Tuesday, 7 May 2024
Softpower

‘เมืองโบราณศรีเทพ’ มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 ของไทย

การประกาศขึ้นทะเบียน ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 ของไทย  เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา ได้สร้างความปลื้มปีติยินดีแก่คนไทยทั้งประเทศ 

โดยความภาคภูมิใจนี้ เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ที่เล็งเห็นความสำคัญและคุณค่าของเมืองโบราณศรีเทพ จึงได้เสนอขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) เพื่อพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562 

โดยขอขึ้นทะเบียน เมืองโบราณศรีเทพ และแหล่งต่อเนื่อง จำนวน 3 แหล่ง ได้แก่…

>> เมืองโบราณศรีเทพ
>> โบราณสถานเขาคลังนอก
>> โบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ได้จัดทำเอกสารนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลกฉบับสมบูรณ์แล้วเสร็จ นำส่งยังศูนย์มรดกโลก หรือ UNESCO 

หลังจากนั้น สภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS) ส่งผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจประเมินเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อพิจารณาพื้นที่และองค์ประกอบว่าสอดคล้องกับเอกสารหรือไม่ มีคุณค่าสำหรับชาวโลก มากน้อยเพียงใด และสมควรที่ชาวโลกจะช่วยกันอนุรักษ์หรือไม่ เมื่อเดือนกันยายน 2565

จากความพยายามเมื่อปี 2562 มาจนถึงปัจจุบัน ผลของการทำงานตั้งแต่รัฐบาลลุงตู่ ก็ประสบความสำเร็จ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียน ‘อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ’ เป็นแหล่งมรดกโลกภายใต้ชื่อ ‘เมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานทวารวดีที่เกี่ยวเนื่อง’ (The Ancient Town of Si Thep and its Associated Dvaravati Monuments) นับว่าเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 4 ของประเทศไทย

ระยะเวลากว่าที่ ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ จะได้รับเลือกเป็น ‘มรดกโลก’ ต้องผ่านห้วงเวลายาวนานถึง 4 ปี

สำหรับประวัติของเมืองโบราณศรีเทพ ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2447 หรือประมาณ 118 ปีที่ผ่านมา ‘สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ’ ทรงค้นพบเมืองโบราณศรีเทพ ที่ถูกทิ้งร้างอยู่กลางป่า โดยแต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า ‘เมืองอภัยสาลี’ ต่อมา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พบเมืองโบราณขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองวิเชียรบุรี ซึ่งเมืองวิเชียรบุรีนั้น มีชื่อเดิมว่า ‘เมืองท่าโรง’ และ ‘เมืองศรีเทพ’ จึงทรงมีพระวินิจฉัยว่า ชื่อเมืองโบราณแห่งนี้ น่าจะเป็นต้นเค้าของการเรียกชื่อเดิมของเมืองวิเชียรบุรีว่า ‘เมืองศรีเทพ’

ต่อมากรมศิลปากร ได้ทำการสำรวจขึ้นทะเบียนอนุรักษ์และพัฒนา จนกระทั่งจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2527 ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าว ได้มีการศึกษาวิจัย โดยนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ จึงมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ดำเนินงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณศรีเทพอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจุบันประเทศไทย ยังได้นำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อขึ้นบัญชีเบื้องต้นแหล่งมรดกโลก (Tentative List) ซึ่งคาดว่าจะเข้าที่ประชุมมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2567 อีกด้วย อาทิ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี

ก็หวังว่าจะได้ยินข่าวดีอีกครั้งในเร็ววัน!!

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘สงกรานต์’ เทศกาลระดับโลก มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

ย้อนกลับไปวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับคนไทย เมื่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก พิจารณาประกาศขึ้นทะเบียน ‘สงกรานต์ในประเทศไทย’ (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ที่เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

สำหรับคำว่า ‘สงกรานต์’ มาจากภาษาสันสกฤต ที่มีความหมายว่า ‘การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว’ หรือ ‘การเปลี่ยนแปลง’ โดยเชื่อว่าในวันสงกรานต์ เป็นช่วงเวลาการเคลื่อนย้ายของจักรราศี อีกนัยหนึ่งก็คือการเคลื่อนสู่ปีใหม่ ทำให้คนไทยยึดถือวันสงกรานต์เป็น ‘วันขึ้นปีใหม่ไทย’ มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะในอดีตประเทศสยามใช้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2431 ประกาศให้วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายน จากนั้นใน พ.ศ. 2484 จึงเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคมมาจนถึงทุกวันนี้

