Tuesday, 1 July 2025
WORLD

‘หญิงสหรัฐฯ’ ตั้งท้องลูก 2 คน จุดพีก!! อยู่คนละมดลูก ทำให้ทีมแพทย์ต้องทำงานหนัก 20 ชั่วโมงในวันคลอด

(24 ธ.ค.66) เคลซีย์ แฮทเชอร์ วัย 32 ปี ชาวสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเองตั้งครรภ์อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา และผลการตรวจก็ทำให้แพทย์ประจำตัวของเธอต้องช็อก

เพราะคุณแม่รายนี้มีลูกมาแล้ว 3 คน ใครๆ ก็คิดว่าท้องที่ 4 ของเธอคงจะเป็นเรื่องชิลๆ ที่รับมือง่าย แต่ใครจะคิดว่าการอัลตราซาวนด์ครั้งแรกของเธอจะพบสิ่งที่หายากหนึ่งในล้าน

ย้อนกลับไปตอนที่ เคลซีย์ อายุ 17 ปี เธอได้รับการวินิจฉัยว่ามีมดลูกแฝด (uterus didelphys) เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดที่เกิดขึ้นได้ยากในผู้หญิงประมาณร้อยละ 0.3

และเพราะแบบนั้น เคลซีย์ จึงใส่ใจทุกการตั้งครรภ์ เนื่องจากคนที่มดลูดแฝดเสี่ยงแท้งได้ง่ายกว่าคนปกติการตรวจทำให้แพทย์พบว่า เคลซีย์ กำลังตั้งครรภ์ลูก 2 คน โดยเด็กอยู่กันคนละมดลูก

วันกำหนดคลอดกลายเป็นงานหินที่สุดของคุณแม่รายนี้และทีมแพทย์ เพราะกรณีของเธอเกิดขึ้นไม่บ่อยนักและมีความเสี่ยงสูง ทีมแพทย์ต้องทำงานกันนานถึง 20 ชั่วโมงเลยทีเดียว

เธอให้กำเนิดลูกสาว 2 คน ห่างกันคนละ 10 ชั่วโมง คนแรก คลอดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 19.45 น. คนที่สองคลอด วันที่ 20 ธันวาคม เวลา 06.10 น.

สำหรับ เคลซีย์ และครอบครัวของเธอ การตั้งครรภ์นี้น่าอัศจรรย์ พวกเขาต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า เธอมีลูกพร้อมกัน 2 คน และทั้งคู่เกิดกันคนละวัน

คุณแม่ลูก 5 กล่าวว่า “เราไม่เคยฝันถึงเรื่องบ้าระห่ำนี้เลย เราไม่สามารถวางแผนการตั้งครรภ์และการคลอดแบบนี้ได้ แต่การนำเด็กทารกหญิงสองคนที่มีสุขภาพแข็งแรงเข้ามาในโลกนี้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเป้าหมายเสมอ

มันดูเหมาะสมที่พวกเขาจะมีวันเกิดสองวันเกิด พวกเขาทั้งสองมี ‘บ้าน’ เป็นของตัวเอง และตอนนี้ทั้งคู่ก็มีเรื่องราวการเกิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง”

บริษัทแม่ ‘Pornhub’ โดนปรับ 62 ล้านบาท ปมแพร่คลิปโป๊ที่เหยื่อถูกหลอกให้เข้าร่วม

(24 ธ.ค.66) สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า บริษัท Aylo บริษัทแม่ของเว็บไซต์ พอร์นฮับ เจ้าของเว็บไซต์หนังโป๊ออนไลน์รายใหญ่ ตกลงกับอัยการสหรัฐ จ่ายค่าปรับ 62 ล้านบาท โดยยอมรับว่า บนเว็บไซต์ของพวกเขามีวิดีโอโป๊ของบริษัทเจ้าหนึ่งที่หลอกให้ผู้หญิงมาร่วมแสดง

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า บริษัท Aylo จะจ่ายค่าปรับและเงินชดเชยรวม 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 62 ล้านบาท แก่เหยื่อการค้าประเวณี พร้อมยอมรับว่า คลิปวิดีโอผิดกฎหมายถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ของพวกเขาจริง แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าประเวณี

ขณะที่ ทางด้านรัฐบาลสหรัฐ ไม่ได้กล่าวหาทาง Aylo ว่าละเมิดกฎหมายการค้าประเวณีใดๆ แต่ระบุว่า บริษัทควรรู้ว่าตัวเองกำลังทำธุรกิจอยู่กับกลุ่มคนที่มีส่วนร่วมกับการค้ามนุษย์ ซึ่งตามข้อตกลงระบุไว้ว่า ทางบริษัทจะถูกเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งรัฐจะยอมยกฟ้องหากพวกเขาทำตามข้อตกลงตลอดระยะเวลาดังกล่าว

ตามรายงานของคำร้องระบุว่า ในปี 2559 ทางบริษัทเริ่มได้รับคำร้องจากผู้หญิงที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ เพื่อขอให้ลบคลิปออกจากแพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลว่าพวกเธอถูกหลอกให้ทำ ก่อนที่บริษัทจะรับรู้เรื่องการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทผู้ผลิตรายดังกล่าวในปี 2560

