Monday, 6 May 2024
Softpower

'เก็ต-ชินภัสร์' หนุน!! ไอเดีย 1 จังหวัด 1 กางเกง แรงบันดาลใจจากกางเกงช้าง เชื่อ!! ทำได้ปังแน่

(1 ธ.ค. 66) ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เช้านี้ผมอ่านข่าวศิลปินญี่ปุ่น ที่อยู่ไทยตั้งแต่ปี 2015 ได้ออกแบบกางเกงลายใหม่ ผมเห็นปุ๊บผมรู้ทันทีว่าขายได้ 

เลยอยากสนับสนุนไอเดียที่ตอนนี้หลายคนพูดถึง - ทุกจังหวัดออกแบบดีไซน์กางเกง เก๋ ๆ ให้คนไทยและต่างชาติได้ใส่กัน 

รับรองปังเเน่ ๆ ครับ จากกางเกงช้าง มาเป็นกางเกงลายทะเลของภาคใต้ หรือ ธรรมชาติภาคเหนือ

ปล.: ใครอยากเคลม เชิญเคลมเลยครับ ขอให้พวกเราทำสำเร็จก็พอ

'อุ๊งอิ๊ง' ปักหมุดสงกรานต์ปี 67 ดันสู่สุดยอด 'ซอฟต์พาวเวอร์' เล็ง!! สาดน้ำทั้งเดือนเมษา ทยอยจัดทั่วทั้งประเทศ 77 จังหวัด

(1 ธ.ค. 66) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โพสต์ความคืบหน้าในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “แผนงานปีหน้า เริ่มแล้วค่ะ ประชุมคณะกรรมการการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์เมื่อวานนี้ ทั้ง 12 คณะ จาก 11 อุตสาหกรรม ได้เสนองบประมาณเพื่อเตรียมดำเนินการในปีหน้า โดยหลังจากนี้เราจะเสนองบประมาณตามลำดับขั้นตอนต่อไป และอีกหนึ่งเรื่องใหญ่และน่าตื่นเต้น คือแผนงานใหญ่ปีหน้า วันสงกรานต์จะไม่ใช่แค่เทศกาลแบบในอดีตที่ผ่านมา แต่เราจะจัดงานใหญ่ มหาสงกรานต์ World Water Festival-The Songkran Phenomenon”

“เราจะปักหมุดให้สงกรานต์ในไทยปีหน้า เป็นเทศกาลที่คนทั้งโลกต้องบินมาเล่นที่บ้านเรา และสงกรานต์ปีหน้า เราจะไม่เล่นน้ำแค่ 3 วันนะคะ แต่จะจัดงานกันทั้งเดือน ทยอยจัดกันทั้งประเทศ 77 จังหวัด เตรียมวางแผนกันได้เลยนะคะว่าสัปดาห์ไหนของเดือนเมษายน อยากจะไปเล่นน้ำสงกรานต์กันที่จังหวัดไหนคะ มาร่วมกันทำให้สงกรานต์บ้านเรา เป็นเทศกาลที่ทั่วโลกต้องปักหมุดมาเล่นน้ำที่บ้านเรา และทำให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศสุดยอดเฟสติวัลโลกค่ะ #IngShin #PheuThai #PheuThaiParty #เพื่อไทย #พรรคเพื่อไทย #WorldWaterFestival  #THACCA #OFOS”

‘หนุ่มฟลอริดา’ สุดทึ่ง!! ‘เรือซิ่งไทยแลนด์’ เร็ว แรง ถึงใจ!! ลงทุนบินลัดฟ้ามาสั่งทำ เล็งนำกลับประเทศไปแข่งกับ ‘เจ็ตโบต’

(1 ธ.ค. 66) ‘พาร์กเกอร์ มิตเชลล์’ ทันตแพทย์หนุ่มชาวสหรัฐอเมริกา ได้เปิดช่องยูทูบ ‘Teeth & Turbos’ ซึ่งเป็นช่องทำคอนเทนต์เกี่ยวกับช่องปากและเครื่องยนต์ต่าง ๆ ซึ่งล่าสุดเขาได้โพสต์วิดีโอเกี่ยวกับ ‘เรือซิ่ง’ หรือ ‘เรือหางยาวไทย’

