Monday, 7 July 2025
WORLD

ระบบการศึกษาเวียดนาม ความคล้ายคลึงที่อาจไม่ต่างจากไทย เน้นสอนให้ท่องจำไว้ เพื่อดันผลคะแนนสอบ PISA ให้ได้สูงๆ

(8 ธ.ค.66) จากเพจ ‘Mr Strategist’ ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ ‘เด็กเวียดนามเรียนเก่งกว่าไทยจริงไหม?’ ความว่า...

เด็กเวียดนามเรียนเก่งกว่าไทยจริงไหม? วัดกันยากครับ ผมเคยไปพูดคุยกับคณะทำงานของฝั่งเวียดนาม เจ้าหน้าที่ระดับล่างและระดับกลางบ้านเขาก็ไม่ได้พูดอังกฤษเก่งนะ (จากการประเมินของผม)

ภาษาอังกฤษเขาก็ติดสำเนียงท้องถิ่น พูดแบบไม่แม่นแกรมม่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่เขาดูมีความพยายามมากๆ ในการพูด ถามว่าการแข่งขันเขาสูงไหม สูงมากครับ

สูงไม่ต่างจากจีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น เขาแข่งกัน ในแบบที่บ้านครอบครัวเด็กยากจนยังวิ่งหาเงิน เพื่อจ่ายค่าติวเตอร์/ส่งลูกเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนน่ะ…

เรื่องคะแนนคณิตศาสตร์เนี่ย แน่นอน พูดกันในเรื่องการออกแบบหลักสูตรแล้ว มันไม่ค่อยซับซ้อนอะไรมาก รัฐบาลเวียดนามสั่งกระทรวงศึกษาฯ ไปว่าอยากได้คะแนนสอบ PISA เยอะๆ

ทางโรงเรียนก็ไปเร่งสอน ไปบีบเด็กให้ท่องจำ ไปเน้นอัดความรู้ให้เด็กๆ แค่นี้เองครับ คนแวดวงการศึกษาของเวียดนามเคยเล่าให้ผมฟัง คะแนนคณิตศาสตร์บ้านเขาดี ก็เพราะหลักสูตรมันเน้นอัดทุกอย่างให้เด็กท่องจำไม่ต่างจากบ้านเรา

ดังนั้น ผมว่าแค่คะแนนอะไรพวกนี้มันน่าจะวัดความเก่ง หรือสติปัญญาไม่น่าจะได้ และคะแนนที่เก็บสถิติมามันก็แค่ค่าเฉลี่ย ไม่สะท้อนภาพรวมทั้งประเทศ อย่างมากอาจจะวัดภาพรวมคุณภาพและการบริหารจัดการระบบการศึกษา

(เพราะท้ายที่สุด กลุ่มตัวอย่างที่ดึงให้คะแนนภาพรวมของประเทศขึ้นหรือลง มันคือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ถ้าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการกระจายทรัพยากรการศึกษาที่ดีพอ ทำยังไงคะแนนภาพรวมในประเทศก็ไม่ขึ้นครับ)

แต่จุดเด่นหนึ่งที่เวียดนามเขาดีกว่าเราในตอนนี้คือ บ้านเขาประชากรยังหนุ่มสาวเยอะ มีวัยรุ่นพร้อมเป็นแรงงานราคาถูกมากกว่าประเทศไทย

เขาผลิตเด็กออกไปเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมได้ แต่ไทยเราควรเลิกหวังเรื่องผลิตเด็กออกไปเป็นแรงงานพวก Semi Skilled หรือ Unskilled ได้แล้ว

ค่าแรงบ้านเราแพงครับ ยังไงก็แข่งไม่ได้ โรงงานของบริษัทข้ามชาติยังไงก็ชอบเวียดนามกับอินโดนีเซียมากกว่าบ้านเราในระยะยาว

ยังไงไทยก็ควรปรับ Position ตัวเองให้พร้อมกับการผลิตแรงงานป้อน Service Sector และ IT Sector ที่มันซับซ้อนกว่าแค่การเป็นแรงงานประกอบชิ้นส่วนครับ

‘สภาฯ สูงมะกัน’ โหวตคว่ำร่างงบฯ หนุน ‘ยูเครน-อิสราเอล’ แนะ!! โยกงบฯ ไปดูแลพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก จะดีกว่า

(7 ธ.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐได้โหวตคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินเพื่อมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงครั้งใหม่ให้แก่ประเทศยูเครนและอิสราเอล ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม หลังสมาชิกพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้มีการนำเอางบประมาณดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าเมืองตามพรมแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโกที่รัดกุมยิ่งขึ้น

ร่างงบประมาณที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายบริการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดังกล่าวแบ่งเป็นการมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงให้กับยูเครนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลยูเครน และยังมอบความช่วยเหลือให้กับอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอีก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ร่างงบประมาณนี้ได้รับเสียงสนับสนุนในวุฒิสภาไป 49 ต่อ 51 เสียง น้อยกว่า 60 เสียงที่ต้องการเพื่อเปิดให้มีการอภิปรายร่างงบประมาณในสภา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพยายามของประธานาธิบดีไบเดนที่จะให้มีการมอบความช่วยเหลือครั้งใหม่ก่อนสิ้นปีนี้

สว.ของพรรครีพับลิกันทุกคนโหวตคว่ำร่างงบประมาณมอบความช่วยเหลือชุดใหม่แก่ยูเครนและอิสราเอล เช่นเดียวกับนายเบอร์นี แซนเดอร์ส สว.อิสระที่มักโหวตเห็นชอบกับพรรคเดโมแครตแต่ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณที่ว่านี้ โดยเขาเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการให้งบสนับสนุนยุทธวิธีทางทหารที่ไร้มนุษยธรรมของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในขณะนี้

นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาสูงจากพรรคเดโมแครตก็ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับนี้เช่นกัน เพื่อที่เขาจะสามารถเสนอร่างงบประมาณดังกล่าวได้อีกครั้งในอนาคต โดยภายหลังการโหวต ชูเมอร์ได้กล่าวถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นหากยูเครนพ่ายแพ้สงคราม โดยกล่าวว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าตึงเครียดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปในระยะยาวตลอดช่วงศตวรรษที่ 21 และเสี่ยงที่จะทำให้ระบอบประชาธิปโตยของชาติตะวันตกอาจเสื่อมถอยลง

