Tuesday, 14 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

4 เคล็ดลับของคุณแม่แดนอาทิตย์อุทัย ที่ทำให้ ‘ญี่ปุ่น’ มีเด็กที่มีสุขภาพดีที่สุดในโลก

(23 ต.ค. 66) ท่ามกลางวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็งที่อุดมด้วยโซเดียม ไขมัน น้ำตาล สารเคมี อันเป็นสาเหตุให้มีเด็ก และเยาวชนทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน เสี่ยงต่อการเป็นโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง แม้อายุยังน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงจะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สวัสดิการความเป็นอยู่ดี มีอาหารการกินสะดวก สบาย แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า เด็กๆ ในประเทศเหล่านี้ จะไม่มีปัญหาในการเลือกรับประทานอาหารการที่สมดุลย์ ถูกหลักโภชนาการแต่อย่างใด และดูเหมือนว่า ยิ่งมีอาหารปรุงแต่งให้เลือกสรรมาก เด็กๆ ยิ่งมีปัญหาสุขภาพ และโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

แต่เมื่อมีการสำรวจโภชนาการเด็กขององค์การ ‘UNICEF’ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในบรรดา 41 ชาติจากสหภาพยุโรป และ กลุ่มประเทศเศรฐกิจชั้นนำในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีเพียง ‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเดียวเท่านั้นที่มีเด็กในอัตราส่วนน้อยกว่า 1 ใน 5 ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาพ่อแม่ชาวตะวันตกอย่างมาก ว่าคุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำอย่างไร ที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเด็กมีสุขภาพดีที่สุดในโลก

ซึ่งพบว่า พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับเพียง 4 ประการ ในการดูแลลูกที่แตกครอบครัวชาวตะวันตกอื่นๆ

1.) ครอบครัวชาวญี่ปุ่นยึดมั่นวิถีการกินอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’
วิถีการรับประทานอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ (食育) คิดค้นโดยนายแพทย์ อิชิสุกะ กาเซ็น เมื่อราวปี 1896 ที่เป็นการสอนหลักด้านโภชนาการของชาวญี่ปุ่น

นายแพทย์อิชิสุกะ ถือเป็นผู้บุกเบิกโภชนาการแนว ‘Macrobiotic diet’ หรือ ‘อาหารมหชีวนะ’ เน้นการบริโภคข้าวเป็นหลัก กับ พืชผักท้องถิ่น พืชทะเล ถั่ว ในสัดส่วนที่สมดุลย์ เหมาะสมต่อร่างกาย ซึ่งในแต่ละมื้อควรประกอบด้วย ข้าวกล้อง 40-60% ผัก 25-30% ถั่ว หรือพืชตระกูลถั่ว 5-10% พืชทะเล หรือสาหร่าย 5-10% และอาหารท้องถิ่นปรุงจากกรรมวิธีธรรมชาติ 5-10% โดยเนื้อสัตว์จะเน้นเป็นปลา หรืออาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่

ประกอบกับการจัดวางเซทอาหารแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘อิชิจู ซันไซ’ (一汁三菜) ที่ต้องประกอบด้วยข้าวสวย 1 ถ้วย ซุปมิโสะ 1 ถ้วย และกับข้าว 3 อย่าง ที่เป็นกับข้าวจานหลัก 1 จาน ที่อาจเป็นปลา ไข่ หรือ เนื้อ กับข้าวจานรอง 1 จาน ที่มักเป็นเต้าหู้ ถั่ว ผักสดท้องถิ่น กับผักดอง 1 ถ้วยเล็ก ใน 1 เซทจะได้สารอาหารครบถ้วนต่อความต้องการของร่างกาย

ซึ่งชาวญี่ปุ่นจริงจังกับการบริโภคอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ อย่างมาก ถึงขั้นตราเป็นกฎหมายพื้นฐานที่ต้องมีหลักสูตรการสอนโภชนาการแนวญี่ปุ่นในระดับโรงเรียน รวมถึงการปรุงอาหาร ถนอมอาหาร และการเพาะปลูกพืชผักท้องถิ่น ให้กับนักเรียนด้วย ที่ทำให้วิถีการกินอยู่แบบญี่ปุ่น ที่เน้นความสมดุลย์ของสารอาหาร จากวัตถุดิบท้องถิ่นถูกปลูกฝังให้แก่เยาวชนของญี่ปุ่นมานานหลายสิบปี จึงส่งผลดีต่อค่าเฉลี่ยสุขภาพของเด็ก และ เยาวชนในประเทศญี่ปุ่น

2.) ส่งเสริมค่านิยมการทำอาหารกินเอง
95% ของโรงเรียนประถม และมัธยมในญี่ปุ่นมีระบบอาหารกลางวันที่ทำขึ้นเองในโรงเรียน ที่มีการคิดเมนูที่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละมื้อ โดยนักโภชนาการอย่างรอบคอบ อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้นักเรียนญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการทำอาหาร มีการผลัดเวรทำหน้าที่บริการเสิร์ฟ แจกอาหารให้กับเพื่อนร่วมชั้น

แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล ผู้ปกครองญี่ปุ่นมักเตรียมข้าวกล่อง ที่เรียกกว่า ‘เบนโตะ’ ให้เด็กไปโรงเรียน ซึ่งครูมักให้เด็กๆ รวมกลุ่มรับประทานข้าวกล่องที่เตรียมมาร่วมกัน มีการพูดคุยเกี่ยวกับข้าวกล่องของนักเรียนแต่ละคน และมีการแลกเปลี่ยน แบ่งปันกับข้าวกับเพื่อน ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการกินอาหารที่ทำเองของชาวญี่ปุ่นที่ให้ประโยชน์ และความสดใหม่มากกว่าอาหารสำเร็จรูป

3.) ชาวญี่ปุ่นวางแผน และเตรียมอาหารล่วงหน้า
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นนิยมเตรียมวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการอาหารให้กับสมาชิกในบ้าน ทั้งผักดอง ผักสด ผลไม้ โปรตีน ที่เตรียมไว้โดยคำนึงถึงคุณค่าโภชนาการแบบ ‘โชคุอิคุ’ เช่นกัน อีกทั้งในบางโรงเรียนยังมีกฏ ห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวที่มีไขมัน น้ำตาลสูง หรือคาเฟอีน เช่น มันฝรั่งทอด คุกกี้ กาแฟ ภายในโรงเรียนด้วย เป็นการจำกัดโอกาสการรับประทานขนมขบเคี้ยวที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเด็ก

4.) ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มน้ำ หรือน้ำชา มากกว่าน้ำอัดลม
นี่อาจเป็นนิสัยการกินดื่มที่ดีอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่เลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำแร่ หรือ ชา มากกว่าน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และเมื่อคนในครอบครัวไม่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำในบ้าน เด็กญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ดื่มน้ำอัดลมตามผู้ปกครองเช่นกัน ซึ่งช่วยลดโอกาสการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มรสหวาน หรือน้ำอัดลมมากเกินไป ที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานแคลอรีส่วนเกินในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุของ ‘โรคอ้วน’ นั่นเอง

