Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

จีนพบยานบินลึกลับโผล่เหนือน่านฟ้า ด้านกองทัพพร้อมสอย ไม่ต้องรออ้างอิงสัญชาติ

สื่อจีนได้รายงานว่า พบยานบินปริศนาโผล่เหนือน่านฟ้าจีน บริเวณทะเลปั๋วไห่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือชายฝั่งทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หนึ่งในท่าเรือขนส่งที่คับคั่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก 

หน่วยนาวิกโยธินแห่งนครชิงเต่ารายงานว่าพบยานบินปริศนาไม่ทราบสัญชาติ ลอยอยู่บนฟ้าใกล้เขตสนามบินนานาชาติรื่อจ้าว ในขณะที่กำลังทำการซ้อมรบในบริเวณช่องแคบปั๋วไห่ ที่เชื่อมต่อกับทะเลเหลือง เมื่อวันอาทิตย์ (12 ก.พ. 66) ที่ผ่านมา ด้านฝ่ายกองทัพจีนแถลงว่า พร้อมที่จะส่งเครื่องบินขับไล่ ทำลายยานบินปริศนาลำดังกล่าว ให้ตกลงที่กลางทะเลปั๋วไห่แล้ว 

โดยได้ประกาศแจ้งเตือนชาวประมงที่อยู่ในน่านน้ำทะเลปั๋วไห่ ไม่ให้เข้าใกล้บริเวณที่พบยานบินปริศนาลำนี้ จนกว่าจะมีการยืนยันว่าได้ทำลายยานบินลำดังกล่าวไปแล้ว และหากมีเรือประมงลำใดพบเศษซากของวัตถุปริศนาที่ตกสู่ทะเลนี้ ขอให้ถ่ายภาพ และคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะขอความร่วมมือช่วยกู้ซากนำส่งให้กับทางการจีนต่อไป

'นานาชาติ' วอน 'ยุติสงครามกลางเมือง-ลดการคว่ำบาตร' เปิดทางส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัยครั้งใหญ่ในซีเรีย

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองคาห์รามานมารัส ทางตอนใต้ของตุรเคีย เมื่อวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีแค่เฉพาะตุรเคียที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์นี้ แต่ยังมีซีเรีย ที่ได้รับความเสียหายรุนแรงจากภัยพิบัติครั้งนี้ไม่แพ้กัน ซึ่งล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตเฉพาะในซีเรียแล้วมากกว่า 1,500 คน บ้านเรือนพังถล่มเสียหายเป็นจำนวนมากในหลายเมือง กระทบต่อการใช้ชีวิตของชาวซีเรียไม่ต่ำกว่า 4.5 ล้านคน

นานาชาติได้เร่งระดมส่งความช่วยเหลือไปยังประเทศที่ประสบภัย ซึ่งการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังตุรเคียไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่สำหรับซีเรีย ประเทศที่แตกสลายจากสงครามกลางเมืองนานร่วม 12 ปี ที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ที่ถูกชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรชาติตะวันตกคว่ำบาตร กลายเป็นความท้าทายที่เดิมพันด้วยชีวิต และความหวังของประชาชนผู้ประสบภัยทั้งประเทศ

ซึ่งทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และ รัฐบาลซีเรีย ต่างก็ถูกตำหนิจากนานาชาติ ที่ใช้เงื่อนไขการคว่ำบาตร และความขัดแย้งทางการเมืองขัดขวางการส่งสิ่งของ และทุนสนับสนุนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ 

โดย รัฐบาลซีเรีย ของผู้นำบาร์ชา อัล อัสซาด ประกาศว่ายินดีรับความช่วยเหลือจากทุกองค์กรในต่างประเทศ แต่ขอให้ส่งมายังศูนย์กลางที่กรุงดามัสกัสเท่านั้น ที่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางแห่งเดียวที่จะกระจายสิ่งของ และอุปกรณ์ช่วยเหลือไปยังเมืองต่าง ๆ ที่ประสบภัยด้วยตนเอง 

