Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

'ชิอิโนะ คาโรลินา' ขอสละตำแหน่ง เซ่นข่าวฉาว เป็นนางงามมือที่ 3

จำต้องคืนมงฯ โบกมือลาตำแหน่งนางงามญี่ปุ่นเสียแล้ว สำหรับ ชิอิโนะ คาโรลินา สาวงามเชื้อสายยูเครน ผู้สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศจากงานประกวด Miss Nippon Grand Prix ประจำปี 2024 เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์ นางงามที่มีเชื้อสายยุโรป 100% แต่สามารถคว้ามงกุฎจากเวทีประกวดของญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากชาวญี่ปุ่นถึงคุณสมบัติในการประกวดนางงามของเธอ 

แต่หลังจากที่ครองตำแหน่งยังไม่ถึงเดือน ชิอิโนะ คาโรลินา จำต้องสละตำแหน่งเสียแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะกองประกวดเรียกคืนรางวัลเพราะเสียงวิจารณ์ว่าเธอไม่ใช่สาวญี่ปุ่น แต่เป็นเพราะข่าวฉาวหลังงานประกวดว่าเธอมีสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว 

โดย Shukan Bunshun หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของญี่ปุ่นได้นำเสนอข่าวว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีความสัมพันธ์กับนายแพทย์คนหนึ่ง ที่มีสถานะ 'แต่งงานแล้ว' ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม และ ศีลธรรม ในสังคมญี่ปุ่น

ด้านกองประกวด Miss Nippon Grand Prix เคยออกมาตอบโต้ข่าวฉาวดังกล่าวว่า ทราบเรื่องที่ ชิอิโนะ คาโรลินา กำลังคบหาดูใจกับนายแพทย์คนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากฝ่ายชายปิดบังสถานะการแต่งงานของตน ก่อนที่จะมาคบกับ ชิอิโนะ คาโรลินา ดังนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเธอ และกองประกวดยังคงสนับสนุน  ชิอิโนะ คาโรลินา ในการทำหน้าที่ Miss Nippon Grand Prix ต่อไป

แต่ทว่าเมื่อวันจันทร์ (5 ก.พ. 67) กองประกวดได้ออกประกาศฉบับใหม่ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา ออกมายอมรับว่าเธอทราบถึงสถานะครอบครัวของนายแพทย์คนดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคบหากับฝ่ายชาย และได้ขอโทษทีมงาน พร้อมยื่นคำร้องขอสละตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ต่อมา ชิอิโนะ ยังได้โพสต์ข้อความขอโทษถึงภรรยาของฝ่ายชาย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทีมงานกองประกวด และบรรดาแฟนคลับที่ได้สนับสนุนเธอตลอดการแข่งขัน และรู้สึกละอายที่ได้โกหกคนเหล่านี้ จึงขอสละมงกุฏตำแหน่ง Miss Nippon Grand Prix ของเธอเพื่อเป็นการขอโทษต่อสังคม

เป็นการปิดตำนานนางงามฝรั่งคว้ามงฯ นางงามญี่ปุ่น อย่างช็อตฟิลคนทั้งประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับถึงสปิริตความเป็น 'คนญี่ปุ่น' ในตัวของ ชิอิโนะ คาโรลินา แม้แต่วัฒนธรรมการขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบเมื่อสำนึกว่าทำผิด ตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้จริง ๆ 

TikTok อินโดฯ เดือด!! ทุกพรรคอัดแคมเปญหาเสียงเพื่อวัยโจ๋ ขนาดผู้สมัครวัย 72 ยังลุกมาอัดคลิปเต้น หวังเรียกคะแนน

อินโดนีเซียเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นี้แล้ว 

ตอนนี้ บรรดาว่าที่ผู้สมัคร และ พรรคการเมืองอัดแคมเปญหาเสียงกันอย่างไม่ยั้ง โดยโซเชียลมีเดีย ถูกนำมาใช้เป็นช่องทางหาเสียงอย่างกว้างขวาง ซึ่งแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ ที่อินโดนีเซียก็คือ การหาเสียงผ่าน TikTok 

ประเทศอินโดนีเซีย มีประชากรอยู่ราว ๆ 278 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก ในจำนวนนั้นมีกลุ่มคนรุ่น Millennials และ Gen Z ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 56.5% และยังเป็นกลุ่มที่นิยมติดตามข้อมูลข่าวสารบนช่องทางโซเชียลเป็นอย่างมาก ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่ม-สาวชาวอินโดนีเซียในยุคนี้ หนีไม่พ้น TikTok 

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีบัญชีผู้ใช้ TikTok ที่ยัง Active อยู่ถึง 125 ล้านบัญชี นับเป็นประเทศผู้ใช้ TikTok มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

การใช้โซเชียลมีเดียช่วยในการหาเสียง มีมานานแล้วในทุกประเทศ ยิ่งในอินโดนีเซียที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมเล่นโซเชียลกันเป็นกิจวัตร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ TikTok กลายเป็นสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีอิทธิพล และบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่เนื้อหา ประเด็นทางการเมือง จนกลายเป็นสนามที่ใช้ต่อสู้อย่างดุเดือดในการหาเสียงเลือกตั้งของอินโดนีเซียในปีนี้

อาร์โย เซโน บากาสโกโร ผู้ทำหน้าที่โฆษกในแคมเปญหาเสียงของนาย กันจาร์ ปราโนโว กล่าวว่า จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว (2562) ที่ใช้ Instagram ในการหาเสียงผ่านโซเชียลมากที่สุด แต่ทว่าปีนี้กลายเป็นยุคของ TikTok ไปเสียแล้ว

