Monday, 29 April 2024
ไทย

รัฐบาล โชว์ 5 ปี ติดตามวัตถุโบราณไทย 611 รายการ คืนไทย เตรียมรับจากสหรัฐฯ 3 รายการ

เมื่อวันที่ (29 ส.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการติดตามวัตถุโบราณของไทย กลับประเทศว่า จากความมุ่งมั่นของรัฐบาล และคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ได้บูรณาการประสานกับส่วนราชการประเทศต่าง ๆ โดยกระทรวงวัฒนธรรมรายงานว่า สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา (Homeland Security Investigations: HSI) ได้เจรจาให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเดนเวอร์ (The Denver Art Museum) เตรียมการส่งคืนโบราณวัตถุกลับไทยโดยเร็ว จำนวน 3 รายการ ได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ศิลปะเขมร สมัยก่อนเมืองพระนคร และพระพุทธรูปยืน ศิลปะทวารวดี 2 องค์  

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับทับหลังปราสาทหนองหงส์ และทับหลังจากปราสาทเขาโล้น ที่ได้รับคืนจากพิพิธภัณฑ์ Asean Art ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2564 ขณะนี้ทับหลังปราสาทหนองหงส์ ได้จัดแสดง ณ ศูนย์ข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์ พนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้น จัดแสดงที่ศูนย์ข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว และเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ทั้งสองแห่ง ส่วนการติดตามโบราณวัตถุคืนไทยในลำดับถัดไป ทางคณะกรรมการฯ แจ้งว่ามีจำนวน 2 รายการ คือ 

1.) พระพุทธรูปประทับเหนือพนัสบดี สมัยทวารวดี จากเมืองโบราณซับจำปา จังหวัดลพบุรี อยู่ในความครอบครองของสถาบันเอเชียโซไซตี้ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 
และ 2.) ใบเสมาหินสลักภาพพุทธประวัติสมัยทวารวดี จากเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปรากฏข้อมูลใน Collection online ของ The British Museum

'ไทย' อยู่ในกลุ่มประเทศมีการพัฒนามนุษย์สูงสุด 3 ปีต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จนโยบายภาครัฐ ยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)  ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานความช่วยเหลือในด้านการพัฒนาของสหประชาชาติ (UN) ได้เผยแพร่รายงานการพัฒนาของมนุษย์ (Human Development Report) ปี 2021/2022 ซึ่งมีสาระสำคัญระบุถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ที่กระทบต่อการพัฒนาของมนุษย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับโรคระบาด ผลจากสงครามที่กระทบต่อราคาน้ำมันและค่าครองชีพ ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับมีข้อเสนอแนะต่อประเทศต่างๆ ในการกำหนดนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในสถานการณ์ความไม่แน่นอน 

พร้อมกันนี้ ในรายงานได้จัดทำดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index: HDI) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความสำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์ โดยรายงานระบุถึง HDI ของไทยในปี 2021 อยู่ที่ 0.800 อยู่ในลำดับที่ 66 จาก 191 ประเทศทั่วโลก จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูงมาก และอยู่ในประเทศกลุ่มนี้ต่อเนื่องมา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2019 หรือ พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หากพิจารณาเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนมี 4 ประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูงมาก ได้แก่ สิงคโปร์ (0.939) บรูไน (0.829) มาเลเซีย (0.803) และไทย (0.800) 

ประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูง มี 2 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย (0.705) เวียดนาม (0.703) 

และประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับกลาง มี 4 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (0.699)  สปป.ลาว (0.607) และเมียนมา (0.585) 

บิ๊กป้อม ตรวจสะพานเชื่อม 'ไทย - มาเลเซีย' แห่งที่ 2 เพิ่มจุดสัญจร-ส่งเสริมการขยายตัวศก.ทั้ง 2 ประเทศ

พล.อ.ประวิตร ลงพื้นที่ 'สุไหงโก-ลก' ตรวจจุดก่อสร้างสะพานเชื่อม 'ไทย - มาเลเซีย' แห่งที่ 2 ยกระดับความสัมพันธ์/ส่งเสริมเศรษฐกิจชายแดน เร่งรัดแก้น้ำท่วม พื้นที่ชุมชน

(19 ก.ย. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี / ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ลงพื้นที่ไปปฏิบัติราชการ จ.นราธิวาส โดยในช่วงเช้าได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ พร้อมมอบนโยบายที่สำคัญแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม ม.นราธิวาสราชนครินทร์  

สำหรับในช่วงบ่าย พล.อ.ประวิตร และคณะได้เดินทางต่อไปยัง ด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปและตรวจจุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก (ไทย-มาเลเซีย) แห่งที่ 2 บริเวณ อ.สุไหงโก-ลก กับเมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน โดยทำการสร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานเดิม เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการสัญจรผ่านแดน ส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ 