และนี่ก็คือเคล็ดลับ 4 ประการของครอบครัวชาวญี่ปุ่น จากการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการวิถีญี่ปุ่น ที่นอกจากจะทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญให้ชาวญีปุ่นมีค่าเฉลี่ยอายุที่แข็งแรง และยืนยาวจนชาวตะวันตกต้องทึ่งกันนั่นเอง 

ส่องจุดยืนนานาชาติต่อสงคราม ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ ภายใต้เสียงแบ่งขั้ว ที่มองทั่วๆ แล้ว มีมากกว่าปัญหาแก่งแย่งดินแดน

(17 ต.ค. 66) มีคำกล่าวว่า ต่อให้เราไม่ยุ่งกับการเมือง เดี๋ยวการเมืองก็จะมายุ่งกับเราเอง เช่นเดียวกันกับสงคราม ที่ต่อให้เราไม่ได้เป็นคนก่อ และไม่ใช่คู่กรณี แต่สุดท้ายก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

ไม่ต่างจากสงครามระหว่างอิสราเอล และ กองกำลังฮามาส ณ ขณะนี้ ที่ทั่วโลกกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และ กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในหลายประเทศ แม้ไม่ได้อยู่เขตพื้นที่สงครามแต่อย่างใด

ซึ่งต้องยอมรับว่าการโจมตีของกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นมา ถือเป็นการโจมตีชุมชนชาวอิสราเอลที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังถือเป็นหนึ่งในเหตุก่อการร้ายช็อกโลกที่สุดครั้งหนึ่งเช่นกัน และทำให้ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ ผู้นำอิสราเอลประกาศภาวะสงครามในอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี และใช้ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ โจมตีฉนวนกาซาอย่างหนัก ทำลายอาคาร บ้านเรือนย่อยยับ และทำให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านพลัดถิ่นกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย

ท่ามกลางวิกฤติสงครามในฉนวนกาซา โลกก็ได้แบ่งขั้วเป็น 2 ฝั่ง โดยชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และอีกกว่า 40 ประเทศออกมาประณามกลุ่มก่อการร้ายฮามาส และสนับสนุนฝ่ายอิสราเอล โดยมองว่าอิสราเอลมีความชอบธรรมตามกฎหมายในการป้องกันตนเอง

แต่ในขณะเดียวกัน โลกมุสลิมในตะวันออกกลาง นำโดย อิหร่าน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต ซีเรีย และอิรัก มองว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีต้นเหตุเกิดจากอิสราเอล ที่สร้างความขัดแย้ง และความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซา มานานนับ 10 ปี รวมถึงการก่อเหตุรุนแรงของทางการอิสราเอลในมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ ‘อัล-อัคซอร์’ และการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาที่ผ่านมา ได้สังหารชีวิตพลเรือนชาวปาเลสไตน์ไปเป็นจำนวนมาก และต้องไม่ลืมว่า การรุกไล่ที่ดิน และครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ของรัฐบาลอิสราเอลเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แต่ทั้งนี้ ก็มีหลายชาติมหาอำนาจที่พยายามชูนโยบายสายกลาง โดยมองว่า ไม่ใช่เวลาที่จะออกมาเลือกข้าง หรือประณามการกระทำของใครว่าเป็นฝ่ายผิดทั้งหมด ซึ่งกลุ่มพันธมิตรสายกลาง นำโดย จีน รัสเซีย ตุรกี กลุ่มประเทศสหภาพแอฟริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความรุนแรงลง เพื่อสามารถถอยกลับไปสู่จุดที่สามารถเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพได้ และยังเชื่อว่า ‘การแก้ปัญหาแบบสองรัฐ’ (Two-state Solution) สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ก็ต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับพลเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

แต่หากมองมาทางฟากฝั่งเอเชียแปซิฟิก ก็จะพบว่าประเทศที่เป็นพันธมิตรอันดีกับสหรัฐอเมริกา มักแสดงท่าทีออกมาประณามกลุ่มฮามาส หรือสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งไทยด้วย แต่ประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ มักเลือกที่จะสนับสนุนปาเลสไตน์ หรือ เลือกนโยบายเป็นกลางที่ประณามความรุนแรงจากทุกฝ่าย อาทิ เกาหลีเหนือ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น

ในขณะที่ ประเทศในโซนอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แสดงท่าทีไปในทางสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน แต่โซนอเมริกาใต้กลับเสียงแตก มีทั้งสนับสนุนอิสราเอล และขอยืนเป็นกลาง หรือประณามความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่มทวีปแอฟริกาค่อนข้างชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงในกาซา และไม่ขอออกตัวประณามกลุ่มฮามาสแต่เพียงฝ่ายเดียวด้วยเช่นกัน

เมื่อทั่วโลกมีความเห็นที่แตกต่างกันชัดเจน 2 กลุ่ม ความรุนแรงในกาซา จะยกระดับไปสู่สงครามตัวแทน หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่?

‘เจเรมี โบเวน’ ผู้สื่อข่าวนานาชาติ ของสำนักข่าว BBC มีความเห็นว่า สงครามครั้งนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นหากมีการแทรกแซงจากองค์กรภายนอก อาทิ อิหร่าน กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน รวมถึง กองทัพสหรัฐฯ เช่นกัน และจำนำความเสียหายใหญ่หลวงมาสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลของชาติในตะวันออกกลางรู้ดี และเชื่อว่าไม่น่าจะชาติใดกล้าแบกรับความเสี่ยงนี้  ดังนั้น การสู้รบในฉนวนกาซาน่าจะถูกจำกัดวงไม่ให้กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มฮามาส ต้องการบรรลุเป้าหมายใดจากการใช้กำลังทหารโจมตีอิสราเอล แม้จะรู้ว่าเป็นการสงครามแบบอสมมาตร

เรื่องนี้ ‘โมฮัมเหม็ด อัล-เดอิฟ’ โฆษกกลุ่มฮามาส เคยออกมาประกาศว่า “ความอดทนสิ้นสุดแล้ว” ดังนั้น เหตุผลหลักของการขับเคลื่อนยุทธวิธีของกลุ่มฮามาส คือ ตอบโต้นโยบายกดขี่ของรัฐบาลอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ ที่สั่งสมเป็นปัญหามานานหลายสิบปี

แต่ทั้งนี้ ‘อับดุลาซิส เซเกอร์’ หัวหน้าศูนย์วิจัย Gulf Research Center แห่งซาอุดีอาระเบีย มองว่า สิ่งที่ถือว่าฮามาสบรรลุเป้าหมายจากสถานการณ์นี้ คือ สามารถเปิดเผยจุดอ่อนด้านความมั่นคงของอิสราเอล และทัศนคติของรัฐบาลอิสราเอลที่มีต่อปาเลสไตน์อย่างหมดเปลือก