จึงไม่แปลกใจที่ตอนนี้ผู้สมัครแถวหน้าทั้ง 3 คนในศึกชิงตำแหน่งผู้นำอินโดนิเซีย ล้วนสร้างคอนเทนต์เอาใจกลุ่ม Voter รุ่นใหม่ผ่านช่องทาง TikTok กันอย่างคึกคัก อย่างนาย ปราโบโว ซูบิอานโต รัฐมนตรีกลาโหมวัย 72 ปี โชว์คลิปเต้น TikTok กลางเวทีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนวัย กระฉับกระเฉง เข้าถึงง่าย และได้ฐานเสียงกลุ่มคนวัย 40 ไปได้ไม่น้อย 

นาย อานีส บัสเวดัน อดีตผู้ว่ากรุงจาการ์ตา ใช้ TikTok เจาะกลุ่มวัยรุ่นผู้นิยม K-Pop ในอินโดนีเซียได้อย่างกว้างขวาง บางคลิปมีคำบรรยายภาษาเกาหลี และมีการสื่อสารผ่านเครือข่ายกลุ่มแฟนด้อมของไอดอลเกาหลีในอินโดนีเซียในการหาเสียง

ส่วนนาย กันจาร์ ปราโนโว ผู้สมัครแถวหน้าอีกคนใช้ TikTok ในสไตล์หาเสียงที่ต่างออกไป ด้วยการถ่ายคลิปแบบเรียบง่าย เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่เล่น TikTok สวมเสื้อแจ็กเกตแบบ Top Gun บ้าง เสื้อยืดขาวลายเพนกวินธรรมดาบ้าง เดินเท้าเปล่าบ้าง เน้นการสื่อสารที่เข้าถึงชาวบ้านทั่วไปแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยโลกโซเชียลของอินโดนิเซีย

แม้แต่ละคนจะมีกลยุทธ์การสื่อสารถึงฐานเสียงที่ต่างออกไป แต่ TikTok กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในสนามเลือกตั้งอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นถึงสื่อสังคมออนไลน์อย่าง TikTok ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้การหาเสียงแบบเดินเท้า เคาะประตูตามบ้าน หรือแสดงวิสัยทัศน์ผ่านรายการดีเบตบนหน้าจอโทรทัศน์ ยังคงต้องมีอยู่ 

แต่ทั้งนี้ การก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งสื่อหลักของ TikTok ในแคมเปญหาเสียงของแทบทุกพรรคในอินโดนีเซีย อาจกำลังสะท้อนถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านสู่มุมมอง และการตัดสินใจของคนยุคใหม่ ทั้งกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่เกาะกระแสไว เน้นประเด็นหลัก สรุปจบสั้นภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ก็พร้อมเข้าคูหา กาคนที่โดนใจได้แล้ว

'ชาวญี่ปุ่น' ถกสนั่น หลัง 'ชิอิโนะ คาโรลินา' คว้ามงนางงามญี่ปุ่น แม้ถือสัญชาติญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่แคล้วเหมือนสาวยุโรป 100%

ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง อีกทั้งยังมีความภูมิใจในวัฒนธรรม ความงดงามตามแนววิถีญี่ปุ่นมาก แต่ทว่า แนวความคิดนี้เริ่มถูกท้าทายจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จากกระแสการเคลื่อนที่ ลื่นไหล หลอมรวมของผู้คนต่างสังคม ตามวัฒนธรรมที่หลากหลายจากทั่วโลก

และล่าสุด สังคมญี่ปุ่นถูกท้าทายด้วยคำถามอีกครั้ง จากเวทีประกวดสาวงามประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ปรากฏว่า สาวงามที่สามารถคว้ามงกุฎจากเวที Miss Nippon Grand Prix ในปีนี้ไปได้ คือ 'ชิอิโนะ คาโรลินา' สาวสวยเชื้อสายยูเครน ที่เกิดในเมืองเทอร์โนพิล ประเทศยูเครน ก่อนจะย้ายตามแม่มาใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ 5 ขวบ 

ถึงแม้ว่า ชิอิโนะ คาโรลินา จะสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไร้ที่ติ มีรูปร่าง หน้าตางดงามสมตำแหน่งเป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอคือสาวยุโรป 100% ไม่มีเค้าโครงความงามแบบพิมพ์นิยมของชาวญี่ปุ่นอยู่เลย 

จากประวัติศาสตร์เวทีประกวดสาวงามญี่ปุ่น ก็เคยมีสาวงามลูกครึ่งมาคว้ามงกุฎ Miss Japan มาก่อนในปี 2015 โดย มิยาโมโตะ อาเรียนา สาวลูกครึ่งผิวสี แอฟริกัน - ญี่ปุ่น ที่ก็เคยสร้างประเด็นร้อนแรงในสังคมญี่ปุ่นมาก่อนว่า หญิงสาวลูกครึ่งควรมีสิทธิ์ประกวดนางงามญี่ปุ่นได้หรือไม่ 

แต่กรณีของ ชิอิโนะ คาโรลินา ดูเหมือนจะหนักกว่า มิยาโมโตะ อาเรียนา เสียอีก เนื่องจากเธอย้ายตามแม่ของเธอมาอยู่เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ 5 ขวบ หลังจากที่ได้หย่ากับพ่อชาวยูเครนของเธอ มาแต่งงานใหม่กับชาวญี่ปุ่น คาโรลินา จึงได้เปลี่ยนนามสกุล และ ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นตั้งแต่นั้น แต่เพิ่งมาได้สัญชาติญี่ปุ่นเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง หลังเกิดเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

จึงเป็นเหตุให้คุณสมบัติของเธอกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างมากว่า ชิอิโนะ คาโรลินา มีสิทธิ์ลงสมัครประกวดนางงามญี่ปุ่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่ได้มีเชื้อสายญี่ปุ่นอยู่เลย แต่ทั้งนี้กองประกวดไม่ได้กำหนดว่า ผู้เข้าประกวดต้องมีเชื้อสายญี่ปุ่น หรือ เกิดในญี่ปุ่น ขอแค่ถือสัญชาติญี่ปุ่นก็มีสิทธิ์เข้าประกวดได้

