Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

‘เกาหลีเหนือ’ โว!! ‘ดาวเทียมสอดแนม’ ส่องได้ทุกซอกทุกมุม เย้ย ‘มะกัน’ เก็บภาพได้ยันหลังคา ‘ทำเนียบขาว-ตึกเพนตากอน’

(28 พ.ย. 66) ‘KCNA’ สำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า ดาวเทียมสอดแนม ‘Malligyong-1’ ที่เพิ่งส่งขึ้นฟ้าไปตัวล่าสุด สามารถถ่ายภาพอาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน และฐานทัพอากาศ ที่เก็บเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ และภาพถ่ายเหล่านั้น ก็อยู่ในมือ ‘คิม จอง-อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือเรียบร้อยแล้ว

ปฏิบัติการพัฒนาดาวเทียมสอดแนม เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของหน่วยงาน Pyongyang General Control Center of the National Aerospace Technology Administration ที่ใช้ตัวอักษรย่อว่า ‘NATA’

ที่ล่าสุดสามารถส่งดาวเทียม ‘Malligong-1’ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้งในปีนี้

โดยเกาหลีเหนืออ้างว่า ดาวเทียมสอดแนมดวงล่าสุด สามารถถ่ายภาพสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้หลายแห่ง อาทิ อาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน, ฐานทัพเรือนอร์ฟอล์ก และฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในรัฐเวอร์จิเนีย

อีกทั้งยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ถึงขนาดที่สามารถระบุได้ว่า เป็นเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 4 ลำ และเครื่องบินขนส่งของอังกฤษอีก 1 ลำ ในภาพที่ถ่ายจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยดาวเทียมสอดแนม

สื่อเกาหลีเหนือรายงานด้วยว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน พอใจในผลงานของทีมนักพัฒนาดาวเทียมสอดแนมครั้งนี้เป็นอย่างมาก และได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับนักวิทยาศาสตร์ของ ‘NATA’ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น พร้อมนำภาพถ่ายจากดาวเทียมสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ มาแบ่งกันดู

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามโครงการดาวเทียมสอดแนมของทางเปียงยางในทันที โดยกล่าวหาว่า เป็นแค่เพียงความพยายามในการ ‘สร้างโฆษณาชวนเชื่อ’ ของระบอบคิม จอง-อึน ที่จะยิ่งทำให้การเผชิญหน้าในบริเวณชายแดน 2 ฝั่งของเกาหลี มีแต่จะตึงเครียดยิ่งขึ้น

อีกทั้งไม่เชื่อในศักยภาพของดาวเทียมเกาหลีเหนือ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการสอดแนมได้ เพราะเป็นเพียงคำเคลมจากรัฐบาลเปียงยางเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีการปล่อยภาพจริงออกมาเป็นหลักฐาน

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพเกาหลีใต้ ที่แสดงความเห็นว่า ดาวเทียม ‘Malligyong-1’ อาจประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของโลกได้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะถ่ายภาพ และส่งข้อมูลกลับมายังโลก และเชื่อว่าน่าจะใช้เทคโนโลยีทางดาวเทียมของ ‘รัสเซีย’ ช่วยมากกว่า

อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ ต่อเกาหลีเหนือ ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาดาวเทียมด้วย เพราะเป็นเทคโนโลยีสำคัญส่วนหนึ่งในโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

‘ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์’ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ประท้วงการครอบครองดาวเทียมสอดแนมกลางที่ประชุมสภาความมั่นคงว่า “เกาหลีเหนือมีแรงจูงใจที่ชัดเจน ในการพยายามพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีขีปนาวุธนิวเคลียร์ของตนผ่านโครงการดาวเทียม ที่ขัดกับข้อตกลงของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง เป็นการแสดงพฤติกรรมอย่างไร้สำนึกที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคง ที่เป็นการข่มขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอื่น ๆ”

ด้าน ‘คิม ซุง’ เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำองค์การสหประชาชาติ ที่น้อยครั้งมากจะปรากฏตัวในที่ประชุมสมัชชาความมั่นคง ก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนเช่นกันว่า “ไม่มีชาติใดในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านความมั่นคงเท่าเกาหลีเหนือ ซึ่งชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาต่างหาก ที่กำลังข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

ดังนั้น รัฐบาลเปียงยางก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะพัฒนา ผลิต หรือ ครอบครองอาวุธที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศคู่สงคราม

และดาวเทียมสอดแนมคือหนึ่งในเทคโนโลยีนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกามีได้ ทำไมเกาหลีเหนือจะมีบ้างไม่ได้ แถมรัฐบาลทำเนียบขาวก็เคยใช้ดาวเทียมส่องหลังคาบ้านเกาหลีเหนือมาหลายครั้งแล้ว เกาหลีเหนือก็เลยขอส่องกลับบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกงแต่อย่างใด

เพียงแต่ ‘Malligong-1’ ของเกาหลีเหนือจะส่องได้จริงดังที่เคลมหรือเปล่า ยังเป็นปริศนา จนกว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน จะอนุมัติให้ปล่อยภาพหลักฐานออกสื่อ เพื่อให้ทุกชาติหายสงสัย

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ซูซาน ซาแรนดอน’ นักแสดงดีกรีออสการ์ ถูกฉีกสัญญา เพียงเพราะเธอออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุน ‘ปาเลสไตน์’

‘UTA’ เอเจนซีดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ประกาศฉีกสัญญาของ ‘ซูซาน ซาแรนดอน’ ดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ชื่อดังมากฝีมือ ดีกรีรางวัลออสการ์เป็นที่เรียบร้อย เพียงเพราะเธอแสดงจุดยืนสนับสนุนกลุ่มปาเลสไตน์ โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่มีการใช้กำลังทหารโจมตีฉนวนกาซา จนตอนนี้มียอดผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์พุ่งขึ้นถึง 13,000 คน

สื่ออเมริกันรายงานว่า ‘ซูซาน ซาแรนดอน’ แสดงจุดยืนเคียงข้างฝ่ายปาเลสไตน์ และ เข้าร่วมเดินขบวนกับกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อย่างน้อย 2 ครั้ง พร้อมได้กล่าวคำปราศรัยต่อหน้าฝูงชนอีกด้วย ซึ่งในส่วนหนึ่งของคำปราศรัย เธอได้กล่าวว่า…