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเอฟบีไอ ระบุว่า ทางบริษัทควรลงมือลบวิดีโอออกจากแพลตฟอร์มเร็วกว่านี้ เพื่อผลประโยชน์ บริษัท Aylo Holding จงใจเพิ่มความมั่งคั่งให้ตัวเอง ด้วยการทำเป็นไม่สนใจคำร้องของผู้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งติดต่อกับบริษัทว่า พวกเธอกำลังตกเป็นเหยื่อให้ร่วมกิจกรรมทางเพศโดยไม่ยินยอม

ทั้งนี้ ทางด้าน Aylo ภายใต้คณะบริหารใหม่ ออกแถลงการณ์ว่า พวกเขาเสียใจอย่างยิ่งที่พอร์นฮับเป็นโฮสต์ให้กับวิดีโอผิดกฎหมายเหล่านี้ เรารู้สึกกังวลมากที่รู้ว่า บริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งใช้วิธีผิดกฎหมายในการผลิตเนื้อหาของตัวเอง และยื่นเอกสารแสดงความยินยอมที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าได้มาด้วยการฉ้อโกงและการข่มขู่

นอกจากนี้ เราต้องเฝ้าระวังเพื่อหยุดผู้ที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มของเราอย่างผิดกฎหมาย และเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม และความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

'อินเดีย' จ่อขึ้นแท่น 1 ในชาติ ‘เศรษฐกิจ’ โตเร็วสุดปีหน้า คาด!! จะแซง 'ญี่ปุ่น' และขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในเอเชียปี 2573

(24 ธ.ค.66) ฟิทช์ เรตติ้งส์คาดว่า ‘อินเดีย’ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ของอินเดียในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 6.9%

ฟิทช์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า "อุปสงค์จะยังคงแข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปี 2566 ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย จะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้เราคาดว่าอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566"

โดยปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ, จีน, เยอรมนี และญี่ปุ่น

ภายในปี 2573 คาดว่า GDP อินเดีย จะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ฟิทช์ ระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) และในปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน

ด้าน โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือน ธ.ค.ปีนี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% สูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 แห่งในปี 2567 ขณะที่จีนตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%

ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัว 6-7.1% ต่อปีในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์ในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%

‘ไทย’ เดินหน้ายกระดับมาตรการดูแล ’นักท่องเที่ยว‘ ส่งท้ายปี หวังทำให้ประเทศกลายเป็นหมุดหมายที่ ‘ปลอดภัย-เป็นมิตร’

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลไทย เปิดเผยว่าไทยกำลังยกระดับมาตรการต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกแก่การเดินทาง เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะคึกคักเพิ่มขึ้นในช่วงส่งท้ายปี

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานว่าไทยจะเน้นย้ำการเสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริการคมนาคมขนส่ง และการตระหนักรู้ความปลอดภัย ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ 12 แห่ง

ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ซึ่งมุ่งทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันปลอดภัยและเป็นมิตร เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอันต้องการความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ช่วงวันที่ 22 ธ.ค.66 จนถึง 1 ม.ค.67 จะรวมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ นายชัย วัชรงค์ กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยจะอยู่ที่ 3.4-3.5 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปีนี้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2024 จำนวน 8.2 ล้านคน

อนึ่ง นักท่องเที่ยวชาวจีนครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยรวมเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ โดยการท่องเที่ยวมีส่วนส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยราวร้อยละ 12

'เทย์เลอร์ สวิฟต์' อาจครองแชมป์คนดัง ที่ปล่อย CO2 มากสุดในโลก 2 ปีซ้อน

(22 ธ.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ ศิลปินสาวชื่อดังก้องโลก อาจรั้งที่ 1 ถึง 2 ปีซ้อนคนดังปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ มากที่สุดในโลก จากการขึ้นเจ็ทส่วนตัว หลังจากที่สื่อนอกรายงานว่าที่ผ่านมานั้นเธอบินไปหาแฟนหนุ่มดีกรีนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลอย่าง'ทราวิส เคลซี' จากทีม Kansus City Chiefs ถึง 12 ครั้งในห้วง 3 เดือนที่ผ่านมา

สื่อนอกรายงานว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนของนักร้องดังแห่งยุคอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ เกิดขึ้นจากการที่เธอนั้นได้นั่งเครื่องบินส่วนตัวเพื่อนบินไปเชียร์แฟนหนุ่มนักกีฬาแบบติดขอบสนามทั้งหมด 12 ครั้ง ในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น

สำหรับ เทย์เลอร์ นั้น เธอได้ครอบครองเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวถึง 2 ลำ คือ Dassault Falcon 7x จดทะเบียนในชื่อ N621MM ภายใต้บริษัทIsland Jet Inc. และ Dassault Falcon 900 จดทะเบียนในชื่อ N898TS ภายใต้บริษัท SATA LLFC การเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของเทย์เลอร์ ผลาญเชื้อเพลิงไปแล้วประมาณ 12,622 แกลลอน ตีเป็นเงิน 70,779 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,471,602 บาท 

