Monday, 29 April 2024
ไทย

‘ซาอุดีอาระเบีย’ ตั้งเป้าพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ทุ่ม 2.5 แสนล้าน ดัน ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการพัฒนา

(12 ก.ค. 66) ช่องยูทูบ ‘ถามอีก กับอิก TAM-EIG’ โพสต์วิดีโอชื่อ ‘ซาอุฯ ทุ่ม! 2.5 แสนล้าน ดันไทยเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียว’ พร้อมได้อธิบายความในวิดีโอไว้ว่า…

ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง จากข้อมูลของธนาคารโลก World Bank ระบุว่า GDP ภายในประเทศซาอุฯ มีขนาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าประเทศไทย 1 เท่าตัว โดยมีบริษัทเรือธงที่เดินหน้าลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยก็คือ ‘Saudi Aramco’

Saudi Aramco เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ก่อตั้งเมื่อปี 1933 โดยประกอบธุรกิจปิโตรเลียมแบบครบวงจร และได้มีการเซ็นสัญญา MOU ว่าจะเข้ามาทำธุรกิจด้านพลังงานหลากหลายด้านในประเทศไทย เช่น ธุรกิจจัดหาน้ำมันดิบ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ LNG ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ธุรกิจสำรวจพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวและสีฟ้าด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยซื้อน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียมากเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ร้อยละ 18 (เป็นรองแค่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) หมายความว่าความเรื่องระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียในรอบนี้ จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ไทยในระยะยาวด้วย

และล่าสุด ไทยและซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลงทุนพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ด้วยเม็ดเงินการลงทุนกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 แสนล้านบาท

>>หลายคนคงสงสัยว่า ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ คืออะไร?
ต้องบอกก่อนว่า ไฮโรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุด และถูกพบมากที่สุดในเอกภพ รวมถึงเป็นองค์ประกอบของน้ำ เป็นสารประกอบที่มีมากที่สุดในโลก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีการเผาไหม้ที่สะอาด ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ด้วยความพิเศษนี้ จึงเกิดแนวคิดที่ว่า จะสกัดไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากนั้นก็ทำมาป้อนกับเซลล์เชื้อเพลิง หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับเชื้อเพลิงต่าง ๆ เพื่อเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะให้ค่าพลังงานสูงกว่าเชื้อเพลิงทั่วไป 2-4 เท่า และถ้ามีการใช้พลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘ไฮโรเจนสีเขียว’

>> แล้วทำไมซาอุดีอาระเบีย ถึงสนใจพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ อย่างมาก?
ความมุ่งมั่นในครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ โดยมีชื่อว่า ข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ เพราะซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก และกำลังประสบปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม และที่แย่คือเริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้ว

สิ่งที่ซาอุดีอาระเบียวางแผนจะทำมี 4 ด้าน ได้แก่...
- ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนร้อยละ 4 หรือประมาณ 130 ล้านตัน 
- ปลูกต้นไม้จำนวน 1 หมื่นล้านตัวทั่วประเทศ
- เพิ่มอาณาเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมถึงรักษาระบบนิเวศทั้งบนบกและทะเล ให้ครอบคลุมพื้นที่ประเทศมากกว่า ร้อยละ 30 
- ใช้พลังงานทดแทนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ซึ่งถือเป็นไฮไลต์หลักที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันใช้พลังงานทดแทนเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น หากจะบรรลุเป้าหมาย ซาอุดีอาระเบียต้องลงแรงอีกเยอะ และเป็นเหตุผลในการทุ่มทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ประเทศไทย

>> ประโยชน์ของ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’
- การกลั่นน้ำมัน การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่นำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันดิบ 
- เซลล์เชื้อเพลิง ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า 
- อุตสาหกรรมอาหาร สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันสัตว์และน้ำมันพืช ให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวได้
- เภสัชภัณฑ์ ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตเครื่องสำอางและสารตึงผิว
- อุตสาหกรรม การเชื่อมโลหะ หรือการตัดโลหะ 
- การบินและอวกาศ สามารถเป็นพลังงานทางเลือกสำหรับเป็นเซลล์เชื้อเพลิง เนื่องจากมีน้ำหนักเบา