เทศกาลสงกรานต์เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีความสวยงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความสนุกสนาน และความอบอุ่น จากกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การเล่นน้ำ ประแป้ง รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ ยิ่งใครที่อยู่ห่างไกลครอบครัว ก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเฉลิมฉลองและกล่าวคำอวยพรให้แก่กัน ดังนั้น ปัจจุบันปฏิทินไทยจะกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ

สำหรับคนที่เกิดและเติบโตในไทย ก็คงคุ้นเคยกับเทศกาลนี้เป็นอย่างดี โดยแต่ละวันก็มีความหมายแตกต่างกันดังนี้

วันที่ 13 เรียกว่า ‘วันมหาสงกรานต์’ หมายถึง วันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอีกครั้ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีอื่น ๆ จนครบ 12 เดือน อีกทั้ง รัฐบาลได้กำหนดให้เป็น ‘วันผู้สูงอายุแห่งชาติ’

วันที่ 14 เรียกว่า ‘วันเนา’ แปลว่า วันอยู่ หมายถึง วันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอันเป็นราศีตั้งต้นปีเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลได้กำหนดให้เป็น ‘วันครอบครัว’

วันที่ 15 เรียกว่า ‘วันเถลิงศก’ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ถือเป็นวันเริ่มศกใหม่ การกำหนดให้อยู่วันนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจว่าดวงอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีนมาสู่ราศีเมษแล้วอย่างน้อย 1 องศา

นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ นับเป็นเทศกาลที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดย ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ได้กำหนดแผนงานซอฟต์พาวเวอร์ ปี 2567 เล็งผลักดันการเล่นน้ำสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเมษายน หวังทำให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศสุดยอดเฟสติวัลโลก

นอกจากเล่นน้ำในวันสงกรานต์ 13-15 เมษายนแล้ว ยังมี ‘วันไหล’ ที่มักจะจัดหลังวันสงกรานต์ประมาณ 5-6 วัน โดยสถานที่เด่น ๆ ที่เรามักจะเห็นกันก็คือ วันไหลบางแสน, วันไหลพัทยา, วันไหลพระประแดง, วันไหลระยอง และวันไหลชลบุรี

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ
 

‘พาณิชย์-ททท.’ ชูแคมเปญ ‘เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT’ เดินหน้าหนุนอาหารไทยสู่ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ทั้งใน-นอกประเทศ

(7 ม.ค. 67) นโยบายผลักดัน Soft Power ของไทยสู่ตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยใช้ ‘อาหาร’ เป็นสินค้า ‘Soft Power’ ของไทยที่สำคัญ เพราะอาหารไทยถือเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของคนทั่วโลก ซึ่งเห็นได้ชัดจากการจัดอันดับของเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับอาหารต่างๆ อาทิ CNN Travel ที่ได้จัดอาหารไทยเป็นอาหารที่ดีที่สุด อันดับที่ 8 ของโลก และ Taste Atlas Awards 2023/2024 ที่ได้ยกย่องให้ 5 เมนูอาหารไทย ได้แก่ ผัดกะเพรา, ข้าวซอย, แกงพะแนง, ต้มข่าไก่ และแกงมัสมั่น เป็นเมนูที่ดีที่สุดของโลกที่ติดอันดับ 100 เมนูแรก จากรายการอาหารทั้งหมด 10,927 เมนู

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ความนิยมอาหารไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในต่างแดน มาจากการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งตั้งแต่ปี 2002 รัฐบาลได้ยกระดับ ‘การทูตผ่านอาหาร’ หรือ ‘Gastrodiplomacy’ ผ่านโครงการ ‘Global Thai Restaurant Company’ ส่งผลให้จำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า จาก 5,500 ร้าน เป็น 15,000 ร้าน รวมทั้ง กระทรวงพาณิชย์ ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนความน่าเชื่อถือด้วยการมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อรับรองมาตรฐานร้านอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศ 

ปัจจุบันแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยเผยแพร่และขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่สากล และเป็นช่องทางการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของไทย ซึ่งการเติบโตของร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ทั้งทางตรงและทางอ้อมตามไปด้วย