จากนั้นได้รับฟังความคืบหน้าโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม และการระบายน้ำ ในพื้นที่ชุมชนของ อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งประสบปัญหา น้ำท่วมซ้ำซากเป็นประจำทุกปี โดยมีสาเหตุจากการระบายน้ำของแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่ไม่สามารถดำเนินการระบายได้ทัน เนื่องจากมีน้ำหลากไหลเป็นปริมาณมาก ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน

11 ตุลาคม พ.ศ.2540 ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ฉบับที่ได้ชื่อว่าเป็น 'รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน'

วันนี้ เมื่อ 25 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน"

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นกฎหมายสูงสุดว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองประเทศไทยที่เป็นลายลักษณ์อักษร ฉบับที่ 16 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" เนื่องจากเป็นฉบับแรกที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างมากที่สุดและมีการเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนทั่วประเทศ 

ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ออกประกาศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 ทั้งนี้คณะปฏิรูปฯได้ออกประกาศคงบทบัญญัติบางหมวดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 ไว้ภายหลัง

รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 นี้ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย นายบรรหาร ศิลปอาชานายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองเข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 99 คน โดย 76 คนเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด และอีก 23 คนมาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งฉบับเดียวของประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ 15 ฉบับมาจากคณะรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งหรือรัฐบาลทหาร รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวถูกเรียกว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เนื่องจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่าง

'บิ๊กตู่' จูงมือ 'นายกฯ ลาว' เปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 ตอกย้ำความสัมพันธ์​สองประเทศที่ไม่มีวันตัดขาด

ไทย-ลาวชื่นมื่น นายกรัฐมนตรีไทย​ - สปป.ลาว​ เดินจูงมือกระหนุงกระหนิง​​วาง ศิลาฤกษ์​ เปิดสะพานมิตรภาพไทย​- ลาวแห่งที่ 5 ด้าน ‘นายพันคำ​‘ ย้ำ ความสัมพันธ์​สองประเทศตัดไม่ขาด​ ‘กินข้าวร่วมนา กินปลาร่วมน้ำ’

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ (28 ต.ค. 65) ที่บริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 แขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายพันคำ วิพาวัน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย​ - ลาว​ แห่งที่ 5 บึงกาฬ​ - ​บอลิคำไซ

โดยนายพันคำ​ กล่าวว่า​ ตนมีความยินดี ที่ได้รับเกียรติ เป็นประธานร่วมกับนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย ​- ลาว เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งการวางศิลาฤกษ์​ล่าช้า เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ในส่วนของการก่อสร้างได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งเกินความคาดหมาย 

ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในความพยายามในการพัฒนาของ 2 รัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขอำนวยความสะดวกในการสัญจรไปมาของประชาชนทั้งสองฝั่ง รวมไปถึงภาคการขนส่งระหว่างประเทศ ส่งเสริมการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว โดยใช้ที่ตั้งยุทธศาสตร์อันสำคัญของทั้งสองประเทศ เกี่ยวกับอนุภาคพื้นลุ่มแม่น้ำโขง และภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เป็นการอำนวยความสะดวกสนับสนุนการเชื่อมโยงการขนส่ง ทั้งฝั่งไทยลาวและอนุภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกให้เกิดผลประโยชน์สูง

นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว กล่าวว่า โครงการนี้ได้มีการวางแผนการปฏิบัติงานว่า ด้วยการเป็นผู้ร่วมยุทธศาสตร์ การเจริญเติบโตและการพัฒนา ในระยะ 5 ปี 2022-2026 ซึ่งได้มีการลงนามข้อตกลง เมื่อ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองต่อเจตนารมณ์ ของประชาชนทั้งสองชาติ ในการเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกัน และสายผูกพันมิตรภาพการร่วมมือ ที่มีมาอย่างยาวนาน พร้อมกันนี้โครงการสะพานมิตรภาพไทย ​- ลาวแห่งที่ 5 จะเป็นการตอบสนอง ให้แก่กันปฏิบัติเป้าหมายที่ 5 ในการร่วมมือเชื่อมโยง ภายในภาคพื้นสากลให้มีความทันสมัย เข้มแข็ง ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติตั้งแต่ปี 2021 -​ 2025 และยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในระยะ 10 ปี 2016 -​ 2025 โดยการนำเอาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่มีชายแดนติดต่อกัน เป็นการเชื่อมโยงศูนย์กลางการเชื่อมโยง

พรรคประชาชาติเดินหน้าเสริมศักยภาพผู้ประกอบการร้านต้มยำ หรือร้านอาหารไทยในมาเลเซีย