โดยเขาได้ศึกษาข้อมูลและเข้าไปอยู่ในกลุ่มสั่งทำเรือซิ่ง เพื่อเดินหน้าโปรเจกต์การนำเรือซิ่งลำนี้กลับไปแข่งขันกับเจ็ตโบตที่ฟลอริดา ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนต่างชาติที่ทำธุรกิจในเมืองไทย เขาจึงสามารถติดต่อสั่งทำเรือซิ่ง 1 ลำได้สำเร็จ

หลังจากอดทนรอมาหลายเดือน ในที่สุดเขาก็ได้เดินทางมายังจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปรับเรือซิ่งที่สั่งทำไว้ บอกเลยว่าครั้งแรกที่เห็นผลงาน เขาตื่นเต้นและประทับใจกับเรือลำนี้มาก พร้อมกับตั้งชื่อเรือว่า ‘เจ้าหางจระเข้’

จากนั้นเขาได้ลองนำเรือซิ่งไปขับ เรียกได้ว่า ‘ซิ่ง เร็ว แรง’ ทำเอาติดใจอ้าปากค้างตลอดทาง ซึ่งตอนนี้เขากำลังหาช่องทางการนำเรือซิ่งลำนี้ กลับไปยังฟลอริดาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเรือที่มีการปรับแต่งเยอะขนาดนี้ อาจมีปัญหาทางกฎหมายตามมาได้

เปิดงบ 'Soft Power' 5,146 ล้านบาท 11 สาขา ได้งบเท่าไรกันบ้าง?

(1 พ.ย. 66) คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เห็นชอบกรอบงบประมาณ 5,164 ล้านบาท ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทย 11 ด้าน เตรียมปิดถนนราชดำเนิน จัด World Water Festival มหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คาดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.66 ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการที่แต่ละโครงการ กิจกรรม และอุตสาหกรรมซอฟต์เพาเวอร์ไทยทั้ง 11 ด้านได้เสนอ รวม 5,164 ล้านบาท ได้แก่ อุตสาหกรรมเฟสติวัล 1,009 ล้านบาท

อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 711 ล้านบาท, สาขาอาหาร มี 3 โครงการใหญ่ เช่น 1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย, เชฟชุมชน และเชฟชาแนล 1,000 ล้านบาท, สาขาศิลปะไทย จำนวน 5 โครงงาน อาทิ เปิดหอศิลป์บริเวณถนนรัชดาภิเษก จัดตั้งสภาศิลปะแห่งประเทศไทย จัดกองทุนสนับสนุนศิลปะการแสดงร่วมสมัย รวมงบประมาณ 380 ล้านบาท, สาขาออกแบบ ส่งเสริมไทยแลนด์แบรนด์ 310 ล้านบาท, สาขากีฬา เน้นส่งเสริมประสิทธิภาพมวยไทย กิจกรรมมวยไทย ทั้งในและต่างประเทศ 500 ล้านบาท

สาขาดนตรี ส่งเสริมศิลปินไทยสู่ระดับโลก 144 ล้านบาท, สาขาหนังสือ ให้หนังสือไทยออกสู่หนังสือนานาชาติ 69 ล้านบาท, สาขาภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ การจัดเทศกาลเอกซ์โปรในประเทศและต่างประเทศ ส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์และซีรีส์ ผลักดันสู่ออสการ์ 545 ล้านบาท

สาขาแฟชั่น พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ และส่งเสริมการแสดงสินค้าในต่างประเทศ 268 ล้านบาท และสาขาเกมพัฒนาหลักสูตร การส่งเสริมผู้ประกอบการ ส่งเสริมกองทุนและสร้างสนามกีฬาอีสปอร์ตแห่งชาติ  374 ล้านบาท

จากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหารือกับสำนักงบประมาณ ซึ่งโครงการบางส่วน อาจมีงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐอยู่แล้ว หรือบางสาขาตั้งงบประมาณน้อยกว่าที่จะต้องใช้ จึงอาจต้องมีการทบทวนให้เสร็จสิ้นภายใน 14 ธันวาคมนี้ ก่อนส่งให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

'สว.วีระศักดิ์' ร่วมงานเปิดม่านฉลองสมโภชพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 338 ปี

(2 ธ.ค. 66) คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, คุณวัสน์พล อรรถพรธนเสฐ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย, คุณเบญจ มอนโกเมอรี่ ประธานสมาคมท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก (ไทยแลนด์แชปเตอร์), คุณบูรณาการ จตุพรไพศาล - คุณเถกิง บรรจงรักษ์ อุปนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.), คุณกฤษณี ศรีษะทิน อุปนายกสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) (ทิก้า), คุณประภาพรรณ สังข์เมือง ผู้จัดการทั่วไป ทิก้า, คุณสาธิตา โสรัสสะ อุปนายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย, คุณภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ - คุณภัทรนิษฐ์ ปัณณศิระวิทย์ ภาคีเครือข่ายท่องเที่ยวไทย ร่วมแถลงข่าวงานเฉลิมฉลองสมโภชพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ครบรอบ 338 ปี เทิดพระเกียรติสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราชเจ้า และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ 72 พรรษา

งานสมโภชพระอาราม 338 ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 27 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2567 เวลา 07.00 - 22.00 น. ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ชมความงดงามของวัดคู่วัง - ประวัติศาสตร์ล้ำค่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดแสดงแสงสี ดนตรีวัฒนธรรมไทย ตลาดวัฒนธรรมย้อนยุคต้นรัตนโกสินทร์ นิทรรศการ 338 ปี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และการเจริญจิตตภาวนา สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

‘วิโรจน์’ เหน็บ!! คอร์รัปชันจะกลายเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์ไทย’ ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ เน้นจ่ายส่วยเรื่องจบ ไม่สนกฎหมาย

(4 ธ.ค.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า…

คอร์รัปชัน มาเฟียข้ามชาติ และธุรกิจสีเทา คือ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ประเทศมี กม.อาญา แต่คุกมีไว้ขังคนจน มี กม.ห้ามคอร์รัปชันแต่ก็มีอยู่ทุกอณู ผิดกม.จ่ายส่วยก็เคลียร์ได้ ยอมให้ ตร.ไถ ก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายได้

นี่มัน Soft Power ดึงดูดมาเฟียข้ามชาติ ให้มาลงทุนในธุรกิจสีเทาชัดๆ

‘นายกฯ’ ดัน ‘มวยไทย’ ซอฟต์พาวเวอร์เบอร์ 1 ของไทย เล็งต่อยอดอาชีพนักมวย - สร้างรายได้จากทุกมิติ

(8 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลัง นายพิมล ศรีวิกรม์ กรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ด้านกีฬา นำผู้บริหาร One Championship พร้อม ร.ท.สมบัติ บัญชาเมฆ หรือ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯ ว่า 

“ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับต้นของประเทศไทย เป็นกิจกรรมที่มีคำว่าไทยอยู่ด้วย และมวยไทยให้คุณค่าซอฟต์พาวเวอร์ความเป็นไทยเยอะ ตัวอย่าง ค่ายมวยไทยในประเทศอังกฤษมีประมาณ 5 - 6 พันแห่ง จึงเป็นซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ที่ถูกส่งไปทั่วโลก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล มีการถ่ายทอดสดเป็น live Streaming รวมไปถึงการขายสินค้าและอุปกรณ์ เช่น กางเกงมวย นวม ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศไทย กีฬามวยไทยถึงแม้นักมวยจะอายุมากถึง 41 ปี เหมือนนายบัวขาว ถ้ารักษาตัวดี ก็ยังสามารถเป็นความหวังและแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมมวยไทย 

