Sunday, 12 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

รัสเซียเคาะวันประชามติ ผนวกรวม 4 แคว้นยูเครน ด้านเซเลนสกี้ หยัน!! ปูตินรีบเพราะเห็นเค้าลางแพ้

สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ ที่เคยประกาศแยกตัวออกจากยูเครน ประกาศเดินหน้าทำประชามติเพื่อรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้ว โดยกำหนดไว้ในวันที่ 23-27 กันยายน 2565 ที่จะถึงนี้ 

ในขณะเดียวกัน เมืองเคอร์ชอน และ ซาปอริซเซีย ซึ่งเป็นเขตยึดครองของกองทัพรัสเซีย ก็เตรียมทำประชามติ เพื่อไปรวมกับรัสเซียในวันเดียวกันกับทางแคว้นโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ ด้วยเช่นกัน 

วลาดิมีร์ ซาลโด ผู้ว่าการเมืองเคอร์ชอน ที่ทางรัฐบาล มอสโควเป็นผู้แต่งตั้ง ได้ออกมาประกาศผ่านคลิปวิดีโอว่า “เราได้เตรียมแผนการที่จะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอีกครั้ง และเราจะไม่ถอยหลังอีกแล้ว”

ทางด้านรัสเซีย ดมิตี้ เมดเวเดฟ อดีตผู้นำรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภาฝ่ายความมั่นคง เคยให้ความเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การจัดทำประชามติ ในเขตโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ เป็นสิ่งจำเป็น ที่จะช่วยให้รัสเซียส่งกำลังพลไปลงในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ 

ส่วน เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียก็ออกมาสนับสนุนแผนการทำประชามติอย่างเต็มที่ โดยบอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ควรให้ประชาชนได้มีส่วนตัดสินใจอนาคตของพวกเขา 

แต่ในทางตรงกันข้าม ดมิโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของทางยูเครนได้ออกมาประณามแผนการทำประชามติในพื้นที่ 4 เขตยึดครองของกองทัพรัสเซียอย่างรุนแรงว่าเป็นการทำประชามติที่น่าละอาย และไม่ได้ทำให้สถานการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงเลย

การเร่งเดินหน้าแผนการทำประชามติเกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพยูเครน สามารถตีโต้กองทัพรัสเซีย และยึดคืนพื้นที่ทั้งหมดของเมืองคาร์คีฟมาได้ และเริ่มเดินหน้ารุกคืบพื้นที่ในแคว้นลูฮันสก์ ซึ่ง โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ได้ออกมาประกาศว่ายูเครนพร้อมแล้วที่จะตีพื้นที่ในดองบาสคืนกลับมาทั้งหมด

ไบเดนขู่ ‘สี จิ้นผิง’ ระวังหายนะจะมาเยือน หากคิดจะช่วยเหลือรัสเซีย

โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เขาได้พูดคุยกับ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่กำลังตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ที่คิดจะฝ่ามาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือรัสเซีย

สถานีข่าวช่อง CBS ของสหรัฐฯ ได้ออกอากาศงานสัมภาษณ์ โจ ไบเดน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 65 ที่ผ่านมา โดย ไบเดน กล่าวว่า เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับสี จิ้นผิง ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ และได้บอกกับผู้นำจีนอย่างเด็ดขาดว่า หากจีนมั่นใจว่า นักธุรกิจชาวอเมริกัน และชาติพันธมิตรอื่นๆ ยังคิดที่จะไปลงทุนในจีนอยู่ หลังจากที่จีนยังคงเลือกที่จะช่วยเหลือคบค้ากับรัสเซีย และเพิกเฉยต่อมติคว่ำบาตรของพันธมิตรชาติตะวันตก ขอบอกเลยว่า ผู้นำจีนคิดผิดอย่างมหันต์ และ จีนจะต้องรับผลกระทบหนักอย่างแน่นอนจากความผิดพลาดของตัวเอง 

โจ ไบเดน กล่าวต่อไปว่า ที่โทรไปนี่ ไม่ได้แค่ไปขู่ แต่เป็นการเตือนให้จีนได้รู้ถึงผลที่จะตามมาหากยังไม่คิดที่จะสนใจมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตก แต่ทั้งนี้ ไบเดน ยอมรับว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าจีนได้ส่งอาวุธ และทรัพยากรอื่นๆ ไปช่วยเหลือตามที่รัสเซียร้องขอ และไบเดนก็เชื่อมั่นว่า จีนยังต้องพึ่งพารายได้จากตลาดตะวันตกเป็นหลัก ดังนั้นจีนคงไม่ทำอะไรแตกแถวที่จะสร้างความหายนะให้กับเศรษฐกิจของตัวเอง

เศรษฐกิจรัสเซียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากที่รัสเซียนำทัพบุกยูเครนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ดังนั้นจีนจึงกลายเป็นตลาดสำคัญของรัสเซีย ทั้งการส่งออกน้ำมัน และสินค้าอื่นๆ โดยใช้เงินสกุลหยวน และระบบธุรกรรมการเงินของจีนในการซื้อขายได้ 

ยุโรปจี๊ด!! ‘รัสเซีย’ เตรียมเปิดโครงการ Siberia 2 เส้นทางท่อส่งก๊าซใหม่ ‘จีน-มองโกเลีย’ แทนที่ยุโรป

อเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีแห่งรัสเซีย ได้ยืนยันเสียงดัง ฟังชัด ผ่านสื่อช่อง Rossiya-1 ของรัสเซีย ว่ารัสเซียเตรียมเปิดโครงการท่อส่งก๊าซใหม่ Siberia 2 เชื่อมโยงระบบส่งก๊าซจากฝั่งตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน และจะส่งก๊าซผ่านมองโกเลียตรงไปลงที่จีนเลย ซึ่งโครงการ Siberia 2 จะมาแทนที่โครงการ Nord Stream 2 ท่อส่งก๊าซสู่ยุโรปของรัสเซีย

สำหรับโครงการ Siberia 2 นั้น จะเหลือก็เพียงแค่การพูดคุยตกลงกันในขั้นตอนสุดท้ายระหว่าง ‘รัสเซีย - มองโกเลีย - จีน’ จากนั้นจะเริ่มต้นวางท่อก๊าซได้ในปี 2024 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2030 สามารถส่งก๊าซได้ถึง 2 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อปี

แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์ หลังจากชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีสงครามในยูเครน จนทำให้รัสเซียต้องหาตลาดใหม่มาทดแทน ซึ่งจีนก็เป็นหนึ่งในผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก และนั่นก็ไม่มีอะไรที่รัสเซียต้องคิดนาน การเปลี่ยนเป้ามาจาก Nord Stream 2 มาโฟกัสที่ Siberia 2 เป็นหลักแทนจึงเป็นคำตอบที่ช่างลงตัว ในช่วงเวลาที่โครงการ Nord Stream 2 ซึ่งรัสเซียพัฒนาร่วมกับเยอรมัน เพื่อส่งก๊าซตรงเข้ายุโรป ถูกระงับอย่างไม่มีกำหนด ทั้ง ๆ ที่โครงการควรจะแล้วเสร็จตั้งแต่กันยายน 2021 

เจ้าของร้าน Fish&Chip โดนชาวอังกฤษถล่ม เหตุจัดงานฉลอง 'ควีน เอลิซาเบธ' สิ้นพระชนม์

สำนวนที่ว่า สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล ใช้ได้กับทุกประเทศในโลก แม้แต่ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า "เมืองผู้ดี" อย่างอังกฤษ เรื่องมารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญมาก มิฉันนั้นอาจเจอเหตุการณ์ดังเช่น กับ แจ็คกี พิคเคทท์ เจ้าของร้าน Jaki Fish&Chip Shops ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Muir of Ord ในสกอตแลนด์ ที่เกิดคึกผิดเวลา ออกมาทำคลิปวิดีโอฉลอง การสวรรคตของควีน เอลิซาเบธที่ 2 และโพสต์ลงใน Facebook 

โดยเจ้าของร้านได้ออกมาเป่าปากร้องยินดี ฉีดพ่น สเปรย์ไวน์ พร้อมชูป้ายเมนู เขียนข้อความว่า "Lizard Liz is dead" และตะโกนเสียงดังว่า "สะพานลอนดอนพินาศแล้ว" ซึ่งรหัส "สะพานลอนดอน" หมายถึงการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 

แต่หลังจากที่โพสต์คลิปพิสดารไปไม่นาน ก็มีชาวบ้านบริเวณนั้นออกมาต่อว่า ปาไข่ และ ซอสมะเขือเทศใส่ที่หน้าร้าน และได้แจ้งตำรวจให้มาควบคุมตัวเจ้าของร้านไป เหตุแสดงกิริยาไม่เหมาะสมในช่วงเวลาที่อังกฤษยังอยู่ในงานไว้อาลัยจากไปของประมุขแห่งอังกฤษ

'ชาวฮ่องกง' ปักหมุด!! กรุงเทพฯ อันดับ 1 จุดหมายที่ต้องมา ฉลองรัฐบาลฮ่องกงเริ่มซามาตรการเข้มโควิด-19