ชิอิโนะ คาโรลินา กล่าวขอบคุณที่มอบตำแหน่งชนะเลิศนี้ให้กับเธอ ที่เธอยังนึกว่าฝันไปเมื่อได้ยินชื่อของเธอได้รับตำแหน่งนางงามญี่ปุ่น เธอยอมรับว่ากำแพงเชื้อชาติเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของเธอในญี่ปุ่นเสมอมา ที่สังคมญี่ปุ่นมักมองเธอเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่คนญี่ปุ่น โดยเป้าหมายในชีวิตของเธอคือ ต้องการสร้างสังคมที่ผู้คนเปิดใจอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ตัดสินผู้อื่นจากภาพลักษณ์ภายนอก 

แต่ถึงแม้งานประกวดจะจบไปแล้ว แต่ดูเหมือนสังคมญี่ปุ่นยังไม่จบกับประเด็นนี้ ที่ต้องยอมรับว่ายังมีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยมีทัศนคติต่อต้านชาวต่างชาติ และมองว่า ชิโนะ คาโรลินา ไม่เหมาะที่จะได้รับเลือกเป็นตัวแทน ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริงได้ บางคนมองถึงประเด็นการเมือง และตั้งข้อสงสัยว่า หาก คาโรลินา มีเชื้อสายรัสเซีย ไม่ใช่ยูเครน เธอคงไม่มีสิทธิ์ชนะการประกวดในครั้งนี้อย่างแน่นอน 

ในขณะเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นในยุคสมัยใหม่เริ่มเปิดใจรับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสำรวจของ Pew Research Centre พบว่า 59% ของกลุ่มสำรวจชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการย้ายถิ่นฐานของชาวต่างชาติจะช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นแข็งแกร่งขึ้น จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่นในอนาคต

ดังนั้น ชาวญี่ปุ่นกลุ่มนี้มองว่า คาโรลินา ได้ถือสัญชาติญี่ปุ่นตามกฎหมายแล้ว ก็ถือว่าเธอเป็นพลเมืองญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศได้ไม่ต่างจากคนญี่ปุ่นทั่วไปเช่นกัน แทนที่จะมองว่าการคว้ามงกุฎบนเวทีประกวดความงามญี่ปุ่นของ ชิโนะ คาโรลินา เป็นการท้าทายสังคมญี่ปุ่น ควรมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมากกว่า 

เช่นเดียวกับการพยายามกล่าวย้ำบนเวทีของคาโรลินา ว่า "ใคร ๆ ก็บอกฉันตลอดว่า ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ฉันนี่แหละ 'คนญี่ปุ่น' เพราะความเชื่อมั่นนั้น ได้พาฉันมายังเวทีแห่งนี้ ซึ่งวันนี้ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่พวกคุณยอมรับในตัวฉันแล้ว" 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ชาวญี่ปุ่นก็ได้นางงามคนใหม่แล้ว ถึงภายนอกจะเป็นฝรั่ง แต่หัวใจเป็นญี่ปุ่น 100% เดส!!

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

2 สาวนักเคลื่อนไหว บุกสาดซุปใส่ 'ภาพวาดโมนาลิซ่า' สร้างกระแสเรียกร้องสิทธิเรื่องอาหารให้โลกเหลียว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เกิดกระแสใหม่ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการบุกโจมตี สาดสี สาดโคลนใส่ภาพวาด งานศิลปะชื่อดังระดับโลก เพื่อดึงความสนใจจากสังคม และพื้นที่บนหน้าสื่อในการส่งผ่านข้อเรียกร้องที่พวกเขาต้องการจะสื่อ สู่สังคมทั่วโลกให้ดังที่สุด

แม้ว่า การกระทำของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นการแสดง 'ความหิวแสง' และไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมโดยส่วนใหญ่ก็ตาม 

และล่าสุด ภาพวาดที่เรียกได้ว่า โด่งดังที่สุดในโลก อย่าง โมนาลิซ่า ของจิตรกรเอก เลโอนาร์โด ดา วินชี ก็ไม่รอด โดน 2 นักเคลื่อนไหวสาวจากกลุ่ม Riposte Alimentaire (การตอบโต้ด้วยอาหาร) บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เพื่อสาดซุปฟักทองใส่ภาพวาดชื่อดัง จนเลอะเทอะไปทั้งกำแพง เมื่อวันอาทิตย์ (28 มกราคม 67) ที่ผ่านมา

แต่ทั้งนี้ ภาพวาดโมนาลิซ่า ที่มีความงามเป็นอมตะ ตั้งแต่ยุคศตววรษที่ 16  รวมถึงภาพวาดระดับมาสเตอร์พีซอื่นๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ มีการป้องกันอย่างดีในกรอบกระจกนิรภัย จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ด้าน 2 สาว หลังก่อเหตุสาดซุปใส่ภาพวาดชื่อดังแล้ว ก็ออกยืนประกาศผลงานของตนรอสื่อมวลชนมาทำข่าว พร้อมกล่าวว่า "คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างงานศิลปะ กับ สิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ยั่งยืน และ ปลอดภัย" 

"ระบบการเกษตรของประเทศเรามันห่วย เกษตรกรจำนวนมากกำลังจะตาย คาสวน คาไร่ของพวกเขา"

และในขณะเดียวกัน ทางกลุ่ม Riposte Alimentaire ก็ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ยอมรับว่าการโจมตีภาพวาดโมนาลิซ่าครั้งนี้เป็นฝีมือของทางกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส บรรจุสวัสดิการด้านอาหารเข้าไปในระบบประกันสังคม เพราะการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลแจกคูปองมูลค่า 150 ยูโรให้ประชาชนทุกเดือนเพื่อนำไปซื้ออาหาร

Riposte Alimentaire เป็นหนึ่งในเครือข่าย A22 Network อันประกอบด้วยกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่ม Just Stop Oil ที่เคยบุกโจมตีภาพ 'ดอกทานตะวัน' ของ 'วินเซนต์ แวนโก๊ะ' ในหอศิลป์แห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 2022 มาแล้ว 