แต่ทว่า เน็ด ไพรซ์ โฆษกของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางสหรัฐฯ ยินดีส่งความช่วยเหลือให้ทั้งตุรเคียและซีเรีย แต่จะไม่ขอติดต่อผ่านรัฐบาลกลางที่กรุงดามัสกัส เพราะสหรัฐอเมริกาไม่รับรองว่า บาชาร์ อัล อัสซาด เป็นผู้นำที่ชอบธรรมตามกฏหมาย

ดังนั้น แม้ว่าวันนี้ซีเรียจะประสบภัยพิบัติร้ายแรงจากแผ่นดินไหว แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมาตรการคว่ำบาตรจากทั้งสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติยุโรปได้ ตราบใดที่ บาชาร์ อัล อัสซาด ยังคงอยู่ในอำนาจ

ส่วนการช่วยเหลือประเทศซีเรีย โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า จะประสานงานผ่านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) ต่าง ๆ ในพื้นที่เท่านั้น และกลายเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามอย่างมากว่า ด้วยกำลังคนและทรัพยากรที่มีของกลุ่ม NGO จะเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีได้อย่างไร

คดีปริศนา!! พบศพครูใหญ่หญิงโรงเรียนเอกชนหรูอังกฤษ พร้อมครอบครัวกลางสนามหญ้าโรงเรียน

กลายเป็นข่าวปริศนาของชาวอังกฤษทันที เมื่อมีการพบศพของนาง เอ็มมา แพททิสัน อาจารย์ใหญ่หญิงวัย 45 ปี แห่งโรงเรียนเอกชนสุดหรูชื่อดัง Epsom College ในเมืองเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับศพของสามี (จอร์จ) วัย 36 ปี และ ลูกสาว (เลทตี้) ลูกสาวของทั้งคู่ที่อายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น ที่บริเวณสนามหญ้าภายในโรงเรียน เมื่อช่วงตี 1 ของวันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 ที่ผ่านมา

ทางตำรวจเซอร์เรย์ ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินในโรงเรียนเอกชนชื่อดังประจำโรงเรียนเมื่อช่วงกลางดึกจึงรุดไปยังที่เกิดเหตุ และได้พบศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน ที่เป็นถึงครูใหญ่ประจำโรงเรียน และครอบครัว ที่สนามหญ้าในพื้นที่ของโรงเรียน โดยที่ตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของทั้ง 3 เพียงแต่สรุปว่าเป็นการเสียชีวิตที่เป็นเหตุการณ์เดี่ยว ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่คดีฆาตกรรม 

ล่าสุด ด็อกเตอร์ อลาสแตร์ เวลส์ ประธานบอร์ดผู้บริหารของโรงเรียน Epsom College ได้ออกมาแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของครูใหญ่หญิง และครอบครัวในโรงเรียน และย้ำว่าทั้งคณะครู นักเรียน และผู้ปกครองต่างรู้สึกตกใจอย่างมากต่อการจากไปของอาจารย์ใหญ่ เอ็มมา แพททิสัน

แฉยับ!! เบื้องหลังบริษัทน้ำมัน 'สหรัฐฯ - ยุโรป' โกยกำไรงาม จากสัมปทานน้ำมันของ รบ.เมียนมา

หลังจากเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 66 ที่เป็นวันครบรอบ 2 ปีเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า ก็ได้มีการสรุปรายงานโดยเจ้าหน้าที่พิเศษขององค์การสหประชาชาติ ว่าตั้งแต่ที่มีการยึดอำนาจโดย นายพล มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารคนปัจจุบันเป็นต้นมา มีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,490 ราย โดยในจำนวนนั้น มีทั้งเด็กและเยาวชน กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพลเรือนพม่ามากมาย