ขณะที่ฝ่ายพรรครีพับลิกันให้ความเห็นว่าการเพิ่มความรัดกุมให้กับนโยบายการเข้าเมืองและการควบคุมพรมแดนทางตอนใต้ของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ และถึงแม้ร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับดังกล่าวจะผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภา แต่มันจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ซึ่งสมาชิกของรีพับลิกันหลายคน รวมถึงนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาล่าง ไม่เห็นด้วยที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับยูเครนเพิ่ม

‘อังกฤษ’ เมินคำสั่งศาล เตรียมส่งตัวผู้ลี้ภัยไปอยู่ ‘รวันดา’ เชื่อ เป็นประเทศปลอดภัย-น่าอยู่ ยัน!! ไม่ส่งกลับบ้านเกิดแน่

‘อังกฤษ’ เป็นอีกหนึ่งประเทศในทวีปยุโรปที่มีปัญหาเรื่องการรับผู้ลี้ภัยต่างชาติมานาน จนกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในสังคมอย่างมาก ซึ่งชาวอังกฤษแท้ๆ จำนวนไม่น้อยต่างสุดจะทน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย และผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายล้นเมืองโดยด่วน

แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษค้นพบวิธีแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยได้แล้ว ด้วยการส่งผู้อพยพทั้งหมดไปอยู่ ‘ประเทศรวันดา’ ในทวีปแอฟริกาตะวันออกแทน

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 66 ‘เจมส์ เคลฟเวอร์ลี’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ ได้เซ็นข้อตกลงร่วมฉบับใหม่กับรัฐบาลรวันดา ที่มีชื่อว่า ‘UK and Rwanda Migration and Economic Partnership’ หรือรู้จักกันทั่วไปว่า ‘แผนผู้ลี้ภัยรวันดา’ ณ กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเลี่ยงข้อกฏหมายที่ศาลฎีกาอังกฤษได้เคยตัดสินว่า ‘การส่งตัวผู้ลี้ภัยมารวันดาเข้าข่ายผิดกฏหมายระหว่างประเทศ’

ซึ่งข้อตกลงฉบับนี้ระบุว่า รัฐบาลอังกฤษสามารถส่งตัวผู้อพยพ ที่อยู่ในผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือ ‘กลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย’ (Asylum Seeker) ทั้งหมดมาไว้ที่รวันดาก่อนได้ จนกว่าคำร้องขอลี้ภัยจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษ ถึงสามารถเดินทางจากรวันดา กลับมาอังกฤษได้

แต่ถ้าคำร้องถูกปฏิเสธ ผู้ลี้ภัยคนนั้นก็จะต้องอยู่ในรวันดาแทน โดยรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าจะไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไปยังประเทศที่ 3 หรือส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

หลังจากที่บรรลุข้อตกลงเรื่องแผนการย้ายผู้ลี้ภัยแล้ว เจมส์ เคลฟเวอร์ลี กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษพร้อมเดินหน้าส่งตัวกลุ่มผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย หรือผู้แสวงหาที่ลี้ภัย บินข้ามมาที่รวันดาได้ทันที ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป และเขาไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดๆ ในการคัดค้านแผนการย้ายผู้ลี้ภัยของอังกฤษในครั้งนี้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของ ‘นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค’ ที่จะลดจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองของอังกฤษอีกด้วย

แม้ว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาของอังกฤษได้ตัดสินว่า นโยบายส่งตัวผู้ลี้ภัยไปยังรวันดาเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกฏหมายระหว่างประเทศ โดยชี้ประเด็นถึงความเสี่ยงที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาจถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศบ้านเกิดที่พวกเขาหนีมาเพราะภัยสงคราม หรือสภาวะที่ทนทุกข์ทรมาน และตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของประเทศรวันดา

ด้าน เจมส์ เคลฟเวอร์ลี ก็กล่าวหนักแน่นว่า “รัฐบาลรวันดามีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อสิทธิผู้ลี้ภัย และยินดีที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลอังกฤษ ในการรับมือกับปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในระดับสากล”

ในขณะเดียวกัน ‘อเลน มุคุราลินดา’ รองโฆษกรัฐบาลรวันดา กล่าวว่า ทั้งสองประเทศจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ลี้ภัยคนใดถูกส่งตัวกลับประเทศของตนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้คณะทำงานของทั้งสองประเทศต้องผ่านการพิจารณาในสภาอย่างโปร่งใส

และทันทีที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้ว รัฐบาลอังกฤษเตรียมที่จะส่งกลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายชุดแรกหลายพันคนไปที่รวันดา โดยรัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนเงินให้แก่รัฐบาลรวันดาก้อนแรกเป็นเงิน 140 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6140 ล้านบาท) ในการดูแลผู้ลี้ภัยของอังกฤษชุดนี้ จนกว่าผลวีซ่าจะออก

แผนผู้ลี้ภัยรวันดาครั้งนี้ เกิดจากแรงกดดันของชาวอังกฤษให้นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ผู้นำของอังกฤษ ลดจำนวนคนเข้าเมืองที่ทำสถิติสูงสุด 7.45 แสนคน เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา อีกทั้งปัญหาผู้ลี้ภัยที่ลักลอบเข้ามาผ่านทางช่องแคบอังกฤษด้วยเรือลำเล็ก จนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมหลายครั้ง และเพื่อแผนการนี้ รัฐบาลอังกฤษก็ได้เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะระบุให้รวันดาเป็น ‘ประเทศที่ปลอดภัย’ อีกด้วย

อันเนื่องจากประเทศรวันดา เคยเป็นที่รู้จักของชาวโลกจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าทุตซี เมื่อช่วงปี 2537 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 8 แสนคนมาแล้ว แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษออกมาการันตีว่า “รวันดาเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับเดินทางและเริ่มต้นชีวิตใหม่”

แต่สำหรับผู้ลี้ภัยที่ตั้งใจมาอยู่ที่อังกฤษอาจต้องคิดหนัก เพราะสุดท้ายต้องมาจบลงที่แอฟริกาแทน พร้อมตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวจากรัฐบาลอังกฤษบินตรงจากลอนดอนถึงรวันดา และที่พักฟรีระหว่างรอฟังผลวีซ่า

และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นโมเดลนำร่องให้แก่ประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศที่กำลังประสบปัญหาผู้ลี้ภัยล้นเมือง และต้องการลดปริมาณชาวโรบินฮู้ดที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฏหมายก็เป็นได้

‘นักวิจัยจีน’ คิดค้น ‘ขั้วไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาท’  อาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เฟซ ช่วยรักษา ‘โรคสโตรก’ 

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ การศึกษาที่เผยแพร่ผ่านวารสารแอดวานซ์ แมททีเรียลส์ (Advanced Materials) ระบุว่า กลุ่มนักวิจัยของจีนได้พัฒนาขั้วไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาทสมองไฮโดรเจลแบบฝังเข้าไปในร่างกายชนิดใหม่ เพื่อช่วยการฟื้นตัวของหนูทดลองที่ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรก ซึ่งช่วยไขกระจ่างเกี่ยวกับการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เฟซระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์

โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุหลักของภาวะอัมพาตครึ่งซีกและความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเทคโนโลยีดังกล่าวคาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนการควบคุมการยิงสัญญาณของเซลล์ประสาท การทำงานของจุดประสานประสาท และวงจรประสาทสมอง รวมถึงส่งเสริมการฟื้นตัวของเซลล์ประสาทสมองและวงจรเซลล์ประสาทที่เสียหาย

ทีมวิจัยดังกล่าวที่นำโดยจางเฉียง จากสถาบันเคมีประยุกต์ฉางชุน สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน พัฒนาขั้วไฟฟ้าข้างต้นซึ่งสามารถรับข้อมูลเส้นประสาทสมองในจุดกำเนิด และควบคุมเส้นประสาทสมองในระดับเซลล์เดียวได้

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ติดตามข้อมูลของเซลล์ประสาทสมองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ติดต่อกัน และใช้เทคโนโลยีการควบคุมเส้นประสาทด้วยแสง เพื่อควบคุมวงจรประสาทในสมองและการตอบสนองของแขนและขา โดยการควบคุมเซลล์ประสาทที่บาดเจ็บในพื้นที่สมองของหนูทดลองที่ได้รับความเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมอง สามารถลดพื้นที่เนื้อเยื่อสมองขาดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมการฟื้นตัวด้านการเคลื่อนไหว

จางระบุว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างความคืบหน้าในแง่ของการออกแบบขั้วไฟฟ้าตรวจจับเส้นประสาท การติดตามสัญญาณประสาท การควบคุมเส้นประสาท และการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง อีกทั้งมีประโยชน์ในการรับข้อมูลเส้นประสาทสมองและรักษาความผิดปกติของสมอง

สหรัฐฯ อีกแล้ว!! มือปืนบุกยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา เสียชีวิต 3 สาหัส 1 ส่วนมือปืนเสียชีวิตแล้วในที่เกิดเหตุ

(7 ธ.ค. 66) เมื่อวานนี้ ได้เกิดเหตุยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา มีผู้เสียชีวิต 3 คน สาหัสอีก 1 คน ส่วนมือปืนเสียชีวิตแล้วในที่เกิดเหตุ ด้านมหาวิทยาลัยทุกแห่งทั่วเนวาดาปิด ขณะที่สนามบินลาสเวกัสห้ามเครื่องบินขึ้นบิน แม้เหตุการณ์จะสงบแล้วก็ตาม

กรณีดังกล่าว ทางตำรวจยืนยัน มีผู้เสียชีวิต 3 คน เจ็บสาหัส 1 คน จากเหตุกราดยิงในมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา (UNLV) วิทยาเขตเมืองลาสเวกัสเมื่อวันพุธ (6 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่น 

ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เป็นมือปืน ตำรวจยืนยันว่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดการเสียชีวิตของมือปืนและและตัวมือ และยังไม่ระบุชื่อ

ด้านมหาวิทยาลัย UNLV ที่เกิดเหตุ และสถาบันอุดมศึกษาทั่วรัฐเนวาดา ปิดเรียนตลอดบ่ายวานนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ สนามบินนานาชาติแฮร์รี เรดในลาสเวกัส ประกาศระงับเครื่องบินขึ้นบินจากสนามบินแห่งนี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ตำรวจยืนยันเหตุการณ์สงบแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนยังอยู่ในโรงพยาบาล

สำหรับรายละเอียดของเหตุกราดยิง เมื่อเวลาประมาณ 11.53 น. วันพุธ (6 ธันวาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 2.53 น. วันนี้ (7 ธันวาคม) ตามเวลาไทย ตำรวจได้ไปที่มหาวิทยาลัยเนวาดา วิทยาเขตลาสเวกัส 20 นาที หลังได้รับแจ้งเกิดเหตุยิงภายในมหาวิทยาลัย ขณะที่กำลังเกิดการยิงกระสุนหลายนัดใกล้กับอาคารชื่อ บีม ฮอลล์ ในมหาวิทยาลัยดังกล่าว ตำรวจเผชิญหน้ากับมือปืน สุดท้ายมือปืนเสียชีวิตในที่สุด

ก่อนหน้านั้น ทางมหาวิทยาลัยแจ้งนักศึกษาให้อพยพออกจากตึกบีม ฮอลล์ โดยใช้รหัสว่า ‘วิ่ง-ซ่อน-สู้’ (Run-Hide-Fight) เป็นรหัสที่ใช้ในสหรัฐฯ หมายถึงกำลังเกิดเหตุยิงอยู่

ตำรวจลาสเวกัสแถลงหลังเหตุสงบว่า ยังไม่ทราบแรงจูงใจของมือปืน ขณะที่ทาง คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุหลังจากเพิ่งเกิดเหตุว่า ทำเนียบขาวจับตาเหตุการณ์อยู่

‘คิม จองอึน’ น้ำตาแตก!! วอนคุณแม่เกาหลีเหนือปั๊มลูกเพิ่ม หลังอัตราการเกิดน้อยลง ย้ำ!! เป็นหน้าที่ของทุกคน

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) สำนักข่าว The Independent รายงานว่า ‘คิม จองอึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้หลั่งน้ำตาต่อหน้าคุณแม่ชาวเกาหลีเหนือนับพันคน ที่เข้าร่วมงานวันแม่แห่งชาติ ณ กรุงเปียงยาง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังเขาขอให้พวกเธอช่วยเพิ่มประชากรเด็กแรกเกิด เพื่อหยุดการลดลงของอัตราการเกิดของประเทศ

