Friday, 25 April 2025
WORLD

‘ยูเอ็น’ ชี้!! สงครามซูดาน ทำการแพทย์วิกฤต ขาดแคลนยา-จนท. หลังยอดเด็กเสียชีวิตจากโรคหัด-ขาดสารอาหาร ทะลุ 1,200 ราย

(20 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ดร.อัลเลน ไมนา ผู้อำนวยการด้านสาธารณสุขของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้กล่าวในการประชุมขององค์การสหประชาชาติที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ว่า มีเด็กมากกว่า 1,200 คนที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบได้เสียชีวิตลงจากโรคหัดและภาวะทุพโภชนาการในค่ายลี้ภัยที่ประเทศซูดาน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมแสดงความกังวลว่าตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้

การสู้รบระหว่างกองทัพซูดานและกองกำลัง Rapid Support Forces (อาร์เอสเอฟ) ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหารที่ขณะนี้กินเวลาไปแล้วเกือบ 6 เดือน นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน ได้ทำให้ภาคสาธารณสุขในประเทศซูดานล่มสลายลง จากการโจมตีกันโดยตรงของทั้งสองฝ่าย รวมถึงเกิดปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่และยารักษาโรค

ด้านองค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) กังวลว่าทารกแรกเกิดจำนวนหลายพันคนจากทารกทั้งหมด 333,000 คนที่มีกำหนดจะคลอดลืมตาดูโลกก่อนสิ้นปีนี้จะเสียชีวิตลง

นายเจมส์ เอลเดอร์ โฆษกของ UNICEF กล่าวให้เหตุผลในที่ประชุมว่า “ทารกแรกเกิดและแม่ต้องการการดูแลที่มีทักษะในการคลอดบุตร อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่ประชากรหลายล้านคนต้องติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบหรือต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น รวมถึงมีการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์อย่างหนัก การดูแลดังกล่าวนับวันจะยิ่งลดน้อยลง”

นายเอลเดอร์ยังกล่าวด้วยว่า ทุกๆ เดือนเด็กจำนวนราว 55,000 คนในประเทศซูดาน ต้องเข้ารับการรักษาจากภาวะทุพโภชนาการขั้นร้ายแรงที่สุด แต่กลับมีศูนย์โภชนาการที่ยังคงเปิดให้บริการในกรุงคาร์ทูมอยู่เพียงไม่ถึง 1 ใน 50 แห่ง ขณะที่เหลือศูนย์โภชนาการที่ยังคงเปิดให้บริการในภูมิภาคดาร์ฟูร์ตะวันตกเหลืออยู่เพียง 1 ใน 10 แห่ง

รัฐบาลทหาร 3 ชาติ ผุดไอเดียตั้ง ‘NATO แอฟริกา’ ผนึกกำลัง เสริมความมั่นคง ต้านทัพชาติตะวันตก

‘รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย’ น่าจะเป็นสุภาษิตที่ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย ทุกสถานการณ์ และทุกประเทศจริงๆ เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำทุกอย่างคนเดียวได้ แม้แต่ชาติมหาอำนาจที่สุดของโลก ก็ยังต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ เพื่อเสริมพลังให้แก่ตน ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

เช่นเดียวกับประเทศที่กำลังมีปัญหาทางการเมืองอย่าง ‘ไนเจอร์’ ที่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตาถึงความมั่นคงของรัฐบาลทหาร ที่เพิ่งผ่านการยึดอำนาจมาหมาดๆ และกำลังถูกกดดันจากกองกำลังของ Economic Community of West African States (ECOWAS) พันธมิตรประเทศแอฟริกาอื่นๆที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ขู่ว่าจะยกกองกำลังเข้า (รุกราน) แทรกแซงการเมืองในไนเจอร์

ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวด้วยโมเดล ‘โลกล้อมไนเจอร์’ ผ่านการใช้กองกำลังจากพันธมิตรหลายชาติในกาฬทวีป คู่ขนานไปกับการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ที่ดูยังไง ไนเจอร์หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีทางเอาชนะได้เลย

แต่ทว่าวันนี้ เราก็ได้เห็นการตอบโต้ที่น่าสนใจของกลุ่มประเทศในแถบซาเฮล ซึ่งตอนนี้กลายเป็น ‘แถบรัฐประหาร’ เนื่องจากมีการยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนหลายครั้ง จนเป็นโดมิโนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่เพิ่งจะฟอร์มพันธมิตร 3 ชาติ ‘ไนเจอร์-มาลี-บูร์กินา ฟาโซ’ ก่อตั้งเป็น ‘Alliance of Sahel States’ พันธมิตรแห่งสหรัฐซาเฮล เป็นการรวมตัวกันของรัฐบาลทหาร 3 ชาติ ที่ล้วนแต่ก่อตั้งผ่านกระบวนการรัฐประหารมาเหมือนกัน ในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน อันประกอบด้วย

- พลเอก อับดุลราห์มาน ทะเชียนิ ผู้นำคณะทหารรัฐบาลของประเทศไนเจอร์ 
- พันเอก อัสซิมี โกยตา หัวหน้าคณะรัฐประหารของประเทศมาลี
- ร้อยเอก อิบราฮิม ทราโอเร หัวหน้าคณะรัฐประหาร และผู้นำเฉพาะกาลของประเทศบูร์กีนา ฟาโซ

โดยผู้นำทหารของทั้ง 3 ประเทศ ก็เห็นชอบที่จะจับมือกัน เพราะไหนๆ พวกเราก็เป็นพวกที่ใครๆ มองว่า ‘ฝนตก ขี้หมูไหล’ แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเสีย ซึ่งความเก๋ของพันธมิตร 3 ประสานแห่งซาเฮลนี้ มีการร่างข้อตกลงทางทหารร่วมกัน โดยการยกเอาโมเดลสนธิสัญญาของ ‘NATO’ มาแทบทั้งดุ้น

