซัมมิท หรือประเทศ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ผมตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ประเทศไทย”

แม้ไม่อาจทัดทาน แต่สุดท้าย นางสมพรก็อวยพรลูกชายด้วย ‘ส้มมงคล’ ก่อนวันเปิดตัวพรรค เพื่อให้เจ้าตัวสมหวังและมีความเจริญรุ่งเรือง กับเส้นทางที่เลือกเดิน 

ในวันนี้ แม้จะไม่มีชื่อลูกชายคนที่สองของบ้านในฐานะผู้บริหารขององค์กร แต่ลูก ๆ ที่เหลือทั้ง 4 คน ก็ยังคงดำเนินกิจการ และเดินหน้าสานต่อเจตนารมย์ของคุณพ่อต่อไป ดังตามที่สมพรเคยเขียนไว้ในหนังสือที่ระลึกงานศพของพัฒนาที่ว่า ‘สิ่งต่าง ๆ ป่าป๊าสร้างไว้ และอุดมการณ์ของพ่อ ม้าจะสานต่อและรักษาไว้ให้ได้’

นี่คือเส้นทางชีวิตและครอบครัวของผู้ชายที่ชื่อ ‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากลูกชายคนที่สองของครอบครัวชาวจีนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายก๋วยเตี๋ยว วันเวลาผ่านไป เขา ภรรยา และลูก ๆ ได้ร่วมกันสร้างอาณาจักรธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ให้เติบใหญ่จนขึ้นไปในระดับประเทศ สมดังคำที่ต้นตระกูลใช้ร่วมกันว่า ซัมมิท หรือจุดสูงสุด

แม้จะเดินทางกันคนละเลน สร้างธุรกิจกันคนละแบบ บางคนเปลี่ยนชื่อ บางคนเปลี่ยนนามสกุล แถมยังมีความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันไป แต่ทั้ง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ ‘จุฬางกูร’ มีสายใยบาง ๆ ที่เชื่อมกันไว้ด้วยคำว่า ซัมมิท (Summit) ซึ่งสุดท้าย ไม่จะเชื่อมกันแบบไหน อย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สายใยนี้ เหนียว แน่น และแข็งแรง ไม่เป็นสองรองใครในประเทศนี้เลยทีเดียว...


อ้างอิงข้อมูล

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1696715,

https://www.bbc.com/thai/thailand-44001760,

https://www.bbc.com/thai/thailand-44276427,

https://www.nationweekend.com/content/special_article/9746,

https://www.prachachat.net/general/news-572052,

https://www.sarakadee.com/2007/01/14/thanatorn/ 

‘สรรเสริญ จุฬางกูร’ พี่ใหญ่ตระกูลจึง ผู้ก่อตั้งและประมุขคนแรกกลุ่มซัมมิท อาณาจักรมูลค่าแสนล้าน

“ฮั่นตง แซ่จึง” นามของลูกชายคนโต ของอาฮงและม้วยเฮียง ฮั่นตงผู้นี้คือ ผู้สืบทอด “ตระกูลจึง” พ่อแม่หอบหิ้วนั่งสำเภามาจากเมืองจีน ยุคเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่ประเทศไทย  วันเวลาผ่านไป “ฮั่นตง” เติบใหญ่ รัฐบาลไทยจึงให้เหล่าคนจีนโพ้นทะเล ตั้งนามสกุลเป็นไทยได้ “แซ่จึง” จึงเปลี่ยนมาเป็น “จึงรุ่งเรืองกิจ” ในภาษาไทย แต่ “ฮั่นตง” พี่ใหญ่ขอตั้งนามสกุลของเขาเอง เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเป็น “สรรเสริญ จุฬางกูร” ผู้ก่อตั้งและประมุขคนแรกกลุ่มซัมมิท คอร์ปอเรชัน อาณาจักรชิ้นส่วนยานยนต์แสนล้าน 