นอกจากนั้น คนไทยอยากมีอาชีพที่มั่นคง เพราะหากย้อนไป 30 - 40 ปีที่แล้ว อาชีพนักมวยมีระยะสั้น อายุนักมวยที่ขึ้นชกก็สั้นบางคนแค่ 3 - 4 ปี แต่หากดูแลตัวเองดีอายุ 40 - 50 ปี ก็ยังขึ้นชกได้ หากไม่อยากชกต่อก็สามารถเอามวยไทยไปบรรจุในกิจกรรมอื่น เช่น ในวิชาพลศึกษา หรือตั้งค่ายมวยในต่างประเทศ และจะเป็นช่องทางขยายอาชีพให้กับนักมวยไทย เช่นเดียวกับนักฟุตบอล ที่ไปเป็นโค้ด หรือผู้ฝึกสอนให้กับหลายสโมสร เป็นการต่อยอดอาชีพที่มั่นคงสร้างรายได้ต่อไป จากนี้จะเป็นการคิกออฟซอฟต์พาวเวอร์อันดับ 1 ของประเทศได้”

นายเศรษฐา กล่าวว่า “รายการ One Championship มีการถ่ายทอดสดและมีผู้ชมหลายร้อยล้านคน ทำให้แปลกใจ เหตุใดมีผู้ชมจำนวนมาก ทำให้คิดว่ามวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่มีศักยภาพสามารถไปได้อีกไกลมาก และทำรายได้ให้ประเทศ โดยเชื่อมโยงไปกับการท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ภูเก็ต มีการเข้าแคมป์เรียนมวยไทย ขณะที่เวทีมวยราชดำเนิน เวทีมวยลุมพินี เป็นศูนย์รวมขนาดใหญ่ใครอยากเรียนชกมวยก็มาเยี่ยม จึงต้องมีการส่งเสริม ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ธ.ค.จะมีการแข่งขันศึกชิงแชมป์โลกมวยไทย ที่เวทีมวยลุมพินี และถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ตนจะถือโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมการแข่งขัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีแนวทางจะผลิตนักมวยอย่างไร เพื่อส่งเสริมให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ต้องมีหลายด้าน ทั้งการดูเรื่องตรวจคนเข้าเมือง ที่ต้องประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีนักมวยไทยหลายคนอยากไปสอน และตั้งค่ายมวยในต่างประเทศ แต่ใช้วีซ่านักท่องเที่ยวทำให้ผิดกฎการเข้าเมือง ขณะที่คนที่สนใจกิจกรรมมวยไทย และอยากเข้ามาเรียนมวยไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ต้องอำนวยความสะดวกให้คนที่เข้ามาคนที่เข้ามา”

เมื่อถามว่า อยากเห็นปลายทางของมวยไทยอย่างไร อยากให้มวยไทยไปทั่วโลก หรือให้นักท่องเที่ยวและนักมวยต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า “ที่ถามมาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่เราอยากสร้างรายได้เสริมให้คนที่ต้องการมาทำกิจกรรมมวยไทย ตั้งแต่ผู้ผลิตกางเกงเจ้าของสนามมวย การท่องเที่ยว สำคัญที่สุดคือต่อยอดอาชีพให้นักมวยไทย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นายกฯ ได้โชว์เข็มขัดแชมป์เปี้ยนโลก WBC ขนาดย่อ ที่สวมข้อมือด้านขวาให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพ ส่วนเข็มขัดของจริง ประธานสภามวยโลกจะเป็นผู้นำมาโชว์ในงานอะเมซซิ่งมวยไทย ที่จัดระหว่างวันที่ 2 - 5 ก.พ. 2567

ดร.หิมาลัย ชู ‘ยิ้มสยาม มีน้ำใจ ห่วงใยเอื้ออาทร’ สะท้อนคุณค่า ‘Soft Power’ ไทยที่สะกดใจคนทั่วโลก

