'อดีตทูตฯ' ชี้กระแส Soft Power ไทย กำลังมา!! หลัง 'ลิซ่า' ดัน 'ลูกชิ้นยืนกิน' เป็นไวรัลทั่วโลก
นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า...
ลูกชิ้นยืนกิน By Lalisa นี่คือตัวอย่างของผลที่เกิดจาก Soft Power โดยใช้ศิลปินระดับโลกลูกหลานไทยบุรีรัมย์ เป็นสื่อ !
จริงอยู่ถึงแม้ว่าน้องลิซ่า จะเป็นผลผลิตการปั้นของเกาหลี แต่ด้วยความเป็น “คนไทย” ของน้องลิซ่า อันนี้ถือว่าเป็นความร่วมมือกันระหว่างเกาหลีและไทย
ไทยเรามี “วัตถุดิบ” (ทรัพยากรบุคคล) ส่วนเกาหลีมี “พลังในการขับเคลื่อน” เมื่อรวมกันแล้วก็ = Soft Power ที่ทรงพลังทีเดียว
ช่วงนี้ต้องยอมรับว่า “พลัง” ของ Soft Power ไทยนั้นยังเป็นรองเกาหลี เพราะเกาหลีมีความพร้อมในทุกๆ ด้านมากกว่า มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเข้มแข็ง มี Unity มากกว่า เกาหลีตีโจทย์ทางด้าน Soft Power เก่งกว่า ก็ไม่เป็นไร ช่วงนี้ไทยเราก็อาศัยโดยสารร่วมขบวนรถไฟ Soft Power ของเกาหลีไปก่อน
ไว้เราโตจนมีศักยภาพเพียงพอ เราค่อยดำเนินการทำ Soft Power ด้วยตัวเราเอง ตอนนี้ขอให้ศึกษาวิธีการของเกาหลีเป็นตัวอย่างให้มากที่สุด เพราะเกาหลีถือว่าเป็นประเทศที่ผลักดันเรื่อง Soft Power เก่งที่สุดในโลก (ในสายตาผม)
การที่เกาหลีทรงพลัง หรือถือเป็นมหาอำนาจทางด้าน Soft Power นั้น เขาได้ใช้ “ตัวหมากเบี้ย” หรือ เหล่าศิลปิน ดารา นักร้องที่เขาปั้นจนกลายเป็นศิลปินระดับโลกในการเป็น พรีเซนเตอร์ ในการขายสินค้าและบริการของเกาหลี จนขายดิบขายดี ไม่ว่า มือถือ รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ
โดยให้ “ตัวหมากเบี้ย” (ศิลปิน ดารา นักร้อง) ขับเคลื่อนผ่าน MV / Concert / ภาพยนตร์ ทีวี ซีรีส์ เรื่องต่างๆ
แค่ศิลปิน ดารา นักร้อง มีภาพว่าใช้ของอะไร กินอะไร หรือแค่เอ่ยปากอยากกินอะไร แค่นี้เองแต่ผลที่ตามมามันกลายเป็น “พลังซื้อ” อันมหาศาลจากทุกมุมโลก
ลูกชิ้นยืนกิน ที่ลิซ่า พูดถึงน่ะเป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ เท่านั้น ส่วนเกาหลีใช้วิธีแบบนี้จนทำให้สินค้าเกาหลีขายดี เช่น ถ้าย้อนหลังไป 20 กว่าปี สมัยที่มือถือ Nokia / Motorola เป็นที่นิยมในตลาดนั้น ผู้คนยังไม่รู้จักหรือนิยมมือถือ Samsung เลย
แล้วตอนนี้เป็นไง ? มือถือ Samsung ผงาดขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของโลกได้ เพราะเกาหลีเก่งในการสอดแทรกความนิยมแบรนด์สินค้าเกาหลีลงไปในทุกอณูของ Soft Power ที่เกาหลีเล่น
สำหรับไทยเราก็เริ่มแบบ “ตั้งไข่” ได้แล้ว แต่ยังเดินเตาะแตะอยู่ ถึงแม้ยังไม่แข็งแกร่งเท่าเกาหลี แต่เราก็สามารถอาศัย “โอกาสร่วม” กับเกาหลีไปพลางๆ ก่อน
ตอนนี้ผมนึกในใจอยากให้ ลิซ่า แค่บ่นอยากกิน อยากทำอะไร หรืออยากได้อะไรจากเมืองไทยอีกสักทีละอย่างสองอย่าง รับรองสินค้าหรือบริการตัวนั้นจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแบบเดียวกับ “ลูกชิ้นยืนกิน”
ถ้าเกาหลีเขาขายสินค้าจากอุตสาหกรรมหลักของเขาเช่น มือถือ รถยนต์ ได้ ไทยเราก็ต้องขายสินค้าและบริการต่างๆ ให้ติดปากคนทั้งโลกได้เช่นกัน
ตอนนี้กีฬามวยไทยก็ไปไกลแล้ว ต้มยำกุ้ง แกงมัสมั่น ส้มตำ ก็ไปแล้ว
เราต้องหาทางผลักดัน “ลูกชิ้นยืนกิน” หรือ ของทานเล่น Snack ต่างๆ ให้ติดปากคนทั่วโลกจนอยากมาชิมได้เช่นกัน