นักท่องเที่ยวจากฮ่องกงเริ่มคึกคัก เมื่อรัฐบาลฮ่องกงประกาศผ่อนคลายมาตรการกักตัว จากเดิม 7 วัน เหลือเพียง 3 วัน ทำให้ชาวฮ่องกงเริ่มวางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศกันมากขึ้น หลังจากที่ต้องงดการเดินทางตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 ที่ฮ่องกงในปี 2020 

จากข้อมูลของ Expedia ผู้ให้บริการจองแพ็กเกจ ตั๋วเครื่องบิน และที่พัก เปิดเผยว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ทางการฮ่องกงประกาศลดระดับมาตรการกักตัว ปรากฏพบว่ามีชาวฮ่องกงค้นข้อมูลตั๋วเครื่องบินเพิ่มสูงขึ้น 290% ซึ่งเป็นความถี่ที่มากกว่าช่วงเวลาปกติตลอด 1 สัปดาห์ถึง 10 เท่า 

และจุดหมายปลายทางที่มาแรงเป็นอันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รองลงมาคือ โอซาก้า นอกจากนี้ ภูเก็ต, โซล และสิงคโปร์ ก็เป็นคำค้นยอดฮิตของนักท่องเที่ยวฮ่องกงเช่นกัน 

จากผลการค้นหาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ทริปเดินทางระยะใกล้ในย่านเอเชียยังคงได้รับความนิยมสูงสุด แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการวางแผนเที่ยวของชาวฮ่องกงคือ ระยะเวลากักตัวที่ยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายสูง 

'แอนโทนี บลิงเคน' นัดคุยนอกรอบผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา  ถกปัญหา ปชต.ในเขมร ก่อนเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า 

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาถึงกัมพูชาแล้ว เพื่อเข้าร่วมงานประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 55 ที่จัดขึ้นในกรุงพนมเปญ

ซึ่งการเดินทางมากัมพูชาในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกำหนดการเยือนต่างประเทศเป็นเวลา 10 วัน ของ บลิงเคน ซึ่งได้เลือกแลนด์ดิ้งที่กัมพูชาเป็นประเทศแรก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังฟิลิปปินส์, แอฟริกาใต้, คองโก, รวันดา ตามลำดับ 

โดยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เข้าพบกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อหารือกันในหลายประเด็น ตั้งแต่สถานการณ์ในพม่า ความมั่นคงด้านสาธารณสุขของอาเซียน การสนับสนุนด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังย้ำถึงบทบาทของอาเซียนในการร่วมประณามรัสเซียในวิกฤติสงครามยูเครน รวมถึงความโปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชา ในความร่วมมือด้านการทหารกับจีนในการพัฒนาฐานทัพเรือที่เมืองเรียม 

และนอกจากประเด็นเหล่านี้ บลิงเคน ยังได้หยิบยกเอาเรื่องของ นาง เธียรี เส็ง นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชา ที่ถือสัญชาติสหรัฐฯ ขึ้นมาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ด้วย 

ซึ่ง ตอนนี้ เธียรี่ เส็ง ถูกตัดสินจำคุกนาน 6 ปีในข้อหากบฏ หลังจากที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของ นาย ฮุน เซน โดย บลิงเคน กล่าวย้ำว่าต้องการให้รัฐบาลปล่อยตัวนาง เธียรี เส็ง โดยไว และให้รัฐบาลกัมพูชาเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของชาวกัมพูชาในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างอิสระ

บลิงเคน กับ ฮุน เซน ยังได้มีการพูดคุยเรื่องปัญหาการเมืองภายในประเทศอีกด้วย หลังจากตอนนี้มีนักการเมืองฝ่ายค้าน และนักเคลื่อนไหว ถูกตัดสินในความผิดข้อหากบฏ ขายชาติไปแล้วกว่า 60 คน ซึ่งบลิงเคนมองว่า เป็นสิ่งที่กัดเซาะหลักการด้านสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยในกัมพูชา

เปิด Resume รุ่นลายครามของพ่อมดไอที 'บิลเกตส์' สะท้อน!! รั้วการศึกษาแคบเกินไปสำหรับเขาจริงๆ

'บิล เกตส์' (Bill Gates) อยู่ดีๆ นึกครึ้มใจในวัยเกษียณ ขอแชร์จดหมายสมัครงาน หรือ Resume ของตัวเองที่เขียนขึ้นในปี 1974 ลงในเว็บ LinkedIn มาให้คนทั่วไปลองได้อ่านกัน ซึ่งในขณะนั้น บิล เกตส์ เพิ่งเข้าเรียนปีแรกในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