โดยตอนหนึ่ง ‘คิม จองอึน’ ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่ดวงตา แล้วกล่าวกับพวกเธอว่า การเพิ่มอัตราการเกิด การดูแลเด็กที่ดี ตลอดจนงานบ้านเป็นหน้าที่ของคุณแม่ ซึ่งในประเทศเกาหลีเหนือคุณแม่ยังมีงานสังคมที่ต้องเข้าร่วมด้วย นั่นก็คือการเลี้ยงดูลูกให้พวกเขาสืบทอดระบบคอมมิวนิสต์ต่อไป สร้างเสริมความสามัคคีในครอบครัวและสังคม หยุดการลดลงของอัตราการเกิด และดูแลเด็กให้ดี ให้การศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) คาดการณ์ว่า อัตราการเจริญพันธุ์ หรือจำนวนเด็กโดยเฉลี่ยที่เกิดจากผู้หญิงในเกาหลีเหนือ อยู่ที่ 1.8 เท่านั้น ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องรับทศวรรษ ทว่ายังคงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านของเกาหลีเหนือที่มีแนวโน้มลดลงคล้ายกัน เช่นที่ เกาหลีใต้ อัตราการเกิดในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 0.78 และประเทศญี่ปุ่น ที่หยุดอยู่ที่ 1.26

โดยอัตราการเกิดที่ลดลงนี้ ส่งผลให้เกาหลีใต้ขาดแคลนกุมารแพทย์ บางเมืองยังได้จัดอีเวนต์จับคู่ เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิดของประชากรในประเทศด้วย

อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยฮุนได ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ รายงานว่า ประเทศเกาหลีเหนือ มีประชากรประมาณ 25 ล้านคน ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาประสบกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งส่วนมากมาจากการเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้พืชผลเสียหาย กระทบต่อการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว ประกอบกับในช่วงปี 1970-1980 เกาหลีเหนือยังได้กำหนดโครงการคุมกำเนิด เพื่อชะลอการเติบโตของประชากรหลังสงคราม และความอดอยากได้ฆ่าประชากรไปมากกว่าแสนคน

ขณะที่ในปัจจุบันเกาหลีเหนือยังขาดแคลนทรัพยากร และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงอาจเผชิญกับความยากลำบากในการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต หากไม่มีการจัดหาแรงงานที่เพียงพอ

‘ญี่ปุ่น’ ซึ้ง!! ขอบคุณ ‘ไทย’ ช่วยกอบกู้ ‘ธุรกิจใกล้ตาย’ ให้พ้นจากวิกฤติ หลังยอดสั่งสินค้าจากไทยพุ่ง ด้านคนญี่ปุ่นแห่คอมเมนต์ขอบคุณเพียบ!!

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวเอเอ็นเอ็นของญี่ปุ่น ได้มีการเผยแพร่สกู๊ปข่าวเกี่ยวกับ ‘ประเทศไทย’ ที่ได้มีส่วนช่วยกอบกู้ธุรกิจเก่าแก่ที่กำลังใกล้ตายในประเทศญี่ปุ่น ให้พลิกฟื้นจากสภาวะวิกฤติ จนสามารถกลับมารุ่งเรืองขึ้นได้อีกครั้ง โดยทางสำนักข่าวเอเอ็นเอ็น ระบุว่า…

กระแสญี่ปุ่นฟีเวอร์ในไทย ซึ่งมีมานานแล้ว และยังคงบูมอยู่จนถึงทุกวันนี้ กำลังมีส่วนช่วยเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างที่เราไม่เคยคาดคิด นักข่าวของเอเอ็นเอ็นถึงกับบินมาถ่ายทำสกู๊ปนี้ที่เจปาร์ค ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และที่ฮาราจุกุไทยแลนด์ในกรุงเทพฯ ซึ่งตกแต่งสถานที่เหมือนกับอยู่ญี่ปุ่นไม่มีผิด และที่สำคัญคือ มีการนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่ก้าวกระโดดขึ้นมา เพราะวิกฤติโควิด-19 ทำให้คนไทยไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ‘มันหวานญี่ปุ่น’ ที่เมื่อปี 2022 มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2020 เกือบ 2 เท่า จาก 1,000 ตัน เพิ่มเป็นเกือบ 2,000 ตัน หลังจากที่ก่อนหน้าช่วงโควิด-19 เพิ่มขึ้นแค่หลัก 10 ต่อปี

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ตัวเลขนำสินค้าประเภท ‘ชาเขียว’ รวมถึง ‘มัทฉะ’ ที่คนไทยนิยมดื่มกัน ซึ่งเมื่อปี 2022 มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 37.6% จาก 436 ล้านเยน เป็น 638 ล้านเยน

และสินค้าตัวสุดท้าย ที่เจ้าของธุรกิจถึงกับบอกว่า “คนไทยช่วยพวกเขาจาก ‘ภาวะใกล้ตาย’ จริงๆ” คือ สินค้าจำพวก ‘เครื่องเคลือบ’ เจ้าของธุรกิจเครื่องเคลือบในญี่ปุ่นบอกว่า ที่ญี่ปุ่น ธุรกิจเครื่องเคลือบ มีการแข่งขันตัดราคากันหนักมาก จนโรงงานที่เป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กๆ ทำแบบเน้นคุณภาพ แทบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว แต่ยอดออเดอร์จากไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จากบรรดาร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม หรือร้านซูชิโอมากาเสะ ทำให้ภาชนะระดับพรีเมียมของพวกเขา ยังสามารถขายออกได้ (อ้างอิงจากเพจ WA Japan) โดยแค่ยอดขายจากไทยประเทศเดียว ก็ขายได้มากถึง 70 ล้านเยน หรือเกือบ 18 ล้านบาทแล้ว ทำให้จากที่เคยจะต้องปลดพนักงานเหลือแค่ 1 ใน 4 แต่ตอนนี้มีออเดอร์เข้ามาจากประเทศไทยมากจนแทบจะทำกันไม่ทันแล้ว แถมคนไทยยังสนใจพวกเครื่องเคลือบลายพิเศษ ลายใหม่ๆ ลายแบบลิมิเต็ด ทำให้พวกเขากลับมามีไฟในการสร้างสรรค์ผลงานอีกครั้ง