ในส่วนของการส่งเสริมอาหารไทยเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ประเทศ จำเป็นต้องอาศัยร้านอาหารไทยเป็นช่องทางหลักในการรับรู้ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายและแผนงานในการผลักดันให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ ‘Thai SELECT’ จะเป็นเครื่องมือช่วยการันตีคุณภาพความเป็นไทย ให้แก่ร้านอาหารไทยที่เปิดขายในต่างแดน และรวมถึงร้านอาหารไทยในประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นจุดขายให้ต่างชาติได้ทำความรู้จักคุ้นชิน รวมทั้งจัดให้ร้านอาหารไทยเป็นเหมือนศูนย์จัดแสดงสินค้า (Showroom) และถ่ายทอดผลงานสะท้อนภูมิปัญญาของไทย อีกทั้งสนับสนุนการตกแต่งร้านอาหารที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อส่งเสริม Soft Power ในทุกมิติ

สำหรับ ‘Thai SELECT’ เป็นตราสัญลักษณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ มอบให้กับร้านอาหารไทย และผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป ที่ให้บริการและจำหน่ายอาหารไทยรสชาติไทยแท้ ผ่านกระบวนการและขั้นตอนของการปรุงอาหารด้วยส่วนผสมตามตำรับอาหารไทย จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศรวม 17,478 ร้าน ทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกามีจำนวนร้านอาหารไทยมากที่สุดในโลก รวมทั้งสิ้นราว 6,850  กระจายตัวอยู่ทั่วสหรัฐฯ คิดเป็น 39% ของจำนวนร้านอาหารไทยในต่างแดนทั้งหมด ส่วนร้านอาหารไทย Thai Select ทั่วโลกมีจำนวน 1,546 ร้าน

ขณะที่ในประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประแทศไทย (ททท.) จัดโครงการ ดัน ‘อาหารไทย Thai SELECT’ เป็น Soft Power ประเทศ ด้วยแคมเปญส่งเสริมการตลาดร่วมกัน ทั้งการส่งเสริมร้านอาหาร Thai SELECT ผ่านแคมเปญ ‘เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT’ กิจกรรมร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และศูนย์การเรียนรู้ชุมชนในแต่ละท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไป ณ ชุมชนมากขึ้น

และเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในทุกๆ วัน ที่จะช่วยส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ชุมชน ร้านอาหารไทย Thai SELECT ในพื้นที่ ผ่านกิจกรรม ‘ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น’ เพื่อสร้างจุดเด่นและความแตกต่างรวมทั้ง จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองร้านอาหาร Thai SELECT ในทุกภูมิภาค

การชู ‘อาหารไทย’ เป็น Soft Power ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะเป็นจุดขายสำคัญให้กับประเทศ และสร้างโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ตามนโยบายของรัฐบาล

‘นายกฯ’ ลั่น!! รัฐบาลพร้อมหนุนซอฟต์พาวเวอร์ทุกประเภท เล็งนำร่องวีซ่าพิเศษให้ นทท.ที่มาฝึกมวยไทย อยู่ยาว 90 วัน!!

(14 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความ ถึงการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะมวยไทย หลังรัฐบาลมีแผนเปิดตัววีซ่าพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย เพื่อฝึกมวยไทย โดยจะอนุญาตให้อยู่ได้นานถึง 90 วัน เพื่อจบหลักสูตร ว่า…

“ผม และรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุน Soft Power ของไทยครับ การให้วีซ่าพิเศษ 90 วัน (จากวีซ่าปกติ 60 วัน) แก่คนที่สนใจจะเข้ามาเรียนมวยไทยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการใช้ความเป็นไทยส่งออกไกลไปทั่วโลกครับ

เราไม่ได้คิดให้วีซ่าพิเศษเฉพาะเพียงมวยไทยเท่านั้นนะครับ แต่ Soft Power อื่นๆ อย่าง รำไทย ดนตรีไทย การเรียนทำอาหารไทย ฯลฯ เราก็พร้อมสนับสนุน และกำลังเตรียมพิจารณาให้วีซ่าพิเศษเป็นลำดับต่อไปด้วยครับ” นายเศรษฐา กล่าว

‘เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง’ ชู ‘มวยไทย’ เป็นซอฟต์พาวเวอร์ เล็งดันสู่โอลิมปิก เผย รัฐบาลเตรียมออกวีซ่าพิเศษให้ต่างชาติเข้ามาเรียนได้ 90 วัน

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 67 ที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ พร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และผู้เรียนหลักสูตรรวมมิตร รวมทั้ง สส.ของพรรค พท. เยี่ยมชมกิจกรรมการแสดงมวยไทย และชมการไหว้ครูของเยาวชนมวยไทย รวมถึงชมการแสดงศิลปะการไหว้ครูของ ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ และโชว์การชกมวยกับนักมวยชาวต่างประเทศด้วย ซึ่งถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างหนึ่งของประเทศไทย