เมื่อวันที่ (8 พ.ย. 2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ พร้อมด้วย นายวรวีร์ มะกูดี รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ และอดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย นำคณะพรรคประชาชาติ เดินทางลัดฟ้าไปเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกอบการร้านอาหารต้มยำ ไทย-มาเลเซีย ที่ KB MAN CONNER สลายัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โอกาสนี้ได้เข้าร่วมอบรมการยกระดับและพัฒนาร้านอาหารต้มยำ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 พ.ย.65 ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารต้มยำ กับ นายทองเลี่ยม พุกทอง นายกสมาคมเดอะเชฟ ประเทศไทย  และ นางเบญจวรรณ ปกป้อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร เพื่อสร้างอาชีพ ยกระดับครัวไทย-มาเลเซียสู่ครัวโลก สอนวิธีการทำอาหารไทยที่ถูกต้องให้กับเชฟและผู้ประกอบการ ระหว่างร่วมกิจกรรม พ.ต.อ.ทวี ได้ร่วมปรุงเมนูต้มยำ พร้อมมอบใบประกาศให้กับผู้ที่ผ่านการอบรม เพื่อการันตีถึงความอร่อย โดยวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรมเพื่อยกระดับร้านต้มยำในประเทศมาเลเซีย ให้เทียบเท่าหรือดีกว่าร้านอาหารของชาติอื่นๆ ในอาเซียน และพัฒนาให้มีรสชาติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ครอบครัวต้มยำไทย–มาเลเซีย ก้าวสู่ครัวโลกต่อไป  

พ.ต.อ.ทวี กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญ ที่พวกเราได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของการทำอาหาร หรืออาชีพเชฟ โดยเฉพาะ ได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากสมาคมเดอะเชฟ ประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นสมาคมที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ 

“เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และจะเพิ่มเมนูใหม่ๆ เนื่องจากต้องยอมรับว่ามีพี่น้องคนไทยอยู่ที่นี่จำนวนมาก และมาเลเซียก็มีนักท่องเที่ยวจากทั้งโลกเดินทางมา ร้านอาหารที่พี่น้องชาวต้มยำได้ทำอยู่ ได้รับความนิยมจากคนมาเลเซียและคนชาติอื่นๆ ที่มาเยือน นอกจากทำให้คนในเมืองไทยที่อยู่ข้างหลังมีความภาคภูมิใจแล้ว ทุกท่านยังทำเป็นอาชีพที่ช่วยหล่อเลี้ยงครอบครัวที่อยู่ในเมืองไทย และที่สำคัญช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ”

ย้อนรอย 135 ปี ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น 'ไทยแลนด์ - ญี่ปุ่น' | THE STATES TIMES Y WORLD EP.22

ย้อนรอยความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นที่มีเวลาถึง 135 ปี!!
พร้อมเปิดตัว ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกใหม่ของประเทศญี่ปุ่น

.

ติดตามได้ใน THE STATES TIMES Y World x SEED THAILAND
.
#THESTATESTIMESYWORLD
#THESTATESTIMESYWORLDxSEEDTHAILAND
#ไทย
#ญี่ปุ่น
#เศรษฐกิจEEC

‘ทางรถไฟจีน-ไทย’ หั่นเวลาเดินทาง กระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น

(15 ธ.ค. 65) สำนักข่าวซินหัว เผยเรื่องราวของ ‘ปัณรส บุญเสริม’ วัย 32 ปี นักแปลประจำโครงการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ที่เล่าเรื่องราววัยเด็กเกี่ยวกับทางรถไฟที่เชื่อมโยงบ้านของเธอในจังหวัดเชียงใหม่ กับบ้านปู่ย่าตายายในนครราชสีมา ซึ่งทำให้ครอบครัวของเธอต้องใช้เวลามากมายยามสัญจรไปมาหาสู่กันด้วยรถไฟ

ปัณรส กล่าวว่า รถไฟในไทยทำให้ผู้คนเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลเพราะให้บริการเชื่องช้าเกินไป และหวังว่าทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย จะเสร็จสมบูรณ์และเริ่มเปิดใช้โดยเร็วที่สุด

ทางรถไฟจีน-ไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายทางรถไฟข้ามเอเชีย จะเป็นทางรถไฟความเร็วสูงรางมาตรฐานสายแรกของไทย โดยมีการคาดการณ์ว่าทางรถไฟฯ ระยะที่ 1 ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯ กับจังหวัดนครราชสีมา จะลดระยะเวลาเดินทางจากเดิมมากกว่า 4 ชั่วโมง เหลือเพียงกว่า 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ปัณรส มีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่หลายแห่งในจีน ขณะเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยหนานไคในเทศบาลนครเทียนจินทางตอนเหนือของจีน และได้เห็นว่าทางรถไฟความเร็วสูงมีบทบาทยกระดับชีวิตคนในท้องถิ่น ทำให้เธอมองว่าทางรถไฟจีน-ไทยจะไม่เพียงอำนวยความสะดวกการเดินทางของผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น แต่ยังช่วยฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ โดยรอบ