อีกทั้งยังทำให้ทั่วโลกหันกลับมามองปัญหาในดินแดนปาเลสไตน์ และถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก แทนที่จะถูกมองเป็นประเด็นรองๆ หรือ ถูกลดทอนความสำคัญโดยสื่อตะวันตกอย่างที่แล้วมา ซึ่งนั่นทำให้ปัญหาด้านสันติภาพในดินแดนแห่งนี้ถูกซุกไว้ใต้พรมที่เขียนด้วยคำสวยหรูว่า “แผนสันติภาพ” มาโดยตลอด

และทำให้วันนี้ มีการขุดคุ้ย ตีแผ่ ไล่เรียง ประวัติศาสตร์เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างชาวอิสราเอล และชาวปาเลสไตน์ กันอย่างกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และมองสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยใจที่เป็นธรรมมากขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกข้าง หรือกล่าวประณามฝ่ายใด

‘หนุ่มมะกัน’ ซ่า!! ขับรถพุ่งชนสถานกงสุลจีน ในซานฟรานซิสโก พร้อมขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน สุดท้ายถูกตำรวจยิงสกัดเหตุจนดับสลด

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 66 เกิดเหตุที่เกือบจะเป็นการก่อการร้ายอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีดาน สีน้ำเงิน พุ่งเข้าไปในสำนักงานสถานกงสุลจีน ในนครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา พร้อมตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนโกลาหลในทั้งสถานกงสุล แต่สุดท้ายไม่รอด คนร้ายถูกตำรวจสหรัฐฯ ยิงสกัด และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

โดยยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของคนร้ายรายนี้ ระบุเพียงว่าเป็นชายคนหนึ่ง ‘แคทริน วินเทอร์ส’ โฆษกสำนักงานตำรวจนครซานฟรานซิสโก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า คนร้ายมีอาวุธเป็นมีด และธนูหน้าไม้เตรียมไว้ในรถ และได้ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนประตูหน้าของสำนักงานสถานกงสุลจีน จนเข้ามาถึงในโถงล็อบบี้ เมื่อช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนมารอคิวยื่นวีซ่าอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังจากนั้น คนร้ายลงจากรถพร้อมอาวุธมีด ตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง จึงตัดสินใจยิงสวน และพาตัวคนร้ายส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 18.30 น. ในวันเดียวกัน

‘เซอร์กี โมลชานอฟ’ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าว่า เขากำลังรอคิวเพื่อยื่นวีซ่าจีน มองเวลาอยู่ที่ 15.05 น. ก็มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนเข้ามาห่างจากจุดที่เขายืนรออยู่เพียง 2 เมตร จากนั้นคนร้ายก็ลงมาจากรถ และตะโกนหาเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เขาไม่เห็นคนร้ายถืออาวุธ แต่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือมีดในมือ ตอนนั้นทุกคนกลัวว่าคนร้ายจะมีปืน จึงรีบหลบหนีออกจากสำนักงานกงสุล ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาและมีเสียงปืนดังภายในอาคาร 2 นัด

สื่อท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก รายงานว่า มีตำรวจอย่างน้อย 11 นาย เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมหน่วยกู้ระเบิด และสุนัขตำรวจ เพราะเกรงว่าจะมีก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ในสถานกงสุล แต่ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซานฟรานซิสโก ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน้อยมาก เพราะเป็นคดีที่มีความซับซ้อน และอ่อนไหวสูง

ด้านกงสุลจีนได้ออกแถลงการณ์ประณามการก่อเหตุโจมตีสถานที่ราชการจีน อีกทั้งยังข่มขู่ หมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน บุกรุก และทำลายทรัพย์สินเสียหาย

‘หวัง เหวินปิน’ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ เร่งสอบสวนคดีการโจมตีสถานกงสุลจีนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งขอให้เพิ่มมาตรการป้องกัน รักษาความปลอดภัยแก่สถานที่ราชการ และบุคลากรของรัฐบาลจีนในสหรัฐฯ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้สถานกงสุลจีนในนครซานฟรานซิสโก ต้องปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งสถานที่ราชการจีนในสหรัฐฯ เริ่มกลายเป็นเป้าหมายในการก่อกวน และโจมตีหลายครั้ง ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ระบาด Covid-19 และการกล่าวโทษของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น ได้สร้างกระแสความเกลียดชังชาวจีนในสังคมคนอเมริกัน ซึ่งสถานกงสุลแห่งนี้ มักมีกลุ่มคนมาเขียนข้อความแสดงความเกลียดชังบนกำแพงอยู่เป็นประจำ และเคยมีกลุ่มผู้ประท้วงกว่า 100 รายมาชุมนุมประท้วงนโยบายปลอด Covid-19 ของรัฐบาลปักกิ่ง

ทั้งนี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีสถานกงสุลจีนครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่ผู้นำสหรัฐฯ อย่าง ‘โจ ไบเดน’ จะมาพบกับ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำของจีน แบบตัวต่อตัว ในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ‘เอเปก’ ที่จะจัดขึ้นในซานฟรานซิสโก ระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แต่ทว่า กำหนดการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้นำจีน ก็ยังคงไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลปักกิ่ง และอาจไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้แต่อย่างใด

‘สหรัฐฯ’ เคลื่อนเรือรบประชิดชายฝั่งเมดิเตอร์ฯ หนุน ‘อิสราเอล’ ด้าน ‘กลุ่มชีอะห์’ เตือน!! พร้อมลุยฐานทัพสหรัฐฯ หากจุ้นกาซา

(9 ต.ค. 66) ‘ลอยด์ ออสติน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เคลื่อนพลกองเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินรบ และอากาศยานอื่นๆ เข้าประชิดชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว เพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธฮามาสในอิสราเอล อันเป็นเหตุให้มีชาวอเมริกัน อย่างน้อย 4 คนเสียชีวิต

‘ลอยด์ ออสติน’ ได้กล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า ได้หารือกับ ‘โจ ไบเดน’ ผู้นำสหรัฐฯ ถึงสถานการณ์ในอิสราเอล และขั้นตอนการยกระดับบทบาทด้านการทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ และในวันนี้ก็มีคำสั่งให้เคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบินรบ USS Gerald R. Ford ที่ได้ชื่อว่าเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเรือรบติดขีปนาวุธ USS Normandy, USS Thomas Hudner, USS Ramage, USS Carney และ USS Roosevelt เข้าประชิดชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งใกล้เขตน่านน้ำของอิสราเอล และบริเวณฉนวนกาซา

ด้านฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับ ‘โยอาฟ แกลลันต์’ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลว่า สหรัฐอเมริกาพร้อมจะสนับสนุนชาวอิสราเอลจากการโจมตีของกลุ่มฮามาส เพื่อคืนความมั่นคง ปลอดภัยให้แก่อิสราเอล ส่วนยุทโธปกรณ์ด้านการรบ จะมีการขนส่งด่วนมาทางเครื่องบินในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างแน่นอน

การเคลื่อนไหวของกลาโหมสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่โจ ไบเดน ได้พูดคุยกับ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันอาทิตย์ (8 ตุลาคม 66) ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้นำอิสราเอลว่า จะส่งความช่วยเหลือถึงกองทัพอิสราเอลในเร็ววันนี้ และเน้นย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่รับฟังข้ออ้างใดๆ สำหรับการก่อการร้าย และทุกประเทศทั่วโลกต้องแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการต่อต้านการใช้อำนาจนิยมที่โหดร้ายเช่นนี้ อีกทั้งจะยกระดับการติดต่อทางการทูตอย่างเข้มข้นระหว่าง 2 ชาติตลอด 24 ชั่วโมง 

‘สหรัฐอเมริกา’ และ ‘อิสราเอล’ ถือเป็นประเทศพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่อิสราเอลหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี นับเป็นประเทศที่ได้รับงบประมาณจากสหรัฐอเมริกามากที่สุดประเทศหนึ่ง 

จึงไม่แปลกใจที่สหรัฐอเมริกาจะแสดงจุดยืนสนับสนุนฝ่ายอิสราเอลอย่างชัดเจน และเตรียมความพร้อมที่จะแทรกแซง หากสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ขยายวงความรุนแรงจนเกินควบคุม 

แต่ทว่า ด้านกลุ่ม ‘Kata'ib Sayyid al-Shuhada’ กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชีอะห์ ในอิรัก ออกมาเตือนว่า หากสหรัฐอเมริกาแทรกแซงสงครามในกาซาเมื่อใด ฐานทัพสหรัฐฯ ทุกแห่งในภูมิภาคแถบตะวันออกกลาง มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีโดยกองกำลังพันธมิตรของปาเลสไตน์ทันที เพราะปาเลสไตน์ ไม่ใช่ยูเครน ที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ เพราะความขัดแย้งในดินแดนปาเลสไตน์ และระบอบไซออนนิสต์ มีความละเอียดอ่อนสูงกว่ามาก 

และการแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังทหาร และการเมืองตามแนวทางของสหรัฐอเมริกา ก็อาจไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก และเกรงว่าจะยิ่งทับถมปมความขัดแย้งที่ยาวนานมากกว่า 75 ปี ให้ฝังลึกในดินแดนแถบนี้ลงไปอีกนั่นเอง

‘ยูเครน’ สร้างโรงเรียนใต้ดิน ดึงการศึกษาคืนเยาวชน กลายเป็นห้องเรียนในหลุมหลบภัยที่แรกของประเทศ

(3 ต.ค. 66) สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กินเวลายาวนานเกือบ 3 ปี ทำวิถีชีวิตของชาวยูเครนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หนีไม่พ้นกลุ่มเด็กเล็กวัยเรียนของยูเครน ที่หลายโรงเรียนจำเป็นต้องหยุดการเรียน การสอน เพราะอยู่ในเขตสู้รบ ในขณะที่อีกหลายแห่งจำเป็นต้องเปิดการสอนผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เด็กๆ ยูเครนต้องจำใจจากบรรยากาศห้องเรียน เสียงกระดาน และฝุ่นชอล์ก เพียงเพราะความขัดแย้งรุนแรงในโลกของผู้ใหญ่

วันนี้ รัฐบาลท้องถิ่นเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจสร้างโรงเรียนใต้ดิน ที่เปิดการเรียน การสอนแบบชั้นเรียนเต็มรูปแบบ ที่มีห้องเรียนมากกว่า 60 ห้อง ที่สามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 1,000 คน นับเป็นโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกของยูเครนอย่างเป็นทางการ

โดยทางการเมืองคาร์คีฟได้ดัดแปลงพื้นที่ภายในสถานีรถไฟใต้ดิน มาปรับสร้างเป็นโรงเรียนที่นักเรียนสามารถเข้ามานั่งเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้จะมีสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศบนภาคพื้นดินก็ตาม 

‘อิฮอร์ เทเลคอฟ’ นายกเทศมนตรีเมืองคาร์คีฟ ได้โพสต์ข้อความลงใน Telegram กล่าวว่า มั่นใจในความปลอดภัยของโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกในคาร์คีฟมาก และโรงเรียนในหลุมหลบภัยแห่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ นับพันคน มีโอกาสเรียนหนังสือในบรรยากาศที่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเพื่อนร่วมชั้น และ ครู ได้อีกครั้งหนึ่ง

‘คาร์คีฟ’ เป็นเมืองทางภาคตะวันออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยูเครน และตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนรัสเซียเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้เคยมีประชากรถึง 1.4 ล้านคน ก่อนเกิดสงครามระหว่าง 2 ชาติ อีกทั้งยังเคยเป็นเป้าหมายสำคัญของกองกำลังรัสเซีย ถึงแม้วันนี้คาร์คีฟจะสงบลงมากแล้ว แต่ยังมีสัญญาณเตือนภัย และการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน

ส่วนระบบขนส่งทางรถไฟใต้ดินของเมืองนี้ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1975 นับเป็นเมืองที่ 2 ของยูเครนถัดจากกรุงเคียฟ ที่มีระบบรถไฟใต้ดินใช้ ปัจจุบันมีสายรถไฟ 3 สาย เปิดบริการ 30 สถานี โดยสถิติผู้ใช้งานรถไฟใต้ดินเมืองคาร์คีฟในปี 2018 มีมากถึง 223 ล้านคน

ต่อมาในปี 2022 ระหว่างที่เกิดการสู้รบระหว่างกองทัพยูเครน และรัสเซีย ในเมืองคาร์คีฟอย่างหนัก รถไฟใต้ดินถูกนำมาใช้เป็นหลุมหลบภัยของชาวเมืองนับแสนคน ทำให้ อิฮอร์ เทเลคอฟ นายกเทศมนตรี เกิดความคิดที่จะปรับเอาพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดินบางส่วนมาเปิดสอนเด็กๆ ระหว่างหลบภัย

ก่อนจะพัฒนากลายเป็นชั้นเรียนทดลอง ที่นำหลักสูตรในโรงเรียนมาสอนอย่างจริงจังซึ่งนอกจากวิชาหลักที่ใช้สอนอย่าง คณิตศาสตร์ ภาษายูเครน ภาษาอังกฤษ และกิจกรรมสันทนาการเสริมแล้ว ยังเพิ่มทักษะการป้องกันตัวด้วยการเชิญตำรวจเข้ามาอธิบายวิธีการหาที่หลบอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศอีกด้วย