โดยเฉพาะข้อความในมาตรา 5 ของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ที่ระบุว่า “หากมีการโจมตีชาติสมาชิกชาติใดก็ตาม ถือเป็นการโจมตีประเทศสมาชิกทั้งหมด ก็ปรากฏในมาตรา 6 ของข้อตกลงพันธมิตรสหรัฐซาเฮลเช่นกัน และรูปแบบการป้องกันแบบองค์รวม การจัดตั้งกองกำลังทางทหารร่วมกัน ก็คล้ายกับกองกำลัง NATO ที่ชาติสมาชิก สามารถยกกองทัพมาช่วยกันรบ หากมีการโจมตีดินแดนของชาติสมาชิก จะแตกต่างกันก็แค่ตอนนี้ NATO แห่งแอฟริกา ยังมีแค่ 3 ประเทศ”

ในตอนนี้การเคลื่อนไหวของทีมรัฐบาลทหาร 3 ชาติของภูมิภาคซาเฮล เป็นเรื่องที่น่าจับตาห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะจากปรากฏการณ์การเมืองโลกในยุคสมัยใหม่ หากประเทศใดมีการล้มล้างรัฐบาลพลเรือนด้วยการรัฐประหาร ประเทศนั้นมักถูกโดดเดี่ยวจากเวทีโลก จนกว่าจะเปลี่ยนผ่านสู่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยอีกครั้ง

แต่สำหรับการฟอร์มพันธมิตรทีมรัฐประหารซาเฮลครั้งนี้ จะเรียกได้ว่าเป็นการ ‘เปิดหน้ารัฐบาลทหาร’ แบบไม่ต้องกระมิด กระเมี้ยนกันอีกแล้ว ที่ทำให้สถานภาพของรัฐบาลรักษาการณ์มีความมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะศักยภาพในการต่อกรกับกองกำลังต่างชาติ ที่ต้องการเข้าแทรกแซงการเมืองในประเทศ

และหากโมเดล ‘NATO แห่งแอฟริกา’ สามารถรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลทหารของ 3 พันธมิตรได้จริง และอาจลากเอาชาติอื่นๆใน ‘แถบรัฐประหาร’ ทั้งหมดมารวมกลุ่มได้อีก กลายเป็นกองกำลังที่เป็นปึกแผ่น แข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในภูมิภาคนี้ก็เป็นไปได้ และเท่ากับดับฝันฝรั่งเศสที่อาจต้องสูญเสียอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ไปตลอดกาลด้วย

แต่จุดที่น่าเป็นห่วงคือ การตั้งอยู่ได้ของ NATO แอฟริกา อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการรัฐประหารในทวีปนี้ให้ขยายวงกว้างออกไปได้เรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศในแอฟริกาทั้งหมด

อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย ในประเทศที่สูญเสียรัฐบาลพลเรือนจากการยึดอำนาจได้ สิ่งที่จะตามมาคือ กลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นชอบกับรัฐบาลทหาร จะถูกกวาดล้าง บีบให้พวกเขาต้องลงใต้ดิน และกลายเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลด้วยความรุนแรงเช่นกัน และมีแนวโน้มจะยกระดับเป็นกลุ่มก่อการร้าย ที่เป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาคแถบนี้ ให้เลวร้ายลงไปอีกนั่นเอง 
ถึงจะดูเป็นการมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย ก็ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในซาเฮลยังน่าเป็นห่วง และคาดเดาอนาคตได้ยาก กับดินแดนคืบก็ทะเลทราย ศอกก็ทะเลทราย พอลองได้หลงแล้ว หาทางออกลำบากจริงๆ

‘อีลอน มัสก์’ ปิ๊งไอเดีย จ่อคิดค่าบริการ X ทุกบัญชี อ้าง!! เพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน-แก้ปัญหากองทัพบอต

(19 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘นายอีลอน มัสก์’ อภิมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาและ ‘X’ แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดังที่เคยรู้จักในชื่อ ‘ทวิตเตอร์’ ได้เปิดเผยแนวคิดกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ผู้ใช้งาน X ทุกคนอาจต้องชำระค่าบริการรายเดือน เพื่อใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า การคิดค่าบริการคือหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องบอต

นับตั้งแต่ที่มัสก์เข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้พยายามกระตุ้นให้ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชำระเงินค่าบริการ ‘Twitter Blue’ หรือที่ตอนนี้มีชื่อว่า ‘X Premium’ เพื่อแลกกับฟีเจอร์ที่ดีขึ้นกว่าที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆ ที่ใช้งานแบบฟรีจะได้รับ โดยมัสก์พูดมาโดยตลอดว่า วิธีการที่เขาจะใช้กำจัดบอต และบัญชีผู้ใช้งานปลอมออกจากแพลตฟอร์ม X คือการเก็บเงินเพื่อยืนยันตัวตน โดยวิธีนี้จะทำให้จุดคุ้มทุนในการสร้างบอตขึ้นมานั้นสูงขึ้นมาก

มัสก์กล่าวกับนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล ระหว่างการหารือกันที่โรงงานของเทสลา ที่เมืองฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่ถ่ายทอดสดผ่านทาง X ว่า “เรากำลังเดินหน้าให้มีการชำระค่าบริการรายเดือนเป็นจำนวนเงินเล็กน้อยเพื่อเข้าใช้งาน”