ดร.หิมาลัย ชู ‘ยิ้มสยาม มีน้ำใจ ห่วงใยเอื้ออาทร’ สะท้อนคุณค่า ‘Soft Power’ ไทยที่สะกดใจคนทั่วโลก พร้อมชวนคนไทยใช้จุดแข็งนี้ ดึงดูดชาวต่างชาติ พลิกฟื้นการท่องเที่ยว สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย

(13 ธ.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับ ‘Soft Power’ ของไทย ซึ่งรัฐบาลกำลังพยายามผลักดันศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ความเป็นไทยในหลากหลายมิติ เพื่ออวดสายตาชาวโลก พร้อมกับดึงดูดให้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย 

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย กล่าวว่า คำว่า ‘Soft Power’ มีการตีความที่หลากหลาย แต่โดยส่วนตัวของตนนั้น มองว่า เอกลักษณ์ของไทยที่เป็น ‘Soft Power’ สะกดให้คนทั่วโลกหลงรักประเทศไทยและคนไทยหากได้มาเยือน ที่นั่นก็คือ ยิ้มสยาม, มีน้ำใจ, เอื้ออาทรห่วงใย, ช่างโอภาปราศรัย และ ใจรักในการบริการ หรือ Service Mind ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวคนไทยมาช้านาน  

“อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ยิ้มสยาม คนต่างชาติล้วนนึกประเทศไทยและคนไทย ซึ่งเป็นการสะท้อนความมีไมตรีจิต และการยิ้มของคนไทยนั้นเป็นภาษากายสากลที่ทุกคนเมื่อได้เห็นล้วนสัมผัสได้ถึงความจริงใจและไมตรีของคนไทย แน่นอนว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์สนับสนุนในเรื่อง Soft Power ที่รัฐบาลกำลังผลักดันในหลายๆ มิติ เพื่อสร้างแรงดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยพลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายให้กับประเทศไทยเร็ว”

ดร.หิมาลัย อธิบายว่า ประเทศไทยนั้น มีสิ่งที่เกื้อหนุนด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรม ที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจอยากจะมาสัมผัสและศึกษาค้นคว้าอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่พร้อมให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่มองว่า ควรเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือน

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนไทยทุกคนพร้อมที่จะให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกคนอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายเลือดคนไทยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มิตรไมตรี และยิ้มสยาม ที่ตราตรึงใจคนทั่วโลก รวมไปถึงการมีน้ำใจของคนไทย ซึ่งเห็นได้ชัดช่วงโควิดที่ผ่านมา มีชาวต่างชาติหลายคนที่ติดอยู่ในเมืองไทย กลับประเทศตนเองไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ได้แม้ไม่มีเงิน ด้วยความเอื้ออาทรของคนไทย สามารถพึ่งพิงอาศัยได้ ทั้งวัดไทย, สุเหร่า และโบสถ์คริสต์ มีการทำอาหารแจกจ่าย เป็นการสะท้อนความมีน้ำใจของคนไทย ที่หาได้ยากในต่างประเทศ

นอกจากนี้ คนไทยยังมีความเอื้ออาทรห่วงใย พร้อมถามไถ่ให้คำแนะนำ และเตือนภัยหากเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ จะมีอันตราย ด้วยความเป็นคนช่างเจรจาปราศรัย ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต่างชาติประทับใจ และอีกหนึ่งอย่างที่ชาวโลกยกย่อง คือ Service mind การบริการด้วยใจ ที่ไม่เป็นรองใครในโลก ยกตัวอย่าง สายการบินของไทย ที่ดูแลผู้โดยสารด้วยความใส่ใจและนอบน้อม จนได้รางวัลอันดับต้นๆ ของโลก แม้แต่สายการบินต่างชาติยังต้องทำตาม หลังจากนั้นเขาก็ได้รางวัลสายการบินยอดเยี่ยมไป ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า ช่วงหนึ่งเราละเลยสิ่งเหล่านี้ไป แต่อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถกลับมาสร้างความประทับใจให้กับชาวโลกได้อย่างแน่นอน ผ่านสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง ‘Soft Power’ ที่อยู่ในตัวคนไทยอยู่แล้วนั่นเอง

