Tuesday, 7 May 2024
Softpower

‘ไทย-อิตาลี’ พร้อมร่วมมือผลักดัน Soft Power ทั้ง 2 ประเทศ ปักธง ‘อาหาร-ท่องเที่ยว’ หวังกระตุ้นศก.และพัฒนาชาติร่วมกัน

(30 ก.ย.66) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้หารือกับนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ว่า ไทยและอิตาลีเห็นตรงกันในการผลักดันเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยใช้ Soft power ด้านอาหารเป็นจุดขายหลักในการส่งเสริมการพัฒนาระหว่างกัน 

ทั้งนี้เนื่องจากทั้งไทยและอิตาลีต่างมีอาหารประจำชาติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละฝ่ายรู้จักอาหารของอีกฝ่ายมากขึ้น ในประเทศไทยนั้นมีร้านอาหารอิตาเลียนมากกว่าคนอิตาเลียน และอาหารอิตาเลียนก็ถูกปากคนไทย 

เช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในอิตาลีก็เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวไทย ที่ผ่านมาเรามีนวนิยายเรื่อง ‘แก้วตาพี่’ ของโรสลาเรน ซึ่งมีฉากสำคัญเป็นเมืองต่าง ๆ ที่สวยงามในประเทศอิตาลี 

ดังนั้นการหารือครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ฝ่ายไทยได้เชิญชวนและจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนอิตาเลียนมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เพราะจากข้อมูลสถิติพบว่านักท่องเที่ยวชาวอิตาเลียนเดินทางมายังประเทศไทยน้อยกว่าที่คนไทยไปอิตาลีถึง 10 เท่า

นางนลินี กล่าวด้วยว่า ในด้านการค้าการลงทุน อิตาลีเล็งเห็นว่าไทยเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีศักยภาพและน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งทางราง รถไฟความเร็วสูงเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดหายุทโธปกรณ์ 

ที่ผ่านมาการรถไฟสาธารณรัฐอิตาลีได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่า 650,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกว่า 16,000 อัตรา 

นอกจากนี้ อิตาลียังได้ผลักดันการจัดตั้งสภาธุรกิจทางอิตาลีเมื่อปี 2558 เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อโดยตรงระหว่างภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทสำคัญของไทยและอิตาลีเป็นสมาชิกกว่า 40 บริษัท แต่ในภาพรวมนักลงทุนของอิตาลียังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในประเทศไทยมากนัก 

ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทั้งสองประเทศจะต้องส่งเสริมในเรื่องนี้ และไทยก็สามารถใช้อิตาลีเป็นประตูสู่ยุโรปได้เช่นกัน โดยอิตาลีพร้อมสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น โลจิสติกส์ การส่งออก ความปลอดภัยด้านอาหาร เป็นต้น 

“ทูตอิตาลียังแสดงความสนใจเรื่องเที่ยวบินตรงกรุงเทพฯ - โรม ของสายการบินไทย ที่ช่วยให้การเดินทางของนักลงทุนและประชาชนของทั้งสองประเทศ เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีก" นางนลินี ระบุ

>> สถานการณ์การค้าไทย – อิตาลี
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าในช่วง 8 เดือนของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) การค้าระหว่างไทย-อิตาลี มีมูลค่า 3,531.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.21% แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% และการนําเข้ามูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.09%

โดยไทยขาดดุลการค้ากับอิตาลี คิดเป็นมูลค่า 638.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับติดลบ 11.24% เมื่อเทียบกับ 8 เดือนแรกของปี 2565

>> การส่งออกของไทยไปอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 การส่งออกของไทยไปอิตาลีมีมูลค่า1,446.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.97% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,391.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

>> การนําเข้าของไทยจากอิตาลี
ช่วง 8 เดือนของปี 2566 ไทยนําเข้าจากอิตาลีมีมูลค่า 2,084.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.09% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนของปี 2565 (ที่มีมูลค่า 1,965.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

‘ททท.’ เร่งเครื่องดันซอฟต์พาวเวอร์ ส่ง ‘ซีรีส์วาย’ บุกตลาดญี่ปุ่น  กระตุ้น ‘นทท.ต่างชาติ’ ต้องเดินทางมาเยือนไทยสักครั้งในชีวิต

(1 ต.ค. 66) ถึงแม้ ยุทธศักดิ์ สุภสร จะอำลาตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตามวาระแล้ว แต่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันในทุกวินาทีจนพ้นตำแหน่งตามวาระ

โดยนำทีมเจ้าหน้าที่ ททท. พร้อมสื่อมวลชน บินไปนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ร่วมงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ ณ ศูนย์การค้า Abeno Q’s Mall ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้น เพื่อเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ปลุกพลังการท่องเที่ยวด้วย ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ของไทย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวเรือหลักในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทย ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ต้องเป็น ‘ททท.’ หน่วยงานหลักในการทำตลาดท่องเที่ยว ทั้งการประชาสัมพันธ์ กำหนดเป้าหมาย และวางกลยุทธ์เพื่อเดินหน้าไปตามเป้าหมายที่วางไว้

โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ให้กลับมาเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป

ททท.จึงเฟ้นหาจุดขายในการโปรโมตภาคการท่องเที่ยวไทย ดึงซอฟต์พาวเวอร์ 5F ได้แก่ Food-อาหาร, Film-ภาพยนตร์, ซีรีส์ Fashion-เครื่องแต่งกายร่วมสมัย, Festival-คอนเสิร์ต เฟสติวัล และ fight-ศิลปะการต่อสู้ของไทย