“ในตอนนี้ มีคนจำนวนมากกลัวที่จะเป็นคนยิว และเริ่มรับรู้ถึงรสชาติของการเป็นชาวมุสลิมในประเทศนี้”

นอกจากนี้ ซูซาน ซาแรนดอน ยังให้กำลังใจชาวอเมริกันที่ออกมายืนหยัด และต่อสู้เพื่อชาวปาเลสไตน์ว่า ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม และหาข้อมูลเกี่ยวกับปาเลสไตน์มากขึ้น และเริ่มรับรู้ถึงการล้างสมองของรัฐบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กแล้ว เธอจึงต้องการสนับสนุนให้ผู้ที่เห็นด้วย ออกมาร่วมชุมนุมอย่างเข้มแข็ง อดทน และกล้าที่จะพูดออกมา พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณชาวยิวในสหรัฐฯ ที่ออกมาช่วยเหลือกิจกรรมเพื่อชาวปาเลสไตน์ในครั้งนี้อีกด้วย

การแสดงออกของ ซูซาน ซาแรนดอน ทำให้เธอถูกโจมตีว่า ‘ฝักใฝ่ลัทธิต่อต้านชาวยิว’ ซึ่งเธอปฏิเสธมาตลอดว่า “ไม่ใช่!!”

แต่จุดยืนของเธอคือ ‘ต่อต้านสงคราม ลัทธิเผด็จการ และการกดขี่’ มาโดยตลอด และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า นอกจากการเป็นนักแสดงคุณภาพ เจ้าของรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Dead Man Walking’ ในปี 1995 และคว้ารางวัลด้านการแสดงอีกนับไม่ถ้วน เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านสงครามตัวยง นอกจากนี้ เธอยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ‘ทูตสันถวไมตรี’ อย่างเป็นทางการขององค์กร ‘UNICEF’ มาแล้ว

แต่เมื่อเธอออกมาประกาศจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ เพราะไม่ต้องการเห็นการโจมตีพลเรือนในฉนวนกาซา กลับเป็นเหตุให้เธอ ‘ถูกยกเลิกสัญญา’ จากเอเจนซี ที่ดูแลเธอมานานตั้งแต่ปี 2014

และไม่ใช่แค่ ซูซาน ซาแรนดอน เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ล่าสุด ‘เมลิสซา บาร์เรลา’ นักแสดงและนักร้องสาวเชื้อสายเม็กซิกัน หนึ่งในนักแสดงนำจาก ‘Scream VI’ ถูก ‘Spyglass’ บริษัทผู้สร้าง ตัดเธอออกจากทีมนักแสดงหนังสยองขวัญภาคต่อ ‘Scream VII’ ด้วยข้อกล่าวหาว่า ‘เธอเป็นพวกฝักใฝ่ลัทธิต่อต้านยิว’ หลังจากที่เธอได้โพสต์ข้อความลงใน Instagram สนับสนุนปาเลสไตน์ และกล่าวหาปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่าเป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

รวมถึง ‘มาฮา ดาห์ฮิล’ หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ ‘CAA’ บริษัทเอเจนซียักษ์ใหญ่อีกแห่งของฮอลลีวูด ที่ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพียงเพราะเธอโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามระหว่าง ‘อิสราเอล-ฮามาส’ ผ่าน Instagram ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า “คุณเริ่มรู้แล้วหรือยัง? ว่าใครกันแน่ที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แม้ในเวลาต่อมาเธอจะได้ออกมากล่าวขอโทษ และลบโพสต์ของเธอไปในภายหลังแล้วก็ตาม

จึงทำให้รู้ว่า แม้ในประเทศเสรีอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ก็ใช่ว่าจะมี ‘เสรีภาพในการพูด’ หรือสามารถแสดงความคิดเห็นได้ดั่งใจในทุกเรื่องอย่างที่หลายคนเข้าใจ แม้จะมีเจตนาในการยุติสงคราม และความรุนแรงก็ตาม เพราะทุกที่มีอำนาจทางการเมืองที่เรามองไม่เห็นแอบแฝงอยู่เสมอ

‘จาเวียร์ มิเลย์’ ผู้นำ ‘อาร์เจนตินา’ คนล่าสุด อาสาพาประเทศขึ้นรถไฟเหาะ ชูนโยบายสุดขั้ว!! ทิ้ง ‘เงินเปโซ’ หันมาใช้ ‘เงินดอลลาร์-บิตคอยน์’ แทน

กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก กับผลการเลือกตั้งล่าสุดของอาร์เจนตินา ที่ได้ผู้นำคนใหม่ ‘จาเวียร์ มิเลย์’ นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมสุดขั้ว ที่ประกาศตัวว่าเป็น ‘เจ้าป่า’ ที่ไม่ได้มาเล่นเพื่อเลี้ยงแกะ แต่มาเพื่อปลุกอาร์เจนตินาให้กลายเป็น ‘สิงห์โต’ ที่ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกาใต้อีกครั้ง

จาเวียร์ มิเลย์ ถือเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำอาร์เจนตินา ที่โดดเด่นเป็นที่จับตาอย่างมาก ทั้งสไตล์การพูดจากที่โผงผาง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร อีกทั้งบุคลิกหลุดโลก จนทำให้หลายคนตั้งฉายาให้เขาว่าเป็น ‘คนบ้า’ บ้าง ‘มนุษย์วิก’ บ้าง ด้วยทรงผมที่ดูคล้าย ‘วูฟว์เวอรีน’ ตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ชื่อดัง

แต่เขาปฏิเสธว่าตนไม่ใช่คนบ้า และไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็น ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) ที่มาเพื่อผ่าวิกฤติเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้สิ้นซาก ที่ติดกับดักภาวะเงินเฟ้อด้วยเลข 3 หลัก (ปัจจุบันอยู่ที่ 143%) และอัตราความยากจนพุ่งขึ้นถึง 40% มาเป็นเวลานาน และได้ใช้เลื่อยไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเขาในช่วงหาเสียง

นอกจากบุคลิกจะหลุดโลกแล้ว นโยบายที่นำเสนอก็สุดขั้วตกขอบเช่นกัน โดยตัวเขานิยามตัวเองเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนว ‘ทุนนิยมอนาธิปไตย’ ที่สนับสนุนการยกเลิกระบบอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะปลดล็อกเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาให้เติบโตอย่างเสรีได้