ขณะนี้ ค่าบริการรายเดือนของ X Premium ในประเทศสหรัฐฯ อยู่ที่ 8 ดอลลาร์ หรือราว 287 บาท แต่มัสก์กล่าวว่า เขาเล็งที่จะให้มีตัวเลือกค่าบริการรายเดือนที่ราคาลดหลั่นลงมา “เราจะมีการเสนอค่าบริการที่ถูกลงมาเป็นขั้นๆ เพราะฉะนั้นแล้ว เราแค่อยากให้มีการเก็บค่าบริการเป็นเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการหารือกันนานกว่านี้ แต่ในความคิดของผม นี่คือวิธีเดียวที่จะจัดการกับกองทัพบอตจำนวนมหาศาล” มัสก์กล่าว

อย่างไรก็ดี ทางสำนักข่าวบีบีซียังไม่ได้รับแถลงการณ์จากทาง X ถึงรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว และในการหารือนั้น มัสก์ไม่ได้กล่าวว่าจะคิดค่าบริการรายเดือนเป็นเงินเท่าใด รวมถึงยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ความเห็นดังกล่าวของมัสก์เป็นการพูดขึ้นมาอย่างนั้นหรือเป็นสัญญาณของแผนการที่ยังไม่ได้ประกาศออกมา

ทั้งนี้ การเรียกเก็บเงินค่าบริการเพื่อเข้าใช้งาน X อาจส่งผลให้ผู้ใช้งานจำนวนมากเลิกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าวได้ รวมถึงอาจทำให้รายได้จากการโฆษณา ซึ่งคิดเป็นรายได้หลักของทางบริษัทตอนนี้ลดลงอีกด้วย

‘หนุ่มออสซี่’ ถูกปรับครึ่งแสน หลังพางูหลามออกมาเล่นโต้คลื่น จนท.ชี้!! การกระทำนี้เสี่ยงทำให้ผู้อื่นตกใจถึงขั้นรับอันตรายได้

(19 ก.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฮิกอร์ ฟิวซา (Higor Fiuza) ถูกกระทรวงสิ่งแวดล้อมในรัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย สั่งปรับ 2,322 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 53,345 บาท โทษฐานนำสัตว์เลี้ยงชื่อชีวา (Shiva) ซึ่งเป็นงูหลามคาร์เพท (Carpet Python) ออกมาในระหว่างเล่นเซิร์ฟ แล้วยังถ่ายคลิปอวดจนกลายเป็นคลิปไวรัล

เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่า การกระทำของนายฟิวซาอาจเป็นเหตุให้คนในที่สาธารณะแตกตื่น และอาจตกใจถึงขั้นได้รับอันตรายได้ แม้ว่าเขามีใบอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์พื้นเมือง แต่ไม่สามารถนำสัตว์ออกจากสถานที่ที่ขึ้นทะเบียนไว้ หากไม่ได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ และในลักษณะที่ดูแลสวัสดิภาพสัตว์ ความปลอดภัยของสาธารณะ และสอดคล้องกับระเบียบที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่เผยด้วยว่า แม้งูเป็นสัตว์เลือดเย็นที่สามารถว่ายน้ำได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักหลีกเลี่ยงน้ำ นอกจากนี้น้ำในทะเลยังอาจเย็นเกินไปสำหรับงูหลามด้วย

‘CATL’ เปิดตัวแบตเตอรี่ EV ชาร์จ 10 นาที วิ่งได้ 400 กม. คาด!! เริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรก ปี 2024

เมื่อไม่นานมานี้ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่จากจีนได้เปิดตัว ‘Shenxing’ แบตเตอรี่ 4C superfast charging LFP ก้อนแรกของโลกที่ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรภายในเวลาชาร์จเพียงแค่ 10 นาที

โดยหากทำการชาร์จนเต็มนั้น Shenxing จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 700 กิโลเมตร ซึ่งทาง CATL นั้นก็คาดว่า Shenxing จะช่วยให้ผู้ใช้รถ EV หมดกังวลเกี่ยวกับเวลาที่ต้องใช้ในการชาร์จแต่ละครั้งได้ และจะช่วยเปิดยุคใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ชาร์จได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา

แบตเตอรี่ Shenxing นั้นใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Super electronic network cathode และวัสดุแคโทด LFP ที่ตกผลึกในระดับนาโนเข้ามาช่วยให้แบตเตอรี่สามารถตอบสนองต่อการชาร์จที่รวดเร็วได้ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ครอบคลุมของ CATL ยังช่วยให้แบตเตอรี่ Shenxing มีคุณสมบัติที่สมดุลทั้งการชาร์จที่รวดเร็วและการขับขี่ในระยะไกล

และอีกหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจก็คือแบตเตอรี่ตัวใหม่ยังสามารถรักษาประสิทธิภาพในการชาร์จตั้งแต่ความจุ 0 – 80% ได้ภายใน 30 นาทีภายใต้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า -10 องศาเซลเซียส และสามารถรักษาประสิทธิภาพในการเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม.เอาไว้ได้ในอุณหภูมิต่ำ โดยในอุณหภูมิห้องนั้น Shenxing จะสามารถชาร์จตั้งแต่ 0 – 80% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที

สำหรับปัจจุบันทาง CATL ได้คาดการณ์ว่า Shenxing จะสามารถเริ่มทำการ Mass Produce ได้ภายในปลายปีนี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งทาง CATL นั้นก็มั่นใจว่าการเปิดตัวของ Shenxing นั้นจะเป็นอีกก้าวที่สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV และจะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าไปทั่วโลกได้อย่างครอบคลุม

จีนสกัด DNA มนุษย์โบราณ เก่าแก่ 6,000 ปี ชี้!! เหมือนหลากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอาเซียน

(19 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผยผลการวิจัยทางโบราณคดีครั้งใหม่ ที่ได้เปิดเผยการสกัดดีเอ็นเอ (DNA) จากโครงกระดูกมนุษย์อายุ 6,000 ปี ซึ่งพบในเมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน

รายงานดังกล่าว เผยว่า คณะนักโบราณคดีปฏิบัติงานขุดค้นหลุมศพ ซึ่งพบจากซากโบราณหม่าอันของเมืองอู๋ซี มณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีน ที่ได้รับการขุดและจัดส่งมายังสถาบันโบราณคดี สังกัดสถาบันบัณฑิตสังคมศาสตร์จีน ได้ระบุตัวอย่างดีเอ็นเอมนุษย์โบราณจากโครงกระดูกมนุษย์เพศชายที่พบในหลุมศพหลุมหนึ่ง ว่ามาจากยุควัฒนธรรมหม่าเจียปัง (Majiabang Culture) ของยุคหินใหม่

ด้าน เหวินเซ่าชิง นักโบราณคดีที่เป็นผู้นำการวิจัย กล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mitochondrial DNA) ซึ่งพบในโบราณสถานแห่งอื่นทั้งในจีนและภูมิภาคต่าง ๆ พบว่าสารพันธุกรรมประเภทนี้เหมือนกับดีเอ็นเอที่พบในสถานที่แห่งอื่น ซึ่งรวมถึงเวียดนามตอนเหนือ (เมื่อ 4,000-2,000 ปีก่อน) ลาวตอนเหนือ (เมื่อ 3,000 ปีก่อน) อินโดนีเซีย (เมื่อ 2,000 ปีก่อน) ฟิลิปปินส์ (เมื่อ 1,800 ปีก่อน) และกว่างซีของจีน (เมื่อ 1,500 ปีก่อน)

เหวินระบุเพิ่มเติมว่า การค้นพบครั้งนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่างการวิจัยดีเอ็นเอโบราณในพื้นที่ทางตอนใต้ของจีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเผชิญอุปสรรคจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ที่ย่ำแย่

'ชายมาเลย์' สังเกต!! หญิงทำสัญญาณมือสากล 5-4-0 เอะใจ!! รหัสขอความช่วยเหลือ โทรหาตร.ช่วยชีวิตทัน

อุทาหรณ์! ชายมาเลย์สังเกต หญิงทำสัญญาณมือสากล 540 ขอความช่วยเหลือเงียบ ๆ รีบโทรหาตำรวจเพื่อช่วยชีวิตแทบไม่ทัน

(19 ก.ย.66) อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกวันทั้งจากอุบัติเหตุ ความรุนแรงเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด คุกคาม หรือทำร้ายร่างกายทั้งจากคนแปลกหน้าและคนใกล้ตัวจึงเกิดสัญญาณมือแบบอวัจนภาษา ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ท่า 540 เพื่อขอความช่วยเหลือสากล

แม้การทำสัญญาณมือดังกล่าวจะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ใครจะคาดคิดว่าสามารถใช้งานได้จริง เพราะล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กระแสไวรัลที่ชาวเน็ตรายหนึ่งออกมาโพสต์ถึงประเด็นคู่รักกำลังเดินเที่ยวชมตลาดกลางคืน แต่จู่ๆ ฝ่ายหญิงเริ่มทำท่าทางยกมือข้างหนึ่งขึ้นกางมือเหมือนเลข 5 จากนั้นนำนิ้วโป้งแตะฝ่ามือ คล้ายกับชูนิ้วเลข 4 จากนั้นพับอีก 4 นิ้วที่เหลือทับนิ้วโป้งคล้าย 0

ชาวเน็ตคนดังกล่าวสังเกตพฤติกรรมแปลก ๆ แม้ว่าเธอจะเดินไปกับแฟนของเธอ แต่เธอก็สบตากับผู้คนที่เดินผ่านไปมาและแอบทำท่าทางมือ ‘540’ เขาตระหนักว่าผู้หญิงคนนั้นตกอยู่ในอันตรายจึงรีบแจ้งตำรวจ และในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นจากการควบคุมของแฟนหนุ่มที่ใช้ความรุนแรงในบ้านได้สำเร็จ

เจ้าของโพสต์เผยในติ๊กต็อกว่า หลังจากสังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ เขาก็ถือโอกาสถามผู้หญิงว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนั้นแอบบอกว่า เธอถูกแฟนติดยาทำร้ายเธอ ไม่เพียงแต่เธอจะถูกมัดและทุบตีเท่านั้น แต่เธอยังถูกแฟนราดน้ำร้อนลวกจนผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ

หลังจากที่เจ้าของโพสต์โทรหาตำรวจ เขาก็ขอความช่วยเหลือจากพ่อค้าแม่ค้าและเจ้าหน้าที่ในตลาดกลางคืน ขณะนี้แฟนหนุ่มดูเหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจึงพยายามหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ แต่กลับถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่คุมตัวไว้เมื่อเห็นตำรวจปรากฏตัว เขาก็ขัดขืนอย่างดุเดือดแต่ถูกพาตัวไปในที่สุด

ทางด้านเจ้าของโพสต์เดินทางไปที่สถานีตำรวจเพื่อจดบันทึกประจำวันเพื่อเป็นพยาน และพ่อของผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มติดต่อเขาเพื่อแสดงความขอบคุณด้วย เจ้าของโพสต์กล่าวว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่า ‘สัญญาณมือ 540’ เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ หวังจะเรียกร้องให้ทุกคนกล้าพอที่จะยื่นมือช่วยเหลือ