โดยนายกฯ ได้ชมการแสดงอย่างตื่นเต้นและสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงเชียร์จากผู้เข้าร่วมชม โดยเฉพาะช่วงการโชว์อาวุธแม่ไม้มวยไทยของ บัวขาว บัญชาเมฆ และ ‘พญาหงส์ บัญชาเมฆ’ นักมวยหญิง แชมป์ K1 ที่โชว์แม่ไม้มวยไทยได้อย่างถึงใจ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่ที่แห่งนี้ ขออนุญาตเป็นตัวแทนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ บอกเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้รัฐบาลกำลังทำซึ่งเกี่ยวกับมวยไทยโดยตรง มวยไทยจะต้องไปโอลิมปิกโลกให้ได้ หลายๆ ท่านที่อยู่ในที่นี้ เชื่อว่าอยากเห็นภาพของตัวเองไปยืนอยู่บนเวทีโลก คงไม่ใช่ความฝันแค่ของตัวเอง แต่เป็นความฝันของคนที่ท่านรักด้วย และแน่นอนเป็นความฝันของคนไทยทุกๆ คน การดำเนินงานด้านกีฬาทั้งหมดจะนำโดย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ประธานอนุกรรมการด้านกีฬาในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งจะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ของมวยไทย

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การที่จะบอกว่ามวยไทยเป็นโอลิมปิกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รัฐบาลเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปอย่างแน่นอน จะต้องสร้างรากฐานมาตรฐานต่างๆ ให้มวยไทยมีรากฐานที่มีการยอมรับที่ชัดเจนขึ้น เราจะตั้งสถาบันมวยไทยแห่งชาติ เพื่อเป็นศูนย์กลางของการสร้างมาตรฐานมีหลักสูตรมวยไทยที่ชัดเจนเป็นระบบ และมีความรู้ที่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาดูมวยไทย จะได้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับมวยไทยไปด้วย

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นอกจากนั้น ก็จะยกระดับอาชีพครูมวยไทยให้มีใบประกอบวิชาชีพ และพัฒนาองค์ความรู้ทั้งระบบทั้งเรื่องของการสอนมวย และค่ายมวย รวมไปถึงการจัดแข่งขันมวยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือเป็นการสื่อสารจากหนึ่งกีฬาของไทยสู่สายตาโลก ตนและนายกฯ ได้มีโอกาสไปดูเวทีมวยวันแชมเปียนชิปที่สนามมวยลุมพินี ได้เห็นฝีมือคนไทยมาแล้วถือว่าเก่งมาก

“เราจะทำค่ายมวยไทยในต่างประเทศให้มากขึ้น ปัจจุบันมีกว่า 40,000 ค่ายมวยแล้ว จึงอยากให้มีมากกว่านี้ โดยมีระบบจัดสรรให้ดียิ่งขึ้นและที่สำคัญรัฐบาลได้ มองเห็นว่ามวยเป็นการกีฬาของไทยที่โดดเด่น จึงอยากจะให้เป็นศูนย์กลางของการกีฬาที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยของเรา ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ครู รวมถึงเสื้อผ้าให้เป็นการส่งออกวัฒนธรรมได้ มวยถือเป็นอาวุธสำคัญทำให้ต่างชาติรักเมืองไทยได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ที่รัฐบาลได้มองเห็น จะพัฒนาทั้งระบบให้มากขึ้นและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น” น.ส.แพทองธารกล่าว

ต่อมา นายเศรษฐา ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงการเดินหน้าผลักดันมวยไทยเพิ่มเติม ระบุว่า…

“ศิลปะแม่ไม้มวยไทยเป็นที่รู้จัก และนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งคุณบัวขาว บัญชาเมฆ ร่วมกับสมาคมมวยต่างๆ รวบรวมน้องๆ เยาวชนจากค่ายมวยไทยในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนมวยไทย มาจัดแสดงการไหว้ครูมวย ทั้งสวยงาม เต็มไปด้วยความเป็นไทย มวยไทย คือ Soft Power หนึ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุน เรากำลังพิจารณาให้วีซ่าพิเศษ 90 วันสำหรับคนที่เข้ามาเรียนหลักสูตรมวยซึ่งต้องใช้เวลาฝึกฝน ดังนั้น วีซ่าต้องเอื้ออำนวยให้ทำกิจกรรมได้นานพอจนเรียนจบครับ”