‘เจ็ตสกีเวิลด์คัพ’ ประกาศความสำเร็จต้นแบบงานกีฬาซอฟต์พาวเวอร์ สร้างประโยชน์ชาติ 4 ด้าน พร้อมเปิดศึกเมืองพัทยา 13-17 ธ.ค.นี้

‘ศึกเจ็ตสกีเวิลด์คัพ’ ประกาศความสำเร็จสมบูรณ์แบบในฐานะต้นแบบงานกีฬาซอฟต์พาวเวอร์ไทย และสปอร์ตทัวริซึ่ม ‘WGP#1 Waterjet World Cup, Thailand Grand Prix 2023’ พร้อมจัด 13-17 ธันวาคม 2566 ณ หาดจอมเทียน เมืองพัทยา และก้าวขึ้นเป็นคอนเทนต์กีฬาเจ็ตสกีพรีเมียม อันดับที่ 1 ของโลก ที่สร้างประโยชน์หลักชาติไทย 4 ด้าน ได้แก่ นำเข้าผู้ร่วมกิจกรรมจากทั่วโลกกว่า 3,000 คน เติบโตขึ้นเทียบชั้น ‘มหกรรมกีฬา’ สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน, ประชาสัมพันธ์เมืองไทยโดยถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียม 121 ประเทศ ผู้ชมกว่า 100 ล้านคน, นำกีฬาไทยขึ้นเป็นแบรนด์กีฬาความเร็วโลก และยกระดับสร้างชื่อเสียงชาติไทยในฐานะผู้บริหารกีฬาโลก

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 66 จากการแถลงข่าวร่วมกันของ คุณณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, คุณสุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, คุณ วีรพงศ์ พงศ์สวัสดิ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, คุณวงศ์สถิตย์ สุวรรณสุทธิ ผู้จัดการฝ่ายตลาดหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ นายกสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย และ พล.ต.อ. เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ในฐานะประธานอำนวยการ จัดการแข่งขันฯ เปิดเผยว่า…

‘WGP#1 โมเดล’ เป็นโมเดลการพัฒนาแบรนด์ทัวร์นาเมนต์กีฬาไทย เพื่อให้เกิดการเติบโตด้านทรัพย์สินทางปัญญา และพัฒนากีฬาไทยสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้อย่างยั่งยืนบนเวทีโลกขณะนี้ กล่าวได้ว่า ทัวร์นาเมนต์ ‘WGP#1 Waterjet World Cup, Thailand Grand Prix 2023’ ที่จะเริ่มแข่งขันวันที่ 13-17 ธันวาคม 2566 ณ เมืองพัทยา ประเทศไทย ได้ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ สร้างความเชื่อถือต่อคณะนักกีฬา ได้รับความสำคัญเป็นทัวร์นาเมนต์กีฬาเจ็ตสกี อันดับที่ 1 ของโลก อย่างเป็นทางการแล้ว มีจำนวนทีมแข่งนานาชาติ นักกีฬามือหนึ่งของโลกมากกว่าทุกๆ ทัวร์นาเมนต์

ทัวร์นาเมนต์ WGP#1 ของไทย กำลังมีอิทธิพลด้านซอฟต์พาวเวอร์ครอบคลุมกว่า 55 ชาติ ในการแข่งขันบนทวีปต่างๆ ประเทศไทยมีเครื่องมือการขยายงานที่สำคัญคือ ‘การเป็นเจ้าของทัวร์นาเมนต์ เจ็ตสกีเก็บคะแนนชิงแชมป์โลก’ หรือ ‘World Series’ ที่จัดบนทวีปหลักของโลก 3 ทวีป ได้แก่ ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และทวีปเอเชียที่ประเทศไทย โดยขณะนี้ WGP#1 ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ควบคุมนโยบายการแข่งขันกีฬาเจ็ตสกีทั่วโลกในปัจจุบัน