โดยข้อมูลจาก Jets รายงานว่า นักร้องสาวชื่อดังได้ปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนถึง 138 ตัน หากตัวเธอนั้นต้องการที่จะชดเชยปริมาณก๊าซคาร์บอนที่เธอปล่อยออกไปจากการนั่งเจ็ทส่วนตัว เธอจะต้องปลูกต้นไม้ถึง 2,282 ต้น และต้องรอให้ต้นไม้เหล่านั้นเติบโตระยะเวลาถึง 10 ปีถึงจะชดเชยได้

ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปปีที่ผ่านมานั้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ ขึ้นแท่นอันดับ 1 คนดังที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลกอยู่ที่ประมาณ 8,293 ตัน แซงหน้า'ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์'ที่ตามมาติดๆ ถึงประมาณ 7,076 ตัน จากการนั่งเครื่อบินเจ็ทส่วนตัวเช่นกัน ซึ่งข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนนั้นเมื่อเทียบง่ายๆ จะมีปริมาณเทียบเท่ากับการใช้พลังงานไฟฟ้าของบ้านเรือนประมาณ 26 หลังในรอบ 1 ปี

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเทย์เลอร์ สวิฟต์ เอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเธอได้ส่งโฆษกส่วนตัว ออกมาเทคแอคชันถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งทางโฆษกส่วนตัวของเธอระบุว่า กำลังเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากเครื่องบินส่วนตัวให้ได้มากที่สุด ด้วยการเดินทางให้น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่า ก่อนที่คอนเสิร์ต Eras Tour 2023 จะเริ่มต้นขึ้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ควักกระเป๋าซื้อคาร์บอนเครดิตมากกว่าปกติถึง 2 เท่า เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซ Co2 ระหว่างที่เธอได้ทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้อีกด้วย

‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ สุดยอดเมนูคลายหนาว ขายดีในยูนนาน แถมชาวจีนที่เคยทาน เริ่มหัด ‘ทำกินเองที่บ้าน’ แล้วด้วย

(21 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง ห้วงยามฤดูหนาวที่อากาศเย็นเยือก ‘ฟ่าน จื้อเหวิน’ เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ได้ออกเมนู ‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ ที่มีเครื่องต้มยำกุ้งของไทยเป็นส่วนประกอบหลัก เสิร์ฟพร้อมเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และผักสด กลายเป็นที่โปรดปรานของลูกค้าจำนวนไม่น้อย

‘ฟ่าน’ วัย 35 ปี เผยว่า ต้มยำกุ้งถือเป็นเมนูยอดนิยมที่สั่งกันทุกโต๊ะ ส่วนต้มยำกุ้งหม้อไฟเป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีลูกค้าสั่งกันเยอะในฤดูหนาว โดยร้านอาหารกลุ่มชาติพันธุ์ไต-อาหารไทยของเขา มักออกสารพัดเมนูตามฤดูและเทศกาล เช่น ฤดูร้อนมีเมนูรสชาติเผ็ดเปรี้ยว ฤดูหนาวมีเมนูหม้อไฟ และมีเมนูพิเศษต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ด้วย

ทั้งนี้ ฟ่านผู้เริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารไทยมาตั้งแต่ปี 2015 มองว่า ชาวอวิ๋นหนานชื่นชอบต้มยำกุ้งหม้อไฟกันไม่น้อย หลายคนหาซื้อวัตถุดิบกลับไปทำกินเองที่บ้าน ทำให้เป็นเมนูที่ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารไทยในคุนหมิง

เมนูต้มยำกุ้งหม้อไฟที่มีน้ำซุปอุ่นร้อนให้ซดนั้น เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอีกในช่วงอากาศหนาวเย็นจัด โดยข้อมูลจากเหม่ยถวน (Meituan) และเตี่ยนผิง (Dianping) พบว่าช่วงวันที่ 1-13 ธ.ค. ร้านอาหารในอวิ๋นหนานออกเมนู ‘ต้มยำกุ้งหม้อไฟ’ หรือ ‘หม้อไฟไทย’ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี และยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 74

ขณะที่การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมระหว่างจีน-ไทย ที่พัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แปรเปลี่ยนแนวทางรับประทานอาหารไทยของผู้บริโภคชาวจีนจาก ‘หากินที่ร้าน’ เป็น ‘ทำกินเองที่บ้าน’

ข้อมูลจากเหม่ยถวน ระบุว่า ปริมาณการค้นหาคำว่า “หม้อไฟไทย” และ “ต้มยำกุ้งหม้อไฟ” บนแอปพลิเคชันสั่งอาหารในอวิ๋นหนานเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่เข้าสู่เดือนธันวาคม โดยการค้นหาคำว่า “หม้อไฟไทย” เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.4 ส่วนคำว่า “ต้มยำกุ้งหม้อไฟ” เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 912.7

ด้านจำนวนร้านอาหารที่มีเมนูหม้อไฟไทยบนแพลตฟอร์มของเหม่ยถวน เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5 ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 170.4 และยอดการซื้อขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 68.6

‘จีน’ เดินหน้าสร้าง ‘ศูนย์ข้อมูลใต้ทะเล’ แห่งแรกของโลก ชี้!! ประหยัดพลังงาน-ประสิทธิภาพสูง-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อไม่นานนี้ จีนปล่อย ‘คลังข้อมูลใต้ทะเล’ น้ำหนัก 1,300 ตัน ที่ทะเลลึก 35 เมตร บริเวณน่านน้ำเกาะไหหลำ ซึ่งในอีกไม่นานที่นี่จะสร้าง ‘ศูนย์ข้อมูลใต้ทะเล’ แห่งแรกของโลก