เมื่อมาลองส่องคอมเมนต์ของคลิปสกู๊ปข่าวของสำนักข่าวเอเอ็นเอ็นในยูทูบ ก็ยิ่งทำให้ใจฟูมากขึ้นไปอีก เพราะมีคนญี่ปุ่นมาคอมเมนต์ขอบคุณคนไทยกันเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างท็อปคอมเมนต์ของชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่บอกว่า “ฉันดีใจมากที่มีประเทศที่รักญี่ปุ่นมากขนาดนี้”

ส่วนคอมเมนต์ที่ 2 บอกว่า “ฉันรู้สึกประทับใจที่สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ ไม่ใช่ฝีมือคนญี่ปุ่น แต่เป็นคนไทยทำขึ้นเอง”

อีกคอมเมนต์หนึ่งบอกว่า “มันเจ๋งมากที่คนไทยทำธุรกิจเหล่านี้ ด้วยความเคารพต่อวัฒนธรรมและประเพณีของเราจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ”

ส่วนคอมเมนต์สุดท้ายบอกว่า “ฉันขอไปเที่ยวประเทศที่รักเราแบบนี้ดีกว่าไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน แล้วเจอกันนะคนไทย”

นับว่าเป็นข่าวที่น่าชื่นใจจริงๆ ที่ได้รู้ว่านอกจากประเทศไทยของเรานั้น จะได้ประโยชน์จากการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นแล้ว ฝ่ายไทยเองก็มีส่วนช่วยธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นเหมือนกัน และที่สำคัญคือ มีสื่อที่มองเห็นแง่มุมนี้ และเผยแพร่ออกไปให้คนญี่ปุ่นได้รับรู้ จนทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณ และมองเห็นคุณค่าในประเทศไทยของเรา

‘จีน’ ประกาศเร่งพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี ‘6G’ เดินหน้าขับเคลื่อนการกำหนดมาตรฐานระดับโลก

(6 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ประกาศมาตรการเร่งรัดการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี 6G

จางอวิ๋นหมิง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงฯ ทำงานร่วมกับกลุ่มหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์การพัฒนา เดินหน้าการวิจัยและพัฒนาทางเทคโนโลยี และบ่มเพาะความร่วมมือระดับโลก

กระทรวงฯ ยังอำนวยความสะดวกแก่การจัดตั้งกลุ่มการส่งเสริมไอเอ็มที-2030 (6G) และจัดสรรคลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิรตซ์ สำหรับระบบ 5G และ 6G ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเชิงนโยบาย

นอกจากนั้นกระทรวงฯ จะเสริมสร้างรากฐานการใช้งาน 6G และเกื้อหนุนการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อบ่มเพาะระบบนิเวศ 6G อันแข็งแกร่ง พร้อมขับเคลื่อนการกำหนดมาตรฐาน 6G ระดับโลก

สื่อแฉ!! อดีตนายกฯ อังกฤษ คิดใช้กำลังทหารบุกเนเธอร์แลนด์ หวังยึดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 5 ล้านโดส ในเนเธอร์แลนด์

(6 ธ.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บอริส จอห์นสัน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ร้องขอให้คณะที่ปรึกษาด้านการทหารเตรียมแผนการต่าง ๆ สำหรับจู่โจมโรงงานผลิตวัคซีนโควิด-19 ของเนเธอร์แลนด์ เพื่อยึดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 5 ล้านโดส ท่ามกลางวิกฤตอุปทานวัคซีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไม่เพียงพอ

รายงานของหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ระบุว่า จอห์นสัน มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับสหภาพยุโรป (อียู) หลังบรัสเซลส์ ขู่ว่าจะขัดขวางวัคซีนจากโรงงานแห่งนี้ ที่เตรียมส่งไปยังสหราชอาณาจักร ในเดือนมีนาคม 2021

ในช่วงเวลาดังกล่าว อียู มีปัญหาไม่ลงรอยกับบริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน เกี่ยวกับการแจกจ่ายวัคซีน โดย แอสตร้าเซนเนก้า เปิดเผยว่ามีปัญหาด้านการผลิต นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถส่งมอบสต๊อกวัคซีนให้แก่อียู ได้เพียงแค่ 1 ใน 4 จากแผนที่วางเอาไว้ และปฏิเสธเบี่ยงเสบียงวัคซีนจากโรงงานต่างๆของพวกเขาในสหราชอาณาจักรไปยังอียู

จุดยืนดังกล่าวกระตุ้นให้ บรัสเซลส์ ขู่แบนส่งออกวัคซีนจากดินแดนของพวกเขาเองเป็นการตอบโต้ ซึ่งทาง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อ้างว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันว่า "ยุโรปจะได้รับส่วนแบ่งที่ยุติธรรม"

รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเป็นดังนั้น จอห์นสัน ซึ่งประกาศว่ากลุ่มต่าง ๆ ที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ ในสหราชอาณาจักร จะได้รับวัคซีนครบเข็มในช่วงกลางเดือนเมษายน 2021 จึงร้องขอให้คณะที่ปรึกษาด้านการทหาร เตรียมแผนบังคับยึดวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานในเมืองไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์

"นายกรัฐมนตรีโกรธมาก" แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยกับเดลิเมล์ "เขาสั่งให้พวกเจ้าหน้าที่มองหาทุกทางเลือกสำหรับตอบโต้ และรวมถึงขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงมองหาดูว่า มีหนทางใด ๆ หรือไม่ สำหรับการใช้กำลังและยึดวัคซีนจากเนเธอร์แลนด์ แล้วนำวัคซีนเหล่านั้นมาที่นี่"

เดลิเมล์ อ้างแหล่งข่าวคนที่ 2 ระบุว่า "อียูคงไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า เราได้เจรจาต่อรองข้อตกลงที่ดีกว่ากับแอสตร้าเซนเนก้า มันเท่ากับเป็นการขโมยวัคซีน"

อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวถูกตีตกไป หลังจาก จอห์นสัน ได้รับคำปรึกษาว่าปฏิบัติการด้านการทหารเพื่อยึดวัคซีน จะบ่อนทำลายร้ายแรงต่อความสัมพันธ์กับอียู และเสี่ยงส่งผลกระทบต่ออุปทานวัคซีนจากที่อื่นๆในกลุ่มอียู ในอนาคต" ตามรายงานของเดลิเมล์