ปัณรส กล่าวว่า ปกติการเดินทางด้วยรถยนต์ระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมา จะกินเวลาราว 2 ชั่วโมง 30 นาที แต่การสัญจรจะสะดวกสบายและประหยัดเวลาขึ้นมาก หากโครงการทางรถไฟฯ ปัจจุบันเสร็จสิ้น ทั้งเสริมว่าการคมนาคมขนส่งสำคัญต่อการท่องเที่ยวมาก และการคมนาคมขนส่งที่ดีจะทำให้ผู้คนท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางรถไฟจีน-ไทย จะเป็นทางรถไฟจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดชายแดนอย่างหนองคาย ซึ่งจะมีสะพานเชื่อมต่อกับทางรถไฟจีน-ลาว ทำให้อนาคตสามารถเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ผ่านลาว ไปสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

'จีน' เผยยอดค้นหาเที่ยวบินระหว่างประเทศพุ่ง 7 เท่า หลังยุติการกักตัวคนเข้าประเทศ 8 ม.ค.66

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงวานนี้ (26 ธ.ค.) ว่า จีน จะ ยกเลิกมาตรการกักตัว ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้าจีน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2566 เป็นต้นไป หลังจากที่บังคับใช้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มานานกว่า 3 ปี โดยเงื่อนไขเดียวที่ยังคงมีอยู่คือ ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางมายังจีนเป็นเวลา 48 ชั่วโมง

นอกจากนี้ จีนจะปรับลดระดับมาตรการจัดการเกี่ยวกับโควิด-19 จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ Category A ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด สู่ระดับ Category B ที่ผ่อนคลายลงมากด้วย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนเท่ากับเป็นการยกเลิกนโยบายคุมเข้มโควิดที่เรียกว่า นโยบาย 'โควิดเป็นศูนย์' (Covid Zero) ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจจีน และเป็นตัวจุดชนวนให้ประชาชนต้องลุกฮือขึ้นประท้วงใหญ่ทั่วประเทศช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่ต้องกักตัวหลังเดินทางถึงจีนอีกต่อไป จากเดิมที่ต้องกักตัวเป็นเวลาถึง 8 วัน (แบ่งเป็น 5 วันในโรงแรมที่ทางการจีนกำหนดไว้ให้หรือที่ศูนย์กักตัวกลาง และอีก 3 วันที่เหลือ ณ ที่บ้านหรือที่พัก) โดยผู้เดินทางที่ประสงค์เดินทางเข้าประเทศจีนเพียงแต่ต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด (แบบ PCR) เป็นลบก่อนขึ้นเครื่องบินจากประเทศต้นทางมายังจีนภายในเวลา 48 ชั่วโมง

จับตา!! หาก 'ไทย' เร่งเจรจาเปิดด่าน 'เมียนมา' สำเร็จ โอกาสสินค้าไทยไหลรับ 'คนจีน' แห่เข้าเมียนมาเพียบ!!

ทางการจีนได้ประกาศเปิดด่านชายแดนฝั่งเมืองมูเซ หรือ ในภาษาไทใหญ่เรียกว่าหมู่แจ้ ทั้ง 3 ด่าน หลังจากปิดไปช่วงโควิด-19 ระบาดที่ผ่านมาในวันที่ 8 มกราคมนี้  

นับเป็นอีกหนึ่งการผ่อนคลายมาตรการของการควบคุมโควิดของฝั่งจีน ซึ่งจะทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และการเปิดด่านครั้งนี้ทางเมียนมาก็จะได้อานิสงส์ในการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ จากจีนในราคาถูกด้วยเช่นกัน

การส่งออกที่ด่านเมืองมูเซในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 550 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น กุ้งและปูเป็นที่มีการขนส่งเข้าสู่จีนจำนวนมาก

ในวันที่ 8 มกราคมที่จีนประกาศผ่อนคลายให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ทางเมียนมาคาดการณ์ว่าจะมีชาวจีนจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาเที่ยวไหว้พระในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์และอีกจำนวนหนึ่งน่าจะเดินทางข้ามชายแดนมาเพื่อประกอบธุรกิจในเมืองมูเซและอาจจะรวมถึงคนจีนอีกจำนวนไม่น้อยที่น่าจะเข้ามาเล่นคาสิโนในเมืองดังกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top