ซึ่งในปัจจุบันมีหลาย ๆ ประเทศในเอเชียเริ่มใช้ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ กันบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวงการยานยนต์ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน โดยสัดส่วนความต้องการในปัจจุบันยังไม่มาก แต่ในอนาคต ปี 2050 อาจมีมูลค่ามากถึง 2 ล้านล้านบาท

จะเห็นได้ว่าหากความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการสร้าง New S-Curve ให้ประเทศในระยะยาวได้ และยังมีปัจจัยบวกด้านอื่น ๆ อีก เช่น นิคมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การส่งออก ก็จะได้รับประโยชน์จากการร่วมมือนี้ด้วย

‘อัครเดช’ ชี้ การโหวตนายรัฐมนตรี เมื่อมีการลงมติ ก็ต้องเป็นญัตติ

(19 ก.ค. 66) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ
กล่าวในรัฐสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 เกี่ยวกับการตีความ การโหวตนายกรัฐมนตรี นั้นจัดเป็นการยื่นญัตติ หรือไม่ โดยมีความเห็นว่า ...

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การที่เราได้มีการเสนอให้มีผู้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น มีการลงมติ ฉะนั้น เมื่อมีการลงมติ ตามความหมายของพจนานุกรม มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราต้องเคารพ ที่กฎหมายได้ระบุไว้” นายอัครเดช กล่าวที่รัฐสภา

‘หมู่บ้านอีต่อง-เหมืองปิล๊อก’ ดินแดนสวรรค์กลางหุบเขา สัมผัสธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ควรค่าแก่การมาพักผ่อน

‘หมู่บ้านอีต่อง’ ที่แห่งนี้ในยามหลังฝนพรำ จะถูกโอบล้อมไปด้วยไอหมอก งดงามมาก ราวกับดินแดนในฝัน

หมู่บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับชายแดนไทยพม่า ทางฝั่งจังหวัดกาญจนบุรี เป็นหมู่บ้านโบราณที่มีการทำเหมืองแร่มาแต่สมัยก่อน โดยมีผู้ประกอบการทำเหมืองแร่หลายแห่งในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันเหมืองแร่ก็ได้ปิดตัวลงไป เหลือไว้เพียงสถานที่ท่องเที่ยวภายในหมู่บ้านอีต่องเท่านั้น ซึ่งที่นี่ถือเป็นอันซีนไทยแลนด์ที่ซุกซ่อนอยู่หลังม่านหมอกของจังหวัดกาญจนบุรี

การเดินทางขึ้นสู่หมู่บ้านอีต่องจากตัวเมืองกาญจนบุรีใช้เส้นทาง ถนนทางหลวงชนบทสาย กจ.4088 อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี (กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ) เริ่มจากตัวเมืองกาญจนบุรี ไปยังอำเภอทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 212 กิโลเมตร ใช้เส้นทาง ทล.323 และมุ่งเข้าสู่ตัวอำเภอทองผาภูมิผ่าน ทล.3272 และเข้าสู่ทางหลวงชนบทสาย กจ.4088 โดยจะมีป้ายแนะนำเส้นทางเป็นระยะ ซึ่งจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยว อย่างอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น เนินช้างศึก และไปสุดที่หมู่บ้านอีต่อง โดยตลอดเส้นทางจะเป็นทางลาดยางอย่างดี แต่เมื่อมาถึงช่วงที่เป็นทางขึ้นเขาสู่หมู่บ้านอีต่อง ประมาณ 30 กิโลเมตร ทางจะค่อนข้างอันตรายมีความแคบและถนนขรุขระเป็นบางช่วง ผู้ขับขี่รถขึ้นไปเองควรใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างสูง และต้องมีความชำนาญในการขับขี่ แต่ก็ถือว่าไม่ยากจนเกินไป ในการขึ้นสู่หมู่บ้านอีต่อง

จุดไฮไลท์ที่อยากจะแนะนำให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูปก็คือบริเวณเหมืองปิล๊อก ซึ่งเป็นพื้นที่ทำเหมืองเก่า ปัจจุบันยังคงหลงเหลือ เครื่องมือทำเหมืองโบราณ และยานพาหนะที่ใช้ทำเหมืองไว้อยู่ สามารถใช้เป็นพร๊อบในการถ่ายรูปชิลๆ รับรองว่าทุกคนจะได้รูปภาพสวยๆ เก็บความประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน 