คาดหมายว่า จอห์นสัน จะพาดพิงถึงประเด็นพิพาทกับอียูนี้ ครั้งที่เขาให้หลักฐานต่อการสืบสวนโควิด-19 ของอังกฤษในวันพุธ(6ธ.ค.) โดยที่เดอะไทม์ส เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้จะยอมรับว่าตนเอง "ทำผิดพลาดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย" ในการทำหน้าที่ผู้นำของเขาในช่วงโรคระบาดใหญ่ อย่างไรก็ตามเขาเตรียมอ้างเช่นกันว่า มาตรการต่างๆของเขาได้ปกป้องประชาชนหลายแสนชีวิต

‘รองนายกฯ สิงคโปร์’ เตรียมเพิ่ม ‘แรงงาน’ ด้าน AI ขึ้น 3 เท่า หวังใช้ประโยชน์ปัญญาประดิษฐ์ปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.66) สิงคโปร์เตรียมเพิ่มจำนวนผู้ปฏิบัติงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขึ้น 3 เท่าเป็น 15,000 คน ทั้งด้วยการฝึกอบรมคนในท้องถิ่นและว่าจ้างแรงงานจากต่างประเทศ ส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระดับชาติ ด้านเทคโนโลยี

โดย สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าวในงานหนึ่งเมื่อวันจันทร์ (4 ธ.ค.)

“สิงคโปร์เชื่อในศักยภาพระยะยาวของ AI และปณิธานของเราคือการใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI อย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงชีวิตของเรา โดยอาศัยนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรด้านการเรียนรู้ พวกเขาเป็นกระดูกสันหลังของ AI”

ทั้งนี้ แถลงการณ์จากรัฐบาลสิงคโปร์ในวันเดียวกัน ระบุว่า สิงคโปร์ได้วางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ได้รับการปรับปรุง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศที่มีความรับผิดชอบและเชื่อถือได้ ในขณะเดียวกันก็ป้องกันผลกระทบในทางลบหรือการใช้งาน AI ไปในทางที่ผิดด้วย

‘บ.จีน’ ร่วมสร้าง ‘โครงการบ้านจัดสรร’ ในคูเวต ใช้เทคโนโลยีก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

(6 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คูเวตเริ่มต้นการก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรเมืองเซาธ์ ซาอัด อัล-อับดุลลาห์ ซิตี (South Saad Al-Abdullah City) ในเขตผู้ว่าราชการญาห์รา ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ไชน่า เก๋อโจวป้า กรุ๊ป จำกัด (CGGC)

บริษัทฯ สาขาคูเวต ระบุว่าโครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่ราว 64 ตารางกิโลเมตร เพื่อจัดสรรที่อยู่อาศัย จำนวน 21,800 หน่วย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยจะตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนอย่างน้อย 150,000 คน

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะรับผิดชอบงานขุดดินและถมดิน ก่อสร้างถนนระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร และสะพานหลายแห่ง รวมถึงท่อส่งต่าง ๆ ความยาว 975 กิโลเมตร สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ภายใต้สัญญา

หยวนเจิ้น ผู้จัดการบริษัทฯ สาขาคูเวต กล่าวว่าโครงการนี้มุ่งเน้นการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ระบบก่อสร้างอัจฉริยะ ระบบบำบัดน้ำเสียเชิงบูรณาการ แสงสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ และแหล่งกักเก็บน้ำฝน

‘จีน’ ช่วย ‘อียิปต์’ ส่งดาวเทียมสำรวจดวงใหม่ สู่วงโคจรสำเร็จ พัฒนาความร่วมมือเทคโนโลยีการบิน-อวกาศระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, จิ่วเฉวียน รายงานข่าว ‘จีน’ ช่วย ‘อียิปต์’ ส่งดาวเทียมสำรวจระยะไกลขึ้นสู่วงโคจร จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

รายงานระบุว่า ‘ดาวเทียมมิสร์แซท-2’ (MISRSAT-2) ถูกขนส่งด้วยจรวด ‘ลองมาร์ช-2ซี’ (Long March-2C) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เวลา 12.10 น. ตามเวลาปักกิ่ง และจะถูกใช้เพื่อประโยชน์ด้านที่ดินและทรัพยากร การอนุรักษ์น้ำ การเกษตร และอื่นๆ ของอียิปต์

องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เผยว่า ดาวเทียมดวงนี้ เป็นโครงการสำคัญของความร่วมมือเชิงลึกระหว่างจีนและอียิปต์ ในด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศขั้นสูง และถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือด้านการบินและอวกาศระหว่างสองประเทศ

อนึ่ง การส่งดาวเทียมครั้งนี้นับเป็นภารกิจการบินที่ 499 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช โดยมีดาวเทียมสำรวจระยะไกล ‘สตาร์พูล 02-เอ’ (Starpool 02-A) และ ‘สตาร์พูล 02-บี’ (Starpool 02-B) ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในช่วงเวลาเดียวกัน

เจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ ผู้เขย่าสถาบันการเงินเวียดนาม โกงมโหฬาร 4 แสนล้านบาท มหาศาลที่สุดในอาเซียน!!

‘เวียดนาม’ ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังฉุดรั้งเศรษฐกิจของเวียดนาม นั่นก็คือ ‘การคอร์รัปชันในระบบ’

และเมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดคดีอื้อฉาวเขย่าภาพลักษณ์เวียดนามอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดโปงคดีคอร์รัปชัน ยักยอกทรัพย์ในสถาบันการเงินของเวียดนาม ด้วยยอดเงินสูงถึง 1.24 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 4.4 แสนล้านบาท) ทุบสถิติทุกคดีคอร์รัปชันในเคยเกิดขึ้นในย่านอาเซียน ซึ่งมากกว่าคดีอื้อฉาวการยักยอกเงินจากกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ที่มีมูลค่าความเสียหายราว 4 พันล้านเหรียญ ชนิดไม่เห็นฝุ่น

ซึ่งวงเงินมหาศาลนี้ ถูกยักย้ายถ่ายเทโดยเศรษฐินีผู้ทรงอิทธิพลของเวียดนามเพียงคนเดียว และทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี โดยไม่มีใครตรวจสอบจนกระทั่งวันนี้

ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ เกิดจากความฉลาดมากของเจ้าสัวหญิง หรือความฉลาดน้อยของเจ้าหน้าที่รัฐฯ แต่วันนี้ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ออกคำสั่งจับกุม ‘Trương Mỹ Lan’ (เจือง หมี ลาน) อภิมหาเศรษฐินีเวียดนาม ประธานบริษัท Van Thinh Phat Group หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในข้อหายักยอกเงินจากธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) กว่า 1.24 หมื่นล้านเหรียญ มาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี

‘Trương Mỹ Lan’ ถือเป็นนักธุรกิจสาวชาวเวียดนาม เชื้อสายจีน ปัจจุบัน อายุ 67 ปี เคยขึ้นทำเนียบเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเวียดนาม ครอบครัวของเธอประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งร้านอาหาร โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทจดทะเบียนในเครือกว่า 1,000 แห่ง และได้ทำสินเชื่อไว้กับ Saigon Commercial Bank ในวงเงินสูงถึง 4.3 หมื่นล้านเหรียญ 

แต่ทั้งนี้ Trương Mỹ Lan และ บริษัทของเธอเริ่มมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวพันกับการคอร์รัปชัน และให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐฯ หลายครั้ง โดยเริ่มตัังแต่ปี 2014 มีข่าวว่าเธอได้จ่ายสินบนให้แก่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงความมั่งคงสาธารณะถึง 1 ล้านเหรียญ เพื่อขอสิทธิพิเศษในการใช้พื้นที่ท่าเรือแห่งใหม่ในไซง่อน 

ต่อมาปี 2016 ชื่อของเธอ และ ‘Eric Chu Nap Kee’ สามีชาวฮ่องกงของเธอ มีชื่ออยู่ในเอกสาร ‘Panama Paper’ แฟ้มคดีเปิดโปงการฉ้อโกง และหลบเลี่ยงภาษีระดับโลก จากการจดทะเบียนบริษัทแต่ในนามชื่อ ‘EurAsia ID Concept Group’ ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

และเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2022 Trương Mỹ Lan ก็ถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีฉ้อโกง พร้อมกับเหล่าผู้บริหารด้านการเงินของบริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group อีกจำนวนหนึ่ง จากกรณีการออกหุ้นกู้ของบริษัท Van Thinh Phat Group ตั้งแต่ช่วงปี 2008 - 2020 จำนวน 25 ฉบับให้แก่นิติบุคคล และประชาชนทั่วไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการเวียดนามก็ได้ตั้งข้อหาอภิมหาเศรษฐินีแห่งเวียดนามอีกหลายกระทงในข้อหาฉ้อโกง และยักยอกเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank 1.24 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับ GDP ของประเทศเวียดนามถึง 6% และถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในย่านอาเซียน

มหากาพย์การยักยอกเงินจากธนาคารของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2011 เมื่อ Trương Mỹ Lan เริ่มซื้อหุ้นของธนาคารเวียดนาม 3 แห่งมาสะสมไว้ ได้แก่ Saigon Commercial JSC, Vietnam Tin Nghia และ De Nhat ผ่านนอมินีถึง 27 ราย และถือครองในนามของตนเองเพียง 4% ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า “บุคคลธรรมดาสามารถถือหุ้นของธนาคารได้ไม่เกิน 5%”

หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอควบรวมกิจการ 3 ธนาคารเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อธนาคาร ‘Saigon Commercial Bank’ (SCB) โดยรักษาระดับหุ้นในนามตัวเองเพียง 4% แต่หากรวมหุ้นในส่วนที่ถือผ่านนอมินีแล้ว เท่ากับว่า Trương Mỹ Lan ถือหุ้นของ SCB ไว้ถึง 91.5% 

หลังจากนั้น เธอเริ่มใช้อำนาจผ่านหุ้นที่เธอมีแต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ที่ทำให้บริษัทในเครือ Van Thinh Phat Group ของเธอได้วงเกินกู้จากธนาคารอย่างไม่จำกัด และไม่มีการตรวจสอบเอกสารใดๆ แม้กระทั่งการเบิกเงินจากเช็คที่ไม่มีที่มา หรืออนุมัติวงเงินกู้เกินกว่าราคาประเมินโครงการก่อสร้าง หรือออกเงินกู้ให้แก่บริษัทผี ที่จดทะเบียนแต่ในนาม ทั้งในและต่างประเทศหลายแห่ง

ว่ากันว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอต้องการเงินก้อนใหญ่ เธอจะเรียกผู้บริหารระดับสูงออกมาประชุมนอกสำนักงานใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หรือเพียงแค่ต่อสายตรงไปที่ผู้จัดการธนาคาร ก็สามารถกู้เงินฉุกเฉินได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐานใดๆ 

และพบว่า ช่วงปี 2012 - 2022 เธอได้กู้เงินจากธนาคารที่เธอเข้าไปถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นสัดส่วนถึง 93% ของวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยกู้ในช่วงเวลานั้น โดยเธอได้จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเวียดนาม เพื่อให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ กับรายงานบัญชีอันผิดปกติของธนาคาร SCB

แต่แล้วพฤติกรรมของเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ก็ถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง จากผลพวงของแคมเปญกวาดล้างคอร์รัปชันของรัฐบาลเวียดนาม มีการสั่งปลด ลงโทษข้าราชการระดับสูง และคนระดับรัฐมนตรีมากมายในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี Trương Mỹ Lan ด้วยข้อหาคอร์รัปชันและฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนและความหละหลวมของระบบธนาคาร และการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยภาครัฐ จนเกิดความเสียหายหลักแสนล้านบาท แต่ที่เสียหายหนักกว่านั้น คือความศรัทธาต่อสถาบันการเงินทั้งระบบของเวียดนาม ที่อาจต้องชำระและล้างบางเป็นการด่วน

‘จีน’ บริจาค ‘ห้องเรียนอัจฉริยะ’ แห่งที่ 2 ให้ ‘บังกลาเทศ’ หวังส่งเสริมวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีแก่ ‘นร.-นศ.’ ในท้องถิ่น

(4 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตจีนในบังกลาเทศได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแก่บังกลาเทศเป็นแห่งที่ 2 ภายใต้โครงการการพัฒนาผู้มีความรู้ความสามารถมิตรภาพจีน-บังกลาเทศ โดยมีการจัดพิธีเปิดห้องเรียนดังกล่าวที่โรงเรียนมัธยมปลายและวิทยาลัยโซฟีร์ อุดดิน ในเมืองซิลเหต เมื่อวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมา

เหยาเหวิน เอกอัครราชทูตจีนประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า ฝ่ายจีนหวังว่าห้องเรียนอัจฉริยะนี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น พร้อมเรียกร้องนักเรียนนักศึกษาตั้งใจเล่าเรียนเพื่อมีส่วนส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายสมาร์ต บังกลาเทศ (Smart Bangladesh) ตามที่รัฐบาลบังกลาเทศคาดหวัง

ดร. โรชิด อาเหม็ด ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ กล่าวขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตจีนสำหรับการบริจาคห้องเรียนอัจฉริยะนี้ รวมถึงการสนับสนุนฉันมิตรจากประชาชนชาวจีนแก่นักเรียนนักศึกษาของโรงเรียน

รายงานระบุว่า ห้องเรียนอัจฉริยะนี้มีระบบจัดการการเรียนรู้ขั้นสูงด้วยหัวเหว่ย ไอเดียฮับ (Huawei IdeaHub) ซึ่งจะช่วยให้ครูและนักเรียนมีแพลตฟอร์มการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและทางออนไลน์ขั้นสูง โดยหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ (Huawei South Asia) เป็นหุ้นส่วนทางเทคนิคในโครงการนี้

พานจวิ้นเฟิง ประธานหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ และซีอีโอหัวเหว่ยประจำบังกลาเทศ กล่าวว่า หัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้จะเดินหน้าช่วยเหลือการสร้างความเป็นดิจิทัลแก่ภาคการศึกษาของบังกลาเทศต่อไป

อนึ่ง ก่อนหน้านี้สถานเอกอัครราชทูตจีน และหัวเหว่ยประจำภูมิภาคเอเชียใต้ ได้บริจาคห้องเรียนอัจฉริยะแห่งแรกแก่โรงเรียนและวิทยาลัยเทคนิครัฐบาลจันทปุระของบังกลาเทศ เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้

นักเคลื่อนไหว 'แอกเนส โจว' หนีประกันไปเรียนต่อที่แคนาดา  ลั่น!! 'เครียด-ซึมเศร้า' อาจไม่กลับฮ่องกงอีก 'ตลอดชีวิต' 

(4 ธ.ค. 66) แอกเนส โจว (Agnes Chow) หนึ่งในแกนนำนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกง ประกาศว่าตัวเธอเองได้หนีการประกันตัว และเดินทางไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่แคนาดาแล้ว

โจว ถูกศาลฮ่องกงสั่งจำคุก 10 เดือนเมื่อปี 2020 ในความผิดฐานเข้าร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 2021 โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอย่างสม่ำเสมอ

สถานีโทรทัศน์ TVB ของฮ่องกงรายงานวันนี้ (4 ธ.ค.) ว่า ตำรวจฮ่องกงได้แถลง ‘ประณามอย่างรุนแรง’ ต่อการละเมิดเงื่อนไขประกันตัวของ โจว และเรียกร้องให้เธอ ‘อย่าเลือกเดินเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับในการเป็นผู้ลี้ภัยตลอดชีวิต’

ก่อนหน้านั้น โจว ได้โพสต์อินสตาแกรม 2 ครั้งในวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) เพื่อฉลองวันเกิดปีที่ 27 ของเธอ พร้อมเปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองโทรอนโตของแคนาดารับเธอเข้าศึกษาต่อแล้ว และเธอตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกงไปยังแคนาดาเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

โจว เล่าว่าเพื่อที่จะได้หนังสือเดินทางคืน เธอต้องยอมถูกตำรวจ 5 นายคุมตัวไปยังจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเดือน ส.ค. โดยไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา” เธอโพสต์ข้อความ

โจว ถูกนำตัวไปเยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของจีนภายหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก่อนจะถูกพาไปที่สำนักงานใหญ่ของเทนเซนต์ (Tencent) และถูกขอให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย

“ถ้าฉันไม่ออกมาพูดอะไร ภาพถ่ายเหล่านั้นอาจจะถูกใช้เป็นหลักฐานแสดงความรักชาติ (patriotism) ของฉันไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกลัวจริง ๆ” เธอกล่าว

โจว เล่าต่อว่า เมื่อเดินทางกลับถึงฮ่องกงเธอถูกบังคับให้ลงนามในจดหมายแสดงความ ‘สำนึกผิด’ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ‘ขอบคุณ’ ตำรวจที่ช่วยจัดทริปให้เธอได้เดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘การพัฒนาอันแสนยอดเยี่ยมของประเทศบ้านเกิดเมืองนอน’

โจว มีกำหนดต้องเข้ารายงานตัวกับตำรวจอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ธ.ค. เนื่องจากเธอยังคงถูกสอบสวนฐานสมคบคิดต่างชาติบ่อนทำลายความมั่นคงจีน โดยเชื่อมโยงกับคดีของ จิมมี ไล (Jimmy Lai) มหาเศรษฐีและเจ้าพ่อวงการสื่อที่สนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยฮ่องกง

สาวนักเคลื่อนไหวรายนี้บอกว่า เธอได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเกี่ยวกับ ‘สถานการณ์ในฮ่องกง รวมถึงความปลอดภัยและสุขภาพจิตของตัวเอง’ ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่แคนาดา

“บางทีฉันอาจไม่กลับไปฮ่องกงอีกเลยตลอดชีวิต” โจว กล่าว

โจว ยอมรับว่า แรงกดดันจากการถูกดำเนินคดีทำให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (depression) และยังมีอาการของโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder)

แอกเนส โจว เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวฮ่องกงซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุด และถึงขั้นได้รับฉายาว่า ‘มู่หลานตัวจริง’ โดยอ้างอิงกับตำนานวีรสตรีจีน ‘ฮวา มู่หลาน’ ที่ปลอมตัวเป็นชายออกไปจับอาวุธปกป้องครอบครัวและชาติบ้านเมือง

โจว เคยได้รับคัดเลือกจาก BBC ให้เป็นหนึ่งใน 100 ผู้หญิงทรงอิทธิพลของโลกประจำปี 2020

ทางการฮ่องกงยังคงเดินหน้าปราบปรามนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในปี 2019 ซึ่งนำมาสู่การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top