‘คลังข้อมูลใต้ทะเล’ ที่กำลังติดตั้งในครั้งนี้ มิเพียงแต่สะสมข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้น ทั้งยังเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใต้ท้องทะเล พลังการคำนวณเท่ากับคอมพิวเตอร์ทั่วไปจำนวน 60,000 เครื่อง ที่ทำงานออนไลน์ในเวลาเดียวกัน สามารถจัดการถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงได้มากกว่า 4 ล้านภาพใน 30 วินาที

หลังโครงการศูนย์ข้อมูลเชิงพาณิชย์ใต้ทะเลแห่งแรกของโลกสร้างแล้วเสร็จ เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลภาคพื้นดินแบบดั้งเดิมที่มีขนาดเท่ากัน จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้รวม 122 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ประหยัดพื้นที่ 68,000 ตารางเมตร และประหยัดน้ำจืด 105,000 ตันต่อปี 

แนวคิดอันสร้างสรรค์ของวิศวกรจีนนี้ กำลังนำพาจีนก้าวไปสู่ประเทศทันสมัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแห่งอนาคต

สื่อสหรัฐฯ เผย ‘สี จิ้นผิง’ บอก ‘ไบเดน’ ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเข้ากับจีนแน่นอน ไม่สนการแทรกแซงจากภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 สำนักข่าว NBC News ของสหรัฐฯ อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวของเจ้าหน้าที่ ซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ของจีน ได้กล่าวต่อหน้าประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมาระหว่างการประชุมซัมมิตที่ซานฟรานซิสโก ว่า ปักกิ่งจะรวมไต้หวันเป็นหนึ่งเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่แน่นอน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำเมื่อไหร่

สี จิ้นผิง ยังกล่าวในที่ประชุมหารือซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ และจีนนั่งอยู่ด้วยกว่า 10 คน ว่า รัฐบาลจีนต้องการที่จะรวมชาติกับไต้หวัน ‘ด้วยสันติวิธี’ มากกว่าใช้กำลัง

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน และอดีตเจ้าหน้าที่อีก 1 คน ซึ่งได้รับทราบเนื้อหาของการประชุม ยังบอกด้วยว่า สี จิ้นผิง อ้างถึงเรื่องที่นายพลระดับสูงของอเมริกาบางคนออกมาทำนาย ว่าเขามีแผนจะยึดไต้หวันภายในปี 2025 หรือ 2027 โดยเขายืนยันกับไบเดนว่า คนเหล่านั้นคาดการณ์ ‘ผิด’ เพราะเขายังไม่เคยกำหนดกรอบเวลาเรื่องนี้มาก่อน

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่จีนยังร้องขอก่อนการประชุมให้ ไบเดน ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณชนภายหลังการประชุมว่า “สหรัฐฯ สนับสนุนเป้าหมายของจีน ในการรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ และไม่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน” ทว่าทำเนียบขาวปฏิเสธข้อเรียกร้องนี้

โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

คำเตือนที่ สี จิ้นผิง กล่าวกับ ไบเดน เป็นการส่วนตัวนั้น แม้จะไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผู้นำจีนเคยพูดต่อสาธารณชนมาแล้วหลายครั้ง เรื่องการรวมชาติกับไต้หวัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เห็นว่าไม่ธรรมดา เพราะมีขึ้นในช่วงที่จีนหันมาใช้นโยบายก้าวร้าวกับไทเปมากขึ้น อีกทั้งไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน ม.ค. ปี 2024 ด้วย

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกตีแผ่ออกมาในช่วงแรกๆ ‘สว.ลินด์เซย์ เกรแฮม’ จากพรรครีพับลิกัน ถึงขั้นออกคำแถลงเรียกร้องให้สมาชิกพรรครีพับลิกัน และเดโมแครตร่วมมือกันป้องปรามจีน

“เรื่องที่รายงานนี้มันยิ่งกว่าน่ากังวล” เกรแฮม กล่าว “ผมจะร่วมมือกับ สว.ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตเพื่อทำ 2 เรื่องให้เร็วที่สุด หนึ่งคือมอบการสนับสนุนด้านความมั่นคงให้ไต้หวัน และสองคือจัดทำร่างมาตรการคว่ำบาตรเพื่อลงโทษจีน หากพวกเขาเริ่มลงมือยึดเกาะไต้หวัน”

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งทราบรายละเอียดการหารือระบุว่า คำพูดของ สี จิ้นผิง แม้ตรงไปตรงมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ

“สำนวนภาษาของเขาไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เคยพูดมาแล้ว เขาจริงจังเรื่องไต้หวันเสมอ และมีจุดยืนแข็งกร้าวเรื่องนี้มาโดยตลอด” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งบอก

ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปีที่แล้ว สี จิ้นผิง ประกาศชัดเจนว่าจีนจะส่งทหารบุกไต้หวัน หากไทเปกล้าประกาศเอกราชโดยมีต่างชาติให้การสนับสนุน พร้อมย้ำว่าคำขู่ใช้กำลังของจีนนั้นมุ่งป้องปราม “การแทรกแซงจากขั้วอำนาจภายนอก และพวกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่กี่คน” ที่ต้องการให้ไต้หวันเป็นประเทศอิสระ
 