'กางเกงแมวโคราช' เด็ด!! โผล่แฟชันไอเทมในเกมดังระดับโลก อวดซอฟต์พาวเวอร์ไทย แถมสร้างมูลค่าได้ถึง 363 ล้านบาท

(22 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากหอการค้าจังหวัดนครราชสีมาได้เปิดตัว กางเกงแมวโคราช ไปเมื่อช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสกางเกงแมวโคราชเป็น Soft Power ดังไปทั่วประเทศ

ล่าสุดทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้ร่วมมือกับภาครัฐ และเอกชน ผลักดันกางเกงแมวโคราชสู่ระดับนานาชาติผ่านไอเทมในเกมออนไลน์ อย่างเช่น เกม Free Fire นับเป็นการต่อยอดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลคอนเทนต์จากอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตที่กำลังเติบโต เพื่อร่วมส่งเสริมผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่สะท้อนวัฒนธรรม เรื่องราวและเสน่ห์ของประเทศไทย นำไปสู่การสร้าง Soft Power ต่อไปในอนาคต โดยมีรายงานว่า กางเกงแมวโคราช ใน skin ในเกม Free Fire ได้ Free Media รวมมูลค่าถึง 363 ล้านบาท

นายจิรพิสิฐ์ รุจน์เจริญ ประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า เราได้นำผลิตภัณฑ์กางเกงแมวโคราชเข้าไปร่วมเป็นแฟชั่นไอเทมชิ้นใหม่ในเกม Free Fire ซึ่งเป็นเกมชื่อดังระดับโลก โดยในแต่ละไตรมาสสามารถเข้าถึงผู้เล่นได้มากกว่า 568 ล้านคน จากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก

นับเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้เล่นเกม ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่พาผู้เล่นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีความแปลกใหม่ เป็นการเผยแพร่เสน่ห์ของประเทศไทยในมุมใหม่ ๆ ออกไปสู่สายตาต่างชาติ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เล่นทั่วโลก โดยได้มีการเปิดตัวไอเทมกางเกงแมวโคราชพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 10 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

‘สาวไทย’ สุดภูมิใจ!! ถือพาสปอร์ตไทยโชว์ทุกครั้งที่เยือนต่างประเทศ ตั้งใจ!! ‘แต่งตัวสวย-พูดเพราะ’ โชว์ความงามแบบไทย ให้ต่างชาติจดจำ

(25 ม.ค. 67) เพจ ‘ประเทศไทยต้องชนะ’ ได้แชร์เรื่องราวน่าประทับใจที่สาวไทยเจ้าของเพจ ‘The Diceland : เรื่องเล่าของไดซ์’ ออกมาระบุว่าภูมิใจที่ได้ถือพาสปอร์ตไทย และจะถือโชว์ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ โดยระบุว่า…

พลัง Soft Power ไทย!! 🇹🇭 สาวสุดภูมิใจ เวลาเที่ยวต่างประเทศ มักถือพาสปอร์ตไทยโชว์ตลอด อยากให้คนรู้ว่า “นี่แหละคนไทย”

สาวไทยเจ้าของเพจดังรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องระหว่างที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ ผ่านเพจ The Diceland : เรื่องเล่าของไดซ์ ระบุข้อความว่า “ช่วงนี้มีสิ่งที่ชอบทำอย่างหนึ่ง อยู่สนามบินยุโรป ชอบถือพาสปอร์ตไทยโชว์หลาตลอดไม่เก็บเข้ากระเป๋า ยิ่งคนมองยิ่งชอบมากกกกก ภูมิใจอยากให้เขารู้ว่าสวย ๆ แบบนี้อะเป็นผู้หญิงไทย #พลังSoftPowerไทย”

ทั้งนี้ ยังระบุอีกว่า “ไดซ์จะแต่งตัวดี ถูกกาลเทศะ และพูดเพราะเสมอ ส่งต่อเป็นนัย ๆ ว่าประเทศไทยมีแต่คนสวย ๆ อยากให้เขามาเที่ยวกันเยอะ ๆ”

นอกจากนี้เธอยังคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเธอเองเอาไว้ด้วยอีกว่า “หากใครใช้ Reels จะบอกว่าตอนนี้เรื่องท่องเที่ยวและ Thai Accent การพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบไทย และหางเสียงบ้านเราดังมากนะ เช่น ok naa , thank you ka แบบไปนั่งอ่าน เขาบอกน่ารัก เป็นเรื่องความทรงจำ มันทำให้ฝรั่งคิดถึงเมืองไทย”