จาเวียร์ มิเลย์ สัญญาว่าจะผ่อนปรนกฎหมายแรงงาน เพื่อให้อิสระแก่แรงงาน และผู้ประกอบการ และตั้งเป้ายุบกระทรวงลงกว่าครึ่ง เพื่อลดบทบาทการควบคุมของรัฐบาลให้น้อยลงให้มากที่สุด ซึ่ง 2 กระทรวงหลักที่คาดว่าจะถูกยุบก็คือ ‘สาธารณสุข’ และ ‘ศึกษาธิการ’ อีกด้วย

อีกทั้งนำเสนอวิธีแก้ไขเงินเฟ้อเรื้อรังของอาร์เจนตินา ด้วยการทิ้ง ‘เงินสกุลเปโซ’ ของชาติ แล้วไปใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แทน และจะถอนตัวจากการเข้าร่วม ‘กลุ่มพันธมิตรเศรษฐกิจใหม่’ (BRICS) ที่มีแกนนำ 5 ชาติได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ อีกทั้งยังประกาศลดระดับด้านการค้ากับจีน โดยเขากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่าไม่ต้องการคบค้ากับ ‘พวกนักฆ่า’ ซึ่งหมายถึง ‘ประเทศจีน’ นั่นเอง

และด้วยนโยบายที่สุดโต่ง และดุดัน ทำให้ จาเวียร์ มิเลย์ เป็นที่นิยมในกลุ่มหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ชาวอาร์เจนตินา ที่เทคะแนนให้เพราะคาดหวังความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว และการทลายกำแพงของกลุ่มทุนนิยม และกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางการเมืองแบบเก่า จน จาเวียร์ มิเลย์ สามารถคว้าชัยชนะเลือกตั้งใหญ่ในอาร์เจนตินา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ได้อย่างงดงาม ด้วยคะแนน 55.69%

เมื่ออาร์เจนตินา ได้ผู้นำคนใหม่กับนโยบายที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ หลายคนจึงคาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอาร์เจนตินาในปีหน้า 2024 ตามนโยบายที่ จาเวียร์ มิเลย์ ได้สัญญาไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทิ้งเงินเปโซ มาใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินสกุลหลัก ที่ จาเวียร์ มิเลย์ มองว่าเป็นหนทางที่จะแก้ปัญหาค่าเงินเฟ้อในอาร์เจนตินาได้ และจะทำให้สำเร็จภายในปี 2025 ด้วย รวมถึงบทบาทของธนาคารกลาง ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องถูกลดบทบาท (หรืออาจจะถูกยุบด้วยซ้ำ) พร้อมการรับเงินดิจิทัล อาทิ ‘บิตคอยน์’ เข้ามาใช้ในการทำธุรกรรมอย่างเต็มรูปแบบในระบบเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา

รวมถึงนโยบายต่างประเทศที่ จาเวียร์ มิเลย์ ประกาศชัดเจนว่าจะพาประเทศไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา และอิสราเอล อย่างเปิดเผย ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีน อีกทั้งการลดระดับความสัมพันธ์กับรัสเซีย เพื่อสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มตัวในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการประกาศศึกแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘บราซิล’ เพื่อชิงตำแหน่งเจ้าป่าหนึ่งเดียวในทวีปอเมริกาใต้นั่นเอง

นับเป็นความทะเยอทะยานอันร้อนแรงของผู้นำป้ายแดงแห่งอาร์เจนตินา กับนโยบายสุดขั้ว เพื่อต้องการพลิกประเทศจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่ทำให้ชาวอาร์เจนตินาในตอนนี้เหมือนกำลังขึ้นรถไฟเหาะแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งอารมณ์ ‘ตื่นเต้น’ และ ‘ตื่นกลัว’ ว่าผลงานของ ผู้นำ ‘มนุษย์เลื่อยไฟฟ้า’ (Chainsaw Man) จะได้ออกมาเป็น ‘ไม้เนื้องาม’ หรือ ‘ขี้เลื่อย’

'สิงคโปร์' เตรียมแจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพแบบถ้วนหน้า สูงสุด 2 หมื่นบาท บรรเทาทุกข์ประชาชนได้อย่างถูกต้อง - เท่าเทียม เท่าที่จะเป็นไปได้

รัฐบาลสิงคโปร์อัดฉีดงบประมาณเพิ่มอีก 1.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เตรียมแจกเงินให้ชาวสิงคโปร์ที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ 200-800 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 5,200 - 21,000 บาท) ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในสิงคโปร์

การแจกเงินช่วยเหลือค่าครองชีพพิเศษนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกองทุน Assurance Package (AP) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ว่าจะแจกเงินให้แก่ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้น เป็นจำนวนเงิน ตั้งแต่ 700 - 2,200 เหรียญ โดยประเมินจากรายได้ต่อปี และการถือครองอสังหาริมทรัพย์เป็นรายบุคคล 

ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ...
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีไม่เกิน $34,000 
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $34,000 แต่ไม่ถึง $100,000 
- กลุ่มผู้มีรายได้ต่อปีเกิน $100,000 
- กลุ่มที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1 แปลงขึ้นไป 

กลุ่มที่มีรายได้น้อย ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือมากกว่ากลุ่มรายได้สูง หรือถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งเป้าหมายของการแจกเงิน ก็เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสิงคโปร์ในภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงอนุมัติกองทุนช่วยเหลือนี้ให้ชาวสิงคโปร์นำไปใช้ซื้อสินค้า อุปโภค บริโภค และบริการที่จำเป็น โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2022 - 2026 

แต่ปีนี้จะมีเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มให้อีก ที่เรียกว่า AP Cash Special Payment ให้สำหรับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ถึงปานกลาง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีก 200 เหรียญ 

นาย ลอเรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ ได้ประกาศไว้ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า รัฐบาลตัดสินใจเพิ่มงบประมาณในกองทุน Assurance Package อีก 1.1 พันล้านเหรียญ สำหรับจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มในปีนี้โดยเฉพาะ ที่จะทำให้มีเงินในกองทุนนี้สูงถึงกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ 