โดยเน้นเป็น Film-ภาพยนตร์ ซีรีส์ เนื่องจากเป็นซอฟต์เพาเวอร์ ที่สามารถแทรกซึมเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ผ่านการชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ที่ถือเป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบกลับมาวนใหม่ได้เรื่อยๆ

ความพิเศษอยู่ที่ประเทศไทยในขณะนี้ ภาพยนตร์หรือ ‘ซีรีส์วาย’ (ความรักระหว่างผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ) กำลังได้รับความนิยมสูงมาก สะท้อนได้จากซีรีส์วาย ที่เป็นซีรีส์ความรักระหว่างเพศเดียวกัน ทั้งชาย-ชายและหญิง-หญิง สามารถเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วงโควิด-19 โดยซีรีส์วายสามารถทำเงินได้กว่า 1,000 ล้านบาทจากทั่วโลกในช่วงโควิด มีฐานคนดูที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นธุรกิจใหม่คือ ‘วายอีโคโนมี’ หรือธุรกิจวาย ซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซีรีส์วายมีการผลิตอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ อัตราการผลิตซีรีส์วายเติบโตขึ้นกว่า 270% ถือว่ารวดเร็วมาก สะท้อนให้เห็นถึงฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงจากข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตซีรีส์วายของเอเชีย เป็นฮับที่หลายประเทศจับตามองมากที่สุด โดยซีรีส์วายไปบุกตลาดต่างประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ที่ซีรีส์วายไทยได้ฉายบนแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีสมาชิกนับร้อยล้านคน

จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ เมื่อวันที่ 21-23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่อดีตผู้ว่า ททท.นำคณะไปโอซากา พาชมงานด้วยตัวเอง โดยการจัดงานครั้งนี้ของ ททท. เพื่อต้องการส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านสินค้าและบริการของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากการจัดงาน 2 ครั้งที่ผ่านมา ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และนครบาร์เซโลนา ราชอาณาจักรสเปน

โดย ททท.มุ่งเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมาย (Meaningful Travel) อย่างต่อเนื่อง ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ไทย ให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์จริงอย่างใกล้ชิดกับบรรยากาศและกิจกรรมที่สนุกสนาน สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน เนื่องจากเมื่อมีการจัดงานแบบนี้ ททท.จะขนกิจกรรมพิเศษไปให้ผู้ร่วมงานได้ลองประสบการณ์สุดพิเศษด้วยตัวเอง อาทิ การสาธิตทำอาหารไทย แสดงศิลปะมวยไทย รวมถึงการเปิดตัวศิลปินดาราซีรีส์วายที่กำลังได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ ททท.ตั้งเป้าหมายทั้งปี 2566 จะต้องมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนคน เพื่อผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของทั้งปีนี้ อยู่ที่ 25-30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตรา 80% ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้ารายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาทให้ได้ หากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ (ตุลาคม-ธันวาคม) ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) มีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 3 ล้านคนต่อเดือน ก็น่าจะเห็นภาพถึงแนวโน้มดังกล่าวว่าเป็นไปได้ และหวังกระแสการเดินทางดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ซึ่งตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 35 ล้านคน ปูทางสู่ภารกิจสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2570 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 80 ล้านคน

ซึ่งหากประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-25 กันยายน 2566 รวมอยู่ที่ 19,499,116 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 815,597 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าเหลืออีกประมาณ 8-10 ล้านคน ที่ต้องเร่งสปีดให้ได้ในอีก 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายท้าทายสูงสุดที่ 30 ล้านคน

การตีเหล็กจะต้องตีตอนร้อนๆ ททท.จึงไม่พลาดช่วงเวลาที่ดี โดยได้ร่วมกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ยกคอนเซ็ปต์ ‘Amazing 5F and More’ โดยเฉพาะ F-Food และ F-Film กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen X, Y และ Millennial และ SDGs ถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ 6 เรื่อง นำแสดงโดย 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่จะชวนทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์และอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่การท่องเที่ยวจริงด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการบุกตลาดซีรีส์วายทั้งในประเทศและต่างประเทศไทยไปพร้อมกัน แบบไม่มีการปล่อยให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องน้อยเนื้อต่ำใจ

ภาพตลาดซีรีส์วายที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสที่ใช้ต่อยอดในการสานต่อกิจกรรมเชิงการท่องเที่ยวอีกมากมาย อาทิ การตามรอยซีรีส์ ทั้งการเดินทางตามสถานที่ต่างๆ และเส้นทางอาหาร ลิ้มชิมรสเมนูที่เห็นผ่านหน้าจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการจัดงานที่นำศิลปินนักแสดงซีรีส์วายเข้าร่วมงาน ก็จะเห็นการพร้อมใจเข้าร่วมของแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น อย่างที่เห็นเป็นปรากฏการณ์ห้างสรรพสินค้าแตกกันมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตลาดวายในต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ก็มีเหมือนไทยเช่นกัน อาทิ มังงะ หรือการ์ตูน รวมถึงซีรีส์วายของต่างประเทศก็เข้ามาโด่งดังในไทยด้วย

ยิ่งในปัจจุบัน ดารานักแสดงซีรีส์วายที่กำลังโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ได้มีจำนวนหลักหน่วยเท่านั้น แต่มีจำนวนหลักหลายสิบคนด้วย ยิ่งเป็นโอกาสในการทำตลาดที่มากขึ้นอีก ทำให้ในอนาคต คาดว่าจะมีการประชาสัมพันธ์และทำตลาดท่องเที่ยวไทยผ่านมิติในด้านภาพยนตร์ หรือซีรีส์วายมากขึ้น