‘สาธารณรัฐเช็ก’ ช็อก!! กราดยิงที่ ‘ม.ชาร์ลส์’ ในกรุงปราก ดับ 15 ราย นับเป็นการก่อเหตุที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 66 เกิดเหตุนักศึกษาชาวเช็กวัย 24 ปีรายหนึ่ง ได้ก่อเหตุกราดยิงที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์ ในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก สังหารผู้คนไปมากกว่า 15 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 24 ราย

โดย ‘มาร์ติน วอนดราเซก’ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งสาธารณรัฐเช็ก ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “เมื่อเวลา 13.59 นาฬิกา (ตามเวลาท้องถิ่น – ประมาณ 19.59 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งข้อมูลเบื้องต้น เกี่ยวกับเหตุกราดยิงในอาคารคณะอักษรศาสตร์ ที่จัตุรัสปาลัค หน่วยตำรวจชุดแรกไปถึงภายในไม่กี่นาที 

ขณะที่หน่วยตอบโต้ฉุกเฉินไปถึงภายใน 12 นาที ต่อมาในเวลา 14.20 นาฬิกา (ประมาณ 20.20 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย) เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติการบอกเราว่า พบร่างของมือปืนที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่บนขอบอาคาร การเสียชีวิตของมือปืนอาจเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนด้วยว่า เขาอาจถูกกระสุนปืนของตำรวจสังหารหรือไม่”

วอนดราเซก กล่าวต่อว่า “เรามีข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันล่าสุดจากบัญชีบนโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า เขาน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในรัสเซีย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยมือปืนรายนี้ เป็นเจ้าของอาวุธปืนหลายกระบอกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ มือปืนยังตกเป็นต้องสงสัยว่า ฆ่าพ่อของตัวเองที่เมืองกลัดโน ก่อนที่จะเดินทางต่อมายังกรุงปราก”

สำหรับเหตุกราดยิงครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐเช็ก โดยก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2019 มือปืนวัย 42 ปีได้กราดยิงผู้คน 6 รายในโรงพยาบาลของเมืองออสตราวา ทางตะวันออกของเช็ก ก่อนที่จะหลบหนีและยิงตัวเองเสียชีวิต 

ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญของเช็กจะรับประกันสิทธิในการพกพาอาวุธ และใช้เพื่อป้องกันตัว แต่อาชญากรรมเกี่ยวกับปืนก็เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และสาธารณรัฐเช็กก็มีสถิติการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนประจำปี น้อยกว่าฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์อีกด้วย

‘คิม จองอึน’ กร้าว!! หากศัตรูยั่วยุ “พร้อมเปิดศึกบุกอย่างไม่ลังเล” ขู่!! กองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ระวังจะเป็น ‘เป้าหมายแรก’

(21 ธ.ค. 66) เอเอฟพี รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เตือนว่า เกาหลีเหนือไม่ลังเลที่จะเปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ หากถูกยั่วยุด้วยนิวเคลียร์

ความคิดเห็นของนายคิมเกิดขึ้นหลังจากเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาหารือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์ในกรณีที่เกิดข้อขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ

พร้อมย้ำว่า การโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ใดๆ ก็ตามต่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ จะส่งผลให้ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือสิ้นสุดลง แต่นายคิมสั่งการกับหน่วยงานด้านขีปนาวุธของกองทัพเกาหลีเหนือว่า “อย่าลังเลเลยที่จะ (ยิง) นิวเคลียร์เมื่อศัตรูยั่วยุด้วยนิวเคลียร์”

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาโดยเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “หยุดดำเนินการยั่วยุเพิ่มเติม และยอมรับข้อเรียกร้องของเราให้มีส่วนร่วมในการเจรจาที่สำคัญโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”

ก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ประเทศได้เพิ่มความร่วมมือด้านกลาโหม หลังจากเกาหลีเหนือเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธต่อเนื่อง และเมื่อวันอังคารที่ 19 ธ.ค.ผ่านมา ได้เปิดใช้งานระบบแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ฮวาซอง-18 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐฯ จอดเทียบท่าเรือในเมืองปูซานของเกาหลีใต้ ภายหลังสหรัฐฯ เพิ่งส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปร่วมฝึกซ้อมกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น

ส่งผลให้เกาหลีเหนือไม่พอใจและย้ำว่า คาบสมุทรเกาหลีอยู่ในภาวะสงครามตามกฎหมาย และกล่าวว่า กองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้จะเป็นเป้าหมายแรกของการทำลายล้าง

‘จีน’ เผย ‘ท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา’ เทรนด์ตลาดเกิดใหม่มาแรง ชู ‘การท่องเที่ยว-ภูมิอากาศ-ภูมิทัศน์-วัฒนธรรม’ ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ

(21 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, เจิ้งโจว รายงานจากสถาบันพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาในจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องช่วงไม่กี่ปีมานี้ และจะรักษาแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็วในปีต่อๆ ไป จนเกิดเป็นตลาดการท่องเที่ยวเกิดใหม่