ดังนั้น ภายในสิ้นปีนี้ ชาวสิงคโปร์ที่อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป กว่า 2.9 ล้านคน จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ทั้งจากโครงการ AP เดิม รวมกับ AP Cash Special ตั้งแต่ 200 - 800 เหรียญเลยทีเดียว

ซึ่งผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินผ่านระบบ PayNow ซึ่งคล้ายกับระบบ 'พร้อมเพย์' ของไทย หรือแจ้งรายละเอียดบัญชีธนาคารในเว็บไซต์ของ Assurance Package หรือ ใช้ระบบ GovCash เบิกถอนจากตู้ ATM ของธนาคาร OCBC ได้ทุกแห่งทั่วสิงคโปร์โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคาร 

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตั้งแต่มกราคม 2024 ชาวสิงคโปร์ทุกครัวเรือนก็จะได้รับบัตรกำนัลดิจิทัล มูลค่า 500 เหรียญ ภายใต้โครงการ CDC Vouchers สำหรับจับจ่ายซื้อของใช้ในร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล และ เงินช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ จากโครงการ U-Save อีกราว ๆ 130-210 เหรียญต่อครัวเรือน 

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการ AP Senior Bonus สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปอีก 200-300 เหรียญ และยังมี CPF MediSave กองทุนลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล ให้อีก 150 เหรียญ 

เรียกได้ว่า ลด แลก แจก แถม ถ้วนหน้า แล้วจริง ๆ สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์ ถึงจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดติดอันดับโลก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในย่านอาเซียน ซึ่งกลุ่มเปราะบาง รายได้น้อย หรือวัยเกษียณ มักได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบริหารงบประมาณแผ่นดินให้ถี่ถ้วน เพื่อนำมาบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ถ้วนหน้า และ เท่าเทียม ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

‘มาครง’ สนับสนุนม็อบนับแสน แสดงจุดยืนต่อต้านลัทธิเหยียดยิว

เมื่อวานนี้ (12 พ.ย.66) ชาวฝรั่งเศษกว่า 1.8 แสนคนทั่วประเทศ นัดชุมนุมประท้วงกลุ่มเคลื่อนไหวที่ออกมาต่อต้านชาวยิว ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงวิกฤติสงคราม ฮามาส-อิสราเอลในเขตฉนวนกาซาของชาวปาเลสไตน์ 

ทั้งนี้ เฉพาะตัวเลขผู้ชุมนุมในกรุงปารีส ก็มีผู้ชุมนุมมากกว่า 1 แสนคนแล้ว แถมยังมีผู้นำฝ่ายการเมืองคนสำคัญในฝรั่งเศส ออกมาร่วมชุมนุมอย่างคับคั่ง อาทิ เอลิซเบธ บอร์น นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพรรค Renaissance พรรคฝ่ายรัฐบาลของเอมานูเอล มาครง รวมทั้ง ฟรองซัวส์ โอลองด์ อดีตผู้นำฝรั่งเศส, มารีน เลอ แปง ผู้นำฝ่ายค้านขวาจัดก็มาปรากฎตัวในการชุมนุมด้วย โดยทางการฝรั่งเศสได้เตรียมทีมรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตลอดช่วงเวลาการชุมนุม 

ถึงแม้ เอมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะไม่ได้มาร่วมชุมนุมด้วย แต่เขาก็ได้ออกมากล่าวสนับสนุนการชุมนุมในวันดังกล่าว และยังเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสช่วยกันออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านกระแสเกลียดชังชาวยิว ที่มาครงใช้ความว่า ‘ฟื้นคืนชีพ’ อีกครั้งอย่างไม่อาจรับได้

ซึ่งฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีชุมชนชาวยิวเป็นจำนวนมากที่สุดในยุโรป หากนับเฉพาะคนยิวที่เป็นเชื้อสายแท้ๆ มีราวๆ 4 แสนคน แต่หากนับรวมครอบครัวชาวยิว ที่อาจบางส่วนมีเชื้อสายอื่นๆ ด้วย พบว่าในฝรั่งเศสจะมีชุมชนชาวยิวมากกว่า 6 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 6.87 ต่อประชากร 1,000 คนในฝรั่งเศส

การนัดชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ มาจากแคมเปญของ ประธานสภาบน เฌราร์ ลาร์เชอร์ ร่วมกับประธานสภาล่าง, ยาแอล โบรน-ปีแว ด้วยการออกมาเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศส ออกมาชุมนุมร่วมกันในกรุงปารีส และตามเมืองใหญ่ๆ ของฝรั่งเศส เช่น นีซ, ลียง และสตราสบูร์ก เพื่อต่อต้านกระแสเกลียดชังชาวยิว ที่ประธานสภากล่าวว่า เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการปกครองระบอบสาธารณรัฐของฝรั่งเศส

ทว่า ก็มีนักการเมืองฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยในการจัดกิจกรรมดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ ฌ็อง-ลุก เมล็องชง ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายจัด ที่มองว่า การแสดงจุดยืนเช่นนี้ในสถานการณ์นี้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความว่าเป็นการสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขของรัฐบาลฝรั่งเศสต่อการสังหารหมู่ในกาซาได้

และสังเกตได้ว่า การนัดชุมนุมของกลุ่มต่อต้านการเหยียดชนชาติยิว จัดคู่ขนานกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนปาเลสไตน์หลายพันคนที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาเมื่อช่วงศุกร์-เสาร์ ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน 

การชุมนุมของทั้ง 2 กลุ่ม จึงถูกมองว่ามีความพยายามที่จะดึงกระแสมวลชนที่มากกว่าเพื่อส่งสัญญาณต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลฝรั่งเศสต่อความขัดแย้งในฉนวนกาซา ถึงแม้ว่าแกนนำผู้ชุมนุมจะบอกว่าเป็นการแสดงออกของมวลชนที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็ตาม

ซึ่งหากดูจากจำนวนตัวแทนฝ่ายการเมืองที่เข้าร่วมชุมนุมเพียงกิจกรรมของฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่มีการพูดถึงกิจกรรมของอีกฝ่าย ก็พอจะมองออกถึงจุดยืนของรัฐบาลฝรั่งเศส ต่อสถานการณ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้านมนุษยธรรมที่สุดครั้งหนึ่งในตะวันออกกลางได้เหมือนกัน 