และอีกจุดนอกจากเครื่องมือทำเหมืองแล้วภายในเหมืองปิล๊อกแล้ว ก็ยังมีน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลลงในบ่อน้ำกลางป่า ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามสุดจะบรรยายจริงๆ ป่าไม้และต้นหญ้าสีเขียวขจีมีไอหมอกลอยละล่องอยู่เต็มพื้นที่ป่า ไปจนถึงน้ำตก ซึ่งในบ่อน้ำที่น้ำตกไหลลงมานั้น มีความใสสะอาดและมีปลาคราฟอาศัยอยู่ด้วย ที่ตรงนี้เปรียบดั่งดินแดนในฝัน เหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้ ต้นไม้ในบริเวณนี้ดูสวยงามและแปลกตา ผสมกับสายหมอกหนา ยิ่งทำให้ดูน่าค้นหาและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเราเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้บนถนนทางหลวงชนบทสาย กจ.4088 ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีลักษณะเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่หน้าผาสูงประมาณ 34 เมตร และยังมีเขาช้างเผือก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิมีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 1,249 เมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัย ก็มีจุดไฮไลต์อยู่ตรงที่ “สันคมมีด” ซึ่งเป็นเส้นทางเดินบนสันเขาแคบ ๆ นอกจากนี้ใกล้กับหมู่บ้านอีต่องยังมีจุดชมวิวเนินช้างศึก เป็นภูเขาสูงที่สามารถมองเห็นวิวโดยรอบได้ 360 องศา เหมาะแก่การขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าและอาทิตย์ตกดินในยามเย็นอีกด้วย

หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่แขวงทางหลวงชนบทกาญจนบุรี โทร 0-3460-0567

เรื่อง : กันย์ ฉันทภิญญา Content Manager

‘ไทย’ เตรียมผสานมือ ‘มาเลเซีย’ เสริมธุรกิจทางการค้า เชื่อ!! บรรลุเป้า 1.02 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568

(24 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับความร่วมมือทางการค้าของไทย-มาเลเซีย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นการค้าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 รวมถึงจะมีการหารือเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีแผนจะจัดขึ้นในช่วงปลายปี 2566 นี้

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลางเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้หารือกับกระทรวงการค้าภายในและค่าครองชีพมาเลเซีย (Secretary General of the Ministry of Domestic Trade and Cost of Living) และคณะ เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ การกำกับดูแลการค้าภายในประเทศให้มีความเป็นธรรม และการฟื้นฟูการค้าชายแดน ซึ่งมาเลเซียถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน อีกทั้งการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของการค้ารวมระหว่างสองประเทศ โดยปี 2565 มีตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างกันอยู่ที่มูลค่า 336,118.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.05 โดยไทยมีสินค้าที่ส่งออกไปยังมาเลเซียที่สำคัญได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 

นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีความสนใจที่จะร่วมมือเพื่อส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์กับไทย นับได้ว่าเป็นการบุกเบิกประเด็นธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกัน ซึ่งมีการวางแผนที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแฟรนไชส์เข้าร่วมงานแสดงสินค้าของแต่ละฝ่ายเพื่อสร้างโอกาสขยายพันธมิตรทางการค้า การจับคู่ทางธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องขั้นตอนและกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ของไทย โดยเฉพาะสาขาอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งปัจจุบันแฟรนไชส์ของไทยที่อยู่ในตลาดมาเลเซีย จำนวน 6 ราย ได้แก่ อเมซอน แบล็คแคนยอน กาแฟดอยช้าง ตำมั่ว บาบีก้อน และสมาร์ทเบรน (Smart Brain) ขณะที่แฟรนไชส์ของมาเลเซียที่อยู่ในไทยมีประมาณ 6 ราย อาทิ Secret Recipe Laundry Bar และ Unisense 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย ได้แก่ ธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารไทย ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การก่อสร้าง โดยรัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด การขยายพันธมิตรการค้าไทย การสนับสนุนการลงทุนของนักธุรกิจไทย และ กิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยร่วมกับพันธมิตรในมาเลเซียมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ 