โดย Resume ฉบับนั้น ได้เปิดเผยส่วนสูง และน้ำหนักของบิล เกตส์ในวัย 19 ปี รวมถึงที่อยู่บ้านเก่าของพ่อ-แม่ของเขา และประสบการณ์เขียนโปรแกรมกับเพื่อนๆ สมัยมัธยม 

บิล เกตส์ ได้พูดแบบถ่อมตนว่า "ตัวผมตอนนั้นยังเขียน Resume ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เด็กรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ ซึ่งต่อให้ยังไม่จบมหาวิทยาลัยก็เถอะ แต่รับรองว่า เขียน Resume ได้ดีกว่าผมทุกคน"

แต่ความมหัศจรรย์ของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ทักษะการเขียน Resume หากแต่อยู่ที่เนื้อหาที่เขียนลงไปต่างหาก ที่ทำให้เราได้เห็นภาพจุดเริ่มต้นของ บิล เกตส์ ก่อนที่จะกลายเป็นพ่อมดแห่งวงการ IT ของโลกในเวลาต่อมา 

เริ่มต้นจากตัวเลขเงินเดือนที่เขาหาได้ แม้เพิ่งเข้าเรียนปีแรกที่ฮาร์วาร์ด ก็สูงถึง 12,000 เหรียญ (4.3 แสนบาท) ที่แม้แต่ยุคสมัยนี้ก็ถือเป็นรายได้ที่สูง ยิ่งย้อนกลับไปเมื่อ 48 ปีก่อน ยิ่งนับว่าเป็นรายได้ที่สุดยอดมากจริงๆ สำหรับเด็กมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้าเรียนปี 1 

แต่พอให้ระบุรายได้ หรือสถานที่ทำงานที่ต้องการ เขากลับตอบกว้างๆ ว่า "รายได้เท่าไหร่ หรือทำงานที่ไหนก็ได้" และ บิล เกตส์ หมายความเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากนั้นเพียง 1 ปี บิล เกตส์ ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ไปตั้งบริษัท Microsoft กับเพื่อนสนิทอีกคน คือ 'พอล อัลเลน' ไกลถึงเมืองแอลบูเคอร์คี ในรัฐนิวเม็กซิโก 

ส่วนด้านการเรียน บิล เกตส์ ได้แจกแจงคอร์สที่เขาได้ลงเรียนในปีแรกที่ ฮาร์วาร์ดไว้ใน Resume ด้วย ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับระบบจัดการคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูลและกราฟิก แถมยังระบุด้วยว่า ตนเป็นนักเรียนดีเด่น และได้เกรด A ทุกวิชา 

เวทีเช็กเสียง ยกระดับคว่ำบาตร เกมหยั่งเสียงจาก ‘สหรัฐฯ’ แม้รู้ว่า ‘จีน-รัสเซีย’ ต้อง Veto ป้องโสมแดง

เมื่อ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ‘จีน’ และ ‘รัสเซีย’ ได้ขอใช้สิทธิ์ในการเป็นสมาชิกถาวร Veto ญัตติของสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการให้องค์การสหประชาชาติเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือให้เข้มข้นยิ่งขึ้น จากการที่เกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปเมื่อเร็วๆ นี้

กรณีเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลถึง 3 ลูก ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (25 พ.ค.65) ไล่หลัง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่เพิ่งจบภารกิจการเยือนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นเวลา 5 วันอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้น ทางสหรัฐฯ มองว่าเป็นการท้าทายอย่างชัดเจน จนเป็นเหตุให้รัฐบาลวอชิงตัน ต้องชงญัตติเพิ่มระดับการคว่ำบาตรโสมแดงเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะครอบคลุมถึงการลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันสำหรับประชาชนเกาหลีเหนือจาก 4 ล้าน ให้เหลือแค่ 3 ล้านบาร์เรลอีกด้วย

สหรัฐฯ ได้อ้างเหตุผลว่า เกาหลีเหนือได้ละเมิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับสภาความมั่นคงในปี 2017 ว่าจะระงับการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกล แต่ทว่ารัฐบาลเปียงยางกลับรื้อฟื้นแผนการทดสอบขีปนาวุธขึ้นมาใหม่ และอ้างว่าสามารถพัฒนาได้ถึงขั้นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปได้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม ฟาก จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของเกาหลีเหนือ ก็ได้จับมือกับรัสเซีย ใช้สิทธิ์สมาชิกถาวรของสภาความมั่นคง คัดค้านข้อเสนอของสหรัฐฯ โดยมองว่าข้อตกลงร่วมเรื่องการคว่ำบาตรตามหลักการแบบเดิมก็เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร หรือตั้งให้เป็นข้อบังคับที่มีผลกับทุกประเทศในสหประชาชาติเพียงเพื่อต้องการเล่นงานเกาหลีเหนือ 