สิ่งที่มองข้ามไม่ได้และควรใช้เป็นหัวใจหลักในการทำตลาดคือ การสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง มีพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์เชิงบวกกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีความสบายใจที่จะอยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เกิดความอยาก หรือต้องการเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ที่ดีในประเทศไทยด้วยตัวเอง

เป็นโจทย์ที่ภาคการท่องเที่ยวไทยตั้งไว้ จะต้องเดินหน้าทำให้นักท่องเที่ยวคิดว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องได้มาเที่ยวประเทศไทยสักครั้งให้ได้”

'กรณ์' ยกเคส!! ไทอิน Soft Power ไทยในไวรัลคลิปเด็กอเมริกัน การประชาสัมพันธ์ประเทศขั้นเทพที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ

(21 ต.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ในหัวข้อ 'พลังของ Soft Power ไทย' ระบุว่า...

เด็กอเมริกันคนหนึ่งได้โพสต์ video ตัวเองใน Instagram พร้อมสัญญาว่า ‘ถ้ามีคนติดตามผมถึง 2 แสนคน ผมจะยอมปฏิบัติตามคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด’ 

ปรากฏว่าคลิปนี้กลายเป็นไวรัล โดยมีคอมเมนต์หนึ่ง บอกให้เด็กน้อยผู้นี้บินมาเมืองไทย และให้ไปฝึกมวยไทยในค่ายในเมืองเล็กๆ เมืองใดเมืองหนึ่ง และให้หัดพูดไทยให้ได้ และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับโดยคนไทย…ฯลฯ

ซึ่งคอมเมนต์นี้มีคนกดไลก์ไป 2,537,952 คน!! มีรายงานว่าเป็นสถิติการกดไลก์คอมเมนต์ที่สูงที่สุดที่เคยมีมาใน Instagram … >> https://www.instagram.com/reel/Cxtm57rPdE7/?igshid=MzRlODBiNWFlZA== 

ส่วนน้องคนนี้มีผู้ติดตามทะลุ 3 แสนคนแล้ว

ดังนั้นเราเตรียมต้อนรับน้องเขาด้วยนะครับ!!

เรื่องขำๆ นี้ทำให้เห็นว่าไทยเรามีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์ และยังมีความ exotic อยู่ในสายตาของชาวโลก 

ไวรัลแบบนี้ คือ การประชาสัมพันธ์ประเทศที่ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ และถึงใช้ก็คงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้

‘สัปเหร่อ’ ตัวอย่าง ‘วิถีไทย’ ความจริงใจที่ไม่ปรุงแต่ง ฝ่าแรงบูลลี่ ‘วิถีเชย’ ด้วย ‘ความซื่อ’ ที่น่าอวด

(22 ต.ค.66) จากเฟซบุ๊ก ‘KUL’ โดย ‘นายกุลวิชญ์ สำแดงเดช’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความถึงหนังไทยกระแสแรงอย่าง ‘สัปเหร่อ’ ที่กำลังไล่ล่าความสำเร็จและรายได้อย่างมากมาย ไว้ว่า…

“จริงใจ ไม่ปรุงแต่ง
10/10 #อวดดี

เราอาจจะเคยได้ยินพวกที่ป่าวประกาศว่ารักหนังไทย รักวัฒนธรรมไทย แต่กลับบูลลี่เหยียดหยันความเป็นวิถีไทย ว่า ‘เชย, ล้าหลัง’ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ มองมุมต่าง ซึ่งจริงๆ หนังในจักรวาลไทยบ้านทุกเรื่อง คือ การเอาสิ่งที่บางคนกังขา มานำเสนออย่างตรงไปตรงมา

ความเป็นไทยบ้าน ที่ซื่อ ทื่อ ดิบ มันอาจจะไม่ศิวิไลซ์ แต่วัฒนธรรมแบบนี้ ก็สร้างคนให้เติบโตมาเป็นล้านๆ คน

ผมว่า คนนำเสนอ เขาภูมิใจในสิ่งที่เขาเป็นนะ และบางที การเป็นตัวเองนี่แหละคือดีที่สุด

มันไม่ต้องไปพยายามเป็นคนอื่นหรอก

นี่คือตัวอย่างของคำว่า วิถีไทย มันไม่น่าอาย มันโชว์ได้

มัน #อวดดีได้”

'นครพนม' ดึง ‘กรีน-ญิ๋งญิ๋ง’ รำบวงสรวงสะกด นทท. ในชุด ‘ระบำนาคนารี’ Soft Power สุดสง่า เสริมแรงส่งการท่องเที่ยวจังหวัดชายแดนอีสาน

เมื่อวานนี้ (19ต.ค.66) ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราชพญานาคศักดิ์สิทธิ์ริมแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม พร้อมด้วย นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดนครพนม นางสาวกรอปแก้ว ปัญยารชุน รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ ภาพลักษณ์และการสื่อสารองค์กร บริษัทเดอะวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัดมหาชน พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชนท้องถิ่น และประชาชน นักท่องเที่ยว ร่วมพิธีบวงสรวงถวายสักการบูชาต่อองค์พญาศรีสัตตนาคราช พญานาคศักดิ์สิทธิ์ นาคาธิบดีสองฝั่งโขง เพื่อเป็นสิริมงคล และส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชายแดนอีสาน

นอกจากนี้เป็นการประกาศความพร้อมในการต้อนรับประชาชน นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว งานประเพณีไหลเรือไฟ ในเทศกาลออกพรรษา ระหว่างวันที่ 20-30 ตุลาคม 2566