งานหลักที่ขับเคลื่อนเป็นสิ่งแรก ก็คือ สนามตัดสินชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ดีที่สุดในโลก ต้องอยู่ที่ประเทศไทย เพื่อนำเข้าทีมงานรวมกว่า 3,000 คน และสามารถสร้างการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของภาครัฐด้วย ที่จะผลักดันเป็นโครงการสปอร์ตทัวริซึ่ม ที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายรัฐบาล ยังไม่รวมด้านผู้ชมอีกกว่า 5,000 คน ใน 4 วัน จึงเท่ากับทัวร์นาเมนต์กีฬาครั้งนี้ จะขับเคลื่อนผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 8,000 คน

การเติบโตนี้พัฒนาถึงขั้น ‘มหกรรมกีฬานานาชาติ’ แล้ว ตอบสนองด้านการสร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้ดี เป็น 1 ใน 4 เป้าหมายของ WGP#1 ด้านที่ 2 คือ การสร้างโอกาสประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปบนเวทีโลก โดยถ่ายทอดสดออกไป 121 ประเทศ มีผู้ชมกว่า 100 ล้านคน ด้านที่ 3 นำกีฬาไทยขึ้นเป็นแบรนด์กีฬาความเร็วโลก ซึ่งสร้างประโยชน์ต่อยอดได้อีกหลายมิติ และด้านที่ 4 ยกระดับสร้างชื่อเสียงของชาติไทย ในฐานะผู้บริหารกีฬาโลก สร้างเกียรติยศด้านกีฬาอย่างสูง ทั้งหมดเป็นความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ขอขอบคุณการสนับสนุนของ การกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, โตโยต้า, การบินไทย, สยามวอเตอร์คราฟ, เทอมินอล 21, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน), ฟรีด้อมเรซซิ่ง, JETPILOT โรงแรมดิวารี, เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, สมาคมกีฬาเจ็ตสกีโลก IJSBA และสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย

‘ททท.’ ดึง ‘อินฟลูฯ จีน’ ช่วยโปรโมตภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย เสริมแรงเต็มพิกัด หลังยอด ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ ทะลุ 27 ล้านคน

(27 ธ.ค. 66) สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากรายงานของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 ธ.ค.) พบว่ามี ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ เดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 796,808 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 120,303 คน คิดเป็น 16.60% หรือเฉลี่ย 113,830 คนต่อวัน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวเกือบทุกกลุ่มตลาด

โดยนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นตลาดที่เดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 149,409 คน ปรับเพิ่มขึ้นถึง 35.34% จากสัปดาห์ก่อนหน้า (11-17 ธ.ค.) ส่วนอันดับ 2 จีน 96,662 คน เพิ่มขึ้น 7.16% อันดับ 3 รัสเซีย 47,071 คน เพิ่มขึ้น 7.50% อันดับ 4 เกาหลีใต้ 46,060 คน เพิ่มขึ้น 6.22% และอันดับ 5 อินเดีย 41,679 คน เพิ่มขึ้น 12.03%

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปัจจัยจากวันหยุดต่อเนื่อง ‘ช่วงคริสต์มาส’ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้อย่าง ‘มาเลเซีย’ เดินทางเข้ามาจำนวนมาก 149,409 คน เพิ่มขึ้น 39,011 คนจากสัปดาห์ก่อนหน้า และการเดินทางใน ‘Winter Holiday’ ช่วงสิ้นปีของภูมิภาคยุโรป โดยพบว่าเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาค ‘ยุโรป’ มีจำนวน 197,987 คน เพิ่มขึ้น 32,825 คนจากสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 24 ธ.ค. 2556 แตะระดับ 27 ล้านคนในเดือนสุดท้ายของปีนี้ ด้วยจำนวนทั้งสิ้น 27,252,488 คน

