‘รศ.หริรักษ์’ สะท้อน!! สงครามข่าวสารเมืองไทย พวกใครพวกมัน ‘ใครพลาด’ ต้องโจมตีให้หนัก 

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Harirak Sutabutr’ ว่า... 

สงครามข่าวสารในประเทศไทยก็ไม่ต่างอันใดกับสงครามข่าวสารในสงครามยูเครน คือต่อสู้กันแบบพวกใครพวกมัน พวกตัวเองทำผิดต้องปกป้อง แก้แทน ทำดีต้องอวยกันเต็มที่ พวกตรงข้ามทำดีก็ผิด ยิ่งถ้าทำไม่ดี ต้องถือเป็นโอกาสที่จะต้องรีบโจมตีให้หนัก 

กรณี มิลลิ หรือ ดนุภา คณาธีรกุล Rapper ชื่อดังของไทย ได้ขึ้นเวทีแสดงในงานมหกรรมดนตรี Coachella 2022 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานมหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก และได้นำข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นกินโชว์บนเวที BBC ไทย พาดหัวทันทีว่า

"มิลลิ : เปิดประวัติแรปเปอร์ ไทยคนแรก บนเวที Coachella 2022 ที่ครั้งหนึ่งทนายของประยุทธ์เคยแจ้งความหมิ่นประมาท"

The Standard ออกบทความว่าผลการโชว์กินข้าวเหนียวมะม่วงของมิลลิ ทำให้ยอดขายข้าวเหนียวมะม่วงของร้านต่างๆ ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า

ฝ่าย 3 นิ้วก็พากันออกมาอวยใน social media ในมุมต่างๆ กันถ้วนหน้า บางคนก็ว่า เป็น soft power ที่ได้ผลมาก และ soft power ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่เป็นไทยๆ ดูอย่างมิลลิ เป็นต้น 

คงยังจำกันได้ว่า ปลายปีที่แล้ว ลูกหนัง หรือ ศีตลา ลูกสาว ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง ได้รับคัดเลือกเข้าอยู่ในวง H1- Key ของเกาหลี และเป็นข่าวว่ากำลังจะเปิดตัว กลับถูกคนกลุ่มเดียวกันประกาศแบน เพียงเพราะพ่อคือ คุณศรัณยู ออกไปขึ้นเวทีประท้วงรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ร่วมกับ ก.ป.ป.ส. และลูกหนังซึ่งยังเด็กก็ออกไปด้วยกับคุณพ่อ ทั้งที่หากลูกหนังเกิดโด่งดังระดับโลกขึ้นมาเหมือน Lisa ก็จะสามารถใช้ soft power ทำประโยชน์ให้ประเทศได้อีกมาก

การที่มิลลิได้ขึ้นแสดงในงานมหกรรมดนตรีระดับโลกก็ต้องนับเป็นเรื่องดี และเป็นการทำชื่อเสียงให้ประเทศไทย แต่ก็อย่าได้อวยกันจนเกินจริงไป เพราะมิลลิไม่ได้ขึ้นแสดงเพราะความสามารถและชื่อเสียงของตัวเองล้วนๆ แต่ได้ขึ้นแสดงก็เพราะมีผู้ที่รู้จักกับเจ้าของบริษัท 88 Rising ซึ่งเป็นบริษัทค่ายเพลงระดับโลกช่วยแนะนำ และ 88 Rising คงจะเห็นแววของมิลลิ จึงผลักดันให้ได้ขึ้นแสดงในงาน Coachella 2022 ประมาณ 6 นาที ซึ่งก่อนหน้านี้ มิลลิไม่ได้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติแต่อย่างใด 

การแสดงของมิลลิ แม้จะเป็นเรื่องดีและเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ แต่น่าเสียดายที่มิลลิใช้เนื้อเพลงที่ดูแคลนและประจานประเทศไทยอย่างไม่เป็นธรรม แต่ยังโชคดีที่เพลง rap เป็นเพลงที่ฟังยาก จับคำยาก คนฟังส่วนใหญ่จึงคงฟังไม่เข้าใจทั้งหมด อีกทั้งมิลลิร้องเป็นภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ 

เช่นใช้คำว่า "Government บูด" ทำให้ยิ่งฟังยากยิ่งขึ้นไปอีก หรืออย่างเสาไฟกินรีก็ไม่มีคนต่างชาติฟังออก ถึงฟังออกก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่กระนั้น การแต่งเนื้อเพลงแบบนี้ก็บ่งบอกได้ถึงทัศนคติของคนแต่งและคนร้องว่าเป็นอย่างไร 