สำหรับไฮไลต์ ของงานจะมีขึ้นในคืนเดือนเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา จะมีการไหลเรือไฟ สวยงามอลังการ จากชาวบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินเรือไฟ สร้างจากไม้ไผ่มากกว่าลำละ 5,000 ลำ แล้วใช้กระป๋องกาแฟเป็นตะเกียงบรรจุน้ำมันก๊าด หรือน้ำมันดีเซล แขวนบนเส้นลวดประดับลวดลายตามจินตนาการ รวม 12 อำเภอ 

อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือการส่งเสริม กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว  สืบสานประเพณีความเชื่อของคนแถบลุ่มน้ำโขงของทีมละครเรื่องพนมนาคา ที่กำลังออกอากาศทางช่องวัน 31 (one 31) เป็นที่นิยมของแฟนละครอยู่ในขณะนี้ โดยละครดำเนินเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อสายมูพญานาค รวมถึงเรื่องลี้ลับพญานาค มีดารานักแสดงนำ คือ น้องกรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล ในบทแสดงเป็นตัวละคร ถึงสองบทบาท คือ “อนัญชลี” กับ “หมอเอเชีย” รวมถึง น้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ ที่รับบทเป็นนางรอง “โสวันนี”

ในโอกาสนี้ทั้ง 2 นักแสดงสาวสวย ได้ร่วมรำบวงสรวง ในชุดระบำนาคนารี ถือเป็นการรำแสดงในพิธีศักดิ์สิทธิ์ถวายองค์พญานาคสองพี่น้อง อันตชัย กับ อเนกตชาติ พญานาคสองพี่น้อง แห่งเมืองพนมนาคา สร้างมนต์เสน่ห์ สวยงามอลังการ เป็นมนต์ขลังต่อสายต่อประชาชน นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังได้ร่วม รำบวงสรวงในชุดศรีโคตรบูรณ์ ร่วมกับนางรำชนเผ่านครพนม ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.นครพนม

ด้าน น้องกรีน-อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล แสดงเป็นตัวละคร สองบทบาท คือ “อนัญชลี” กับ “หมอเอเชีย” รวมถึง น้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ รับบทเป็นนางรอง “โสวันนี” เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มา จ.นครพนม เมืองศักดิ์สิทธิ์ลุ่มแม่น้ำโขงอีสาน เชื่อมโยงตำนานความเชื่อพญานาค รวมถึงมีโอกาสมารำถวายองค์พญานาคศรีสัตตนาคราช เป็นสิริมงคลต่อทีมละคร และแก่ตนเอง ส่วนตัวยอมรับมีความเชื่อเรื่องพญานาค มีบ้างเกิดที่เรื่องลี้ลับในขณะการถ่ายละคร โดยน้องกรีนยอมรับ อินมากกับบทละครสองบทบาท ทั้งอนัญชลี รวมถึงหมอเอเชีย

สำหรับน้องญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์ ที่รับบทเป็น”โสวันนี” อยากให้แฟนละครติดตาม เพราะยังเหลืออีก 5 ตอน ก็ถึงตอนอวสานแล้ว จะมีเรื่องตื่นเต้นสนุกสนานมากกว่านี้แน่ ขอบคุณที่ให้การติดตาม และในโอกาส จ.นครพนม จะมีการจัดประเพณีออกพรรษาไหลเรือไฟ ฝากเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว มาท่องเที่ยวเพราะเป็นจังหวัดที่สวยงาม และมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญหลายแห่ง มั่นใจว่าจะได้สัมผัสความสวยงาม และเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

'อนุทิน' ชื่นชมหนัง 'สัปเหร่อ' ยกของดีที่ควรต้องโชว์  ตัวอย่างความสำเร็จซอฟต์พาวเวอร์ผ่านวิถีชาวบ้าน

(24 ต.ค.66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกระแสภาพยนตร์เรื่อง ‘สัปเหร่อ’ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ คือตัวอย่างความสำเร็จจากการนำเสนอสิ่งที่เป็นวิถีของชาวบ้าน หลายสิ่งหลายอย่างเราเคยสงสัย หนังเรื่องนี้ เฉลยไว้หมดแล้ว แล้วยังให้แง่คิดเรื่องชีวิต ครอบครัว ความรัก ไว้ด้วย หนังทำให้เราเห็นว่า วิถีไทย ไทยสไตล์ ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ก็ต่างมีเสน่ห์ทั้งนั้น ไม่ต้องไปทำตามแบบใครเลย ภูมิใจในความเป็นเรานี่เอง ดีที่สุด ต้องชื่นชมคนนำเสนอที่ภูมิใจในวิถีของตัวเอง กล้านำเสนอ อย่างตรงไปตรงมา กินใจผู้ชม ของอะไรก็ตาม มันมีดี ให้โชว์ทั้งนั้น ขอแค่ภูมิใจ แล้วกล้าโชว์ อย่าไปมองว่า เราด้อยกว่าเขา เราอ่อนกว่าเขาเด็ดขาด กับของไทยๆ สินค้าไทย กับฝีมือคนไทย มั่นใจว่าไม่แพ้ใครในโลก“อย่าง OTOP สำหรับผม ผมว่าหลายอย่างงดงามระดับโลกเลยนะ ผ้าไทย ผมใส่โชว์เลย ก็มันสวย แล้วผมก็เป็นคนที่ภาคภูมิใจในการใช้ของไทยอยู่แล้ว ถ้า