‘ลาว’ วิกฤติ!! ‘ยาบ้า’ ทะลักเกลื่อนตลาด ราคาถูกยิ่งกว่าน้ำเปล่า หน่วยปฏิบัติงานหย่อนยาน มุ่งดักจับแค่เป็นรายกรณีเกินไป

‘องค์การสหประชาชาติ’ วิตก ปัญหายาเสพติด ประเภท ‘เมทแอมเฟตามีน’ แพร่ระบาดอย่างหนักในท้องตลาด ‘ลาว’ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ราคาขายต่อเม็ดเหลือไม่เกินเม็ดละ 8 บาท ถูกยิ่งกว่าน้ำดื่มทั่วไป ดันยอดผู้เสพยาพุ่งเพราะเข้าถึงง่าย ซื้อขายคล่อง สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในลาว

ชาวลาวเรียก ‘เมทแอมเฟตามีน’ ว่า ‘ยาบ้า’ เช่นเดียวกับบ้านเรา ซึ่งเป็นสารเสพติดที่แพร่หลายอย่างในลาวมานานนับ 10 ปีแล้ว เนื่องจากลาวเป็นเส้นทางขนส่งยาบ้า จากรัฐฉานทางฝั่งพม่าข้ามรอยต่อชายแดนเข้ามาในลาว

แต่ทว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา ทำให้เกิดการแตกแยกทางการเมือง และสุญญากาศในการบังคับใช้กฎหมายในพม่า ส่งผลให้ขบวนการค้ายาเสพติดในพม่าเติบโตอย่างมาก การลักลอบขนยาเสพติดผ่านเข้ามาในลาวก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

เมื่อมีของเข้ามามาก ราคาก็ถูกลงตามกลไกตลาด ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับปัจจัยค่าเงินเฟ้อในลาว ในขณะที่สินค้าอุปโภค บริโภคพื้นฐานที่จำเป็นล้วนมีราคาสูงขึ้น มีแต่ยาบ้าเพียงเท่านั้น ที่นับวันราคายิ่งถูกลงไปเรื่อยๆ แม้จะมีฐานะยากดีมีจนขนาดไหนก็สามารถซื้อได้

นายบุญมี ผู้ช่วยผู้อำนวยการของ ‘Transformation Center’ หนึ่งในศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดเอกชน ที่มีเพียง 2 แห่งในลาว ได้ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ช่วง Covid-19 เป็นต้นมา ค่าครองชีพในลาวเพิ่มสูงขึ้น ข้าวของทุกอย่างล้วนขึ้นราคา แต่ยาบ้ากลับมีราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกวันนี้ คนลาวสามารถซื้อยาบ้า 1 เม็ดได้ในราคาเม็ดละ 5,000 - 7,000 กีบ (8.50-12 บาท) แต่ถ้าซื้อยกแพ็ก 200 เม็ด หารเฉลี่ยจะตกเหลือเม็ดละ 2,500 กีบ (4.30 บาท) เท่านั้น

นายแก้ว หนึ่งในผู้บำบัดยาเสพติดในศูนย์ ‘Transformation Center’ วัย 37 ปี เล่าว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้เสพติดยาบ้า และเสพต่อเนื่องมานานกว่า 17 ปี ราคายาบ้าที่ถูกลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเสพหนักกว่าเดิมถึงวันละ 10 เม็ด บางครั้งนำไปผสมกินคู่กับกาแฟด้วย เสพหนักจนหลอน จำลูก-เมียไม่ได้ ประสาทตื่นตัวตลอดเวลา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนครอบครัวต้องจับมาส่งศูนย์บำบัดในกรุงเวียงจันทน์

‘เจเรมี ดักลาส’ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ยอมรับว่าหลังเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า ทำให้เกิดการไหลทะลักของยาเสพติดข้ามชายแดนเขตรัฐฉาน ตามแนวพรมแดนแม่น้ำโขงเข้ามาในฝั่งลาว

อย่างไรก็ตาม ทางการลาวได้เร่งแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มมาตรการตรวจสอบและจับกุม โดยยาเสพติดล็อตใหญ่ล่าสุด จับกุมได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 จากการสกัดจับรถบรรทุกขนเบียร์ในจังหวัดบ่อแก้ว ซึ่งพบว่ามีการลักลอบขนยาบ้ามากถึง 55 ล้านเม็ด และยาไอซ์อีก 1.5 ตันในคราวเดียว

จากรายงานล่าสุดของ UNODC พบว่า ยอดการจับกุมยาเสพติดในลาวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากปี พ.ศ. 2562 ยึดได้ 17.7 ล้านเม็ด และเพิ่มขึ้นเป็น 18.6 ล้านเม็ดในปีต่อมา แต่ทว่าตัวเลขล่าสุดของปี 2563 ยึดของกลางได้ถึง 144 ล้านเม็ด

แต่ถึงตัวเลขการจับกุมจะสูงขึ้นแค่ไหนก็ตาม หากไม่มีการรื้อถอนขบวนการขนส่ง ที่เป็นต้นตอของปัญหาของการลำเลียงยาเสพติดผ่านเข้ามาในดินแดนลาว การไหลบ่าของยาเสพติดก็ยังคงอยู่

ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศ ได้ชี้ถึงข้อบกพร่องในการปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ลาวว่า จะเป็นการปฏิบัติงานในรูปแบบเฉพาะกิจ ดักจับเป็นรายกรณีไป ซึ่งหลายครั้งพบการเพิกเฉยในการจับกุมคนขับรถขนยา ละเลยการสาวลึกลงไปในขบวนการลักลอบขนสินค้าข้ามชาติอย่างผิดกฎหมาย ตลอดจนการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด

ดังนั้น จะมองเพียงตัวเลขการจับกุมและของกลางที่ยึดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะนั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปริมาณยาเสพติดที่ขนเข้ามาในฝั่งลาว สังเกตได้จากยาบ้าที่ล้นตลาด จนทำให้มีราคาถูกลงมากอย่างน่าใจหายนั่นเอง