‘สัญญาณมือ 540’ มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สัญญาณขอความช่วยเหลือ’ และ ‘สัญญาณ SOS ความรุนแรงในครอบครัว’ หากบุคคลรู้สึกว่าถูกคุกคามหรือต้องการความช่วยเหลือ เขาหรือเธอสามารถขอความช่วยเหลือได้ด้วยมือเดียวระหว่างการสนทนาทางวิดีโอหรือการติดต่อแบบเห็นหน้ากัน กลายเป็นเครื่องมือเตือนง่าย ๆ แต่ได้ผล

 

‘ญี่ปุ่น’ กลุ้มใจ!! ประชากร 1 ใน 10 อายุเกิน 80 ปี  อัตราการเกิดต่ำ ส่งผลขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาว

(19 ก.ย. 66) รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยรายงานประจำปีเนื่องในวันผู้สูงอายุ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 ว่า จำนวนประชากรที่มีอายุเกิน 80 ปีคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของประชากรทั้งหมดในประเทศเป็นครั้งแรก โดยอัตราการเกิดต่ำเรื้อรังและการที่ประชากรมีอายุยืนยาว ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนประชากรที่อายุเกิน 65 ปี ซึ่งปีนี้แตะ 29.1% ของสัดส่วนประชากรทั้งหมดในประเทศ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การใช้จ่ายประกันสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นได้ซ้ำเติมญี่ปุ่นที่มีหนี้สินมหาศาลอยู่แล้วและการขาดแคลนคนหนุ่มสาวส่งผลให้อุตสาหกรรมจำนวนมากขาดแคลนแรงงาน รวมถึงผู้ดูแลคนสูงอายุ โดยนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่นระบุว่า ญี่ปุ่นเสี่ยงที่จะสูญเสียศักยภาพในการทำงาน หากไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้

รายงานระบุว่า ญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิด แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกันทางการญี่ปุ่นก็มีความลังเลที่จะเปิดรับแรงงงานต่างชาติในปริมาณมาก เพื่อชดเชยภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยญี่ปุ่นมีเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 800,000 คนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในศตวรรษที่ 19 ในปีที่แล้ว

นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ประชากรโดยรวมของญี่ปุ่นลดลงประมาณ 5 แสนราย สู่ 124.4 ล้านราย และคาดการณ์ว่าประชากรจะเหลือไม่ถึง 109 ล้านรายภายในปี 2588

ปัจจุบัน หลายประเทศในทวีปเอเชียกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุและประชากรหดตัว โดยเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่จะแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลกในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ส่วนประชากรจีนเริ่มหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีในปี 2565

‘จีน’ ฉุน!! ‘รมว.ตปท.เยอรมนี’ เรียก ‘สี จิ้นผิง’ ว่า “จอมเผด็จการ” ชี้ เป็นความคิดที่ไร้สาระ-ละเมิดศักดิ์ศรี-ยั่วยุทางการเมืองชัดเจน

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 66 ‘จีน’ ตำหนิ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีอย่างดุเดือด หลังเรียกประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ เป็น ‘เผด็จการ’ โดยตราหน้าความคิดเห็นดังกล่าวว่าเป็น ‘การยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย’ ที่ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง

ปักกิ่งคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี แต่เยอรมนีเผยแพร่นโยบายใหม่ในเดือนกรกฎาคม ลดพึ่งพาและหันมาประชันขันแข่งกับจีนแน่วแน่กว่าเดิม หลังจากใช้เวลาถกเถียงกันภายในรัฐบาลมานานหลายปีเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่จะใช้กับจีน

แบร์บ็อค ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้เยอรมนีใช้แนวทางสายแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกับจีน แสดงความคิดเห็นเรียก สี จิ้นผิง เป็นเผด็จการ ขณะให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ระหว่างเดินทางเยือนสหรัฐฯ

ในระหว่างให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสงครามยูเครน เธอบอกว่า “หากปูตินชนะในสงครามนี้ มันจะเป็นสัญญาณสำหรับพวกเผด็จการคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ อย่างเช่น สี จิ้นผิง อย่างเช่นประธานาธิบดีจีน หรือไม่? ดังนั้น เพราะฉะนั้น ยูเครนจำเป็นต้องชนะในสงครามนี้”

จีนเคลื่อนไหวตอบโต้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา บอกว่าพวกเขานั้น “ไม่พอใจอย่างมาก” และได้แสดงออกอย่างจริงจังไปถึงฝ่ายเยอรมนีผ่านช่องทางทางการทูตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

“ความคิดเห็นนี้ไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง และล่วงละเมิดศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีนอย่างร้ายแรง และเป็นการยั่วยุทางการเมืองอย่างเปิดเผย” เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวระหว่างแถลงสรุปประจำวัน

คณะรัฐมนตรีเยอรมนีให้การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับจีน ซึ่งเป็นเอกสารความยาว 64 หน้า เมื่อเดือน ก.ค. โดยเน้นย้ำในแผนยุทธศาสตร์ว่า ต้องการรักษาความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนกับจีนต่อไป แต่ขณะเดียวกัน ต้องการลดการพึ่งพาจีนในภาคอุตสาหกรรมสำคัญ ด้วยการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้หลากหลายขึ้น เพื่อเป้าหมายคือการลดความเสี่ยง มิใช่การตัดขาดจากห่วงโซ่เศรษฐกิจของจีนเสียทีเดียว

นโยบายใหม่เกี่ยวกับจีนของเยอรมนี เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง 2 จุดยืนที่แตกต่างกันภายในรัฐบาลผสม โดยเรียกปักกิ่งเป็นทั้ง “คู่หู คู่แข่งขัน และคู่ปรับในเชิงระบบ”