1.) การจัดโครงการส่งเสริมการค้าสินค้าอาหารฮาลาลในประเทศมาเลเซียภายใต้ชื่องาน 'I Love Thailand Fair' 
2.) การจัดตั้ง Thailand Pavilion ในงานแสดงสินค้า Malaysia International Halal Showcase (MIHAS) ซึ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคในมาเลเซียต่อสินค้าฮาลาลจากไทย 
3.) การจัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยและธุรกิจบริการร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ซึ่งมุ่งประชาสัมพันธ์สินค้าและร้านที่ได้รับตรา THAI SELECT ในมาเลเซีย ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
4.) เชื่อมโยงสมาคมการค้า/ผู้ประกอบการมาเลเซียกับกลุ่มผู้ประกอบการไทย อาทิ สมาคมผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์แห่งรัฐสลังงอร์ (The Selangor And Federal Territory Engineering And Motor Parts Traders Association: EMPTA) กับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น 

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ทำให้การค้าระหว่างไทย-มาเลเซียเติบโต โดยเฉพาะการเปิดตลาดธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซียในทุกมิติ และทุกระดับ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและเพื่อเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน” น.ส.รัชดากล่าว

แฟนคลับกรี๊ด!! ‘หน่อง ปลื้มจิตร์’ โพสต์ภาพร่วมเฟรม ‘คิม ยอน คยอง’  พร้อมแคปชัน “พบปะเพื่อนร่วมสาย” กระชับสัมพันธ์ไทย-เกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 เป็นที่รักของแฟนๆ วอลเลย์บอลทั่วโลกจริงๆ สำหรับ ‘คิม ยอน คยอง’ (Kim Yeon Koung) อดีตหัวเสาตัวแบกของทีมชาติเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้แม้จะวางมือจากทีมชาติไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นเธอเฉิดฉายไม่เปลี่ยนในลีกในประเทศ

แต่ด้วยความที่ไม่ได้เล่นให้ทีมชาติอีกแล้ว ทำให้แฟนๆ กีฬาชาวไทยแอบผิดหวังว่าจะไม่ได้เจอ คิม ในฐานะนักกีฬาอีกแล้ว แต่กระนั้น คิม ก็ยังคัมแบ็กทีมชาติอีกครั้ง ในรอบ 2 ปี แต่เป็นการกลับมาในฐานะที่ปรึกษาทีมวอลเลย์บอลหญิง ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาน้องในทีม แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยเรื่องการฝึกซ้อมแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่น่าจับตาก่อนหน้านี้ก็คือ ‘นุศรา ต้อมคำ’ อดีตมือเซตเบอร์หนึ่ง ได้อัลฟอลโลอินสตาแกรมของ คิม ยอน คยอง ซึ่งทำให้แฟนวอลเลย์บอลใจหายความว่าสัมพันธ์ในวงการวอลเลย์บอลไทย-เกาหลีใต้ยังดีอยู่หรือไม่

ก่อนที่ ‘ซาร่า นุศรา ต้อมคำ’ จะออกมาอธิบายว่า ความสัมพันธ์ที่เคยดีต่อกันระหว่างตัวเธอกับคิมได้ยุติลงแล้ว ส่วนการอันฟอลโลอินสตาแกรม ก็เพื่อประกาศความชัดเจน แต่ไม่ขอพูดถึงสาเหตุที่เลิกกัน ส่วนที่ออกมาชี้แจงเพราะต้องการหยุดกระแสในสื่อโซเชียลที่เริ่มไปไกลเกินจริงแล้ว โดยเฉพาะการพาดพิงไปยังบุคคลอื่นๆ

ล่าสุด ‘หน่อง ปลื้มจิตร์ ถินขาว’ ได้ลงภาพที่เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาไม่น้อยในโลกออนไลน์ ซึ่งตำนาน บอลเร็ว NO.5 ทีมชาติไทยได้โพสต์ภาพของเพื่อนๆ ร่วมทีมชาติและที่สะดุดตาที่สุดก็คือ มีคิมอยู่ในนั้นด้วย

พร้อมกันนี้ หน่อง ปลื้มจิตร์ ยังได้เขียนแคปชันด้วยว่า “พบปะเพื่อนร่วมสาย” ซึ่งแม้ไม่ชัดเจนว่าภาพดังกล่าวถูกถ่ายขึ้นที่ใด แต่แฟนๆ วอลเลย์บอลก็แอบลุ้นไม่ได้ว่า เร็วๆ นี้วอลเลย์บอลทั้งไทยและเกาหลีใต้จะมีโปรเจกต์อะไรร่วมกันหรือไม่