‘โอฮา เดเมนโก’ ผู้อำนวยการสำนักงานด้านการศึกษาของเมืองคาร์คีฟ กล่าวว่า การที่เด็กเล็กๆ ขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือกับบรรดาครูอาจารย์ที่โรงเรียนนานๆ อาจส่งผลต่อทักษะทางสังคมของเด็ก นอกจากนี้ เด็กๆ ยังมีภาวะเครียด จากผลกระทบของสงคราม จึงมีความจำเป็นที่ต้องดึงเด็กๆ กลับสู่ชั้นเรียนแบบปกติให้เร็วที่สุด

หลังจากที่ทดสอบห้องเรียนในหลุมหลบภัยมาแล้วหลายเดือน วันนี้ทางการเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจเดินหน้า ขยายชั้นเรียนนำร่องโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนใต้ดินเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศ และจะนำหลักสูตรที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งนายกเทศมนตรีให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่ตัดงบประมาณด้านการพัฒนาโรงเรียนแม้แต่เหรียญเดียว อีกทั้งยังตั้งเป้าผลักดันให้คาร์คีฟเป็นเมืองอัจฉริยะที่สุดในยูเครนอีกด้วย

แม้เสียงสงคราม และ สนามรบยังไม่จบ แต่อนาคตของเด็กๆ ชาวยูเครนยังต้องดำเนินต่อไป ที่ไม่อาจรอจนถึงวันสิ้นสงครามได้ แต่การศึกษาของเด็กๆ ในวันนี้สำคัญเสมอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘จีน’ ออกหนังสือปกขาว เปิดวิสัยทัศน์มุ่งหน้าพัฒนาประชาคมโลก นำเสนอแนวทางจัดระเบียบโลกใหม่ เพื่อแบ่งปันอนาคตร่วมกัน

(27 ก.ย. 66) หลังจากที่ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีน เคยออกมาสร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศเป้าหมายในการสร้างทางสายใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ด้วยโครงการยักษ์ใหญ่ ‘Belt and Road Initiative’ (ฺBRI) เมื่อปี 2013 มาแล้ว

ผ่านมา 10 ปี วันนี้ รัฐบาลจีนได้ออกหนังสือปกขาว ที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียวฉบับใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า ‘A Global Community of Shared Future : China's Proposals and Actions.’ หรือ ประชาคมโลกแห่งอนาคตร่วมกัน : ข้อเสนอและแผนการดำเนินการของจีน

โดยได้นำเสนอพื้นฐานทฤษฎี, หลักปฏิบัติ และแผนพัฒนาประชาคมโลกในมุมมองวิสัยทัศน์ของรัฐบาลจีน ซึ่งต่อต้านความคิดของบางประเทศ ที่พยายามแสวงหาอำนาจสูงสุดในการครอบงำโลก ในขณะที่จีนนำเสนอวิธีในการแบ่งปันอนาคตร่วมกันระหว่างประชาคมโลก ผ่านพันธมิตรในเขตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ BRI ของจีน

การออกสมุดปกขาวแสดงเจตจำนง และ วิสัยทัศน์ฉบับล่าสุดของจีน ที่เป็นเหมือนการปักหมุดครบรอบ 10 ปี ของการเปิดโครงการ BRI เป็นเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายสำหรับจีนยิ่งกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน

เนื่องจากโลกเพิ่งผ่านวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ อาทิ การระบาดของ Covid-19, การหดตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในหลายประเทศ รวมถึงสงครามทางเศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์การเมืองที่ยังคงเข้มข้น และจีนก็ถูกจับตามองมากขึ้นกว่าเมื่อ10 ปีก่อน ในฐานะที่เป็นทั้งชาติมหาอำนาจ และภัยคุกคาม

นักวิเคราะห์จีนมองว่า รัฐบาลปักกิ่งก็ตระหนักถึงความท้าทายนี้ ที่จีนมักถูกโจมตีจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ด้วยวาทกรรม เช่น ‘ประชาธิปไตย vs เผด็จการ’ การเผชิญหน้ากับจีนด้วยรูปแบบการใช้พันธมิตรกดดัน การกล่าวหาจีนในเรื่องการจารกรรมเทคโนโลยี ล้วนแต่เป็นวิธีในการรักษาระเบียบโลกเก่าที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่

ซึ่งจีนมองว่าทั้งแนวคิด และพฤติกรรมของชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ทำให้เกิดความตึงเครียด และความขัดแย้งไปทั่วโลก อย่างไม่จบ ไม่สิ้น จนนำไปสู่สงครามเย็นรูปแบบใหม่ ดังนั้น จีนและอีกหลายประเทศจึงเกิดความคิดเหมือนกันว่า ควรหาหนทางจัดระเบียบโลกใหม่ ที่ให้ประชาคมโลกทั้งหมดสามารถสร้างและแบ่งปันอนาคตร่วมกันได้

ด้าน ‘ศาสตราจารย์ อู่ ซินปั๋ว’ ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันศึกษาของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้กล่าวถึงสมุดปกขาวฉบับใหม่ว่า รัฐบาลจีนต้องการก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจที่มีบทบาทสังคมโลกอย่างเปิดเผย และต้องการให้ชาติอื่นๆ ในประชาคมโลกสนับสนุน ดังนั้น รัฐบาลจีนจำเป็นต้องสื่อสารให้ชัดเจนถึงทิศทาง และเป้าหมายที่จีนกำลังจะมุ่งหน้าไปว่าไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของจีนชาติเดียว แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในสังคมโลกด้วย

ซึ่งชัดเจนว่า สมุดปกขาวของจีน นำเสนอแนวคิดเชิงการทูตสไตล์จีน ที่ต้องการสร้างระเบียบโลกทางเลือก จากที่เคยนำโดยชาติพันธมิตรตะวันตก และเป็นการต่อยอดจากโครงการ BRI ของจีน ซึ่งจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 มีประเทศกว่า 3 ใน 4 ของโลก และ องค์กรนานาชาติกว่า 30 แห่ง ได้เซ็นข้อตกลงความร่วมมือในโครงการ BRI ของจีนแล้ว ซึ่งน่าจะมีพลังมากพอที่จีนจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนประชาคมโลกที่เกิดจากความร่วมมือ และแบ่งปัน แทนการชี้นำโดยชาติมหาอำนาจเพียงชาติเดียว

และนี่ก็เป็นภาพรวมของยุทธศาสตร์โลกของจีน ที่หวังสร้างประชาคมโลกในอุดมคติใหม่ ท่ามกลางวิกฤติปัญหาเศรษฐกิจ และ สังคมที่รุมเร้าจีน และอุปสรรคใหญ่ที่สุดของจีน ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ที่มีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สามารถชี้นำไปในทิศทางเดียวกันได้

ซึ่งจีนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการสร้างความมั่นใจให้ชาวประชาคมโลก ‘ซื้อ’ ไอเดียของสมุดปกขาวนี้ และมองเห็นอนาคตในมุมมองเดียวกันกับที่จีนมอง ที่อาจต้องใช้เวลา 10 ปี หรือนานกว่านั้น 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สี จิ้นผิง’ หนุน!! มหาวิทยาลัย บรรจุวิชาจับสายลับลงหลักสูตร เปลี่ยนนักศึกษา ร่วมแรงเป็นนักสืบ สกัดสปายจากต่างแดน