แบร์บ็อค จากพรรคกรีนส์ ผลักดันให้ใช้แนวทางแข็งกร้าวกับจีน และให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ส่วน ‘โอลาฟ โชลซ์’ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จากพรรคโซเชียล เดโมแครต สนับสนุนให้ใช้ท่าทีที่เป็นมิตรทางการค้ามากกว่า

เปิดตัวเลขกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ ทะลุ 500 เคสในปีนี้ คู่ขนาน ปชช.ถือครองอาวุธปืนเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

(19 ก.ย. 66) จำนวนเหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ พุ่งผ่าน 500 เหตุการณ์แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลของ ‘Gun Violence Archive’ (GVA) องค์กรไม่แสวงกำไรที่ศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงจากอาวุธปืน เฉลี่ยแล้วเท่ากับเกือบ 2 เหตุการณ์ต่อวันเลยทีเดียว

เมื่อวันอาทิตย์ (17 ก.ย.) ที่ผ่านมา กรมตำรวจเดนเวอร์ โพสต์แจ้งเตือนบนแฟลตฟอร์ม X (เดิมคือ ทวิตเตอร์) ยืนยันเกิดเหตุกราดยิงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ซึ่งนับเป็นเหตุกราดยิงเหตุการณ์ที่ 500 ของปีนี้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตำรวจเอลปาโซ รัฐเทกซัส รายงานว่า พวกเขากำลังสืบสวนเหตุการณ์ยิงกันเหตุการณ์หนึ่งช่วงเช้าในอีสต์ เอลปาโซ ซึ่งคร่าชีวิตชายวัย 19 ปีรายหนึ่ง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ส่งผลให้ตัวเลขรวมของเหตุกราดยิงเพิ่มเป็น 501 เหตุการณ์

อ้างอิงข้อมูลบนเว็บไซต์ของ GVA ได้ให้คำจำกัดความเหตุกราดยิงว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 4 คน หรือมากกว่านั้น ไม่นับรวมผู้ก่อเหตุ

ปี 2021 กลายเป็นปีที่มีเหตุกราดยิงหมู่มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลังมีรายงานเกี่ยวกับเหตุกราดยิง 689 เหตุการณ์ ก่อนที่จำนวนเหตุกราดยิงจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 647 เหตุการณ์ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของเอฟบีไอพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บกลับเพิ่มขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์สถิติศึกษาแห่งชาติสหรัฐฯ (NCES) เผยแพร่รายงานอาชญากรรมและความปลอดภัยประจำปี พบว่า มีเหตุยิงกันที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในโรงเรียน 188 เหตุการณ์ ในปีการศึกษา 2021-22 เพิ่มขึ้นจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้กว่าเท่าตัว

เหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีเหตุกราดยิงหมู่เพียงแค่ 273 เหตุการณ์ในปี 2014

ผลการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ว่ามีประชาชนครอบครองอาวุธปืนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระหว่างเดือนมกราคม 2019 ถึงเมษายน 2021 มีผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าของอาวุธปืนรายใหม่มากถึง 7.5 ล้านคน

รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มาตรา 2 บัญญัติว่า อนุญาตให้ชาวอเมริกันที่อายุ 21 ปีขึ้นไป (หรือ 18 ปีในบางรัฐ) มีสิทธิครอบครองอาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และผลสำรวจความคิดเห็นพบว่ามีราว 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มีอาวุธปืนในครอบครอง อย่างไรก็ตาม อีกโพลหนึ่งที่จัดทำโดยแกลลัพ ในเดือนตุลาคม 2022 พบว่าชาวอเมริกาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืน โดยมีถึง 57% ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มข้น

กระนั้น เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมอเมริกา โดยผลสำรวจอีกอันของแกลลัพ พบว่า ชาวเดโมแครตมีความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์สนับสนุนควบคุมอาวุธปืน แต่สำหรับชาวรีพับลิกันแล้ว มีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

‘ยูเอ็น’ หวั่นโรคระบาดคุกคาม 'ลิเบีย' หลังเกิดเหตุน้ำท่วม จากการขาดสุขอนามัย เตรียมหาวิธีป้องกัน ไม่ให้เกิดวิกฤติซ้ำสอง

(19 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหประชาชาติ หรือยูเอ็น เตือนว่า เมืองเดอร์นาของลิเบียที่ถูกน้ำท่วมใหญ่และมีคนเสียชีวิตจำนวนมากเมื่อสัปดาห์ก่อน เสี่ยงเกิดโรคระบาดที่จะทำให้เกิดวิกฤติร้ายแรงซ้ำสอง

ภารกิจสนับสนุนของยูเอ็นในลิเบียแถลงว่า ทีมงานของยูเอ็น 9 หน่วยงานได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากพายุแดเนียล (Daniel) และน้ำท่วม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หน่วยงานบรรเทาทุกข์ และองค์การอนามัยโลกกำลังวิตกเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำปนเปื้อนและการขาดสุขอนามัย ทีมงานจึงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เพราะจะกลายเป็นวิกฤตร้ายแรงซ้ำสอง

ชาวเมืองเดอร์นาที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากพายุพัดถล่มเมื่อวันที่ 10 กันยายน กำลังขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร และสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ในขณะที่เสี่ยงจะเกิดอหิวาตกโรค ท้องร่วง ภาวะขาดน้ำ และโรคขาดสารอาหาร น้ำท่วมทำให้เมืองเดอร์นาที่มีประชากร 100,000 คน เสียชีวิตราว 3,000-11,300 ราย ไร้ที่อยู่อาศัย  30,000 คน และสูญหายอยู่หลายหมื่นคน