‘ผู้นำศรีลังกา’ แจ้งข่าวร้ายประชาชน น้ำมันหมดประเทศ - เศรษฐกิจพังยับ

นายรานิล วิกรามาสิงหะ นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของศรีลังกา ออกมายอมรับอย่างตรงไป ตรงมา ว่า ตอนนี้ศรีลังกาไม่มีน้ำมันสำรองเหลือแล้ว ทางรัฐบาลต้องหาเงินสำรองต่างประเทศให้ได้วันละ 75 ล้านเหรียญ เพื่อมาซื้อน้ำมันใช้วันต่อวัน

นับเป็นสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจขั้นเลวร้ายที่สุดของศรีลังกา ประเทศที่เคยได้รับฉายาว่าเป็นไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย ที่วันนี้ได้กลายเป็นประเทศจวนเจียนล้มละลาย ถึงขั้นที่รัฐบาลของ นายราวิล วิกรามาสิงหะ จำเป็นต้องบอกสถานการณ์จริงให้ประชาชนได้รู้ และยอมรับความจริงว่าสถานะการเงินของประเทศนั้นเลวร้ายแค่ไหน

รัฐบาลศรีลังกาได้ประกาศว่า ตอนนี้มีน้ำมันคงเหลือเพื่อใช้ในประเทศได้เฉพาะวันนี้ วันเดียวเท่านั้น (17 พ.ค.) แต่ยังมีเรือบรรทุกน้ำมันจอดรออยู่นอกท่าเรือโคลัมโบอีก 3 ลำ ซึ่งทางรัฐบาลกำลังหาเงินสำรองต่างประเทศจ่ายอยู่

หลังทราบข่าว ประชาชนชาวศรีลังกา ในกรุงโคลัมโบ ก็รีบออกมาเติมน้ำมันตามปั๊มน้ำมันคิวยาวเหยียด โดยบางคนรีบออกมาต่อคิวแต่เช้าตรู่ และต้องรอนานถึง 7 ชั่วโมงเพื่อจะเติมน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ชาวศรีลังกาใช้วิธีการสัญจรด้วยรถลากแบบโบราณ เพื่อรอต่อคิวรับบริการน้ำมันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้รถยนต์เท่านั้น แต่จะมีผลโดยตรงถึงระบบขนส่งในประเทศที่อาจต้องหยุดชะงัก ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาได้ประกาศขายสายการบิน ศรีลังกา แอร์ไลน์ เพราะไม่สามารถแบกรับสภาวะขาดทุนอย่างหนักของสายการบินแห่งชาติได้อีกต่อไป 

 

ซาอุฯ เหนือชั้น!! 'Aramco' บ.น้ำมันซาอุฯ รวยแรง!! แซงหน้า Apple หลัง 'วางตัวเป็น' ในสมรภูมิสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ไม่นานมานี้ Aramco บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่มีรัฐบาลซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าของ ประกาศผลกำไรไตรมาสแรกของปี 2022 นี้ ซึ่งพุ่งทะยานขึ้นมากกว่า 80% โดยทำรายได้ 3.94 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ทำรายได้ไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

เหตุผลหลัก ก็มาจากอานิสงส์ของ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำสถิติราคาน้ำมันสูงที่สุดในรอบ 14 ปี ด้วยราคา 139 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 บาร์เรล หลังชาติตะวันตกต่างพากันคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันของรัสเซีย 

ขณะเดียวกัน ความต้องการน้ำมันที่เริ่มสูงขึ้น หลังจากที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด Covid-19 และเปิดเมือง ส่งผลให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นตาม แต่ปริมาณน้ำมันที่ซื้อ-ขายในท้องตลาดกลับมีปริมาณลดลง 

นี่จึงเป็นโอกาสทองในการทำกำไรของ Aramco แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการผลิตน้ำมันต่อวันมากที่สุดในโลก ซึ่งหากแยกตัวเลขผลกำไรเฉพาะแค่มีนาคม 65 เดือนเดียว Aramco มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 124% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมากันเลยทีเดียว

จากรายได้ที่พุ่งทะยานของ Aramco ในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้ Aramco กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าถึง 2.43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แทนที่แชมป์เก่าอย่างบริษัท Apple ในปีนี้ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top