(20 ก.ย. 66) สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ได้ยกระดับโปรแกรมป้องกันการสอดแนมของต่างชาติ ที่รัฐบาลจีนมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ด้วยการสนับสนุนให้บรรจุวิชาการจับสายลับ ลงในหลักสูตรของหลายสถาบันชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อเทรนนักศึกษาจีน ให้ช่วยสอดส่อง และชี้ตัวบุคคลต้องสงสัยที่อาจแฝงตัวมาสืบราชการลับในจีนได้ 

อย่างที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ก็ได้มีการอบรมผ่านสื่อวิดีโอแก่นักศึกษา และบุคลากรของสถาบัน กระตุ้นให้ตระหนักถึงบทบาทในการเป็นแนวป้องกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากต่างชาติ 

ด้านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง มีการจัดงานเลี้ยงในสวน ที่มีธีมงานเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง  

ส่วนมหาวิทยาลัยเป่ยหาง ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านการบิน และอวกาศชั้นนำของจีน ได้พัฒนาเกมที่ชื่อว่า ‘Who's The Spy’ ให้นักศึกษาทดลองเล่นเพื่อจับสังเกต คนที่มีพฤติกรรมเป็นสายลับโดยเฉพาะ 

แคมเปญเสริมหลักสูตรไล่ล่าหาสายลับนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติจีน ซึ่งนอกจากหลักสูตรฝึกอบรมในสถาบันชั้นนำแล้ว ยังจับมือร่วมกับ WeChat แพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดังของจีน ในการเผยแพร่เนื้อหาวิธีการจับตา สอดส่องบุคคลต้องสงสัยแก่ประชาชนทั่วไป เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลจีนยังตั้งรางวัลนำจับแก่ผู้ที่สามารถชี้ตัวสายลับต่างชาติได้อย่างถูกตัวสูงถึง 5 แสนหยวน (ประมาณ 2.25 ล้านบาท) 

ทั้งนี้ การเร่งเผยแพร่หลักสูตรจับสายลับ เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายต่อต้านการสอดแนมของสี จิ้นผิง โดยผู้นำจีน ได้กล่าวในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการสกัดการสอดแนมในจีนให้ได้ และยกให้เป็นวาระเร่งด่วน เทียบเท่ากับการเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติ โดยต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่อง เป็นหู เป็นตาให้กับรัฐบาล

จากแคมเปญที่เอาจริง เอาจริงกับการจับสายลับของรัฐบาลจีน ทำให้สื่อต่างชาติอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผู้นำจีนถึงหวาดระแวงกับการสอดแนมจากต่างชาติมากถึงขนาดต้องเทรนนักศึกษา และประชาชน มาช่วยจับสายลับกับทั้งประเทศ 

และยังเปรียบเทียบแคมเปญจับสายลับของสี จิ้นผิง กับ การสร้างกองกำลัง Red Guard ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของอดีตผู้นำ ‘เหมา เจ๋อตุง’ ที่มีการไล่ล่า ลงโทษกลุ่มคนชั้นสูง ที่ไม่จงรักภักดีต่อระบอบสังคมนิยมจีน จนได้ชื่อว่าเป็นยุคที่มีความรุนแรงในสังคมมากที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน 

โดยความเห็นของ ‘ชีนา เกรทเทน’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส - ออสติน มองว่า การสนับสนุนให้ประชาชนจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน จะส่งผลเสียต่อการดูแลความเรียบร้อยโดยรวมของรัฐบาลจีน และจะนำมาซึ่งการแจ้งความเท็จ แจ้งความพร่ำเพรื่อ ซ้ำซ้อน กลายเป็นการเพิ่มงานให้แก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ต้องมาสะสาง แยกแยะข้อมูลจำนวนมากเกินความจำเป็น 

และยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อนักลงทุนชาวต่างชาติ ที่ต้องระวังการสอดแนมรอบตัว สร้างความหวาดระแวงระหว่างชาวต่างชาติ และชาวจีน ที่อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความลังเลในการพัฒนาธุรกิจบนแผ่นดินจีนได้ 

แต่ฟาก ‘เฉิน อี้ซิน’ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแสดงความเห็นว่า ความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งแก่นแท้ของความมั่นคงทางการเมืองคือความมั่นคงของระบอบการปกครอง 

จึงเห็นได้ว่า ผู้นำจีน ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพ และความมั่นคงภายในประเทศอย่างมาก และได้ประกาศภารกิจในการกวาดล้างภัยคุกคามจากต่างชาติ มีการขยายกรอบกฎหมายต่อต้านการสอดแนมใหม่ และกวาดล้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจีนที่ทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของต่างชาติเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น คงไม่มีอะไรหยุดยั้งแคมเปญปั้นนักเรียนเป็นนักสืบของสี จิ้นผิงได้ ตราบใดที่รัฐบาลจีน และ ชาติตะวันตก ยังแสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด ความหวาดระแวงต่อกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้นำเชเชน คนสนิทของปูติน  ปล่อยคลิปสยบข่าวลือ ‘ยืนยัน’ ยังไม่ตาย!!

หลังจากมีข่าวลือสะพัดในโลกออนไลน์อย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ‘รามซาน คาดีรอฟ’ ผู้มีฉายา ‘คนแกร่งแห่งเชเชน’ โดยปัจจุบันเขาเป็นผู้นำสาธารณรัฐเชเชน ที่ได้รับการหนุนหลังจากวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้มีอาการป่วยหนักถึงขั้นโคม่า หนำซ้ำยังลือไปไกลว่า เขาได้เสียชีวิตแล้วด้วยอาการไตวาย

โดยชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่า รามซาน คาดีรอฟ อาจถูกวางยาพิษ ซึ่งเป็นวิธีที่สายลับรัสเซียนิยมใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง หรือ คนทรยศหักหลัง

สำหรับ รามซาน คาดีรอฟ เป็นทั้งผู้นำในเขตปกครองตนเองเชเชน และยังมีตำแหน่งในกองทัพรัสเซีย คุมกองกำลังพลในสาธารณรัฐเชเชน ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสไตล์การรบที่โหดเหี้ยม ดุดัน นับเป็นกองกำลังเสริมทัพที่สำคัญของปูติน ในสงครามยูเครน รองจากกองกำลัง Wagner ของ เยฟเกนี พริโกซิน ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

ฉะนั้น หากข่าวลือเป็นจริง เท่ากับว่าปูตินเสียขุนศึกคนสนิท ที่เป็นมือซ้าย-ขวา ทั้งสองคนในเวลาไล่เรี่ยกัน ที่ล้วนแต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุเป็นปริศนาแทบทั้งสิ้น