ห้ามพลาด!! ‘ไอศกรีมทศกัณฐ์-หนุมาน’ ของดี ณ สัทธา อุทยานไทย เชื่อมโยงลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณฯ ปลุกกระแสความเป็นไทย

(25 ม.ค. 67) กลายเป็นกระแสฮือฮาอีกครั้งของไอศกรีม 3D ที่เพิ่งกลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว ‘ไอติมปลาทู’ ซอฟต์พาวเวอร์ของ จ.สมุทรสงคราม ที่มีนักท่องเที่ยวแห่ชิมเพียบ ทำเอายอดผลิตไม่ทัน หรือจะเป็นต้นตำหรับที่มาแรง ไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณฯ 2 รสชาติแห่งความเป็นไทย ที่ลงใส่ตู้ไอศกรีมครั้งใดต้องหมดเกลี้ยงตู้ในแต่ละวัน

ล่าสุดที่ ณ สัทธา อุทยานไทย อ.บางแพ จ.ราชบุรี ได้ผลิต ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ หน้าตาสุดน่ารัก 4 รสชาติ คือ รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมอัญชัน รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมใบเตย รสนมชมพู และรสชาไทย ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ที่สื่อถึงความเป็นไทย ทำให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวเน็ต ต่างพากันไปอุดหนุน เรียกได้ว่าลงกี่รอบก็หมดทุกรอบ นอกจากจะได้ชิมรสชาติของไอศกรีมแล้ว ยังสนุกกับการได้ถ่ายภาพไอศกรีมกับมุมต่างๆ ของพระปรางค์วัดอรุณฯ ด้วย

ซึ่งภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จ.ราชบุรี ที่นักรีวิวต่างพากันไปรีวิว จนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศไทยเดินทางไปเที่ยวชมความงามของเทศกาลงานไฟร้อยล้านดวง และชมบรรยากาศความเป็นไทยๆ ที่มีการจำลองแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง ลานพระพุทธรูป 4 สมัย หรือจะเป็นบ้านทรงไทย หุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญต่างๆ และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองไทย

คุณพลอยพรรณ ขัตติยากรจรูญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ณ สัทธา อุทยานไทย หนึ่งในเจ้าของไอเดียร์ไอศกรีมรามเกียรติ์ กล่าวว่า ไอเทมของไอศกรีม 3D กลายเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ทาง ณ สัทธา อุทยานไทย ได้ออก ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ชวนนักท่องเที่ยว พาทศกัณฐ์ กับหนุมาณ ไปเดินเที่ยวเซลฟี่กับุมมต่างๆ ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย 

โดยภายหลังจากเพจสื่อท้องถิ่นราชบุรี ได้นำ ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ไปเผยแพร่ ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้ามาชม กดไลก์ กดแชร์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่บอกว่าไอศกรีมรามเกียรติ์มาถึงราชบุรีแล้ว ต้องมาลองชิมให้ได้

ซึ่ง คุณพลอยพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ตอนนี้เราได้ออกมา 4 รสชาติ คือ รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมอัญชัน รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมใบเตย รสนมชมพู และรสชาไทย โดยเราผลิตเพียงวันละ 100 แท่งเท่านั้น จำหน่ายแท่งละ 99 บาท โดยเราใช้สูตรของทาง ณ สัทธา อุทยานไทย ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น มะพร้าวน้ำหอมจากสวน อ.ดำเนินสะดวก มาเป็นรสชาติหลักที่จะให้ความหอมเป็นไทยๆ จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการผลิตไอศกรีม ก่อนจะเทลงในแม่พิมพ์ จากนั้นนำไปฟรีซให้ไอศกรีมแข็งตัว เป็นเวลา 1 วัน จากนั้นนำมาบรรจุถุงจำหน่าย ตอนนี้กระแสดีมาก ได้รับการตอบรับดีจริงๆ มีนักท่องเที่ยวมาถามหากันตลอด จนผลิตกันไม่ทัน

ทั้งนี้ ตนจึงอยากจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวได้พา ‘ทศกัณฐ์ กับ หนุมาน’ ไปเดินเที่ยวเซลฟี่กับุมมต่างๆ ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย ทั้งกลางวันและกลางคืน รับรองสวยทุกมุม สำหรับท่านที่สนใจจะมาซื้อไอศกรีม ‘ทศกัณฐ์ กับ หนุมาน’ ทางเราจัดสถานที่จำหน่ายไว้ 3 จุด ซึ่งได้แก่
จุดแรก ที่ร้านอาหารรสสัทธา จุดที่สอง เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ และจุดที่สาม ร้านกาแฟหน้าน้ำตก ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย หรือโทรสอบถามได้ที่ 032-383-333 และ 081-5272782