เปิดเหตุผล ที่ทำให้ 'ญี่ปุ่น-เวียดนาม' ต้องปาดเหงื่อ!!  หลังจีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้ไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ BangkokTube Akira ได้แชร์บทวิเคราะห์ช่องยูทูบ ‘Geography Issues’ ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม ที่ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคายในประเทศไทย เอาไว้ว่า “เหตุใดประเทศจีนจึงจําเป็นต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่า 67,000 ล้านบาท ในประเทศไทย อันตรายสําหรับเกษตรกรเวียดนาม” โดยระบุว่า…

นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ก็แน่นแฟ้นมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรทางการทหารที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกาก็ตาม โดยเฉพาะในบริบทของจีนที่กําลังเร่งดําเนินโครงการ One Belt One Road สิ่งนี้จะเป็นเส้นทางรถไฟที่สําคัญ เป็นหัวใจสําคัญและเป็นความใฝ่ฝันของจีน เมื่อพิจารณาจาก ‘ทําเลที่ตั้ง’ ของประเทศไทย และตําแหน่งในภูมิภาคปักกิ่ง ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางที่สําคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นส่วนสําคัญในการผลักดันโครงการ One Belt One Road หรือ 1 แถบ 1 เส้นทาง สําหรับประเทศไทยสิ่งนี้จะเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เมื่อรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย เปิดให้บริการด้วยความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง 2 เมือง เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

พัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายทางรางระหว่างไทย-จีน ผ่านเส้นทางรถไฟเวียงจันทน์-คุนหมิง ซึ่งกรุงเทพมหานครจะเชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายระบบรางอันมหึมาของจีน พร้อมกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีน รวมถึงสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคจีนได้อย่างรวดเร็ว และในทางกลับกันสินค้าจีนก็จะเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

จีนผู้ริเริ่มโครงการรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสําคัญของแผนทั้งหมด ความทะเยอทะยานของปักกิ่งสําหรับทางรถไฟสายเอเชีย เชื่อมระหว่างภาคใต้ตอนกลางของอาณาจักรไปยังกัวลาลัมเปอร์และสิงคโปร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนกําลังค่อยๆยกระดับการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทางบกมากยิ่งขึ้น

หากโครงการนี้สําเร็จ โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสครั้งสําคัญของไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากจีน และประเทศอื่นๆ ตลอดจนขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สําหรับจีนโครงการนี้จึงเปรียบเสมือนหัวใจสําคัญของโครงการ One Belt One Road ไม่ใช่แค่เพื่อในการขนถ่ายสินค้าระหว่างไทย-จีนเท่านั้น แต่ด้วยความสําคัญของเครือข่าย จะช่วยในการสื่อสารผ่านพื้นที่ เพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีสําหรับตลาดผู้บริโภค พัฒนาการค้า และการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีบทบาทที่สําคัญในการส่งเสริมการออกสู่ทะเลตะวันออกผ่านอ่าวไทยและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การทหาร และอื่นๆ สําหรับจีน

อีกทั้งโครงการนี้ยังเป็นความเคลื่อนไหวที่สําคัญสําหรับประเทศจีน ในการขยายการแสดงตัวตน
และอิทธิพลของพวกเขา ในภาคสนามเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า การที่จีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้กับประเทศไทย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อส่วนแบ่งทางการตลาดของ ‘ญี่ปุ่น’ ที่เป็นผู้นําด้านเทคโนโลยี ซึ่งครองเจ้าตลาดในภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน ด้วยความสามารถของประเทศไทย หากรับเอาเทคโนโลยีจากจีน ญี่ปุ่นจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดที่สําคัญ สิ่งนี้จึงทําให้ญี่ปุ่นอาจเกิดความกังวลได้

นอกจากนี้จีนยังมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะให้บริการเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงแก่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งได้นําไปสู่การแข่งขันโดยตรงกับญี่ปุ่น และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบที่สําคัญต่อโมเดลรถไฟความเร็วสูงทั่วโลกในอนาคต

หลังจากข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป ก็มีชาวเวียดนามเข้ามารับชมนับแสนคน พร้อมแสดงความคิดเห็นทั้งชื่นชมในวิธีคิดของทั้งจีนและไทย รวมถึงมีการมองต่างมุมบ้างในบางความเห็นคละกันไปเป็นจํานวนมาก

‘รัฐบาล’ หนุน ‘ความร่วมมือไทย-กัมพูชา’ พัฒนารถไฟขนส่งสินค้า  เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายโลจิสติกส์ ให้เชื่อมถึงประเทศเพื่อนบ้าน