อย่างไรก็ดี การที่มิลลินำข้าวเหนียวมะม่วงไปกินโชว์บนเวทีต้องนับเป็นเรื่องดี เพราะเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และทุกสำนักข่าวชื่นชมว่าเป็นการใช้ Soft Power ได้ดี แต่ก็ไม่ทราบว่าชาวต่างชาติจะฟังเข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งที่มิลลินำไปกินบนเวทีคืออะไร ที่แน่ๆ คือการเผยแพร่ข้าวเหนียวมะม่วงของมิลลิ กลับทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงขายดิบขายดีในประเทศไทย ไม่ใช่ในประเทศอื่น นั่นเป็นเพราะการปั่นกระแสของสำนักข่าวออนไลน์ที่สนับสนุน 3 นิ้วทุกสำนักนั่นเอง

เมื่อพูดถึงคำว่า “Soft Power” ซึ่งความจริงผมไม่ค่อยชอบคำนี้สักเท่าใด แต่เราต้องเข้าใจคำนี้ให้ถ่องแท้ก่อนจะวิจารณ์อะไร soft power สำหรับประเทศใดประเทศหนึ่ง คือการทำให้ต่างชาตินิยมชมชอบ หรือเห็นดีเห็นงามไปกับชาติเราในด้านวัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง หรือนโยบายต่างประเทศ โดยไม่ใช้กำลังหรือใช้การข่มขู่ใดๆ 

ก่อนที่มีการให้กำเนิดคำว่า “Soft Power” คุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ผู้มากความสามารถ ก่อนเสียชีวิต ท่านได้ใช้คำว่า "กำหนดวัฒนธรรม" ความหมายคือ หากชาติใดสามารถกำหนดวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ ได้ ชาตินั้นจะได้ประโยชน์จากชาติอื่นๆ อย่างมหาศาล และผมได้เคยร่วมกับคุณแสงชัย และอ.ส.ม.ท จัดงานสัมมนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน "ธรรมศาสตร์ 60 ปี" ให้ชื่อว่า "สงครามคลื่นวัฒนธรรม" 

ในตอนนั้น เกาหลีมีแต่สินค้าไฮเทค ยังไม่มี K-Pop ยังไม่มีภาพยนตร์ฮิตมากมายเช่นทุกวันนี้ แต่ประเทศที่สามารถครอบงำประเทศต่างๆ ในโลกได้อย่างต่อเนื่องก่อนใครก็คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีเครื่องมือหลักคือ Hollywood ภาพยนตร์ Hollywood ทำให้ทั้งโลกนิยมใส่กางเกงยีนส์ คลั่งไคล้ดารา Hollywood ฟังเพลงของศิลปินอเมริกันและอังกฤษ และนิยมกิน hamburger และ fast food อื่นๆ ของคนอเมริกัน

ชัดเจนว่า เกาหลีได้ดำเนินรอยตามสหรัฐอเมริกาทุกประการอย่างได้ผล และประเทศที่เป็นเหยื่ออย่างถอนตัวไม่ขึ้นประเทศหนึ่งก็คือประเทศไทย ทั้งที่ในสมัยนั้น เกาหลียังเท่าๆ กับไทย แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมเกาหลีได้เข้ามาครอบงำประเทศไทยอยู่ข้างเดียว หมายความว่าในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เกาหลีได้ใช้ soft power กำหนดวัฒนธรรมประเทศอื่นได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศไทยดูเหมือนจะเกือบย่ำอยู่กับที่ ทำให้เราพ่ายแพ้ต่อเกาหลีใน "สงครามคลื่นวัฒนธรรม" ไปอย่างไม่มีทางสู้

อย่าได้โทษว่า เพราะประเทศไทยชอบมีการทำรัฐประหารบ่อยครั้ง จึงได้เป็นเช่นนี้ ควรต้องโทษคนไทยเรานี่แหละที่เอาแต่แย่งชิงอำนาจกัน ดึงแข้งดึงขากัน พวกใครพวกมัน ไม่ค่อยยอมรับสิ่งดีๆ ของคนอื่นที่ไม่ใช่พวกพ้อง หรือไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันทำไว้ และมีการทุจริตคอร์รัปชันกันในทุกระดับ ทั่วทุกหัวระแหง เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย ทุกรัฐบาล ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น 

หรือว่าประเทศเราต้องใช้ระบอบการปกครองแบบจีน และมีผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ประเทศเราจึงจะดีได้ ก็ไม่ทราบ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000016923106/posts/5471402276203616/