‘เศรษฐา’ ควง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ร่วมเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ เสริมเสน่ห์เมืองกรุง หนุนซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดเศรษฐกิจไทย

(27 ม.ค. 67) ที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 (Bangkok Design Week 2024) ภายใต้แนวคิด ‘Livable Scape คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมงานด้วย

โดยเมื่อมาถึงนายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการต่างๆ ภายในงาน ช่วงหนึ่งระหว่างชมนิทรรศการ นายเศรษฐา และ น.ส.แพทองธาร ได้ร่วมกิจกรรม ‘Creative Power House’ เป็นแบบในการวาดภาพลายเส้นเฉพาะตัวผ่านกระจกรีไซเคิล พร้อมเซ็นชื่อบนกระจก และได้รับภาพปริ้นเป็นที่ระลึก จากนั้นเยี่ยมชมเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้พูดคุยกับทุกท่านในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ตนได้มาที่นี่ ‘คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ เป็นแนวคิดที่ทำให้เรามองเห็นว่า ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบล้วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของทุกคน และวิถีชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะการออกแบบจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ความคิดสร้างสรรค์จะยกระดับวัฒนธรรมของไทยให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น สร้างเสน่ห์ที่ทำให้ต่างชาติหลงใหลและกลับมาชื่นชมประเทศไทยของเรา กรุงเทพฯเป็นพื้นที่ของความหลากหลาย มีหลายเชื้อชาติ หลากวัฒนธรรม ในทุกๆ อย่างมีประวัติศาสตร์ของตัวเองที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเสน่ห์สำคัญของกรุงเทพฯ ในหนึ่งเมืองมีหลายบรรยากาศที่ล้วนสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ดีจะต้องพัฒนาพลังสร้างสรรค์

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอชวนทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มเครือข่ายนักสร้างสรรค์ ภาครัฐ ภาคเอกชน มาช่วยกันพัฒนาให้เป็นผลงานที่จะจัดงานที่มีพื้นที่ และยังมีความร่วมมือกันระหว่างนักสร้างสรรค์และกรุงเทพมหานคร ในการพัฒนาเมืองบนพื้นฐานของความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและผังเมืองนั้น เพื่อทำการออกแบบมาใช้งานได้จริง เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ คือ รูปธรรมของการนำความคิดสร้างสรรค์มาทำงานร่วมกับวัฒนธรรมไทย และทำให้เกิดซอฟต์พาวเวอร์ได้เป็นอย่างดี หวังว่าพี่น้องประชาชนที่มาร่วมงานจะได้รับแรงบันดาลใจที่ดี กับเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแนวคิด เป็นพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ เป็นพื้นฐานของแรงบันดาลใจใหม่ๆ เป็นวัตถุดิบที่พี่น้องประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ได้นำไปส่งเสริมพัฒนาและต่อยอดต่อไป จนออกมาเป็นงานสร้างสรรค์อื่นๆ ได้อีกมากมายมหาศาล

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า งานนี้อาจเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ที่สุดยอดนักออกแบบไทยหรือศิลปินไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรามาร่วมกันผลักดันให้ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยไปสู่เวทีโลก สุดท้ายนี้ขอขอบคุณภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน นักสร้างสรรค์ สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่มาร่วมกันทำ ร่วมกันลงมือ ร่วมกันทุ่มเทจนเกิดเป็นงานดีๆ อย่างนี้ขึ้นมา

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวเปิดงานว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาเปิดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 ภายใต้แนวคิด ‘คนยิ่งทำ เมืองยิ่งดี’ ในวันนี้ ซึ่งความยินดีของตนมาจากหลายประการ ประการแรก เราได้เห็นพลังสร้างสรรค์ของคนจากหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000 คน ที่มาร่วมกันแสดงผลงาน และที่สำคัญมาช่วยกันคิดทดลองทำ หลากหลายกิจกรรมที่มีเป้าหมายพัฒนาสาธารณูปโภค และคุณภาพชีวิตของคนในเมือง รวมแล้วกว่า 500 โปรแกรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประการที่สอง เราได้เห็นกิจกรรมและผลงานสร้างสรรค์ที่กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 15 ย่าน ทำให้คนรู้จัก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน การสร้างรายได้ การสร้างงานให้ผู้ประกอบการและชุมชน ซึ่งงานออกแบบที่ผ่านมามีผู้เข้าชมกว่า 2 ล้านคน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจมากกว่า 2,000 ล้านบาท นับว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีนัยที่สำคัญ และเราได้เห็นเอกชนและภาครัฐในการขับเคลื่อนมูลค่าสินค้า และการบริการด้วยการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ที่ช่วยต่อยอดสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอันจะเกิดขึ้น และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพ ด้านการแข่งขันของธุรกิจไทยในระดับสากล