สำหรับ เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเหตุผลที่ต้องนำภาพวาดโมนาลิซา ไปใส่กรอบกระจกนิรภัยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ก็เพราะเคยมีผู้เข้าชม เทกรด ใส่ จนภาพวาดได้รับความเสียหายมาแล้ว

ต่อมาในปี 2019 ทางพิพิธภัณฑ์ ก็ได้มีการติดตั้งกระจกกันกระสุนเข้าไปเพิ่ม เพื่อป้องกันภาพวาดอีกชั้นหนึ่ง และในปี 2022 โดยชายวัย 36 คนหนึ่ง ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเก้าอี้รถเข็น และได้ปาเค้กใส่รูปโมนาลิซ่า พร้อมตะโกนว่า "คิดถึงโลกซะบ้าง ผู้คนมากมายกำลังทำลายมันอยู่" ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าศูนย์บำบัดทางจิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ตามระเบียบขั้นตอนต่อไป ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็จะทำรายงานร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุต่อไป ไม่ว่าเจตนาของกลุ่มนักเคลื่อนไหวจะเพื่อต้องการหาพื้นที่สื่อเพื่อเรียกร้องประเด็นเพื่อสังคมใดๆ ก็ตาม 

ด้าน ราชิดา ดาติ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า "ภาพวาดก็เหมือนมรดกของชาติ ที่ควรถนอมรักษาให้รุ่นลูกหลานในอนาคตของพวกเราได้ชมด้วย" 

อยากจะบอกว่า แสงอยู่กับเราไม่นาน และหากต้องการให้เกิดกระแสเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงและยาวนาน ควรหาวิธีที่สร้างสรรค์และทำซ้ำๆ อาจจะนานหน่อยกว่าคนจะตระหนัก แต่คงดีกว่ามาทำอะไรที่เป็นการ 'หิวแสง' แบบนี้

‘อย.เกาหลีใต้’ เตือน!! ไม่ควรกิน ‘ไม้จิ้มฟันผลิตจากพืช’ ทุกชนิด ชี้!! อาจแพ้-ท้องเสียได้ หลังเด็ก-เยาวชนทำตามคอนเทนต์ในโซเชียล

องค์การอาหารและยาแห่งเกาหลีใต้ได้ออกเอกสารเตือนเรื่อง ‘การบริโภคไม้จิ้มฟัน’ ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลแดนโสมขาว

โดยเฉพาะไม้จิ้มฟันสีเขียว ที่ทำจากแป้งข้าวโพด นิยมนำมาดัดแปลงทำอาหารบ่อยที่สุด จนหน่วยงานด้านอาหารและยาต้องออกโรงเตือนว่า ไม่ควรรับประทานไม้จิ้มฟัน เพราะถึงแม้ตัวไม้จิ้มฟันจะทำจากแป้ง แต่ก็ไม่ได้ผลิตมาเพื่อใช้บริโภคโดยตรง จุดประสงค์เพื่อเป็นของใช้ภายนอก และใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่นเดียวกับ แก้วน้ำ หรือ หลอดกาแฟ ที่ทำจากกระดาษ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงเรื่องสุขอนามัย หากบริโภคไม้จิ้มฟันเข้าไปในร่างกาย 

ด้านกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาเตือนเหล่าบรรดายูทูบเบอร์ ที่เผยแพร่คลิปวิดิโอ แสดงวิธีการดัดแปลงไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดมาทำอาหารเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มีอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวเกาหลี ในชื่อบัญชี @hiharu_22 เผยแพร่คลิปนำไม้จิ้มฟันไปทอดจนฟูกรอบ และนำมาราดด้วยชีส และกลายเป็นกระแสไวรัลในทันที เมื่อคลิปมียอดวิวสูงถึง 4.4 ล้านวิว จึงมียูทูบเบอร์คนอื่น ๆ ทำตามด้วยการนำไม้จิ้มฟันมาต้มกินแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นำไปผัดเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย

ปัญหาที่ตามมาคือ มีเด็กนักเรียน และวัยรุ่นเกาหลีจำนวนมาก แห่กินไม้จิ้มฟันตามคลิปที่แชร์ตาม ๆ กันมา ซึ่งเป็นอิทธิพลจากกระแสวัฒนธรรมการโชว์กินอาหารออกสื่อในโซเชียล ที่เรียกกว่า ‘ม็อกบัง’ (먹방) หนึ่งในคอนเทนต์ที่นิยมมาก ๆ ในเกาหลีใต้ จนผู้ปกครองเริ่มเป็นห่วงว่าการกินไม้จิ้มฟันจำนวนมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ 

เช่นเดียวกับองค์การอาหารและยาของเกาหลี ที่ต้องรีบออกมาเตือนว่า ไม่ควรบริโภคไม้จิ้มฟันแป้งข้าวโพดโดยเด็ดขาด เนื่องจากไม้จิ้มฟันประเภทนี้ มักทำจากแป้งข้าวโพด หรือ แป้งมันฝรั่ง ผสมกับ สารซอร์บิทอล สารส้ม และสีสังเคราะห์ ที่เป็นสารเคมี ถึงแม้จะไม่ใช่สารที่เป็นอันตราย หากบริโภคเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าบริโภคเป็นปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ท้องร่วง อาเจียน หรือเกิดการอักเสบของอวัยภายในร่างกายได้

ดังนั้น ชาวโซเชียลก็ต้อง ‘พักก่อน’ ไม้จิ้มฟัน มีไว้จิ้มฟันพอ ถ้าหิวจริง ๆ ก็หาอย่างอื่นกินดีกว่า 

ออสเตรเลียสั่งโละ 'Golden Visa' ให้เศรษฐีต่างชาติ เพราะสุดท้าย ไม่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศเลย

รัฐบาลออสเตรเลียตัดใจยกเลิก 'Golden Visa' หรือ 'วีซ่าทองคำ' สำหรับมหาเศรษฐี ที่หอบเงินก้อนโตมาลงทุนเพื่อแลกสิทธิ์พำนักถาวรในออสเตรเลีย หลังข้อมูลชี้ว่า นักลงทุนกลุ่มนี้แทบไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างที่เคยหวังไว้

สำหรับ 'วีซ่าทองคำ' เป็นแคมเปญดึงดูดมหาเศรษฐีต่างประเทศให้รายใหญ่ ให้โยกเงินก้อนโตของตนมาฝาก หรือลงทุน ซื้อทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ในประเทศ เป็นช่องทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศนิยมใช้ โดยให้สิทธิวีซ่าในการพำนัก หรือย้ายถิ่นฐานถาวร

ซึ่งทางออสเตรเลีย ก็ได้เปิดวีซ่าทองคำ สำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นครั้งแรกในปี 2012 ภายใต้โครงการ 'นวัตกรรมธุรกิจ และ การลงทุน' ซึ่งมีการแบ่งวีซ่าประเภทนี้ออกเป็น 2 หมวด สำหรับ 'นักธุรกิจด้านนวัตกรรม' และ 'นักลงทุน' โดยกำหนดเงื่อนไขเงินที่ต้องใช้ลงทุนในออสเตรเลียมากกว่า 5 ล้านเหรียญออสเตรเลียขึ้นไป (ประมาณ 117.5 ล้านบาท) และตั้งเป้าว่าจะได้เศรษฐีมาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ หรือลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมให้ขยายตัวมากขึ้น

แต่ทว่า ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดังหวัง เพราะเศรษฐีจำนวนไม่น้อย ต้องการวีซ่าทองคำเพื่อได้สิทธิ์อยู่ถาวรในออสเตรเลียเท่านั้น อีกทั้งวีซ่าทองคำ ไม่ได้จำกัดอายุ หรือ ต้องมีทักษะทางภาษาอังกฤษ ดังนั้นผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นใบสมัครจะเป็นใครก็ได้ ที่ไม่มีคดีติดตัว และมีหลักฐานเงินทุนที่มั่งคงเกิน 5 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถสมัครวีซ่าประเภทนี้ได้ นั่นจึงทำให้วีซ่าทองคำของออสเตรเลียนิยมในหมู่มหาเศรษฐีจีน 

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า กว่า 85% ของวีซ่าทองคำ 100,000 ใบที่ออกให้ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน เป็นชาวจีน ที่หลายคนเชื่อว่าอาจเป็นเพราะตัวเลขหมวดวีซ่าทองคำออสเตรเลียใช้รหัส 888 ที่ถือเป็นเลขมงคลของชาวจีนด้วย 

แต่ทว่าผู้ที่ได้วีซ่าทองคำไปแล้ว กลับไม่ได้นำเงินมาลงทุนต่อยอดจริงๆ อย่างที่รัฐบาลออสเตรเลียคาดหวัง หลายคนแค่ต้องการย้ายเงินเก็บทั้งชีวิตมาเพื่อหาที่เกษียณ อยู่สบายๆในออสเตรเลียมากกว่า แถมยังทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศพุ่งสูงขึ้นจนพลเมืองแท้ๆ ในประเทศหลายครอบครัวไม่สามารถซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้

นอกจากนี้ วีซ่าทองคำยังถูกวิจารณ์ว่า เป็นช่องทางให้กับเจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ หอบเงินที่ได้จากการคอร์รัปชัน ฟอกเงิน มาซุกซ่อนไว้ในออสเตรเลีย อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันของออสเตรเลียที่มาจากพรรคแรงงาน มีนโยบายลดจำนวนผู้ย้ายถิ่นต่างชาติให้น้อยลงเท่ากับจำนวนก่อนยุค Covid-19 

ดังนั้น จึงมีการพิจารณายกเครื่องระเบียบ กฎเกณฑ์ การยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานสำหรับชาวต่างชาติใหม่หมด และได้ตัดวีซ่าทองคำทิ้ง แต่เพิ่มสัดส่วนของวีซ่าแรงงานที่มีทักษะสูง ภาษาอังกฤษดี เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานที่ออสเตรเลียแทน

เช่นเดียวหลายชาติในยุโรป ที่เริ่มตัดสินใจยกเลิกให้ 'วีซ่าทองคำ' แก่เศรษฐีต่างชาติแล้วเช่นกัน อาทิ สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์ ส่วน สเปน และ โปรตุเกส ได้เริ่มลดจำนวนการออกวีซ่าทองคำแล้ว เพื่อที่จะยกเลิกอย่างถาวรในไม่ช้า 

อันเนื่องจากรัฐบาลกลางของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเริ่มมีทัศนคติในแง่ลบต่อโครงการวีซ่าทองคำ ที่มักถูกมองว่าเป็นการ 'ขายวีซ่า' แก่บุคคลที่อาจโดนคว่ำบาตร หรือถูกขึ้นบัญชีดำจากชาติตะวันตก  หรือเป็นช่องทางไซฟ่อนเงินทุจริตจากต่างประเทศ ดังนั้น รัฐบาลบรัสเซลส์จึงเรียกร้องให้ชาติสมาชิกมีนโยบายออกวีซ่าทองคำ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครให้มากขึ้นอีกด้วย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

Startup จีนเจ๋ง พัฒนาแบตเตอรีนิวเคลียร์เล็กเท่าเหรียญ จุดเด่นอยู่ได้ 50 ปี ไม่ต้องชาร์จ ไม่ต้องซ่อม

Betavolt บริษัท Startup ด้านนวัตกรรมพลังงานของปักกิ่งเปิดตัวแบตเตอรีพลังงานนิวเคลียร์รุ่นล่าสุด ที่มีขนาดเล็กเท่าเหรียญบาท แต่สามารถให้พลังงานได้ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จ