ซึ่งปัญหาของยาบ้าล้นตลาดในลาว ก็สะท้อนถึงปัญหาของไทยเช่นกัน เนื่องจากไทยก็เป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งยาบ้าจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ไหลเข้ามาฝั่งไทยจำนวนมหาศาล ท่ามกลางปรากฏการณ์ ‘ยาบ้าถูกกว่าน้ำเปล่า’ เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรต้องตระหนักว่า เราควรหาทางป้องกันสังคมของเราอย่างไรต่อภัยยาเสพติดราคาถูกเช่นนี้

‘ออสเตรเลีย’ เดินหน้าประสานรอยร้าว-เคลียร์ใจทุกข้อขัดแย้ง ‘จีน’ งัดกลยุทธ ‘Kungfu Panda Diplomacy’ หวังพิชิตใจ ‘สี จิ้นผิง’

‘นายแอนโทนี แอลบานีส’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ของัดทุกกลยุทธ ขุดทุก Soft Power ที่รู้จัก มาเพื่อทำภารกิจสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนปักกิ่ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ดำดิ่งสู่ระดับเลวร้ายมานานกว่า 7 ปี

เมื่อไม่นานนี้ นายแอนโทนี แอลบานีส ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่มาเยือนจีนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2016 ในสมัยของ ‘นายแมลคัม เทิร์นบุลล์’ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคี ให้กลับมามีบรรยากาศที่ดีขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นการมาเพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่เคยขัดแย้ง จนสร้างความเย็นชาต่อกันมานานหลายปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวัว และไวน์ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ของออสเตรเลียไปยังตลาดจีน

ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นตลาดนำเข้าสินค้าออสเตรเลียรายใหญ่ที่สุดมานานหลายสิบปี นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาจีนนับแสนต่อปีที่เดินทางมาศึกษาต่อในออสเตรเลีย ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2019 มากกว่า 1.6 แสนคน และถือเป็นสัดส่วนนักเรียนต่างชาติมากที่สุดของออสเตรเลียอีกด้วย

จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จีน-ออสเตรเลีย’ เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่ปี 2017 เมื่อออสเตรเลียออกมากล่าวหาว่า จีนพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินใจดำเนินตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ในการแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของ ‘Huawei’ รวมถึงการออกมาเรียกร้องให้สอบสวนคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจากเมืองอู่ฮั่น

และล่าสุด ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ได้เติมเชื้อไฟในความบาดหมางระหว่างจีน และออสเตรเลียเรื่อยมาจนถึงวันนี้

โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อรัฐบาลจีนคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย และตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 116.2% – 218.4% รวมถึงการรณรงค์ไม่ให้นักศึกษาจีนเดินทางมาเรียนต่อในออสเตรเลีย จนยอดนักศึกษาจีนหล่นฮวบกว่า 5 หมื่นคนในปีการศึกษา 2022

ทำให้นายแอนโทนี แอลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน ต้องมาคิดทบทวน นโยบายที่แล้วมา และขอเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งการเยือนจีนในครั้งนี้ยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีที่ ‘โกห์ วิทแลม’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรก เดินทางมาเยือนจีน ในปี 1973 

หลังจากที่ได้พบหน้ากับผู้นำจีนแล้ว นายแอนโทนี แอลบานีส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศชื่นมื่น แถมยังมีการเล่นมุก หยอกล้อกันด้วยเรื่องความน่ารักของ ‘แพนด้า’ อีกด้วย

นายแอนโทนี เล่าว่า “สี จิ้นผิง เล่าถึงการไปเยือนนิวซีแลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ และเอ่ยปากชมว่าไวน์ของที่นั่นรสชาติดีมาก ผมจึงเสริมทันทีว่า ถ้าพูดถึง ‘ไวน์แดง’ ของออสเตรเลียเหนือชั้นกว่ามาก จากนั้น สี จิ้นผิง ก็พูดถึงตัว ‘แทสเมเนียนเดวิล’ สัตว์พื้นถิ่นของออสเตรเลีย และชมว่ามันน่ารักดี ผมบอกเขาไปทันทีว่า น่ารักไม่เท่าแพนด้าของจีนหรอก ผู้นำจีนรีบตอบทันทีว่า แพนด้าก็ไม่ได้น่ารักทุกตัวหรอกนะ จากนั้นก็ได้หยิบตัวละครในแอนิเมชันดัง อย่าง ‘Kungfu Panda มาคุยกันต่อ” ซึ่งผู้นำออสเตรเลียค่อนข้างพอพึงใจในการเจอกัน ระหว่างเขาและผู้นำสี จิ้นผิง ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น

แต่ทว่า สื่อตะวันตกบางสำนักได้ออกวิพากษ์วิจารณ์ นายแอนโทนี แอลบานีส ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ ‘แปลกประหลาดที่สุด’ ในบรรดาผู้นำออสเตรเลียที่ผ่านมา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความละมุนละม่อมต่อรัฐบาลจีน จากที่เคยแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด และตั้งคำถามว่าจะมีผลต่อนโยบายเกี่ยวกับจีนของรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

ด้านนายแอนโทนี ตอบแบบกลางๆ ว่า ถึงระบบการเมืองของจีนจะแตกต่างจากออสเตรเลีย แต่มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะสวมหมวกใบที่แตกต่างจากเรา เพราะพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ ถ้าหากเรารู้จักแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง

แต่ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียย้ำว่า ออสเตรเลียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วยเช่นกัน เราไม่ต้องการเป็นกันชน คนกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการพูดคุยกับผู้นำจีนในวันนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากการเจอหน้ากันครั้งแรก ในงานประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีน ที่มีความบาดหมาง และเย็นชาต่อกันมานานหลายปี อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่นายแอนโทนี แอลบานีส ยังอยู่ในตำแหน่ง ถึงไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้นำออสเตรเลียคนต่อไป จะมีนโยบายต่อจีนที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่สำหรับ ‘แพนด้า’ นับเป็นสัญลักษณ์ทูตสันถวไมตรี ที่ใช้เป็นสื่อกลางของชาวจีนได้ดีเสมอ

‘สหรัฐฯ’ ผุดแผนสร้างระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ พลังทำลายล้างสูงกว่าเดิม 24 เท่า!! เติมเต็มแสนยานุภาพให้กองทัพ เสริมแกร่งหลักประกันความสงบสุขของโลก