ว่ากันว่าในยุคสร้างเนื้อสร้างตัว “สรรเสริญ” พี่ใหญ่ตระกูลจึงทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นช่างซ่อมเบาะรถยนต์ ต่อมาได้ชวนเพื่อนอีกสองคนทำกิจการห้องแถวเล็กๆ ชื่อร้าน “สามมิตร” แต่ทำได้ไม่นานปีเศษๆก็แยกย้ายกันไป ด้วยมีหัวด้านค้าขายของ “สรรเสริญ” จึงมุ่งมั่นผันตัวเป็นเถ้าแก่ในวัยเพียงแค่ 26 ปี ลงทุน “ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามมิตรชัยกิจ” กับลูกน้องเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น ก่อนที่น้องๆทั้ง 4 คนจะเข้ามาร่วมกันทำธุรกิจ คือ พัฒนา (พ่อของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า) เมื่อสมรสกับสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็แยกตัวออกมาตั้งกลุ่มไทยซัมมิท  , โกมล (พ่อของพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ)  , สุริยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) และอิสริยา 

วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี ในวันนี้ “สรรเสริญ จุฬางกูร” มีพนักงานในเครือมากกว่า 10,000 คน  ภายใต้ร่มเงาชื่อ “ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น” บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และตัวถังรถยนต์ อาณาจักรมูลค่าแสนล้านในปัจจุบัน  ส่งต่อให้กับทายาทผู้ชายล้วนทั้ง 6 คนดูแลอาณาจักร

“สรรเสริญ จุฬางกูร” พี่ใหญ่ตระกูลจึง สมรสกับหทัยรัตน์ จุฬางกูร มีบุตรชายทั้งหมด 6 คน คือ นายอภิชาติ จุฬางกูร ,นายทวีฉัตร จุฬางกูร ,นายณัฐพล จุฬางกูร (ไฮโซนัท เพื่อนสนิทซุปเปอร์สตาร์อั้ม พัชราภา)  ,นายกรกฤช จุฬางกูร (สามีของนางเอกหน้าหวาน บี มาติกา)  ,นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร และนายอัครพงศ์ จุฬางกูร ซึ่งทั้งหมดได้เข้ามาเป็นเจนที่ 2 บริหารอาณาจักรยักษ์ใหญ่แห่งนี้

หากไม่ได้แตกสาแหรกคน “แซ่จึง” ออกมา ชาวบ้านอย่างเราๆก็คงไม่รู้ว่า ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจและจุฬางกูรมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแน้นแฟ้นขนาดไหน ทายาทรุ่นที่ 2 ของฝั่งจุฬางกูร ก็มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมชั้นสูง ส่วนฝั่งจึงรุ่งเรืองกิจ ก็เข้มข้นในแวดวงการเมืองทั้ง 2 ฝั่ง สองฝ่าย ผนวกกับพื้นฐานทางธุรกิจมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ คน “แซ่จึง” แม้จะต่างครอบครัว แต่ก็ขยายอำนาจ แผ่ซ่านไปในทุกที่จริง ๆ 

เปลี่ยนแปลงตัวเองง่าย ๆ เริ่มที่ปรับ Mindset | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.6

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

.

‘ขุนช้าง ขุนแผน’ | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : EP.18

‘ขุนช้าง ขุนแผน’ ไม่เพียงแต่เป็นวรรณคดีสำหรับอ่านเล่นเพื่อได้รับรสวรรณคดีเป็นเครื่องบันเทิงใจเท่านั้น หากแต่บางตอนในวรรณคดีเรื่องนี้ยังเป็นหลักฐานที่ให้ความรู้ในเรื่องราวความเป็นอยู่ของผู้คนและบ้านเมืองในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สมกับที่มีคำกล่าวว่า วรรณคดีเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพความเป็นไปของบ้านเมืองในยุคนั้น ๆ ให้คนรุ่นหลัง ๆ ได้ทราบอีกด้วย

.

.

โควิด คิด+ | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.5

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ EP.1/4 ตอนเวทีนางงามกับความงามที่หมดยุคภาพสะท้อนวัตถุทางเพศ

เวทีนางงามกับความงามที่หมดยุคภาพสะท้อนวัตถุทางเพศ

ภาพจำของเวทีนางงามกับการเป็นวัตถุทางเพศหมดไปแล้ว แต่กลายเป็นพื้นที่ขับเคลื่อนสังคม ซึ่งทำให้การพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องสากลอย่างที่ควรจะเป็น

พบกับ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Host & Content Creator THE STATES TIMES

.

.

มายาคติ...ต่อผู้สูงอายุ | LOCK LENS GURU EP.15

LOCK LENS GURU / EP.15 วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม

???? GURU : อาจารย์ระวีวรรณ ทรัพย์อินทร์ อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา

 ▶️ หัวข้อ : มายาคติ...ต่อผู้สูงอายุ

 อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040304

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES 

.

.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top