‘ซาอุดีอาระเบีย’ ตั้งเป้าพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ทุ่ม 2.5 แสนล้าน ดัน ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางการพัฒนา

(12 ก.ค. 66) ช่องยูทูบ ‘ถามอีก กับอิก TAM-EIG’ โพสต์วิดีโอชื่อ ‘ซาอุฯ ทุ่ม! 2.5 แสนล้าน ดันไทยเป็นศูนย์กลางไฮโดรเจนสีเขียว’ พร้อมได้อธิบายความในวิดีโอไว้ว่า…

ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตะวันออกกลาง จากข้อมูลของธนาคารโลก World Bank ระบุว่า GDP ภายในประเทศซาอุฯ มีขนาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าประเทศไทย 1 เท่าตัว โดยมีบริษัทเรือธงที่เดินหน้าลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยก็คือ ‘Saudi Aramco’

Saudi Aramco เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ก่อตั้งเมื่อปี 1933 โดยประกอบธุรกิจปิโตรเลียมแบบครบวงจร และได้มีการเซ็นสัญญา MOU ว่าจะเข้ามาทำธุรกิจด้านพลังงานหลากหลายด้านในประเทศไทย เช่น ธุรกิจจัดหาน้ำมันดิบ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ LNG ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ธุรกิจสำรวจพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวและสีฟ้าด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยซื้อน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียมากเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ร้อยละ 18 (เป็นรองแค่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) หมายความว่าความเรื่องระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียในรอบนี้ จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ไทยในระยะยาวด้วย

และล่าสุด ไทยและซาอุดีอาระเบียได้ประกาศลงทุนพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ ด้วยเม็ดเงินการลงทุนกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.5 แสนล้านบาท

>>หลายคนคงสงสัยว่า ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ คืออะไร?
ต้องบอกก่อนว่า ไฮโรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุด และถูกพบมากที่สุดในเอกภพ รวมถึงเป็นองค์ประกอบของน้ำ เป็นสารประกอบที่มีมากที่สุดในโลก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย มีการเผาไหม้ที่สะอาด ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ด้วยความพิเศษนี้ จึงเกิดแนวคิดที่ว่า จะสกัดไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากนั้นก็ทำมาป้อนกับเซลล์เชื้อเพลิง หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับเชื้อเพลิงต่าง ๆ เพื่อเป็นการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะให้ค่าพลังงานสูงกว่าเชื้อเพลิงทั่วไป 2-4 เท่า และถ้ามีการใช้พลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘ไฮโรเจนสีเขียว’

>> แล้วทำไมซาอุดีอาระเบีย ถึงสนใจพัฒนา ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ อย่างมาก?
ความมุ่งมั่นในครั้งนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ โดยมีชื่อว่า ข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ เพราะซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก และกำลังประสบปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม และที่แย่คือเริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้ว

สิ่งที่ซาอุดีอาระเบียวางแผนจะทำมี 4 ด้าน ได้แก่...
- ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนร้อยละ 4 หรือประมาณ 130 ล้านตัน 
- ปลูกต้นไม้จำนวน 1 หมื่นล้านตัวทั่วประเทศ
- เพิ่มอาณาเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมถึงรักษาระบบนิเวศทั้งบนบกและทะเล ให้ครอบคลุมพื้นที่ประเทศมากกว่า ร้อยละ 30 
- ใช้พลังงานทดแทนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ร้อยละ 50 ภายในปี 2573 ซึ่งถือเป็นไฮไลต์หลักที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันใช้พลังงานทดแทนเพียงร้อยละ 1-2 เท่านั้น หากจะบรรลุเป้าหมาย ซาอุดีอาระเบียต้องลงแรงอีกเยอะ และเป็นเหตุผลในการทุ่มทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ประเทศไทย

>> ประโยชน์ของ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’
- การกลั่นน้ำมัน การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ที่นำไปใช้ปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันดิบ 
- เซลล์เชื้อเพลิง ใช้สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า 
- อุตสาหกรรมอาหาร สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันสัตว์และน้ำมันพืช ให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวได้
- เภสัชภัณฑ์ ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตเครื่องสำอางและสารตึงผิว
- อุตสาหกรรม การเชื่อมโลหะ หรือการตัดโลหะ 
- การบินและอวกาศ สามารถเป็นพลังงานทางเลือกสำหรับเป็นเซลล์เชื้อเพลิง เนื่องจากมีน้ำหนักเบา

ซึ่งในปัจจุบันมีหลาย ๆ ประเทศในเอเชียเริ่มใช้ ‘ไฮโดรเจนสีเขียว’ กันบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวงการยานยนต์ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน โดยสัดส่วนความต้องการในปัจจุบันยังไม่มาก แต่ในอนาคต ปี 2050 อาจมีมูลค่ามากถึง 2 ล้านล้านบาท

จะเห็นได้ว่าหากความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบียประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการสร้าง New S-Curve ให้ประเทศในระยะยาวได้ และยังมีปัจจัยบวกด้านอื่น ๆ อีก เช่น นิคมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การส่งออก ก็จะได้รับประโยชน์จากการร่วมมือนี้ด้วย


ที่มา: ถามอีก กับอิก TAM-EIG
https://www.youtube.com/watch?v=BJnpnamQDcU