ในขณะที่ทั่วโลกร่วมกันประณาม และคว่ำบาตรรัฐบาลพม่า แต่กลับมีการนำเสนอเอกสารลับ โดยกลุ่ม Distributed Denial of Secrets กลุ่มนักเคลื่อนไหวในพม่า Justice For Myanmar ร่วมกับสำนักข่าวชื่อดัง  Finance Uncovered และ The Guardian ซึ่งพบหลักฐานการเสียภาษีจำนวนมหาศาลของกลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของทั้ง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และ ไอร์แลนด์ ที่ได้ผลประโยชน์จากสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในแหล่งก๊าซธรรมชาติของพม่า ที่บ่งชี้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังสามารถแสวงหาผลกำไรมหาศาล แม้จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าไปแล้วก็ตาม

เอกสารลับนี้ ยังชี้ว่า บริษัทนัำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาบางแห่ง ยังคงดำเนินกิจการในบริษัทสาขาของตนในพม่าตามปกติ แม้จะมีคำเตือนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ถึงความเสี่ยงในการทำธุรกิจภายใต้สถานการณ์การเมืองในพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำธุรกิจร่วมกับ บริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของเมียนมา (MOGE) ที่เป็นแหล่งเงินทุนหลักของรัฐบาลทหารพม่า 

เมื่อปรากฏหลักฐานว่ายังมีบริษัทน้ำมันจากชาติมหาอำนาจ ที่ยังมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารพม่าเช่นนี้ ทางสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา จึงได้ออกมาแก้เกี้ยวด้วยการประกาศมาตรการคว่ำบาตรพม่าเพิ่ม รวมถึงคณะผู้บริหารระดับสูงของ MOGE ด้วย 

แต่กลับเลือกที่จะเลี่ยง ไม่ยอมคว่ำบาตร MOGE ทุกองค์กรทั้งระบบ ซึ่งยังเปิดช่องให้กิจการเอกชนสามารถทำธุรกิจร่วมกับ MOGE ได้อยู่ ซึ่งตรงข้ามกับทางกลุ่มสหภาพยุโรป ที่ได้ออกมาประกาศคว่ำบาตร MOGE ทั้งองค์กรแล้ว ในประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในพม่า และมีการห้ามบริษัทเอกชนในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปทำธุรกิจร่วมกับ MOGE ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อมก็ตาม

ทั้งนี้ ในเอกสารด้านภาษีที่หลุดออกมามีระบุรายชื่อบริษัทน้ำมันเอกชนของชาติตะวันตกที่ยังร่วมสัมปทานใน MOGE ดังนี้...

- Halliburton บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกัน ที่เปิดสาขาในสิงคโปร์ แจงผลกำไรก่อนเสียภาษีในไตรมาศที่ 3 ของปี พ.ศ. 2564 รวมผลประกอบการ 8 เดือนหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ที่ 6.3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 207 ล้านบาท)  

- Baker Hughes บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกัน ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมือง ฮูสตัน รัฐเท็กซัส และเปิดสำนักงานในเมืองย่างกุ้ง มีผลกำไรก่อนภาษี ตลอด 6 เดือนจนถึงมีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ 2.64 ล้านดอลลลาร์ (ประมาณ 87 ล้านบาท)

‘ริชี ซูแน็ก’ สั่งปลด ปธ.บริหารพรรคอนุรักษ์นิยม เซ่นปมข่าวฉาว หลบเลี่ยงภาษีนับล้านปอนด์

ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกคำสั่งด่วนในวันนี้ (30 ม.ค. 66) ให้ปลด นาย นาดิม ซาฮาวี ประธานบริหารพรรคอนุรักษ์นิยม ที่เป็นพรรคแกนนำหลักของรัฐบาลในปัจจุบัน หลังจากที่หน่วยงานอิสระได้สืบสวน และชี้มูลว่า นาย นาดิม ซาฮาวี ทำผิดจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง ในกรณีหลบเลี่ยงภาษีนับล้านปอนด์ขณะดำรงตำแหน่งบริหารในรัฐบาล 