(2 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมช่องทางการขนส่งสินค้าทั้งในและระหว่างประเทศ โดยชื่นชมความร่วมมือของพันธมิตรทุกฝ่ายจากไทย - กัมพูชา พัฒนาการขนส่งสินค้าทางระบบรางให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มให้เป็นอีกทางเลือกในการขนส่งสินค้าให้ผู้ประกอบการค้าระหว่างไทยและกัมพูชา และถือเป็นโอกาสเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยในอนาคต

น.ส.รัชดา กล่าวว่า หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งไทยและกัมพูชา ได้ร่วมกันเปิดตัวรถไฟขบวนปฐมฤกษ์ ไทย - กัมพูชา ณ สถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ไปแล้ว ซึ่งเป็นขบวนรถไฟขนส่งสินค้าระบบรางที่จะเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศกัมพูชา ในเส้นทาง มาบตาพุด - คลองลึก - ปอยเปต - พนมเปญ โดยการรถไฟแห่งประเทศ (รฟท.) ได้ร่วมผลักดันการบริการขนส่งทางราง หนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญของนายกรัฐมนตรี ให้สามารถเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางระบบรางในประเทศไทย เข้ากับการขนส่งสินค้าทางระบบรางของภูมิภาคอาเซียน โดยเริ่มจากการขยายขีดความสามารถการขนส่งสินค้าทางระบบรางของ ไทย - กัมพูชา ผ่านการเปิดขบวนรถไฟขนส่งสินค้ารอบปฐมฤกษ์ในครั้งนี้ ซึ่งรถไฟขบวนปฐมฤกษ์ ไทย - กัมพูชา เกิดจากความร่วมมือที่ดีของพันธมิตรทุกฝ่าย ร่วมกันผลักดันการขนส่งสินค้าทางระบบรางให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ราคาลดลง เกิดการพัฒนาการขนส่งสินค้าผ่านระบบรางระหว่างกัน เชื่อมโยงถึงประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ เชื่อมโยงโครงสร้าง ในและระหว่างประเทศอย่างไร้รอยต่อ มีประสิทธิภาพ ราคาไม่แพง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และเพิ่มทางเลือกในการขนส่ง โดยเชื่อมั่นว่าด้วยความมุ่งมั่นในการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา และความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน และกับกัมพูชาในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมระบบขนส่งโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทันสมัยขึ้น เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศ

รูปปั้น ‘พญาครุฑน้อย’ ทำท่า ‘มินิฮาร์ท’ โดนใจนักท่องเที่ยว แม้แต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ยังอดใจไว้ไม่ไหว ต้องขอเข้าไป เซลฟี่

วันนี้ (4 ส.ค.66) ที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ยังคงมีบรรยากาศงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประชาชนและนักท่องเที่ยว เดินทางมาชมขบวนต้นเทียนพรรษา จาก 6 คุ้มวัด ที่จอดไว้บริเวณถนนหน้าเทศบาลตำบลประโคนชัย เพื่อให้ได้ชมความสวยงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแกะสลักเป็นตัวละครในพุทธประวัติอย่างงดงาม 

แต่ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจและพากันแห่ไปถ่ายรูป เซลฟี่ไม่ขาดสาย ก็คือต้นเทียนที่แกะสลักเป็นรูปปั้น 'พญาครุฑน้อย' จำลองทำท่า 'มินิฮาร์ท' พร้อมข้อความด้านล่างว่า “น่ารักอ่ะ” เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็มีวัยรุ่นหนุ่มสาวไปยืนทำท่ามินิฮาร์ท ถ่ายรูปคู่กับพญาครุฑน้อยกันอย่างต่อเนื่อง

แม้แต่นายกิติพัฒน์ กะวัง นายอำเภอประโคนชัย พร้อมนายกเทศมนตรีตำบลประโคนชัย  หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ ที่เดินเยี่ยมชมให้กำลังใจตามขบวนแห่ต่าง ๆ เมื่อเดินไปเห็นรูปปั้นพญาครุฑน้อยทำท่ามินิฮาร์ทสุดน่ารัก ก็อดใจไม่ไหวที่จะไปยืนทำท่ามินิฮาร์ทถ่ายรูปกับรูปปั้นพญาครุฑน้อยดังกล่าวด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าโดนใจกันทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เลยทีเดียว 