สร้างความฮือฮาในวงการนวัตกรรมพลังงานอย่างมาก เมื่อ Startup จีน สามารถพัฒนา BV-100 แบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกของบริษัทออกมาได้สำเร็จ และยังสามารถเคลมว่าเป็นแบตเตอรีนิวเคลียร์ตัวแรกของโลก ที่พัฒนาให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้จริง

โดยทาง Betavolt ได้ใช้ Nickel-63 ไอโซโทปรังสีนิวเคลียร์ชนิดหนึ่งบรรจุเข้าไปในอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดเพียง 15×15×15 มิลลิเมตร ทำให้ได้แบตเตอรีที่มีขนาดเล็กมากพอๆ กับเหรียญบาท ที่สามารถให้กำลังไฟฟ้า 100 ไมโครวัตต์ และแรงดันไฟฟ้า 3 โวลต์ ได้ในเวลา 50 ปี

แต่ต้องยอมรับว่า แบตเตอรีรุ่นแรกของบริษัทให้กำลังไฟค่อนข้างต่ำ จึงไม่แรงพอที่จะชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ตโฟนได้ ทางบริษัทจึงแนะนำให้ใช้ BV100 แบบอนุกรม หรือ ควบคู่ไปกับอุปกรณ์จ่ายไฟอื่นๆ ไปก่อน

ทั้งนี้ Betavolt มีเป้าหมายในการพัฒนาแบตเตอรีรุ่นต่อๆ ไปให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จนสามารถใช้เป็นพลังงานหลักให้กับอุปกรณ์ดิจิทัลทั่วไป อย่าง สมาร์ตโฟน หรือ โดรน ได้ ขณะเดียวกันยังสามารถนำไปปรับใช้กับเครื่องมือเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น อากาศยาน, เครื่องมือแพทย์, อุปกรณ์ AI, เครื่องตรวจจับสัญญาณ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ขนาดเล็ก ให้ได้ในอนาคตอันใกล้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก ที่จะสามารถใช้อุปกรณ์ดิจิทัลของตนได้อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟอีกต่อไป 

(ทางบริษัทยังรับรองความปลอดภัยของตัวแบตเตอรีนิวเคลียร์ ที่จะไม่ติดไฟ หรือระเบิดออกเมื่อถูกกระทบกระเทือน และยังสามารถใช้งานได้ดีภายใต้อุณหภูมิ -60 จนถึงระดับ 120 องศาเซลเซียส)

สำหรับการคิดค้นเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์  นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต และ ชาวอเมริกัน เคยนำมาใช้แล้วตั้งแต่ยุคสำรวจอวกาศ ที่มักใช้ในยานสำรวจใต้ทะเล หรือสถานีอวกาศ แต่ทั้งนี้ ตัวแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่เทอะทะ และราคาสูงมาก จึงจำกัดการใช้งานแต่เพียงโครงการของรัฐบาลเท่านั้น

ซึ่งรัฐบาลจีนต้องการท้าทายขีดจำกัดดังกล่าว ด้วยการบรรจุแผนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์ไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2021-2025) จนสามารถเปิดตัวแบตเตอรีนิวเคลียร์จิ๋วรุ่นแรกออกมาได้ก่อนชาติตะวันตกอย่าง สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป

และยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันด้านนวัตกรรมของจีน ที่พร้อมก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งแถวหน้าของโลกได้อย่างไม่น้อยหน้าใครอีกด้วย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'นักลงทุนโลก' ฟันธง!! หมดยุค 'คริปโต' ต่อจากนี้ คือ โอกาสยุคทองของ AI

ตามสัจธรรมของโลก ทุกสรรพสิ่งล้วนมีช่วงเวลาของการตั้งอยู่ ดับไป วนไปเป็นวัฏจักร 

แต่ในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดูเหมือนว่าวัฏจักรที่ว่านี้ จะหมุนไวเป็นพิเศษ 

สังเกตได้จากทิศทางของงานประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum งานประชุมชั้นนำที่คัดสรรเฉพาะผู้แทนจากรัฐบาลทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ, องค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ, นักธุรกิจแถวหน้าของโลก และผู้ที่มีอิทธิพลในสังคมจากสาขาต่าง ๆ มาถกประเด็นกันถึงทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว หัวข้อเรื่องธุรกิจเงินคริปโตเคอร์เรนซี เป็นประเด็นหลักที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงอย่างมาก จนเรียกได้ว่า ช่วงเวลานั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ หายใจเข้า-ออก เป็นภาษาคริปโตกันเลยทีเดียว

แต่ทว่าล่าสุดปีนี้ (2024) หัวข้อเรื่องเกี่ยวกับ AI กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในงาน World Economic Forum ไปเสียแล้ว เบียดธุรกิจคริปโตตกเวทีไปไกลไม่เห็นฝุ่น บริษัทชั้นนำของโลกต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ของตนออกสู่ตลาดกันอย่างคึกคัก และเชื่อมั่นว่ายุคทองของ AI มาถึงแล้ว พร้อมประกาศชัดว่า ต่อจากนี้ The future is AI.

การพลิกกระแสไปสู่วัฒนธรรม AI เกิดขึ้นเร็วมาก เริ่มจากการเปิดตัวของ ChatGPT โปรแกรมแชต บอท AI ที่พัฒนาโดยบริษัท OpenAI ที่ออกมาเมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา และกลายเป็นกระแสหลักที่นักลงทุนทั่วโลกต่างพูดถึง 

และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกต่างถูกกดดันให้แข่งขันเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้าน AI อาทิ Intel บริษัทเซมิคอนดัคเตอร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ หรือ Salesforce บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ทุ่มเม็ดเงินลงทุนในงานพัฒนา AI ของตน 

PitchBook บริษัทวิจัยด้านการลงทุน พบว่าบริษัทสตาร์ตอัปด้าน AI และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ได้รับแหล่งเงินลงทุนมากขึ้น และมากกว่าธุรกิจด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เคยเป็นดาวรุ่งเช่นกัน อย่าง ธุรกิจคริปโต และยังสามารถทำรายได้กว่า 600 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลาแค่ไตรมาสเดียว 