รายงานว่า ด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาจากสถาบันฯ ที่เผยแพร่ในการประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน ครั้งที่ 2 ระยะ 2 วัน เผยว่า การพัฒนาที่รวดเร็วของการท่องเที่ยวดังกล่าวในจีน มีปัจจัยหลักมาจากการแสวงหาประสบการณ์ด้านอุตุนิยมวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ที่เพิ่มขึ้นของประชาชน รวมถึงนวัตกรรมและการยกระดับอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยว

รายงานที่เผยแพร่ในการประชุมฯ ซึ่งปิดฉากลงเมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในมณฑลเหอหนานทางตอนกลางของจีน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมบริการเชิงอุตุนิยมวิทยาของจีนจะมีมูลค่าสูงกว่า 3 แสนล้านหยวน (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025

‘ชวีหย่า’ เลขาธิการสมาคมอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน กล่าวว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม พายุฝนฟ้าคะนองที่งดงาม ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว น้ำแข็งและหิมะ น้ำค้างแข็ง และป่าฝนล้วนเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา

อนึ่ง ทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงอุตุนิยมวิทยา แบ่งแบบกว้างออกเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่

1.) ทรัพยากรภูมิทัศน์และสภาพอากาศ อาทิ เมฆ ฝน หิมะ แสงสว่าง และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่พบได้ยาก

2.) ทรัพยากรภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม อาทิ การรักษาสุขภาพ ประสบการณ์ และวัตถุโบราณภูมิอากาศบรรพกาลที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ

3.) ทรัพยากรเชิงอุตุนิยมวิทยาแนวมนุษยนิยม อาทิ อุตุนิยมวิทยาและประวัติศาสตร์ ภูมิทัศน์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น

‘นาซา’ เปิดภาพ ‘ต้นคริสต์มาส’ แห่งเอกภพ อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2,500 ปีแสง

(21 ธ.ค.66) นาซา เปิดเผยภาพใหม่ของ NGC 2264 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘คลัสเตอร์ต้นคริสต์มาส’ ที่แสดงรูปร่างต้นไม้ในจักรวาล พร้อมแสงดาวฤกษ์ เพื่อต้อนรับเทศกาลปลายปี

NGC 2264 เป็นคลัสเตอร์ดาวอายุน้อย มีอายุระหว่าง 1-5 ล้านปีในทางช้างเผือก อยู่ห่างจากโลกประมาณ 2,500 ปีแสง ดาวฤกษ์ใน NGC 2264 มีทั้งเล็กและใหญ่กว่าดวงอาทิตย์

ภาพส่วนประกอบใหม่นี้ เพิ่มความคล้ายคลึงกับต้นคริสต์มาส ด้วยการเลือกสีและการหมุนแสงสีน้ำเงินและสีขาว เป็นดาวฤกษ์อายุน้อยที่ปล่อยรังสีเอกซ์ ที่ตรวจพบโดยหอดูดาวจันทราเอ็กซเรย์ ของนาซา

NARIT เคยเปิดเผยไว้ว่า NGC 2264 เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของเนบิวลาแบบเรืองแสง (Emission Nebula) ขนาดใหญ่ และกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นกระจุกดาวอายุน้อยและมีความ สว่างมาก อยู่ในกลุ่มดาวยูนิคอร์น (Monoceros) ห่างจากโลกประมาณ 2,600 ปีแสง ลักษณะการเรียงตัวของกระจุกดาวเป็นรูปสามเหลี่ยม คล้ายกับต้นคริสต์มาส จึงเรียกว่า Christmas Tree Cluster

จุดเด่นของ NGC 2264 คือ บริเวณกลางภาพมีดาวฤกษ์เกาะกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ เรียกว่า ‘กระจุกดาวเปิด’ มีดาวสว่างสีฟ้าและสีขาวเรียงตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายต้นคริสต์มาส จึงมีชื่อเรียกว่า ‘กระจุกดาวต้นคริสต์มาส (Christmas Tree Cluster)’ ด้านบนมีกลุ่มแก๊สรูปร่างคล้ายกรวย มีชื่อว่า ‘เนบิวลากรวย (Cone Nebula)’ มีดาวสว่างเด่นบนเนบิวลากรวยเป็นยอดของต้นคริสต์มาส

ส่วนของเนบิวลากรวย และบริเวณโดยรอบกระจุกดาวคือก้อนแก๊สไฮโดรเจนขนาดใหญ่ เฉพาะส่วนที่เป็นรูปกรวยคือก้อนแก๊สและฝุ่นในอวกาศที่มีอุณหภูมิต่ำ แก๊สและฝุ่นเหล่านี้ดูดซับแสงเรืองของดวงดาว และเนบิวลาที่อยู่ฉากหลังจึงมองเห็นเป็นสีคล้ำกว่า

‘หญิงเกาหลีใต้’ วัย 44 รับเพื่อนสนิทเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ เพื่อให้ได้สิทธิ์ตัดสินใจยามเจ็บป่วยฉุกเฉิน อย่างถูกต้องตามกม.