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ประการสุดท้ายได้เห็นการสร้างสีสันและความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับกรุงเทพฯ ที่นำเสนอความสำคัญของการออกแบบงานสร้างสรรค์ ที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ช่วยเชื่อมโยงวัฒนธรรมในแต่ละด้าน และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย ดังนั้น การจัดเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ จึงเป็นหนึ่งในนิทรรศการหลากหลายที่ทำให้เราเห็นภาพ และผลของการใช้เทศกาลเป็นกลไกในการส่งเสริมอุตสาหกรรม และผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล มีการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ให้เติบโตและขยายไปสู่ต่างประเทศได้ และช่วยสนับสนุนกระบวนการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ ทำให้ผู้บริโภคในตลาดโลกมีความสนใจและต้องการซื้อสินค้า และบริการสร้างสรรค์ของไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย

ขอขอบคุณภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนในพื้นที่ นักสร้างสรรค์ สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่มาร่วมกันทำงานของเราให้ดียิ่งขึ้น และหวังว่าความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้ เป็นพลังให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตให้กับประเทศไทยต่อไป

‘ผู้แทนการค้าฯ’ ชวน ‘อาเลีย บาตต์’ ถ่ายหนังในไทยเพิ่ม หวังโชว์ ‘วัฒนธรรม-อาหาร-สถานที่เที่ยว’ สู่สายตาชาวโลก

(29 ม.ค. 67) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึงการได้พบกับ Alia Bhatt (อาเลีย บาตต์) นักแสดงชาวอินเดีย ผู้รับบท ‘คังคุไบ’ จากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Gangubai Kathaiwadi (หญิงแกร่งแห่งมุมไบ) โดยตนได้เชิญชวนให้คุณอาเลีย บาตต์ มาถ่ายภาพยนตร์ในไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการมีนางเอกดังระดับโลกมาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยนั้นจะเป็นการเสริมสร้าง Soft Power ให้แก่ประเทศไทย โดยทุกอย่างที่คุณอาเลียทำ อาหารที่รับประทาน สถานที่ที่ไปจะเป็นกระแสและจะได้รับความนิยมจากฐานผู้สนับสนุนจากทั้งในอินเดียและประเทศอื่น ๆ ในชั่วข้ามคืน 

ซึ่งคุณอาเลีย บาตต์ นิยมเดินทางมาไทย โดยก่อนการหารือนั้นก็เพิ่งเดินทางกลับจากจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ ยังชื่นชอบอาหารไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ผัดไทย และที่สำคัญคือน้ำมะพร้าวซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องทานเมื่อเดินทางถึงไทย

นางนลินี เปิดเผยเพิ่มเติมว่าตนเองยังได้มีโอกาสหารือและชักชวนให้คุณ Sajid Nadiadwala เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำของอินเดีย Nadiadwala Grandson Entertainment ซึ่งผลิตภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 200 เรื่อง และมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เช่น Kick หรือ Highway และยังเป็นประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย 11 สมัย โดยมีบริษัทผู้ผลิตในเครือราว 400 บริษัท สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ Bollywood ในไทยเพิ่มเติม โดยชูจุดเด่นด้าน Soft Power ของไทยทั้งในแง่ของผู้คน วัฒนธรรม อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว

นางนลินี  ระบุว่า คุณ Sajid ยืนยันว่าผู้ผลิตภาพยนตร์อินเดียนิยมที่จะใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงชื่นชมความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงไทย โดยเฉพาะบทการต่อสู้และศิลปะแม่ไม้มวยไทย นอกจากนี้ ตนเองยังได้หารือถึงแนวการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ของทางประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในรูปแบบการคืนเงินและการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแนวทางการสนับสนุนและดึงดูดการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างชาติในไทยต่อไป

“การถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยจะเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยไปสู่สังคมโลก รวมทั้งยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเงินเข้าประเทศ รวมถึงก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย” นางนลินีฯ กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top