นอกจากกระแสตลาดผู้พัฒนา AI จะคึกคักแล้ว บริษัทชั้นนำในหลายประเทศก็ตอบรับกระแส AI และพร้อมจะนำมาปรับใช้องค์กรแล้ว จากการสำรวจประจำปีของบริษัท PwC พบว่าเกือบครึ่ง (42%) ของบริษัทในอังกฤษได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้แล้ว ในขณะที่ 32% ของบริษัทกว่า 4,702 แห่งจาก 105 ประเทศทั่วโลกต่างก็เริ่มปรับปรุงเทคโนโลยีของตนด้วย AI แล้วเช่นกัน 

ด้าน คริสทาลินา จอร์จิวา ผู้อำนวยการ IMF แสดงความเห็นว่า การเติบโตของ AI อาจส่งผลกระทบกับตำแหน่งงานของมนุษย์ถึง 40% ที่อาจทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแย่ลง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีแนวโน้มที่จะบูรณาการองค์กรของตนด้วย AI เร็วกว่าที่อื่น ๆ ทำให้โอกาสที่แรงงานมนุษยจะถูกแทนที่ด้วย AI อาจมีสัดส่วนสูงถึง 60% เลยทีเดียว  

เช่นเดียวกับ Goldman Sachs ที่ได้ประเมินไว้เมื่อปี 2023 ว่า AI สามารถใช้แทนที่แรงงานมนุษย์ได้ถึง 300 ล้านตำแหน่ง แต่ในอีกแง่หนึ่ง AI ก็สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ ให้กับมนุษย์ที่ตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงทัน แล้วสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตนได้ 

ดังนั้นการเกิดขึ้นในยุคของ AI จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายต้องตระหนักรู้ถึงผลกระทบในหลายมิติต่อผู้คนในสังคมของตน และต้องเร่งพัฒนาความรู้ให้เท่าทันกับโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นมนุษย์ผู้ควบคุมปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกแทนที่ด้วย AI ในอนาคตอันใกล้

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

Oxfam เผย 5 อภิมหาเศรษฐีโลก รวยขึ้น 2 เท่า สวนทางประชากรอีก 5 พันล้านคน กลับจนลง

Oxfam องค์กรการกุศลเพื่อสังคมได้เปิดเผยข้อมูลความเหลื่อมล้ำล่าสุดในที่ประชุม World Economic Forum ประจำปี 2024 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เมื่อวันจันทร์ (15 มกราคม 2024) พบว่า มีอภิมหาเศรษฐีโลกระดับโลก 5 คน ที่มีทรัพย์สินเพิ่มจากเดิมถึง 2 เท่า ในรอบเพียง 4 ปี ขณะที่ชาวโลกจนกระจายนับพันล้านคน

โดยอภิมหาเศรษฐี ที่รวยแล้ว รวยอยู่ และยังคงรวยต่อ ในรายงานของ Oxfam ได้แก่...

- เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของแบรนด์ดัง LVMH หรือ หลุยส์ วิตตอง มีทรัพย์สิน 1.91 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปี 2020 111%

- เจฟฟ์ เบโซส์ แห่ง Amazon มีทรัพย์สิน 1.67 แสนล้านเหรียญ รวยขึ้นกว่าเดิม 24% 

- วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนรายใหญ่ มีทรัพน์สิน 1.19 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 48%

- ลาร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง Oracle มีทรัพย์สิน 1.45 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 107%

- อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla มีทรัพย์สิน 2.24 แสนล้านเหรียญ เพิ่มจากที่เขาเคยมีในปี 2020 ถึง 737%

โดยเมื่อเทียบกับปี 2020 อภิมหาเศรษฐีทั้ง 5 คนนี้มีทรัพย์สินงอกเงยขึ้นในช่วงเวลาเพียง 4 ปีรวมกันถึง 8.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 30 ล้านล้านบาท) ติดเป็นอัตราความร่ำรวยเพิ่มขึ้น 14 ล้านเหรียญต่อชั่วโมง

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กลับมีผู้คนกว่า 5 พันล้านคน หรือคิดเป็น 60% ของประชากรโลก ที่อยู่ในกลุ่มฐานะยากจนอยู่แล้ว กลับยิ่งจนลงไปเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนรวย และคนจนในโลก นับวันจะยิ่งขยายกว้างขึ้น

Oxfam ชี้ว่า หากอัตราความมั่งคั่ง และความยากจนยังคงดำเนินไปในลักษณะนี้ โลกเราจะมีคนที่รวยถึงระดับล้านล้านเหรียญเป็นคนแรกในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า แต่ทว่าปัญหาความยากจนจะฝังรากลึก จนอาจต้องใช้เวลานานถึง 229 ปี ถึงสามารถกำจัดความยากจนให้หมดไปได้

อบิตาภ บีฮาร์ ผู้อำนวยการองค์กร Oxfam International กล่าวในแถลงการณ์ที่ดาวอสว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งความแบ่งแยก ที่ผู้คนนับพันล้านต้องแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภัยโรคระบาด อัตราเงินเฟ้อ และสงคราม ในขณะที่ความมั่งคั่งไปตกอยู่กับกลุ่มมหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน และความไม่เท่าเทียมกันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

โดยกลุ่มชนชั้นนำจะทำทุกทางเพื่อรักษา และครอบครองความมั่งคั่งเหล่านั้นให้เพิ่มพูนมากขึ้น โดยให้ประชาชนรากหญ้าเป็นผู้จ่าย และแบกรับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

รายงานของ Oxfam ยังชี้ว่า ต้นตอของปัญหาเหล่านี้เกิดจากอำนาจผูกขาดขององค์กรยักษ์ใหญ่ที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน อาทิ ปัญหาการกดขี่แรงงาน การหลบเลี่ยงภาษี การแปรรูปรัฐ และทำให้เกิดความเสียหายของสภาพภูมิอากาศ 