เรากล้าอวดซะอย่าง ของที่เราอวดมันก็มีคุณค่าขึ้นมาแล้ว เหมือนหนังเรื่องไทบ้าน ก่อนที่จะมีสัปเหร่อ คนทำเขากล้า หนังมันก็ได้ฉาย อย่างน้อยที่สุด สมมติ ถ้าไม่ได้กำไร ขาดทุน แต่เรื่องราววิถีไทบ้านที่เขาอยากนำเสนอมันก็ไปถึงคนอื่นๆ แล้ว ใครอยากจะปั้น Soft Power ไทยต้องกล้าทำ กล้าโชว์ก่อน ถ้ามานั่งกล้าๆ กลัวๆ ที่แย่กว่าคือด้อยค่ากันเอง แบบนั้นไปไม่รอด ถ้วยกาแฟใบโปรดของผมก็ซื้อจากงาน OTOP สวยงามมาก ผมยังโพสต์อวดอยู่เลย” นายอนุทิน กล่าว

ยอมใจ!! 'สาวจีน' ปั่นจักรยาน 4,000 กิโลเมตร เพื่อมาเรียนมวยไทย กับ 'บัวขาว บัญชาเมฆ'

(25 ต.ค.66) นับว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ของวงการมวยไทย หลังจากเพจเฟซบุ๊ก Banchamek Gym (Buakaw Banchamek, บัวขาว บัญชาเมฆ) ได้เผยว่า มี ผู้หญิงชาวจีน ลงทุนลงแรงปั่นจักรยาน 4,000 กิโลเมตร มาเรียนมวยไทยกับ บัวขาว บัญชาเมฆ ที่ค่ายในจังหวัดเชียงใหม่ นับเป็น ซอฟต์พาวเวอร์ชั้นดี จนกลายเป็นที่ฮือฮาในประเทศจีนอย่างมาก

เพจของบัวขาว ระบุว่า “นี่ก็อีกราย Soft power อีกราย คนนี้จากประเทศจีน ตอนนี้ติดชาร์ตอันดับที่ 3 ของเวยป๋อละ กับการที่ หลี่ เจิน เซียง สาวจีน จากเมืองเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน ได้ตัดสินใจขี่จักรยาน เป็นระยะทางกว่า 4,000 กิโลเมตร มายังประเทศไทยเพื่อทำความฝันให้สำเร็จในการมาฝึกซ้อมมวยไทยที่ค่ายพี่บัวขาวที่เชียงใหม่ละขึ้นชก ในประเทศต้นตำรับของมวยไทย พวกเรามาเอาใจช่วยกันครับ เผื่อใครในนี้เจอเขา ก็ทักยิ้มให้บ้างช่วยกันแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี และต้อนรับเขาในฐานะที่ชื่นชอบมวยไทยเหมือนกัน เราควรภาคภูมิใจที่ชาวต่างชาติต่างหลงใหลในมวยไทยที่เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของเรา”

‘นักบิด MotoGP’ ควงตะหลิวจับกระทะ แข่งทำ ‘ผัดไทย’ ชู ‘สตรีตฟู้ด’ ซอฟต์พาวเวอร์ไทย สู่แฟน MotoGP ทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ นักบิดโมโตจีพีชื่อดังจากยามาฮ่า และ ก๊องส์ ธัชกร บัวศรี นักแข่งดาวรุ่งชาวไทยจากทีมฮอนด้า ครองเจ้าสมรภูมิกระทะเดือด คว้าถ้วย ‘ผัดไทยจีพี’ ไปครอง ในกิจกรรม Pre-Event สุดน่ารักที่จัดต้อนรับนักบิดและเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำวิดีโอโปรโมตประเทศไทยของทีมดอร์น่า สปอร์ต ที่ปักหลักถ่ายทำ สถานที่สวยงามรอบเกาะรัตนโกสินทร์และแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพ ตื่นตาแฟนโมโตจีพีทั่วโลก ในการนำเหล่าเทพนักบิดชื่อดังระดับโลก ‘กวาร์ตาราโร-มอร์บิเดลลี่-เมียร์’ ปะทะ 3 นักบิดไทย ‘ก้อง-ก๊องส์-ไอเดีย’ แข่งขันทำสุดยอดเมนูสตรีตฟู้ดแสนอร่อยที่สร้างชื่อและภาพจำให้กับประเทศไทยตลอดกาล สูตรเด็ดจากเชฟ ‘กระติ๊บ’ ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล ดีกรีนางเอกดัง เตรียมถ่ายทอดภาพความสวยงามและเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วงการแข่งขัน 27-29 ต.ค.นี้ สู่แฟนมอเตอร์สปอร์ตกว่า 207 ประเทศ 800 ล้านคนทั่วโลก

ความเคลื่อนไหวกิจกรรม Pre Event ต้อนรับนักแข่ง โมโตจีพี สนามประเทศไทย รายการ ‘OR Thailand Grand Prix 2023’ ที่จัดขึ้นในวันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ห้องราชพฤกษ์บอลรูม ชั้น 2 อาคารสปอร์ตคลับเฮ้าส์ ราชพฤกษ์คลับ นอร์ธปาร์ค ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นักบิดโมโตจีพีชื่อดัง ได้แก่ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร และฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ นักบิดชื่อดังจากยามาฮ่า, โจอัน เมียร์ จากฮอนด้า รวมทั้งนักบิดไทยที่ลงแข่งขันในศึกโมโตจีพี สนามประเทศไทย 3 คน ได้แก่ ก้อง สมเกียรติ จันทรา จากฮอนด้า ในรุ่น Moto2, รุ่น Moto3 ไอเดีย กฤตภัทร เขื่อนคำ จากยามาฮ่า และ ก๊องส์ ธัชกร บัวศรี จากทีมฮอนด้า พร้อมด้วยเหล่าแฟนคลับและกองทัพสื่อมวลชน ร่วมชมการถ่ายทำวิดีโอประชาสัมพันธ์ประเทศไทย โดยทีมงานดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน

ซีนสำคัญของการถ่ายทำวิดีโอโปรโมตประเทศไทย เป็นการเดินเรื่องที่ นักบิดต่างชาติได้พบกับ รถเข็นขาย ‘ผัดไทย’ จึงชักชวนกันไปฝึกหัดและแข่งขันกันทำผัดไทย สู่ซอฟต์พาวเวอร์สตรีตฟู้ดอาหารไทยที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก ส่งผ่านวัฒนธรรมอาหารผ่านกิจกรรม Pre-Event ที่ฝ่ายจัดฯ โมโตจีพี เตรียมไว้ต้อนรับในนักแข่งในชื่อ ‘ผัดไทยจีพี’ หรือ ‘PadThai GP Contest’

บรรยากาศภายในงานเริ่มจากขบวนกลองยาว การฟ้อนรำต้อนรับ โดยมีคณะผู้บริหารจากภาครัฐ-เอกชน ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดันให้เกิดงานโมโตจีพี สนามประเทศไทย นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายยุทธศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นประธาน พร้อมด้วย นาย นิธี  สีแพรรองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ นายอารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, นายวีรพงษ์ ธนากิจจานนท์ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายกีฬายานยนต์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, นายสุรเชษฐ คล้ายแจ้ง ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานงานทะเบียนและภาษีรถ กรมการขนส่งทางบก และตนัยศิริ ชาญวิทยารณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ร่วมให้การต้อนรับ มอบพวงมาลัย และมอบผ้ากันเปื้อนผัดไทยจีพีให้กับเหล่านักบิด

การแข่งขันได้เชฟฝีมือดี ดีกรีนางเอกชื่อดัง กระติ๊บ ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล นำสูตรเด็ด เคล็ดลับการทำผัดไทยให้อร่อย มาสอนให้เหล่านักบิดได้ลงมือทำในแบบต้นตำรับ เมนูสตรีตฟู้ดแสนอร่อยของคนไทยที่กลายเป็นจานโปรดของคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อได้ทาน ชวนให้นึกถึงประเทศไทย โดย อ็อกซ์ฟอร์ด ดิกชันนารี บรรจุชื่อ ‘pad thai’ (ผัดไทย) ให้เป็นคำศัพท์สากล เนื่องจากเป็นเมนูที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ โดยเหล่าคณะกรรมการจากภาครัฐเอกชนและแฟนคลับโมโตจีพี ร่วมชิมและโหวตให้กับ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ นักบิดโมโตจีพีชื่อดังจากยามาฮ่า และ ก๊องส์ ธัชกร บัวศรี นักแข่งดาวรุ่งชาวไทยจากทีมฮอนด้า ครองเจ้าสมรภูมิกระทะเดือด คว้าถ้วยผัดไทยจีพีไปครอง โพเดี้ยมอันดับ 2 ได้แก่ โจอัน เมียร์ จากฮอนด้า และ ไอเดีย กฤตภัทร เขื่อนคำ จากยามาฮ่า โพเดี้ยมอันดับ 3 ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร จากยามาฮ่า และ ก้อง สมเกียรติ จันทรา จากฮอนด้า บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ประทับใจ 

ทั้งนี้ การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือโมโตจีพี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ภายใต้ชื่อรายการ ‘โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2023’ (OR Thailand Grand Prix 2023) ศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีกำหนดแข่งขันระหว่าง 27- 29 ตุลาคม 2566 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์   

แฟนความเร็วซื้อบัตรชมการแข่งขันได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven  ทุกสาขาทั่วประเทศ ส่วนบัตรแอดมิชชัน(ADMISSION) เข้าร่วมชมงานในลานกิจกรรม บูธจำหน่ายสินค้า คอนเสิร์ตและมวย ซื้อบัตรได้ที่บูธ Allticket หน้างาน วันที่ 27-29 ต.ค. เท่านั้น ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram

‘สาวเกาหลี’ เช็กอิน!! สังคมไร้เงินสดไทย ลองกินเที่ยว กทม.แบบไม่ขอพกเงินสด อึ้ง!! ‘ระบบสแกนจ่าย’ กระจายทั่ว สะดวกจนไม่ต้องแลกเงินใช้สักบาทเดียว

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 66 ช่องยูทูบ ‘TopMent Thailand’ ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของยูทูบเบอร์สาวชาวเกาหลีใต้ ที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย และรู้สึกประทับใจกับวิธีการชำระเงินของเมืองไทยเป็นอย่างมาก โดยได้ระบุว่า…

2-3 ปีมานี้การใช้จ่ายเงินด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) กำลังเป็นที่นิยมมากในประเทศไทย โดยทางรัฐบาลมีความพยายามที่จะทำให้สังคมไทยกลายเป็น ‘สังคมไร้เงินสด’ ... และไม่น่าเชื่อเลยว่า การสแกนคิวอาร์โค้ด ที่คนไทยจำนวนมากเริ่มใช้กันจนชินแล้วนั้น จะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับชาวต่างชาติ จนถึงขนาดที่มีสาวชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า จะขอลองเที่ยวกรุงเทพฯ โดยไม่ใช้เงินสด และจะสแกนแต่คิวอาร์โค้ดเท่านั้น

‘TopMent Thailand’ ได้เล่าถึงคลิปวิดีโอต้นเรื่อง ซึ่งเป็นคลิปของ ‘คุณแองเจลิน่า ลี’ จากช่องยูทูบ @AngelinaleeTravel ที่ถูกเผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา และจนถึงตอนนี้ก็ผู้คนจากทั่วโลกเข้ามารับชมคลิปวิดีโอของเธอไปมากกว่า 184,000 วิว

แองเจลิน่า ลี ได้เริ่มต้นคลิปของเธอในระหว่างที่เดินออกมาจากเครื่องบิน พร้อมกับบอกว่า...