(20 ธ.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หญิงชาวเกาหลีใต้รับเลี้ยงเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ใหญ่ของเธออย่างถูกกฎหมาย หลังจากเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ทำให้เธอตระหนักว่า พวกเขาต้องการความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นในการดูแลกันและกัน

อึน ซอรัน วัย 44 ปี เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีพ่อของเธอเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และแม่ของเธอถูกมอบหมายให้รับหน้าที่เป็นแม่บ้าน แถมแม่ยังต้องดูแลครอบครัวของพ่อ แต่ไม่เคยได้รับความดีความชอบหรือคำขอบคุณจากคู่สมรสของเธอแม้แต่น้อย

แต่แม่พยายามให้ซอรันได้เดินตามเส้นทางอื่นในชีวิต แม่ไม่เคยให้เธอเข้าครัวเลยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และมักจะบอกเธอเสมอว่าให้รักษาอิสรภาพไว้ แม่มักพูดว่า “อย่าใช้ชีวิตเหมือนแม่” อึนซอรันสาบานว่าจะไม่เหมือนแม่และตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานหรือมีลูก จนถึงทุกวันนี้

ด้วยความเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าในปี 2016 เธอย้ายไปอยู่ชนบทจอลลาเพื่อหลีกหนีจากความเครียดของชีวิตในเมืองและใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น อึนซอรันได้พบกับอีออรี หญิงสาวที่มีความคิดเหมือนกัน ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นั่นด้วยเหตุผลที่คล้ายกันมาก

ทั้งคู่จึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีและภายในหนึ่งปีพวกเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มีความรักในพืชพรรณ การทำอาหารมังสวิรัติ และโปรเจกต์ DIY รวมถึงทั้งคู่ต่างก็เป็นโสดอย่างมีความสุข ไม่กี่ปีต่อมา เมื่อข้อตกลงดำเนินไปได้ด้วยดี พวกเขาจึงตัดสินใจซื้ออพาร์ตเมนต์ด้วยกันเพื่อลดความไม่มั่นคงในการใช้ชีวิตตามลำพัง

ซึ่งการย้ายมาอยู่ด้วยกันทำให้ทั้งคู่มีคนคอยดูแลในวัยชราหรือในกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ แต่ทั้งคู่เผยว่า พวกเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เหมือนครอบครัวมากกว่า

ทั้งคู่เริ่มแบ่งปันค่าใช้จ่าย ทำงานบ้าน และแม้กระทั่งเป็นเจ้าของบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่าในบางสถานการณ์ พวกเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน โดยก่อนหน้าเมื่ออึนซอรันต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากอาการปวดหัวเรื้อรัง

เธอตระหนักว่ากฎหมายของเกาหลีใต้อนุญาตให้เฉพาะสมาชิกในครอบครัวทำการตัดสินใจที่สำคัญเพื่อผู้ป่วย หรือแม้แต่ไปเยี่ยมพวกเขาในโรงพยาบาลเท่านั้นจึงทำให้พวกเธอสงสัยว่า แผนการดูแลกันและกันจะเป็นอย่างไร

ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันภายใต้กฎหมายครอบครัวที่เข้มงวดของเกาหลีใต้ ในตอนแรก ทั้งสองใคร่ครวญถึงความคิดที่จะแกล้งทำเป็นความสัมพันธ์โรแมนติกเพื่อที่พวกเขาจะได้แต่งงานกัน แต่เกาหลีใต้ไม่ยอมรับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นจนเกิดไอเดียรับบุตรบุญธรรมแทน

อึนซอรันทำการพิสูจน์ว่า เธอมีอายุมากกว่าอีออรีที่อายุ 38 ปี โดยได้รับการอนุมัติจากแม่ของออรี เมื่อส่งเอกสารแล้ว กระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น

“สิ่งที่เราต้องการคือ สิ่งง่าย ๆ เช่น การดูแลซึ่งกันและกัน การลางานเพื่อดูแลคนใดคนหนึ่งเมื่ออีกคนป่วย หรือจัดงานศพเมื่อเราคนหนึ่งจากไป แต่นั่นไม่สามารถทำได้ในเกาหลี เว้นแต่เราจะเป็นครอบครัวที่ถูกกฎหมาย” อึนซอรัน กล่าว

เรื่องราวของหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ที่กลายมาเป็นแม่ของเพื่อนสนิทของเธอแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเป็นแรงบันดาลใจให้อึนซอรันเขียนบันทึกความทรงจำชื่อ ‘I Adopted a Friend’

‘มาเลเซีย’ ประกาศแบนเรือสินค้า ‘อิสราเอล’ ไม่ให้จอดเทียบท่า โต้ถล่มกาซา-ชาวปาเลสไตน์ มั่นใจการค้าของประเทศไม่กระทบ