แต่ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รามซาน คาดีรอฟ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ 2 คลิป ผ่านช่องทาง Telegram เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขายังสบายดี ไม่ได้สิ้นชื่อ หรือ ถูกเก็บ อย่างที่ลือกันสนั่นในโลกออนไลน์

โดยคลิปแรก คาดีรอฟ ใส่เสื้อกันฝันออกมาเดินเล่นในถนนแห่งหนึ่ง ที่ไม่ระบุสถานที่ แม้จะยิ้มให้กล้อง แต่ใบหน้าดูบวมอย่างผิดสังเกต ส่วนคลิปที่สอง เขาออกมากล่าวถึงชาวเน็ตว่า หากใครที่ไม่สามารถแยกข่าวจริง กับข่าวปลอมไม่ได้ แนะนำให้ออกมาเดินออกกำลังกาย สูดอากาศดี ๆ และลองจัดลำดับความคิดตัวเองเสียใหม่ เติมความสดชื่นในชีวิตด้วยสายฝนดูบ้าง

แต่ถึงอย่างไรก็ดี การปล่อยคลิปของคาดีรอฟ ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าตัวเขาจะยังอยู่ดีตามที่พูดไว้ในคลิป เนื่องจากไม่สามารถระบุ วัน เวลา และ สถานที่ ที่มีการถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า รามซาน คาดีรอฟ อยู่ที่ไหนในปัจจุบัน

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ รามซาน คาดีรอฟ มีข่าวลือว่าเสียชีวิต เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เคยมีกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่าง คาดีรอฟ และกลุ่มนายพลระดับสูงในฝ่ายกลาโหมรัสเซีย จนมีข่าวว่าเขาถูกลอบวางยาพิษ จากศัตรูทางการเมืองของเขาในรัสเซีย แต่สุดท้ายข่าวก็เงียบหายไปช่วงหนึ่ง ก่อนข่าวลือจะกลับมาอีกครั้งในวันนี้

ข่าวแบบนี้ ไม่แปลกใจเท่าไหร่!! เพราะในแวดวงการเมืองรัสเซีย ที่ล้วนมีแต่ข่าวลือ ข่าวลวง ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ ประธานาธิบดี ปูติน ก็มักมีกระแสข่าวเรื่องปัญหาสุขภาพ โรคอัลไซเมอร์ พาคินสัน หรือ ข่าวเรื่องการลอบสังหารแพร่กระจายในโซเชียลอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

ในโลกที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก จนงงไปหมดว่าข่าวไหนจริงหรือเท็จ อาจต้องพักหน้าจอ มาออกกำลังกาย สูดอากาศสดชื่นภายนอกบ้าง อย่างที่ รามซาน คาดีรอฟ แนะนำไว้ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว

‘สว.มะกัน’ เล่นเกมแรง ยื่นญัตติถอดถอน ‘โจ ไบเดน’ ขยี้ปมคอร์รัปชันผ่านลูกชาย แม้ไร้ผล แต่เชื่อแต้มหด

พอใกล้เข้าสู่บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เกมการเมืองยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดวันนี้ ‘เควิน แมคคาร์ธีย์’ วุฒิสมาชิกจากพรรคฝ่ายค้าน รีพับลิกัน ได้ยื่นประเด็นกล่าวหา ‘โจ ไบเดน’ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ว่าพัวพันการทุจริต คอร์รัปชัน รับสินบนจากบริษัทข้ามชาติ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาถอดถอน โจ ไบเดน พ้นจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

โดยวุฒิสมาชิก แมคคาร์ธีย์ อ้างว่าต้องการเปิดโปงรูปแบบ ‘วัฒนธรรมการคอร์รัปชัน’ ของครอบครัวไบเดน ที่มีมานานตั้งแต่เมื่อโจ ไบเดน ยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัย ‘บารัค โอบามา’ ซึ่งข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ที่หยิบยกมาล้วนเกี่ยวพันกับธุรกิจครอบครัวไบเดน โดยเฉพาะ ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ บุตรชายของ โจ ไบเดน ที่ใช้ชื่อเสียงของพ่อเป็นใบเบิกทางสู่ผลประโยชน์ด้านธุรกิจของตนเองหลายล้านเหรียญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

สื่อต่างชาติได้รวบรวมประเด็นที่ฝ่ายรีพับลิกันหยิบยกขึ้นมากล่าวหาโจ ไบเดน และครอบครัวไว้ดังนี้ 

1.) โจ ไบเดน ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อผลประโยชน์ให้ลูกชาย - ฮันเตอร์ ไบเดน ตั้งแต่สมัยเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ประเด็นนี้ ‘เจมส์ โคเมอร์’ สมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทัคกี เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องการพบปะสังสรรค์ของโจ ไบเดน กับกลุ่มทุนผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในยุโรปตะวันออกจำนวนมากในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อกรุยทางให้ลูกชายและ หนึ่งในบริษัทที่ถูกตั้งข้อสงสัยคือ Burisma บริษัทกลุ่มทุนพลังงานยักษ์ใหญ่ของยูเครนที่ ฮันเตอร์ ไบเดน ได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งบอร์ดผู้บริหาร และได้รับค่าตอบแทนสูงว่า 10 ล้านเหรียญต่อปี และนำไปสู่ข้อกล่าวหาต่อมาคือ

2.) โจ ไบเดน และ บุตรชาย รับเงินสินบนจากกลุ่มทุนต่างชาติ 

โดยพรรคฝ่ายค้านเคยยื่นหลักฐานว่า ‘มิโคลา สโลเชฟสกี’ อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Burisma เคยจ่ายเงินให้กับทั้ง โจ และ ฮันเตอร์ ไบเดน กว่า 5 ล้านเหรียญ แต่ต่อมาเขากลับคำให้การว่าไม่รู้ ไม่เห็นการจ่ายเงินดังกล่าว และนอกเหนือจาก Burisma แล้ว ยังมีข้อกล่าวหาอีกด้วยว่าครอบครัวไบเดนเคยรับเงินจากแหล่งทุนอิทธิพลต่างชาติ ทั้งจีน รัสเซีย คาซัคสถาน และโรมาเนีย กว่า 20 ล้านเหรียญมาแล้ว แต่โจ ไบเดน ได้ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา 

3.) โจ ไบเดน จงใจปกปิดธุรกิจของลูกชาย ที่อาจพัวพันกับการรับเงินสินบน และฟอกเงินไปต่างประเทศ 

ซึ่งพบหลักฐานการโอนเงินราว 1.4 แสนเหรียญ จากนายทุนชาวคาซัคสถานไปเข้าบัญชีบริษัทเปลือกหอย (บริษัทที่จดทะเบียนแต่ในนาม ในต่างประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี) ของ ฮันเตอร์ ไบเดน ที่ถูกนำไปซื้อรถหรูส่วนตัวในเวลาต่อมา รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจของครอบครัวไบเดน กับกลุ่มนายทุนใหญ่รัสเซีย และยูเครน 