"ตอนนี้มาถึงกรุงเทพฯ ผ่านไปเพียงแค่ 3 ปี กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปเร็วมาก" จากนั้นสิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือไปรับ 'ซิมการ์ด' ก่อน ซึ่งเธอยังบอกอีกด้วยว่า "ทุกวันนี้สะดวกมากเพราะสามารถดำเนินการซื้อล่วงหน้าได้ผ่านช่องทางออนไลน์"

หลังที่เธอได้รับซิมการ์ดแล้ว เธอก็เดินผ่านมาทางเคาน์เตอร์แลกเงิน ซึ่งที่จริงแล้ว เธอสามารถทำการแลกเงินที่นี่ได้เลย แต่สำหรับทริปนี้ เธอจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะเธอนั้นได้วางแผนมาล่วงหน้าแล้ว ว่าทริปเที่ยวกรุงเทพฯ ในครั้งนี้เธอจะไม่ใช้เงินสดเลยตลอดทั้งทริป

โดย แองเจลิน่า เผยว่า เธอได้ยินชื่อเสียงของระบบการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดที่กรุงเทพฯ ว่ามีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีแต่คนบอกว่าคุณสามารถชำระเงินได้โดยใช้ระบบคิวอาร์โค้ด แม้แต่ในร้านค้าที่เล็กมากๆ ก็ยังรับชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดเลย ดังนั้น เธอจึงอยากลองใช้ชีวิตการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดดูบ้าง

หลังจากนั้น เธอก็ได้เดินทางไปที่พัก แล้วหาหลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรกิน โดยเธอบอกว่าร้านที่เธอจะไปเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในหมู่คนเกาหลี และอยู่ห่างจากโรงแรมที่เธอพักเพียงแค่ประมาณ 2 นาทีเท่านั้น

โดยในระหว่างทาง ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่นั้น เธอก็ได้ชมเมืองไทยด้วยว่า "ข้อดีของเมืองไทยก็คือ คุณสามารถเดินออกมาหาของกินข้างนอกได้อย่างปลอดภัย แม้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม"

แองเจลิน่าเดินมาถึงร้านดังกล่าว ชื่อ ‘ร้านโจ๊กโภชนา’ โดยเธอได้สั่งอาหารไปทั้งหมด 3 อย่าง ทั้งหมด ราคา 310 บาท ซึ่งเธอบอกว่า ร้านนี้ไม่รับบัตรเครดิต แต่สามารถจ่ายเงินด้วยคิวอาร์โค้ดได้ เธอจึงขอลองสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินทันที ... เธอบอกว่าระบบสแกนคิวอาร์โค้ดนี้ใช้งานง่ายมากๆ เพียงแค่สแกน กดใส่ตัวเลข และกดตกลง จากนั้นก็นำหลักฐานการโอนไปโชว์ให้คนขายดูเพื่อเป็นการยืนยัน เพียงเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากนั้น เธอได้ไปเดินเล่นเพื่อเที่ยวถ่ายรูปที่ถนนข้าวสารต่อ และที่น่าทึ่งก็คือ บรรดาร้านขายของริมถนนที่เธอเห็น ก็ยังรับชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด ทำเอาเธออดสงสัยไม่ได้ว่า การชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ดนั้น ได้รับความนิยมในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญเธอยังรู้มาว่า การใช้จ่ายแบบนี้ ร้านค้าประเภทนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารอีกด้วย รับเงินแบบเต็มๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกว้าวมากๆ

หลังจากได้ทดลองใช้คิวอาร์โค้ดในการจ่ายเงินในหลายๆ ร้าน แองเจลิน่า ก็รู้สึกทึ่งกับนวัตกรรมการชำระเงินของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเธอบอกว่า...

"ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดจริงๆ การที่ไม่ต้องพกเงินสดแบบนี้ มันทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างมาก และยังช่วยยกระดับการท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะเมื่อ 3 ปีก่อนที่มา ไทยยังไม่มีอะไรแบบนี้ และมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ด้วย เนื่องจากระบบการชำระเงินที่แสนสะดวกสบายนี้ ทำให้เราเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับการเดินทางได้ โดยไม่ต้องกังวลกับการหาสถานที่แลกเงินเลย"

ทั้งนี้ หลังจากที่คลิปของคุณแองเจลิน่าได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้คนเข้ามารับชม พร้อมแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ...

- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ฉันดีใจที่คุณชื่นชอบที่พักนั้น รวมถึงสระว่ายน้ำก็มีเอกลักษณ์และดูสวยงามมาก
- ดูเหมือนว่าที่นั่นจะสะดวกมากๆ เพราะสามารถใช้จ่ายเงินได้ โดยไม่ต้องใช้เงินสด
- การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือแบบนั้นดูสะดวกสบายมาก และมันก็ดูน่าทึ่งมากๆ ที่ประเทศไทยสามารถสร้างสังคมไร้เงินสดด้วยระบบคิวอาร์โค้ดได้แบบนั้น
- กรุงเทพฯ และโลกของพวกเรากำลังเปลี่ยนไป พวกเราจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดกันอีกต่อไปแล้ว

***นอกจากนี้ ยังได้มีคนไทยเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยว่า...

- ในประเทศไทย คุณสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินได้ตามปกติเกือบทุกที่ แม้แต่ร้านค้าริมทาง ตลาดสด อาหารริมทางของชาวบ้านตามชนบท ตามจังหวัดก็ใช้ได้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นเงินบาท โดยปัจจุบันคนต่างจังหวัด หรือคนชนบทก็รับการชำระเงินด้วยระบบคิวอาร์โค้ด คุณแทบไม่จำเป็นต้องพกเงินสดอีกต่อไปในประเทศไทย เพราะแม้แต่คนแก่ หรือผู้เฒ่าในชนบทก็ยังสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายมาก
- คุณสามารถชำระเงินด้วยรหัสคิวอาร์โค้ดได้เกือบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย แม้แต่ร้านอาหารข้างทาง ก็ยังมีรหัสคิวอาร์โค้ดให้คุณได้ใช้ชำระเงิน
- ใน เซเว่น อีเลฟเว่น ที่ประเทศไทย จะแตกต่างไปหน่อย เพราะเขามีระบบกระเป๋าเงินเป็นของตัวเอง คุณจึงไม่สามารถชำระเงินผ่านรหัสคิวอาร์โค้ดในเซเว่น อีเลฟเว่นได้ ต้องใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดแทน
- มันช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินไปได้เยอะเลยนะ และมันก็ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังง่ายกับร้านค้าในการชำระเงินด้วย ตัวลูกค้าเองนั้นก็สะดวกสบาย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด แถมยังป้องกันการเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย ฉันหวังว่า สักวันหนึ่ง ประเทศของฉันจะทำแบบนี้บ้าง
- ชาวต่างชาติที่ได้มาเที่ยวที่เมืองไทย จะไม่รู้สึกผิดหวังกับเมืองไทยของเราอย่างแน่นอน คุณจะได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณประหลาดใจ ทั้งผู้คน ภาษาพูด ภาษากาย อาหาร และวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค ... ตัวตนของเราชาวไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ และนั่นก็ทำให้คุณหลงรักเมืองไทย จนต้องกลับมาเที่ยวที่เมืองไทยอีกแน่นอนมัน เพราะเอกลักษณ์นั้น คือ มิตรภาพ และรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่เราทุกคนมี และมอบให้เพื่อต้อนรับแขกเสมอ

*** หลังจากนั้น ก็มีผู้ชมต่างชาติเข้ามาชื่นชมถึงความน่ารักของเมืองไทย กรุงเทพฯ รวมถึงคนไทย และอยากจะมาเที่ยวไทยในเร็ววัน ผ่านการรีวิวของ แองเจลิน่า และข้อคิดเห็นจากคนไทยผ่านในคลิปนี้อีกด้วย ว่า...

- ฉันสนุกไปกับวิดีโอของคุณมาก และฉันก็รู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งดูเหมือนว่าที่นั่นจะมีเวทมนตร์สักอย่างที่ดึงดูดใจผู้คนได้มากมายขนาดนี้ และฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ตกหลุมรักเมืองไทย ราวกับโดนเวทมนตร์สะกดเอาไว้ ทำให้ฉันได้อาศัยอยู่ที่นั่นนานถึง 15 ปี และทุกวันนี้ ฉันก็ยังคงเดินทางกลับไปท่องเที่ยวที่เมืองไทย เพื่อให้รู้สึกว่าได้เหมือนอยู่บ้านของตัวเอง ฉันเคยไปเที่ยวมาแล้วทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมืองไทยเป็นสถานที่โปรดของฉัน
- ไปเที่ยวที่เมืองไทยนั้นคุ้มค่ามาก และปลอดภัยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกปลอดภัยมาก ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทยก็ตาม
- ฉันชอบกรุงเทพฯ ครั้งต่อไป ฉันต้องลองไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ บ้างแล้ว
- คนไทยน่ารักมาก!!
- กรุงเทพฯ เป็นที่เที่ยวที่ฉันชอบมาก ซึ่งฉันได้จองทริปไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ เอาไว้แล้วในเดือนมีนาคมปี 67 ดีใจมากที่เรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่และบรรยากาศของที่นั่นจากคลิปของคุณ แถมยังได้รู้วิธีการใช้เงินที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย

มีดีต้องกล้าโชว์!! ‘อนุทิน’ ชม สินค้าไทยคือของดีน่าอวด แนะ รัฐบาลเร่งหาตลาดส่งออกเพิ่ม ปั้นสินค้าไทย สู่ Soft Power ระดับโลก

เมื่อไม่นานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชื่นชมสินค้าไทย โดยฝีมือของคนไทย มั่นใจว่าไม่แพ้ใครในโลก

“อย่าง OTOP สำหรับผม ผมว่าหลายอย่างงดงามระดับโลกเลยนะ ผ้าไทย ผมใส่โชว์เลย ก็มันสวย แล้วผมก็เป็นคนที่ภาคภูมิใจในการใช้ของไทยอยู่แล้ว ถ้าเรากล้าอวดซะอย่าง ของที่เราอวดมันก็มีคุณค่าขึ้นมาแล้ว ใครอยากจะปั้น Soft Power ไทย ต้องกล้าทำ กล้าโชว์ก่อน ถ้ามานั่งกล้าๆ กลัวๆ หรือที่แย่กว่าคือการด้อยค่ากันเอง แบบนั้นไปไม่รอด ถ้วยกาแฟใบโปรดของผมก็ซื้อจากงาน OTOP สวยงามมาก ผมยังโพสต์อวดอยู่เลย” นายอนุทินกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top