‘ปูติน’ เตรียมเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง พบ ‘สี จิ้นผิง’ ตุลาฯ นี้ นับเป็นทริปนอกประเทศครั้งแรก หลังถูก ‘ไอซีซี’ ออกหมายจับ

(19 ก.ย. 66) ทางการรัสเซียประกาศแล้วว่าประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพบปะพูดคุยกับประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ซึ่งจะนับเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกเท่าที่รับรู้ของปูติน หลังจากที่เขาถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ออกหมายจับในข้อกล่าวหา ‘ก่ออาชญากรรมสงคราม’ จากการเนรเทศเด็กๆ ชาวยูเครนไปรัสเซีย

“ในเดือนตุลาคม เราตั้งตารอการเจรจาทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในกรุงปักกิ่ง” นายนิโคไล ปาทรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของรัสเซีย กล่าวถึงแผนการเยือนดังกล่าว หลังการหารือกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ที่กรุงมอสโก

นายปาทรูเชฟ กล่าวอีกว่า รัสเซียต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน “รัสเซียมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์รัสเซีย-จีนให้ก้าวหน้า” พร้อมเสริมว่ามหาอำนาจทั้งสองเป็นหุ้นส่วนและมีความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างกัน

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินจะมาร่วมการประชุมความริเริ่มแถบและเส้นทางครั้งที่ 3 ที่กรุงปักกิ่ง ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสี ที่มีขึ้นในระหว่างที่ผู้นำจีนเดินทางเยือนกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยก่อนหน้าที่นายสีจะเดินทางเยือนมอสโกในครั้งนั้นเพียงไม่กี่วัน ศาลไอซีซี ได้ออกหมายจับปูติน กรณีการเนรเทศเด็กชาวยูเครนจำนวนหลายร้อยคนจากยูเครนไปรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รัสเซียปฏิเสธ

‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้นำเชเชน คนสนิทของปูติน  ปล่อยคลิปสยบข่าวลือ ‘ยืนยัน’ ยังไม่ตาย!!

หลังจากมีข่าวลือสะพัดในโลกออนไลน์อย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้มีฉายา ‘คนแกร่งแห่งเชเชน’ โดยปัจจุบันเขาเป็นผู้นำสาธารณรัฐเชเชน ที่ได้รับการหนุนหลังจากวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้มีอาการป่วยหนักถึงขั้นโคม่า หนำซ้ำยังลือไปไกลว่า เขาได้เสียชีวิตแล้วด้วยอาการไตวาย

โดยชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่า รามซาน คาดีรอฟ อาจถูกวางยาพิษ ซึ่งเป็นวิธีที่สายลับรัสเซียนิยมใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง หรือ คนทรยศหักหลัง

สำหรับ รามซาน คาดีรอฟ เป็นทั้งผู้นำในเขตปกครองตนเองเชเชน และยังมีตำแหน่งในกองทัพรัสเซีย คุมกองกำลังพลในสาธารณรัฐเชเชน ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสไตล์การรบที่โหดเหี้ยม ดุดัน นับเป็นกองกำลังเสริมทัพที่สำคัญของปูติน ในสงครามยูเครน รองจากกองกำลัง Wagner ของ เยฟเกนี พริโกซิน ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

ฉะนั้น หากข่าวลือเป็นจริง เท่ากับว่าปูตินเสียขุนศึกคนสนิท ที่เป็นมือซ้าย-ขวา ทั้งสองคนในเวลาไล่เรี่ยกัน ที่ล้วนแต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุเป็นปริศนาแทบทั้งสิ้น

แต่ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รามซาน คาดีรอฟ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ 2 คลิป ผ่านช่องทาง Telegram เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขายังสบายดี ไม่ได้สิ้นชื่อ หรือ ถูกเก็บ อย่างที่ลือกันสนั่นในโลกออนไลน์

โดยคลิปแรก คาดีรอฟ ใส่เสื้อกันฝันออกมาเดินเล่นในถนนแห่งหนึ่ง ที่ไม่ระบุสถานที่ แม้จะยิ้มให้กล้อง แต่ใบหน้าดูบวมอย่างผิดสังเกต ส่วนคลิปที่สอง เขาออกมากล่าวถึงชาวเน็ตว่า หากใครที่ไม่สามารถแยกข่าวจริง กับข่าวปลอมไม่ได้ แนะนำให้ออกมาเดินออกกำลังกาย สูดอากาศดี ๆ และลองจัดลำดับความคิดตัวเองเสียใหม่ เติมความสดชื่นในชีวิตด้วยสายฝนดูบ้าง

แต่ถึงอย่างไรก็ดี การปล่อยคลิปของคาดีรอฟ ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าตัวเขาจะยังอยู่ดีตามที่พูดไว้ในคลิป เนื่องจากไม่สามารถระบุ วัน เวลา และ สถานที่ ที่มีการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า รามซาน คาดีรอฟ อยู่ที่ไหนในปัจจุบัน

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ รามซาน คาดีรอฟ มีข่าวลือว่าเสียชีวิต เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคยมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง คาดีรอฟ และกลุ่มนายพลระดับสูงในฝ่ายกลาโหมรัสเซีย จนมีข่าวว่าเขาถูกลอบวางยาพิษ จากศัตรูทางการเมืองของเขาในรัสเซีย แต่สุดท้ายข่าวก็เงียบหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนข่าวลือจะกลับมาอีกครั้งในวันนี้