สำหรับตลาด 5 อันดับแรกที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยสะสมสูงสุด อันดับ 1 มาเลเซีย 4,439,480 คน อันดับ 2 จีน 3,418,732 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 1,616,858 คน อันดับ 4 อินเดีย 1,587,090 คน และอันดับ 5 รัสเซีย 1,428,985 คน

สุดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า วานนี้ (26 ธ.ค.) ‘ททท.’ ได้จัดงานต้อนรับคณะสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้กิจกรรม ‘อะเมซิ่ง เฟสทีฟ แอนด์ เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป อิน ไทยแลนด์’ (Amazing Festive & Exclusive Trip in Thailand) มุ่งนำเสนอ ‘ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงบวก’ ของประเทศไทยผ่าน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) และ ‘การท่องเที่ยวอย่างมีความหมาย’ (Meaningful Travel) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว และกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ต่อเนื่องตลอดปี 2567

“คาดว่าตลอดทั้งปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย 3.5 ล้านคน โดยรัฐบาลมีความตั้งใจผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ด้วยการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ควบคู่กับการนำเสนอ Soft Power และ Meaningful Travel พร้อมยกระดับมาตรการความปลอดภัยและดูแลนักท่องเที่ยวในทุกมิติ เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และส่งมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความหมายในทุกครั้งที่มาเยือน”

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า กิจกรรม ‘Amazing Festive & Exclusive Trip in Thailand’ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ท่องเที่ยวเชิงบวก โดย ททท. สำนักงานในจีนทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ได้เชิญสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงจำนวน 93 ราย เดินทางมาประเทศไทยระหว่างวันที่ 21-28 ธ.ค. เพื่อร่วมสำรวจเส้นทางแหล่งท่องเที่ยวไทย และผลิตเนื้อหาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยในพื้นที่กรุงเทพฯ พัทยา (ชลบุรี) หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) เชียงใหม่ จันทบุรี พังงา และเกาะหมาก (ตราด)

ซึ่ง ททท. ได้ออกแบบเส้นทางให้สอดคล้องกับการส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2566 โดยนำเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ ทั้งเน้นย้ำเรื่อง ‘ความปลอดภัย คุณภาพ และเสริมสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยว’ ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย

นอกจากการกระตุ้นตลาดต่างประเทศด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายกับพันธมิตรต่างๆ แล้ว ททท. ยังคงเพิ่มแรงส่งด้วยแคมเปญสื่อสาร ‘Thais Always Care’ ภายใต้แนวคิด ‘LAND OF CARE’ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางและส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ดีของประเทศไทย

โดยจัดทำข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวของไทยที่น่าสนใจ และมีประโยชน์เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มาตรฐานความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งประชาสัมพันธ์เชิงรุกนำเสนอความสวยงามของประเทศไทย ผ่านคอนเทนต์ของ ‘KOLs’ ชาวต่างชาติและเผยแพร่ในแพลตฟอร์มชั้นนำ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติและกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญของไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ ฐาปนีย์ กล่าวถึงเป้าหมายการทำงานของ ททท.ว่า ในปี 2567 ตั้งเป้า ‘กรณีดีที่สุด’ (Best Case Scenario) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยให้ได้อย่างน้อย 35 ล้านคน เท่ากับว่าจะต้องฟื้นฟูตลาดเพิ่มขึ้นราว 8 ล้านคน เมื่อเทียบกับตลอดปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะปิดที่ตัวเลข 27-28 ล้านคน

“เมื่อถามว่า 8 ล้านคนที่เพิ่มขึ้น ททท.จะเอามาจากไหน ในเมื่อเส้นทางบินบางตลาดมีปริมาณที่นั่งผู้โดยสาร (Capacity) ใกล้เคียงกับภาวะปกติเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาดแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นตลาดความหวัง ด้วยเป้าหมายปีหน้าตั้งไว้ว่าจะดึงชาวจีนเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 8 ล้านคน เท่ากับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 4.5 ล้านคน เมื่อเทียบกับตลอดปีนี้ซึ่งน่าจะได้ 3.5 ล้านคน” ฐาปนีย์ กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top