องค์กรผูกขาดเหล่านี้เองที่ส่งความมั่งคั่งอันไม่มีที่สิ้นสุดให้กับเจ้าขององค์กรที่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ลดทอนอำนาจของแรงงาน บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชนทั่วไป

Oxfam มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประชากรโลก และได้นำเสนอข้อมูลรายงานปัญหาช่องว่างทางสังคมให้เห็นเป็นประจักษ์เป็นประจำทุกปี 

ซึ่งประเด็นที่ Oxfam ต้องการผลักดันคือการจำกัดเงินค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง, การสลายการผูกขาดขององค์กรยักษ์ใหญ่ และเสนอให้เก็บภาษีความมั่งคั่งในกลุ่มมหาเศรษฐี องค์กรใหญ่มากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ 1.8 ล้านเหรียญต่อปี

Oxfam เชื่อว่าอำนาจสาธารณะสามารถควบคุมอำนาจขององค์กรยักษ์ใหญ่ได้ แต่ทั้งนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อสลายการผูกขาด เพิ่มอำนาจให้กับคนงาน เก็บภาษีจากกำไรมหาศาลขององค์กรเหล่านี้ นำมาสนับสนุนสวัสดิการแรงงาน และบริการสาธารณะยุคใหม่เพื่อความเท่าเทียมทางสังคมมากขึ้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นงานยากสำหรับ Oxfam ในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม ตราบใดที่โลกขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยม ที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐบาลได้ ช่องว่างทางโอกาสสำหรับชาวรากหญ้าก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้นเท่านั้น 

'CEO สาว' ฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ดับอนาคตธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของตนลงในชั่วข้ามคืน

กลายเป็นข่าวสะเทือนใจแวดวงธุรกิจดาวรุ่งอินเดียทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐกัว เมืองชายฝั่งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ได้จับกุม นาง สุชนา เศรษฐ์ (Suchana Seth) CEO หญิงวัย 39 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท Mindful AI Lab หนึ่งในธุรกิจ Start-up อนาคตไกลของอินเดีย ด้วยข้อหาฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบของตัวเองแล้วแพ็กศพใส่กระเป๋าเดินทาง ขณะกำลังเดินทางออกจากรัฐกัว มุ่งหน้ากลับเมืองบังคาลอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา 

ก่อนหน้านี้ สุชนา เศรษฐ์ เดินทางมารัฐกัว พร้อมลูกชาย เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม และได้เข้าพักในอพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่งในเมืองแคนโดลิม สถานที่ตากอากาศริมทะเลชื่อดังทางตอนเหนือของรัฐกัว และได้เช็คเอาท์ออกในวันจันทร์ที่ 8 มกราคมตั้งแต่เช้าตรู่ โดยเธอได้จ้างรถแท็กซี่ให้ขับรถจากรัฐกัว ไปส่งเธอที่เมืองบังคาลอร์ ในรัฐกรณาฏกะ ที่มีระยะทางไกลถึง 600 กิโลเมตร 

หลังจากที่นาง สุชนา ออกจากที่พักไปแล้ว ก็มีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องพักของเธอ และได้พบคราบเลือดติดอยู่ จึงได้โทรแจ้งผู้จัดการโรงแรม ที่ได้โทรแจ้งตำรวจในทันที ทำให้สามารถติดตามตัวนาง สุชนา เศรษฐ์ ได้อย่างทันท่วงทีขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองบังกาลอร์ พร้อมศพลูกชายวัย 4 ขวบถูกแพ็กอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเธอด้วย จึงเป็นหลักฐานที่ทางตำรวจตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนักธุรกิจสาวรายนี้

ตอนนี้ ทางตำรวจยังไม่ทราบเหตุจูงใจที่นางสุชนา ลงมือฆาตกรรมลูกชายตัวเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับสามี ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เธอลงมือก่อเหตุสะเทือนใจในครั้งนี้ 

และเมื่อตรวจสอบประวัติส่วนตัวของนาง สุชนา เศรษฐ์  ก็พบว่าเธอมีประสบการณ์ทำงานที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เบื้องต้น เธอจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยโกลกาตา ในสาขาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอันดับ 1 นอกจากนี้เธอยังศึกษาด้านสันสกฤตศึกษา จากสถาบันวัฒนธรรมรามกฤษณะจนได้ถึงระดับอนุปริญญามหาบัณฑิตระดับเกียรตินิยมเช่นกัน  

หลังจากนั้น เธอมีโอกาสไปทำงานที่ Berkman Klein Center ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์ และได้ดูแลด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลของปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องด้วยความรับผิดชอบ ก่อนที่จะกลับมาตั้งบริษัท Mindful AI Lab ของตัวเองที่เมืองบังกาลอร์ ในปี 2020 ที่ได้นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ประมวลผลข้อมูลเพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์ด้านราคาสินค้าต่างๆ อย่างชาญฉลาด 

และทำให้ นาง สุชนา เศรษฐ์ ติดอยู่ในรายชื่อ 100 นักพัฒนา AI ดาวรุ่งหญิงประจำปี 2021 มาแล้ว 

แต่สุดท้าย อนาคตเจ้าของธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของเธอกลับต้องจบลงด้วยคดีฆาตกรรมลูกชายตัวเองอย่างน่าสลด ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่ววงการ AI ในขณะนี้ 

ซึ่งชาวเน็ตยังพบว่า ภาพสุดท้ายที่โพสต์ใน Instagram ส่วนตัวของนางสุชนา ก็คือภาพของลูกชายวัย 4 ขวบของเธอนั่นเอง พร้อมแฮชแท็กปริศนา #whatwillhappen จึงทำให้หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่า มีอะไรอยู่ในความคิดของนักธุรกิจสาวผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์คนนี้ ขณะที่เธอจับร่างไร้วิญญาณของลูกชายใส่กระเป๋าเดินทางกลับบ้านเกิด 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top