นอกจากจะเคยมีข้อครหาในการหลบเสี่ยงภาษีแล้ว นาฮิม ซาฮาวี ยังมีเจตนาปกปิดความผิด ไม่แจ้งข้อมูลการเสียภาษีของตนอย่างโปร่งใส จึงเป็นเหตุให้ ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรี ที่ถูกกดดันอย่างหนักจากข่าวอื้อฉาวของคนระดับประธานพรรคอนุรักษ์ ตัดสินใจปลด นาฮิม ซาฮาวี ออกจากตำแหน่งในวันนี้ 

สำหรับ นาย นาฮิม ซาฮาวี เป็นนักการเมืองอังกฤษ เชื้อสายเคิร์ด ที่เกิดในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายถิ่นมาตั้งรกรากในอังกฤษในช่วงปีแรกๆ ที่ซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำอิรักเรืองอำนาจ และเริ่มเข้าสู่การเมืองอังกฤษจากการเป็นแกนนำในการช่วยเหลือชาวเคิร์ดที่ได้รับผลกระทบจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในปี 1991

ส่วนจุดเริ่มต้นของข่าวฉาวเกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีของ นาฮิม ซาฮาวี เกิดขึ้นในปี 2000 ที่เขาได้ร่วมก่อตั้งสำนักโพลที่ชื่อ YouGov กับนาย สตีเฟน เชคสเปียร์  

และต่อมาเขาได้โอนหุ้น YouGov ของเขาให้แก่บริษัท Balshore Investments ที่จดทะเบียนในยิบรอลตาร์ หนึ่งในดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร และเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีแก่นักลงทุนต่างประเทศ ที่มักใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี และยังพบด้วยว่า ผู้เป็นเจ้าของ Balshore Investments เป็นบิดา-มารดาของ นาย นาฮิม ซาฮาวี เอง

‘เจฟฟ์ เบโซส’ พร้อมบริจาคทรัพย์สิน 1.24 แสนล้าน ตั้งใจส่งมอบเพื่อการกุศลในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

‘เจฟฟ์ เบโซส’ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com ในโรงรถเล็ก ๆ ที่เมืองซีแอตเติ้ล จนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการของ โคล มีลาส ใน CNN ว่า เขาตั้งใจที่จะบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เขามีกว่า 1.24 แสนล้านเหรียญเพื่อการกุศลในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ 

โดยอภิมหาเศรษฐีแห่ง Amazon ต้องการบริจาคเงินในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ป้ญหาสภาพอากาศของโลก และอีกส่วนหนึ่งจะสนับสนุนกลุ่มคนที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคมที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในขณะนี้ และได้ร่างแผนบริจาคเงินเพื่อการกุศลร่วมกับ ลอเรน ซานเชซ คู่ชีวิตคนปัจจุบันของเขา 

ก่อนหน้านี้ เจฟฟ์ เบโซส ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ในฐานะที่เขาเป็นถึงมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก แต่กลับไม่มีโครงการเพื่อการกุศลอย่างชัดเจน เหมือนกับอภิมหาเศรษฐีรายอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน อย่าง บิล เกตส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก 

ดาวกระจาย!! ค่ายรถ EV จีน สะเทือนบัลลังก์ ‘ญี่ปุ่น-ตะวันตก’

ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด

ในประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีน และพร้อมเข้ามากระชากส่วนแบ่งออกจากอกค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่เดิมครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน 

โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD  ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยองในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน 

ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ในระยองเช่นกันก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2

ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูม หรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น!! 

ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% และทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ

สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ 

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน 

ในภาคการผลิต รัฐบาลไทยยังให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจนถึงสิ้นปี 2023 แลกกับการที่บริษัทรถยนต์จีนจะมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไปโดยมีเป้าหมายว่า 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และดึงดูดค่ายรถยนต์อื่นๆ นอกจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สอดคล้องกับกระแสการขับเคลื่อนสู่สังคมปลอดคาร์บอนที่เป็นวาระของโลก คาดการณ์ว่าไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2.7 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2583

'จีน' เดินหน้า!! พร้อมใช้ 'ดิจิทัลหยวน' หลังทดสอบธุรกรรมจริงระหว่างประเทศผ่านฉลุย

รัฐบาลจีนมั่นใจ พร้อมใช้ 'ดิจิทัลหยวน' หลังผ่านช่วงทดสอบการทำธุรกรรมจริงเป็นเวลา 40 วัน ร่วมกับสถาบันการเงินกว่า 20 แห่งของพันธมิตรทั้งฮ่องกง, ไทย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 

ธนาคารแห่งชาติจีน ได้ทำการทดสอบการใช้ดิจิทัลหยวนตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม - 23 กันยายน 2565 บนแพลตฟอร์ม mBridge ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สำหรับการทำธุรกรรม ชำระเงินข้ามประเทศ ริเริ่มโดยสถาบันการเงินของฮ่องกง Hong Kong Monetary Authority ร่วมกับ Bank for International Settlement (BIS) และธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2019 และต่อมา ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ได้เข้าร่วมโปรเจกต์นี้ด้วยในปี 2564 

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงทดสอบขั้นสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านที่มีการทำธุรกรรมชำระเงินข้ามพรมแดนจริง และแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมากกว่า 160 รายการ รวมมูลค่าการทำธุรกรรมสูงถึง 150 ล้านหยวน อีกทั้งยังทดสอบออกเงินดิจิทัลหยวน ผ่านระบบของ mBridge ไปแล้วไม่น้อยกว่า 80 ล้านหยวน จนสามารถสรุปได้ว่า โครงการนำร่องทดสอบการใช้ ดิจิทัลหยวนบนแพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยลดขั้นตอน ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และยังลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ในการทำธุรกรรมต่างประเทศได้จริงๆ

ธัญธร คุณประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านเงินดิจิทัล จากธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความเห็นผ่าน LinkedIn ว่า นี่เป็นโครงการนำร่องรายแรกของโลกที่ใช้ เงินสกุลดิจิทัลมูลค่าจริง ที่ออกโดยธนาคารกลางของจีน สำหรับการชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ และยังกล่าวอีกว่า "เป็นความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่ได้สร้างความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ เราเพิ่งเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของ CBDC ในการเชื่อมโยงพรมแดน และอำนวยความสะดวกด้านการค้า/การเติบโตทางเศรษฐกิจ”  

ทั้งนี้ จีนไม่ได้มองเพียงแค่การใช้ดิจิทัลหยวน หรือ e-CNY เพื่อซื้อขายสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไปเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงโอกาสในการลงทุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และ สินเชื่อในรูปแบบดิจิทัล ที่จะทำให้การใช้ e-CNY อย่างแพร่หลาย และ แข็งแกร่งไม่ต่างจากเงินหยวนแบบดั้งเดิม

'สหรัฐฯ' เตรียมยื่นข้อเสนอให้ 'เวเนซูเอลา' หลุดพ้นมาตรการคว่ำบาตร แลกบ่อน้ำมันให้ Chevron

สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานว่า รัฐบาลของโจ ไบเดน ประกาศพร้อมที่จะผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซูเอลา หากรัฐบาลเวเนซูเอลาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยในประเทศ โดยที่ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ต้องเจรจาสมานฉันท์กับฝ่ายค้าน และจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในปี 2024 

แต่ทั้งนี้ สื่อต่างชาติมองว่า การที่รัฐบาลไบเดน ยื่นข้อเสนอในการปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซูเอลา เพราะต้องการเปิดทางให้ Chevron บริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ที่มีสัมปทานบ่อน้ำในเวเนซูเอลา สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาดโลกได้อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจน้ำมันของรัสเซีย