4.) ครอบครัวไบเดนได้รับ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ เหนือนักการเมืองคนอื่นจากเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยพรรครีพับลิกัน ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาครอบครัวไบเดนไปพัวพัน มักไม่ค่อยถูกยกขึ้นมาเป็นคดี หรือถ้าถึงขั้นเป็นคดีความขึ้นศาล ก็มักถูกตัดจบลงอย่างง่ายดายเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ที่อาจบ่งชี้ว่า โจ ไบเดน ใช้อำนาจในตำแหน่งกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้เหมือนกัน

เมื่อรวบรวมประเด็นได้ตามนี้ ฝ่ายรีพับลิกันจึงเล่นเกมแรง ยื่นประเด็นถอดถอน โจ ไบเดน จากตำแหน่งด้วยข้อหาคอร์รัปชัน ใช้อำนาจ หน้าที่ เอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจครอบครัว และรับสินบน แม้ข้อกล่าวหาส่วนใหญ่จะเคยถูกพิจารณา และตีตกไปแล้วเพราะ ‘หลักฐานไม่เพียงพอ’

แต่ทั้งนี้ ฝ่ายรีพับลิกันเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าการเสนอญัตติในการถอดถอนโจ ไบเดน ว่าจะสามารถทำให้ไบเดน หลุดจากตำแหน่งได้ แต่ทำเพื่อหวังผลในการสร้างกระแสการรับรู้ต่อสาธารณชน คนอเมริกันทั่วไป จากการอภิปรายรายละเอียดข้อกล่าวหาจากทีมรีพับลิกัน และการนำเสนอหลักฐานผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง

เนื่องจาก โจ ไบเดน ประกาศลงชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่ออีกสมัยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2024 ซึ่งการจิกไม่ปล่อย และทำให้คดีอยู่ในกระแสเรื่อยๆ ย่อมมีผลต่อคะแนนความนิยมของไบเดนได้เช่นกัน

ดังเช่น โพลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันล่าสุด พบว่า 42% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าโจ ไบเดน มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของลูกชายจริง และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วย 18% คิดว่า โจ ไบเดน ทำผิดจริยธรรมทางการเมือง ในขณะที่ 38% ยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของโจ ไบเดน

เชื่อว่าหลังจากนี้ การขุดหลักฐานโจมตีผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐจากทั้ง 2 พรรค จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง โจ ไบเดน นอกจากจะมีชนักติดหลังเรื่องข่าวอื้อฉาวของลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน แล้ว ยังมีประเด็นเรื่องสุขภาพ ที่มักโดนโจมตีเสมอว่า เขายังจะฟิตในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ต่อในสมัยที่ 2 อีกหรือไม่ แม้เขาจะยืนยันหนักแน่นว่ายังไหวในวัย 80 ปีก็ตาม

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อังกฤษ’ จ่อขึ้นบัญชีดำ ‘Wagner’ กลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซีย ชี้!! เป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีความอันตรายเทียบเท่า ‘ISIS’

‘รัฐบาลอังกฤษ’ เตรียมที่จะขึ้นทะเบียน ‘Wagner PMC’ บริษัททหารรับจ้างเอกชนของรัสเซีย เป็นองค์กรก่อการร้าย นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เป็นสมาชิกขององค์กร Wagner หรือให้การสนับสนุน ถือว่าผิดกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ

ซึ่งรัฐบาลอังกฤษเตรียมผ่านชงเรื่องการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ผ่านสภาฯ ในวันพุธนี้แล้ว และหากประเด็นนี้ผ่านการพิจารณาในสภาฯ สำเร็จ รัฐบาลอังกฤษจะมีอำนาจในการยึดทรัพย์ อาญัติบัญชีทรัพย์สินของกลุ่ม Wagner และเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องในอังกฤษได้ทันที

‘ซูเอลลา บราเวอร์แมน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ กล่าวว่า “Wagner ถือเป็น กลุ่มที่ก่อความรุนแรง สร้างความหายนะทั้งในยูเครนและแอฟริกา เป็นเครื่องมือการทหารของ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย ที่ใช้ในการวางเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งบ่อนทำลายความมั่นคงของโลก ดังนั้น ตามกฎหมายก่อการร้ายของอังกฤษ (Terrorism Act 2000)  Wagner เข้าข่ายองค์กรก่อการร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย”

และด้วยกฎหมายก่อการร้ายฉบับปัจจุบันของอังกฤษ ได้มอบอำนาจให้กระทรวงมหาดไทยของอังกฤษสามารถขึ้นบัญชีดำองค์กรใดๆ ก็ตามในโลกที่เข้าข่ายก่อการร้าย จากเดิมที่ครอบคลุมเพียงกลุ่มก่อการร้ายในไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น และอังกฤษก็ได้ขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายมาแล้วหลายกลุ่มทั้ง อัลกออิดะห์, ISIS, ฮามาส, โบโก, ฮาลาม และล่าสุดคือ กลุ่ม Wagner

และหลังจากขึ้นทะเบียนกลุ่มก่อการร้ายเรียบร้อยแล้ว บุคคลที่เป็นสมาชิก ผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม Wagner หรือแม้แต่การแสดงความเห็นในที่สาธารณะในเชิงสนับสนุน จัดกิจกรรมรวมกลุ่ม หรือแม้แต่ใช้โลโก้ ธง สัญลักษณ์ของ Wagner ในอังกฤษ จะถือเป็นความผิดในคดีอาญา มีโทษจำคุกถึง 14 ปี หรือปรับเงิน 5,000 ปอนด์

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอังกฤษได้รับแรงกดดันจากพรรคฝ่ายค้าน ให้เร่งขึ้นทะเบียนผู้ก่อการร้ายกับกลุ่ม Wagner มานานหลายเดือนแล้ว จากเหตุรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย ซึ่งกลุ่ม Wagner มีบทบาทสำคัญในการยึดครองพื้นที่ในยูเครน อีกทั้งยังมีหลักฐานการใช้ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย และสังหารประชาชนชาวยูเครน

แต่รัฐบาลอังกฤษเพิ่งเตรียมพิจารณาผ่านญัตติการขึ้นบัญชีดำกลุ่ม Wagner ในวันนี้ หลังจากที่กลุ่มได้สลายตัวไปหลังเหตุการณ์ Wagner ลุกฮือในรัสเซียเมื่อ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามด้วยการเสียชีวิตของ ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าผู้ก่อตั้งองค์กร จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ยังเป็นปริศนาในอีก 2 เดือนต่อมาก็ตาม

ถึงจะทำช้า แต่ก็ทำนะ สำหรับการตัดสินใจของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าเครือข่าย Wagner ยังคงอยู่ แม้ผู้นำจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่บทบาทจะยังคงเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนชื่อเป็นองค์กร หรือ รูปแบบอื่นๆ ไปแล้ว ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าขอบเขตกฎหมายของอังกฤษจะตามทันหรือไม่

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top