คิกออฟ 'เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 66' กิน-ช้อป-เที่ยวแบบอันซีนที่ศูนย์สิริกิติ์ ใต้อัตลักษณ์ 5 ภูมิภาคสุดคูล ที่สายเที่ยวไม่ควรพลาด

งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2566 จัดขึ้นปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 41 ภายใต้แนวคิดนวัฒนธรรม นำนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมถ่ายทอดอัตลักษณ์ของ 5 ภูมิภาคในมุมมองสุดอันซีน โดยมีความพิเศษก็คือมีการย้ายสถานที่จัดงานจากสวนลุมพินี มาจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ข้อดีของการย้ายมาจัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ก็คือมีสถานกว้างขวางพร้อมที่จอดรถรองรับอย่างเพียงพอ และสามารถป้องกันปัญหาฝนตกในช่วงนี้ได้ จึงทำให้เราสามารถมาเที่ยวได้แบบชิลๆ โดยไม่ต้องกลัวฝน แถมยังมาพร้อมกับคอนเทนต์น่าสนุกและของกินของขายมากมายภายในงาน 

งานนี้จัดขึ้นที่ชั้น LG ในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีการแบ่งโซนในงานออกเป็น 5 ภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่

โดยแต่ละภาคก็จะขนเอาของดีของเด่นของแต่ละภาคมาจัดแสดงโชว์กัน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ขึ้นชื่อ ก็จะมีการจำลองรูปแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป เช็กอินกันแบบเก๋ๆ เรียกได้ว่ามางานเดียวเหมือนได้ไปเที่ยวทั่วเมืองไทยเลย

ในส่วนของกินภายในงานก็ต้องบอกเลยว่าจัดเต็มอลังการมาก อาหารถิ่นของแต่ละภาคถูกนำมาวางขายตามภาคของตัวเอง อยากกินอาหารเหนือ อาหารอีสาน อาหารภาคกลาง อาหารภาคใต้ หรืออาหารภาคตะวันออก ก็สามารถไปเดินเลือกซื้อหากันภายในงานได้อย่างจุใจ แถมราคาไม่แพงด้วย มาฝากท้องกันได้ทุกวัน

นอกจากนี้ภายในงาน ก็ยังมีเวทีคอนเสิร์ตกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ พร้อมกับศิลปินนักร้องที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างความสนุกให้กับผู้ร่วมงานในทุกวันด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่ไม่ควรพลาด ต้องไปเดินเที่ยว เดินช้อป และหาของกินอร่อยๆ ว่าแล้วก็รีบไปที่ ศูนย์สิริกิติ์กันเลย

ข้อมูลเพิ่มเติม
สถานที่จัดงาน : ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 60 ถ. รัชดาภิเษก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
พิกัด : https://goo.gl/maps/Xd8vsqJpcUvuHPHD6
ระยะเวลาจัดงาน : 2-6 สิงหาคม 2566 เวลา 10.00 – 21.00 น

การประชุมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกวางตรี-ไทย ณ ประเทศเวียดนาม

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชฑูต ณ กรุงฮานอย นำทีมประเทศไทย ประกอบด้วย นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นางอัญชลี กัลมาพิจิตร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร  กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินท์ พร้อมด้วยนักธุรกิจของไทย อาทิ บมจ. อมตะ เซนทรัล ซีพี SCG และบริษัทผู้ผลิตพลังงาน พลังงานทดแทน  เข้าเยี่ยมคาราวะนายเล กวาง ตุ่ง( Mr.Le Quang Tung ) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จังหวัดกวางตรี  ณ โรงแรมไซ่ง่อน ดองฮา ประเทศเวียดนาม

ทางจังหวัดกวางตรีได้เชิญชวนผู้ประกอบการร่วมลงทุนพร้อมยินดีอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนไทย ทั้งรายใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็กพร้อมทั้งยินดีพัฒนาความร่วมมือและความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น      

จากนั้นมีประชุมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกวางตรี-ไทย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งไทยและเวียดนาม คณะผู้บริหารของจังหวัดในเวียดนาม จาก 15 จังหวัด รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารและคณะด้วย 
     
ทั้งนี้สถานเอกอัครราชทูตได้จัดเลี้ยงรับรอง โดยมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยจากครูและนักเรียน โรงเรียนมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารอีกด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top