สำหรับต้นเหตุของมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดต่อเวเนซูเอลาของสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งใหญ่ของเวเนซูเอลาในปี 2018 ซึ่ง ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร สามารถคว้าชัยชนะได้เป็นสมัยที่ 2 แต่กลับถูกสภานิติบัญญัติกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม มีการโกงการเลือกตั้ง และซื้อสิทธิ์ขายเสียง จนนำไปสู่การประท้วงให้ นิโคลัส มาดูโร ลาออก 

ต่อมา ฮวน กุยโด ประธานสภา และผู้นำฝ่ายค้านได้ออกมาประกาศตัวเป็นผู้นำเวเนซูเอลาแทน นิโคลัส มาดูโร ซึ่งได้รับการรับรองโดย โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2019 

แต่ทว่า ด้าน ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ยังคงได้รับการสนับสนุนจากอีกหลายชาติ ทั้งจีน, เม็กซิโก, คิวบา, ตุรเคีย ด้วยเหตุผลว่า นิโคลัส มาดูโร เป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง จึงทำให้มาดูโร ยังคงรักษาฐานอำนาจในเวเนซูเอลาได้ และนั่นจึงเป็นที่มาของการคว่ำบาตรเวเนซูเอลาอีกครั้งในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ Chevron ที่ทำสัมปทานขุดเจาะน้ำมันอยู่ในเวเนซูเอลาไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้จนถึงตอนนี้ 

แต่ในวันนี้ รัฐบาลไบเดนเล็งเห็นว่า สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตรเวเนซูเอลาได้แล้ว ท่ามกลางวิกฤติพลังงานโลกที่เป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งคาดว่า ในช่วงฤดูหนาวปีนี้ ประเทศในแถบซีกโลกเหนืออาจต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก 

อีกทั้งกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่าง OPEC+ เพิ่งประกาศลดปริมาณการผลิตน้ำมันอีก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าทางสหรัฐฯ จะพยายามกดดันให้มีการเพิ่มการผลิตน้ำมันก็ตาม

เวเนซูเอลา มีแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งของโลก และมีศักยภาพการผลิตได้สูงสุดถึง 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เจอการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ทำให้ทุกวันนี้เวเนซูเอลาจำกัดการผลิตน้ำมันอยู่ที่ 5 แสนบาร์เรลต่อวันเท่านั้น 

งานวิจัย ชี้ ดื่มกาแฟทุกวันช่วยให้อายุยาวขึ้น ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ

ดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยเรื่องสุขภาพ และทำให้อายุยาวขึ้นได้จริงหรือ? 

จากผลการวิจัยล่าสุดโดย ศาตราจารย์ ปีเตอร์ คิสเลอร์ แห่งสถาบัน Baker Heart and Diabetes Research Institute ในประเทศออสเตรเลีย ได้สำรวจข้อมูลเปรียบเทียบกันระหว่าง กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ และกลุ่มที่ไม่ดื่ม กับความสัมพันธ์ของจังหวะการเต้นของหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมโดย UK Biobank ของกลุ่มตัวอย่างอายุระหว่าง 40 - 69 ปี จำนวนเกือบ 5 แสนคน

ซึ่งพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวันมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม และนั่นก็มีผลกับช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นของกลุ่มคนที่ดื่มกาแฟ 

กาแฟที่ว่านี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นกาแฟคั่วบด กาแฟสด กาแฟสำเร็จรูป หรือกาแฟปลอดคาเฟอีน  เนื่องจากงานวิจัยชี้ว่า กาแฟทุกประเภทที่ว่านี้ ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน คือช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจได้ดี และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการหัวใจทำงานบกพร่อง หรือ หลอดเลือดหัวใจตีบได้ 

ดังนั้น คาเฟอีน จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อคุณประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ศาตราจารย์ คิสเลอร์ เจ้าของผลงานวิจัยชี้ว่า นอกเหนือจากคาเฟอีน ที่คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเวลาดื่มกาแฟ แต่ในเมล็ดกาแฟนั้นมีสารประกอบที่สำคัญมากกว่า 100 ชนิด ที่มีผลต่อสุขภาพที่ดีของผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ดื่่ม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top