ข่าวแบบนี้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่!! เพราะในแวดวงการเมืองรัสเซีย ที่ล้วนมีแต่ข่าวลือ ข่าวลวง ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ ประธานาธิบดี ปูติน ก็มักมีกระแสข่าวเรื่องปัญหาสุขภาพ โรคอัลไซเมอร์ พาคินสัน หรือ ข่าวเรื่องการลอบสังหารแพร่กระจายในโซเชียลอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก จนงงไปหมดว่าข่าวไหนจริงหรือเท็จ อาจต้องพักหน้าจอ มาออกกำลังกาย สูดอากาศสดชื่นภายนอกบ้าง อย่างที่ รามซาน คาดีรอฟ แนะนำไว้ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

‘สส.เกาหลีใต้’ เล็งเสนอกฎหมายห้ามจำหน่าย-บริโภค 'เนื้อสุนัข' ขณะที่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการแบน-กำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายใดๆ

(18 ก.ย. 66) บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเกาหลีใต้ กำลังมีแผนเสนอร่างกฎหมายซึ่งมีเป้าหมายห้ามจำหน่ายและบริโภคเนื้อสุนัข ประเพณีเก่าแก่อายุหลายร้อยปีอันเป็นที่ถกเถียง ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่มีการแบนหรือกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายใดๆ

สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกเสนอโดยพรรคเดโมแครต ปาร์ตี พรรคฝ่ายค้านหลักเมื่อวันพฤหัสบดี (14 ก.ย.) และเรียกเสียงสนับสนุนในทันทีจากพรรคพีเพิล พาวเวอร์ ปาร์ตี พรรครัฐบาล ซึ่งเท่ากับว่าจะมีคะแนนเสียงมากพอสำหรับโหวตผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้

ปาร์ก แด-ชุล ประธานคณะกรรมการด้านนโยบายของพรรครัฐบาล ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ว่า "ประชาชนเกาหลีใต้ราว 10 ล้านครัวเรือน เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องหยุดรับประทานเนื้อสุนัข"

ทั้งนี้ ปาร์ก ยังให้คำจำกัดความร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็น ‘ร่างกฎหมายคิม กอนฮี’ อ้างถึงสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ซึ่งรณรงค์ยุติกิจวัตรการรับประทานเนื้อสุนัขในประเทศ อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่อดังกล่าว เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง แม้กระทั่งจากสมาชิกภายในพรรคเอง ซึ่งกล่าวหา ปาร์ก ว่าประจบประแจงประธานาธิบดีจนเกินงาม

สุภาพสตรีหมายเลข 1 สนับสนุนการแบนซื้อขายและบริโภคเนื้อสุนัขทุกรูปแบบ และเมื่อเดือนที่แล้ว เธอได้เร่งเร้าสมัชชาแห่งชาติให้ผ่านกฎหมายฉบับหนึ่งสำหรับยุติกิจวัตรดังกล่าว และสัญญาว่าจะเดินหน้ารณรงค์และใช้ความพยายามเพื่อนำมาซึ่งจุดจบของการบริโภคเนื้อสุนัขให้ได้

‘มนุษย์และสัตว์ควรอยู่ร่วมกัน’ เธอบอกระหว่างแถงข่าวที่มีกลุ่มประชาคมหนึ่งเป็นเจ้าภาพเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม พร้อมระบุ "กิจกรรมเนื้อสุนัขอย่างถูกกฎหมายควรถึงจุดจบเสียที"

การบริโภคเนื้อสุนัขเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในคาบสมุทรเกาหลีมานานหลายร้อยปี แต่มันได้รับความนิยมลดน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนฟาร์มสุนัขทั่วเกาหลีใต้ลดลงกว่าครึ่ง แต่ยังมีสุนัขถูกฆ่าเป็นอาหารราว 700,000 ตัวต่อปี ลดลงจากระดับหลายล้านตัวเมื่อราว 1 ทศวรรษก่อน จากข้อมูลของสมาคมเกษตรกรผู้เลี้ยงสุนัข

ความพยายามที่ผ่านมาของรัฐบาลในการกำหนดให้อุตสากรรมเนื้อสุนัขเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ถูกคัดค้านจากทั้งเจ้าของฟาร์มสุนัขและร้านอาหาร เนื่องจากเกรงว่ามันจะกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเขา

‘จีน’ ดำเนินการทดสอบ ‘อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้า’ ด้วย ‘พลังงานความร้อนจากทะเล’ สำเร็จ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรของจีนได้ดำเนินการทดสอบอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรในทะเลจีนใต้

รายงานระบุว่า อุปกรณ์ข้างต้น ขนาด 20 กิโลวัตต์ พัฒนาโดยสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเลแห่งกว่างโจว ภายใต้การควบคุมโดยตรงของสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน ได้ถูกเคลื่อนย้ายกลับสู่นครกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ

อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรนี้สามารถผลิตไฟฟ้าเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมง 47 นาที สร้างผลผลิตไฟฟ้าสูงสุด 16.4 กิโลวัตต์ ระหว่างการทดสอบนอกชายฝั่งดังกล่าว

หนิงโป วิศวกรอาวุโสของสำนักฯ กล่าวว่าการทดสอบนอกชายฝั่งนี้ตรวจสอบความอยู่รอดของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรที่พัฒนา รวมถึงความสามารถใช้งานจริง ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและใช้พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร นับจากการทดสอบบนบกสู่การใช้งานนอกชายฝั่ง

ทั้งนี้ พลังงานความร้อนจากมหาสมุทรใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างพื้นผิวและน้ำลึกมาผลิตไฟฟ้า ทำให้เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยหนิงกล่าวว่าจีนมีแหล่งสำรองพลังงานความร้อนจากมหาสมุทรมากมาย แต่การวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ยังอยู่แต่ในห้องปฏิบัติการและการทดสอบบนบก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top