(1 พ.ย. 66) ‘กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา’ ชงแผนพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงที่สุดที่เคยมีมา รุนแรงกว่ารุ่นที่เคยใช้ถล่มญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 24 เท่า รอเพียงไฟเขียวจากสภาคองเกรซเท่านั้น ก็จะสามารถเดินหน้าโครงการได้ทันที

โดยระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ล่าสุดของสหรัฐฯ นี้ มีชื่อว่า ‘B61-13 Gravity Bomb’ ที่มีน้ำหนักมากถึง 360 กิโลตัน มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับ ‘Little Boy’ ระเบิดนิวเคลียร์ที่ทิ้งลงในเมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ที่มีน้ำหนัก 15 กิโลตัน หรือ ‘Fat Man’ ที่ทิ้งลงในเมืองนางาซากิหลังจากนั้นอีก 3 วัน ก็มีน้ำหนักเพียง 24 กิโลตัน แต่ถึงกระนั้น แรงของระเบิดนิวเคลียร์ทั้ง 2 ลูกในครั้งนั้นก็ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง และทำให้มีพลเมืองชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตมากกว่า 2 แสนคน

ส่วนงบประมาณในการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล โดยคาดว่าจะผลิตในปริมาณจำกัดไม่เกิน 50 ลูก และจะนำมาใช้แทนหัวรบนิวเคลียร์รุ่นเก่า ‘B61-7’ ที่ผลิตตั้งแต่ช่วงปี 1980 เพื่อให้โควตาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ยังคงเท่าเดิม

การใช้งานระเบิด B61-13 Gravity Bomb ก็เป็นไปตามชื่อของมัน คือจะต้องบรรจุระเบิดในเครื่องบินขับไล่พาไปสู่เป้าหมาย และทิ้งลงกลางเป้าโดยใช้แรงโน้มถ่วงของโลก แทนการบรรจุลงในขีปนาวุธแล้วยิงออกสู่เป้าหมายในการโจมตี

‘จอห์น พลัมบ์’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมด้านนโยบายอวกาศ กล่าวในแถลงการณ์ว่า การพัฒนาศักยภาพด้านอาวุธของสหรัฐฯ ในวันนี้ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป จากภัยคุกคามจากศัตรูในรูปแบบใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

โดยสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ในการประเมินศักยภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ ในการยับยั้งภัยคุกคาม และตอบสนองต่อการโจมตีทางยุทธศาสตร์เมื่อจำเป็น เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตรของเรา ซึ่งระเบิดรุ่นใหม่จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ฝ่ายทำเนียบขาว ในการโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นได้

แต่เมื่อมีผู้สนับสนุน ก็ย่อมมีผู้เห็นต่าง โดย ‘เมลิสซา พาร์ก’ ผู้อำนวยการบริหารของการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านโครงการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์รุ่นใหม่ของเพนตากอน ว่าเป็น ‘การเพิ่มขีดความสามารถทางการทหารอย่างไร้ความรับผิดชอบ’ ที่จะนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่

ทางองค์กรจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการพัฒนา Gravity Bomb โดยทันที เพราะการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เป็นการสังหารเป้าหมายโดยไม่เลือกหน้า ทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของพลเรือน ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมทางสงคราม

แต่ข้อเรียกร้องนี้ คงไม่อาจหยุดยั้งโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกาได้ เพราะล่าสุดทางรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งประกาศว่าจะเตรียมทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ฐานทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ใต้ดินในรัฐเนวาดา หลังจากเกิดเหตุสงครามระหว่างกลุ่มฮามาส และอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ไม่นานนี้

เพราะในมุมมองของสหรัฐฯ การยกระดับแสนยานุภาพทางทหารของตน เป็นหนทางที่จะรักษาความสงบสุขของโลกได้นั่นเอง

เห็นพ้อง!! ‘กาตาร์’ รับบท ‘คนกลาง’ ยุติขัดแย้ง ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ เหตุมีสัมพันธ์ที่ดีกับหลายขั้วอำนาจ-ช่วยหยุดรอยร้าวมาแล้วหลายครั้ง

สงครามระหว่าง ‘อิสราเอล’ และ ‘กลุ่มติดอาวุธฮามาส’ ในปาเลสไตน์ยังคงเดือดต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะลดราวาศอกลง โดยเฉพาะฝ่ายอิสราเอลที่ยังประกาศเดินหน้าแผนการโจมตีภาคพื้นดิน โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากมติขององค์การสหประชาชาติที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิง 

ท่ามกลางวิกฤติที่ดูไร้หนทางออก ในขณะเดียวกันนี้ หลายฝ่ายเริ่มฝากความหวังไว้กับประเทศกาตาร์ ในบทบาทการเป็น ‘คนกลาง’ ในการเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามในปาเลสไตน์ ก่อนสูญเสียชีวิตพลเมืองมากกว่านี้

เหตุใด ‘กาตาร์’ จึงกลายเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นคนกลางในสถานการณ์ตอนนี้? 

ในขณะที่ ‘หลายชาติในโลกตะวันตก’ และ ‘โลกมุสลิม’ มีการแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ในกรณีความขัดแย้งในปาเลสไตน์ กาตาร์กลับเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลากหลายขั้วอำนาจ อาทิ ฝ่ายชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกา, กลุ่มติดอาวุธฮามาส รวมถึงคู่ขัดแย้งในโลกอื่น ๆ อย่างอิหร่าน และ รัสเซีย อีกด้วย 

ซึ่งการวางตัวเป็นมิตรกับกลุ่มต่าง ๆ และ พยายามรักษาสมดุลด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้กาตาร์ได้รับบทบาทในการเป็นคนกลางในการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งต่างขั้วหลายครั้ง

อาทิ การเป็นเจ้าภาพงานประชุมทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกากับอัฟกานิสถาน ภายใต้การนำของรัฐบาลตอลีบานเป็นครั้งแรกตั้งแต่กองกำลังตอลีบานบุกยึดกรุงคาบูล ในปี 2021 และยังเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ในการแลกเปลี่ยนนักโทษการเมืองได้สำเร็จเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะผิดสัญญาเรื่องการส่งมอบเงินสำรองต่างประเทศจำนวน 6 พันล้านเหรียญคืนให้อิหร่าน แต่ก็ได้โอนเงินจำนวนนั้นให้แก่รัฐบาลกาตาร์เพื่อเก็บรักษาไว้จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง 