(20 ธ.ค.66) ประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศแบนไม่ให้เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอิสราเอลจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของมาเลเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้การที่อิสราเอลทำการโจมตีใส่ฉนวนกาซาและชาวปาเลสไตน์ ซึ่งมาเลเซียกล่าวว่าเป็นการเพิกเฉยต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ระบุในแถลงการณ์ว่า “รัฐบาลมาเลเซียได้ตัดสินใจที่จะขัดขวางและไม่อนุญาตให้ ZIM บริษัทขนส่งสินค้าที่มีฐานการดำเนินงานในประเทศอิสราเอล จอดเรือเทียบท่าที่ท่าเรือใดก็ตามของมาเลเซีย” รวมถึงไม่อนุญาตให้เรือลำใดก็ตามที่ติดธงอิสราเอลเข้ามาจอดเทียบท่าในประเทศเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว มาเลเซียยังได้แบนไม่ให้เรือลำใดก็ตามที่กำลังเดินทางไปยังอิสราเอล ทำการลงสินค้าที่ท่าเรือของมาเลเซียโดยมีผลในทันที ด้านนายกรัฐมนตรีอิบราฮิมของมาเลเซียมั่นใจว่าการค้าของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจดังกล่าว โดยมาเลเซียไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลมาเลเซียได้อนุญาตให้บริษัท ZIM สามารถนำเรือมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของมาเลเซียได้ในปี 2002 แต่ใบอนุญาตดังกล่าวก็ได้ถูกเพิกถอนออกไปแล้วตามแถลงการณ์ล่าสุดของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

ใหญ่แค่ไหน ก็เด้งได้!! ประธานบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดนไล่ออก โทษฐาน 'ไล่กอดสาว' หลังเมาแอ๋ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัท

‘ญี่ปุ่น’ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียม มารยาท และ การวางตัวที่เหมาะสมในสังคมมาก เพราะบุคลากรทุกระดับ ถือเป็นภาพลักษณ์ขององค์กร 

ยิ่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ยิ่งต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก ต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่พนักงานระดับล่างขององค์กร มิฉะนั้นแล้ว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่จบแค่โดนติฉินนินทา แต่มีสิทธิ์ถูกปลดจากตำแหน่งฟ้าผ่า แบบไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย 

เช่นเดียวกับกรณีของ นายไซโต้ ทาเคชิ ประธานใหญ่บริษัท ENEOS บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่น วันนี้ถูกปลดจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสาเหตุแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อหน้าธารกำนัลในบริษัท 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในบริษัท ที่นอกเหนือจากไซโต้ ทาเคชิ ในตำแหน่งประธานใหญ่ ก็ยังมีรองประธานอีก 2 คน คือ นายยาตาเบะ ยาสุชิ และ นายซุนากะ โคทาโร่ ร่วมในงานเลี้ยงด้วย 

หลังจากจบงานเลี้ยงไปไม่นาน ก็มีจดหมายร้องเรียนจากคนในบริษัทถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของประธานใหญ่ ไซโต้ ทาเคชิ ที่ดื่มเหล้าจนเมาหนักในงาน จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และไล่กอดหญิงสาวอย่างรุ่มร่ามในงานเลี้ยง 

เมื่อมีข้อครหา ทาง ENEOS ก็ไม่นิ่งนอนใจ ได้ส่งทีมทนายจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่า ไซโต้ ทาเคชิ ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่อาจรับได้ จนนำไปสู่การสั่งปลดประธานใหญ่ของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในวันนี้ และยังตัดเงินบำเหน็จบางส่วนของเขาด้วย 

ส่วนรองประธานอีก 2 คนที่อยู่ในงานเลี้ยงเดียวกันอย่าง ซุนากะ โคทาโร่ ถูกตัดเงินเดือน และ ยาตาเบะ ยาสุชิ ขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเช่นกัน

ไซโต้ ทาเคชิ ประธานบริษัทที่อื้อฉาวคนล่าสุดของ ENEOS เข้าทำงานในบริษัทมานานตั้งแต่ปี 1986 จนสามารถเลื่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทได้ในปี 2022 ซึ่งเขาได้เข้ามาแทนอดีตประธานบริษัทคนก่อนหน้าที่ต้องลาออกไปเพราะช่าวอื้อฉาวเช่นกัน 

สำหรับ ENEOS เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมญี่ปุ่นอย่างหนักจากข่าวการคุกคามทางเพศ และทำร้ายร่างกายสาวบาร์แห่งหนึ่งในจังหวัดโอกินาวา ของนาย สุกิโมริ ทสึโตมุ อดีต CEO ของบริษัทเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบมาก่อน 

นั่นจึงทำให้ ENEOS กลายเป็นบริษัทที่มีข่าวอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามทางเพศของผู้บริหารระดับสูงสุดถึง 2 ปีติดต่อกัน และทำให้บริษัทต้องส่งตัวแทนผู้บริหารออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านสื่อมวลชน และให้คำมั่นสัญญาในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ ธรรมาภิบาลภายในองค์กรเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก 

ส่วนตำแหน่งประธานบริษัทที่ว่างอยู่ในขณะนี้ มีการแต่งตั้งให้ นายมิยาตะ โทโมฮิเดะ รองประธานฝ่ายบริหารรักษาการณ์ชั่วคราวไปก่อน จนกว่าจะมีการประชุมภายในเพื่อคัดเลือกทีมผู้บริหารคนใหม่ในวันที่ 1 เมษายนปีหน้า 

จากกรณีของ ENEOS ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสังคมญี่ปุ่นจริงจังกับมาตรฐานจริยธรรมของผู้บริหารมาก และลงดาบให้เห็นจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดระเบียบสังคมของชาวญี่ปุ่น ให้เป็นที่ชื่นชม และน่าเอาเป็นแบบอย่างในบ้านเราบ้าง

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top