อีกทั้ง กาตาร์ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลในย่านตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับ ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในด้านความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เป็นผู้ผลิตน้ำมันชั้นนำประเทศหนึ่งของโลก และยังเป็นเจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ Al Jazeera สื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในย่านตะวันออกกลาง 

จึงทำให้กาตาร์มีศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่าย แม้แต่ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสยังให้เครดิตกาตาร์ ที่ทำให้การเจรจาปล่อยตัวประกันชาวอเมริกัน 2 คนแรก ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ 

แต่ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มในย่านตะวันออกกลาง ทั้ง ฮามาส, ตอลิบาน หรือ อิหร่าน ก็ทำให้กาตาร์ถูกมองว่าเป็นชาติที่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย  

มิหนำซ้ำ กับอิสราเอล ที่ประกาศไม่ยอมเจรจากับกลุ่มฮามาสที่ถูกรัฐบาลอิสราเอลขึ้นทะเบียนเป็น ‘กลุ่มก่อการร้าย’ ทุกกรณี ก็ไม่ไว้วางใจกาตาร์ และยังมองว่า กาตาร์ใช้สื่อ Al Jazeera ของตนเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มฮามาส และชาวมุสลิมโจมตีอิสราเอล และได้มีคำสั่งให้ปิดสำนักงานข่าว Al Jazeera ในอิสราเอลด้วย 

แต่สำหรับสหรัฐอเมริกา มองว่าในนาทีนี้ คงไม่มีชาติใดเหมาะสมในการเป็นคนกลางได้ดีเท่ากาตาร์อีกแล้ว และที่ผ่านมารัฐบาลกาตาร์ก็แสดงความสามารถในการเจรจาได้อย่างลุล่วงมาหลายครั้ง ซึ่งล่าสุด แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้เดินทางเยือนกาตาร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับภารกิจทางการทูตในการแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

และเมื่อได้แรงหนุนจากสหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้สถานะ และ บทบาทของกาตาร์ ในตะวันออกกลางมีความโดดเด่นมากขึ้น และถูกคาดหวังว่าจะสามารถไกล่เกลี่ยให้วิกฤติในปาเลสไตน์สามารถสงบลงได้ แม้เพียงแค่ชั่วคราวก็ยังดี 

'จีน' สั่งสอบด่วน!! คลิปพนักงานฉี่ใส่ถังเบียร์ชิงเต่า พบเป็นคนนอก ถือเป็นวินาศกรรมร้ายแรงแห่งวงการ

ทางการจีนทนเฉยไม่ไหว สั่งสอบสวนด่วน เหตุคลิปฉาวที่ถ่ายจากภายในโรงงานเบียร์ชิงเต่าของจีน ที่พบพนักงานในเครื่องแบบสีฟ้าปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วฉี่ใส่แทงก์เก็บส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตเบียร์ยี่ห้อดัง จนฉาวไปทั่วโลกออนไลน์ของจีน และมียอดวิวทะลุ 10 ล้านครั้งใน Weibo เพียงชั่วข้ามคืน 

สื่อจีนรายงานว่า โรงงานที่ปรากฏในคลิปเชื่อว่าเป็น Tsingtao Brewery No.3 ที่ตั้งอยู่ในเขตผิงตู ของเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง ซึ่งเป็นเมืองต้นกำเนิดเบียร์ชื่อดัง

ด้าน Tsingtao Brewery บริษัทเจ้าของเบียร์ได้ออกแถลงการณ์ทันทีหลังพบคลิปที่แพร่กระจายว่อนไปทั่วโลกโซเชียลจีนตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทติดตาม สอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด และแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแทงก์ส่วนผสม และเบียร์ทั้งล็อตที่ผลิตในวันนั้นถูกเก็บ และปิดผนึกแล้วทั้งหมด 

ต่อมามีรายงานว่าได้ควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นบุคคลในคลิป ที่อุตริปีนขึ้นไปยืนฉี่ใส่แทงก์เบียร์ พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนที่เป็นคนถ่ายคลิปได้แล้ว เบื้องต้น ยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ใช่พนักงานประจำของโรงงานเบียร์ชิงเต่า แต่เป็นพนักงานจากบริษัทภายนอกที่จ้างงานชั่วคราว แต่ได้แอบลักลอบเข้าไปในโรงงานเบียร์ช่วงกลางคืน และกระทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมร้ายแรงในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร 

'Tsingtao' ถือเป็นแบรนด์ที่ผลิตเบียร์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน และมียอดการส่งออกเป็นอันดับ 1 ที่กินส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ส่งออกของจีนถึง 50% ปัจจุบัน Tsingtao Brewery เป็นโรงงานผลิตเบียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และทำให้ 'เบียร์ชิงเต่า' เป็นภาพลักษณ์ของเบียร์จีนในตลาดโลก 

จากคลิปเหตุฉาวครั้งนี้ สั่นสะเทือนภาพลักษณ์ และ ความเชื่อถือต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก จนสื่อนอกขนานนามว่าเป็น 'Pee-gate' หรือ 'คดีฉี่ฉาว' ที่อาจสร้างผลกระทบต่อมูลค่าของบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างมหาศาล 

ซึ่งคล้ายกับคดีของเครือร้านซูชิเจ้าดังของญี่ปุ่น ที่เคยเกิดกรณีเด็กมัธยมเล่นตลกด้วยการแอบถ่ายคลิปตนเองกำลังเลียขวดซอสโชยุของร้านเผยแพร่ทางออนไลน์ จนสร้างความไม่สบายใจต่อลูกค้าของร้านเป็นวงกว้าง ทำให้แบรนด์ของร้านซูชิเจ้าดังสูญเสียมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 122 ล้านเหรียญภายในชั่วข้ามวัน จากความคึกคะนองของเด็กเพียงคนเดียว  

แต่ในกรณีของเบียร์ชิงเต่า ดูจะหนักกว่ามาก จนรัฐบาลจีนต้องสั่งให้สอบสวนเป็นกรณีเร่งด่วน ที่ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ให้ยังคงนึกถึงเบียร์จีน นึกถึงชิงเต่า ได้อย่างที่เคยเป็นมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top