Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

ขุนคลังมะกัน 'ติดดิน-ติดใจ' เมนูเห็ดในร้านพื้นเมืองของจีน คนจีนเห็นเป็นปลื้ม แต่สื่อตะวันตกหาว่าทำตัวด้อยค่าสหรัฐฯ

แม้ว่า เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ วัย 76 ปี จะเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ยังมีกระแสหนึ่งที่โด่งดัง ไม่เลือนหาย นั่นก็คือ รัฐมนตรีคลังหญิงคนนี้ได้ทำให้ เมนูเห็ดเจี้ยนโส่วชิง (见手青) หรือ เห็ดป่ายูนนาน ฮิตไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง ลามข้ามทวีปไปสหรัฐอเมริกา จนทำให้หลายคนสนใจว่าเห็ดชนิดนี้ มีความพิเศษอย่างไร

ทำไม เจเน็ต เยลเลน ถึงชอบ และรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากได้กินไปแล้ว?

ต้นกระแสเกิดจากบล็อกเกอร์สาวชื่อดังคนหนึ่งใน Weibo บังเอิญไปเจอ เจเน็ต เยลเลน พร้อมชาวคณะ เข้าไปรับประทานอาหารในร้านจีน สไตล์ยูนนานแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ที่ชื่อว่า อี่ จั้ว อี่ ว่าง (一坐一忘) ซึ่งเป็นอาหารจีนมื้อแรกที่ได้เดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งทีเดียว และสั่งอาหารพื้นเมืองยูนนานมาหลายอย่าง

ด้วยความอยากรู้ว่าอาคันตุกะคนสำคัญจากสหรัฐฯ จะสั่งอะไร เธอจึงแอบชำเลืองไปที่โต๊ะ และก็พบว่า เจเน็ต เยลเลน ชอบเมนูผัดเห็ดเจี้ยนโส่วชิงอย่างมาก และได้สั่งมาถึง 4 จาน ทำให้บล็อกเกอร์สาวจีนถึงกับประหลาดใจ

หลังจากที่มีการแชร์เรื่องราว และภาพถ่ายคณะของเจเน็ต เยลเลน ลงในเพจ Weibo ของเธอเพื่อเป็นหลักฐาน ก็มีชาวเน็ตจีนเข้ามาชื่นชมเป็นจำนวนมาก ว่าคณะรัฐมนตรีคลังจากสหรัฐฯ มีความติดดิน เลือกมาลองกินอาหารจีนพื้นเมืองในภัตตาคารระดับกลางๆ ทั่วไป เป็นมื้อแรกตั้งแต่มาเยือนจีน แถมใช้ตะเกียบเก่งเสียด้วย และยังทำให้เมนูเห็ดเจี้ยนโส่วชิง ที่ปกติก็ได้รับความนิยมในจีนอยู่แล้ว ดังยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับ เจี้ยน โส่ว ชิง เป็นเห็ดป่าชนิดหนึ่ง พบมากในมณฑลยูนนาน เป็นเห็ดขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ มืชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 'Lanmaoa Asiatica' ผิวด้านนอกเป็นสีแดง ด้านในเป็นสีเหลือง แต่เมื่อใช้มือบีบ หรือ ทุบ เนื้อด้านในจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคล้ำ ชาวจีนนิยมนำมาปรุงอาหารทั้งแบบสด และ แบบแห้ง

แต่เห็ดชนิดนี้ก็มีอันตรายในตัว เพราะ เจี้ยน โส่ว ชิง มีฤทธิ์คล้ายเห็ดเมา ที่อาจทำให้บางคนที่กินเข้าไป เกิดอาการประสาทหลอนได้ ซึ่งทางสมาคมพฤกษศาสตร์ยูนนาน ก็ได้ขึ้นทะเบียนเห็ดเจี้ยน โส่ว ชิง ในหมวดเห็ดมีพิษเช่นกัน

แต่เห็ดชนิดนี้ ก็ยังเป็นที่นิยม และ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามตลาดสดของจีน โดยทางจีนได้ให้ข้อมูลวิธีการบริโภคเห็ดเจี้ยน โส่ว ชิง อย่างปลอดภัย ตั้งแต่การเตรียมเห็ดเพื่อประกอบอาหาร และการปรุง โดยย้ำว่า เห็ดชนิดนี้ต้องบริโภคแบบปรุงสุกเท่านั้น

และเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? สำนักข่าว CNN จึงได้ส่งทีมข่าวท้องถิ่นไปที่ร้านอาหาร อี่ จั้ว อี่ ว่าง เพื่อสอบถามถึงเมนูอาหารที่เจเน็ต เยลเลน และ ชาวคณะได้สั่งมารับประทานในวันนั้น และตั้งคำถามว่าได้เตือนให้ทราบถึงอันตรายของเห็ดชนิดนี้หรือไม่ โดยทางเจ้าของร้านกล่าวว่า ไม่ได้แจ้งว่าเห็ดชนิดนี้มีพิษ แต่ยืนยันว่า เมนูเห็ดทั้งหมดที่ขึ้นโต๊ะเสิร์ฟให้กับคณะของรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ปรุงสุกอย่างดีทุกจาน

แต่ก็ไม่วายที่สื่อตะวันตกจะตั้งข้อสงสัยว่า เจเน็ต เยลเลน ดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ เมื่อได้เจอหน้า ทักทายกับคณะรัฐมนตรีจีนที่มารับรอง ในขณะที่จับมือ เธอก็ยังคำนับแล้ว คำนับอีก จนมีชาวอเมริกันหลายคนไม่พอใจที่เห็นเจเน็ต เยลเลน แสดงความอ่อนน้อมกับจีนจนเกินงาม จนทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

และสื่อตะวันตกบางสำนัก ยังโทษว่า อาจเป็นเพราะอาหารจานเห็ดยูนนานจะส่งผลต่ออากัปกริยาของรัฐมนตรีคลังหญิง ทำให้ขาดความนิ่ง และสุขุม สมตำแหน่งฐานะตัวแทนชาติมหาอำนาจอย่างที่ควรจะเป็น

แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากเห็ดมีพิษ หรือ คิดไปเอง ก็ต้องยอมรับว่า เจเน็ต เยลเลน ทำให้ เจี้ยนโส่วชิง เห็ดป่ายูนนานชนิดนี้ เป็นที่รู้จัก และโด่งดังอย่างมากทั้งในจีน และต่างประเทศ แม้บริบทที่ถกกันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม

'ปูติน' สั่งยึด 2 กิจการยุโรป 'นม Danone-เบียร์ Carlsberg' โต้ตอบชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซียแบบ 'ตาต่อตาฟันต่อฟัน'

วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ลงนามคำสั่งใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ 16 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ให้ทางการรัสเซียเข้าควบคุมกิจการ 2 บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในรัสเซีย ได้แก่ Danone ผู้ผลิตโยเกิร์ตชั้นนำจากฝรั่งเศส และ โรงงานเบียร์ Carlberg ของเดนมาร์ก โดยได้แต่งตั้งหน่วยงานเข้ามาบริหารจัดการชั่วคราวในกิจการทั้ง 2 แห่งแล้ว

ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลมอสโคว์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำรัสเซียได้ออกกฎหมายเมื่อช่วงต้นปี 2023 ให้สิทธิ์รัฐสามารถยึดทรัพย์สินของบริษัทข้ามชาติ ที่มาจากประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียได้ โดยในช่วงเดือนเมษายน รัฐบาลมอสโคว์ได้ควบคุมกิจการในเครือ Uniper และ Fortum บริษัทด้านพลังงานของ เยอรมนี และฟินแลนด์ ตามลำดับมาแล้ว

มาคราวนี้เป็นคิวของ Danone และ Carlsberg บริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส และ เดนมาร์กบ้าง ที่มีข่าวว่า ทั้ง 2 บริษัทมีแผนที่จะถอนกิจการออกจากรัสเซียอยู่แล้ว และกำลังขายธุรกิจของตนให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ แต่โดนรัฐบาลรัสเซียยึดกิจการเสียก่อนในวันนี้ คาดหมายว่าจะโอนกิจการให้กับ Rosimushchestvo หน่วยงานด้านกิจการอสังหาริมทรัพย์ของรัสเซียเป็นผู้ดูแลต่อไป

ด้านบริษัทแม่ของ Danone ในฝรั่งเศส กล่าวว่า ทางบริษัทอยู่ในขั้นตอนขายกิจการของตนในรัสเซียตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2565 ตอนนี้กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ และพร้อมปกป้องสิทธิ์ของตนในฐานะหุ้นส่วนของ Danone Russia เท่าที่ทำได้ และสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจต่อในรัสเซีย

ด้านผู้บริหารของ Carlsberg กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากทางรัฐบาลรัสเซียเกี่ยวกับคำสั่งประธานาธิบดี ที่จะมีผลต่อกิจการโรงเบียร์ในเครือของบริษัทที่รัสเซีย

บริษัทผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังจากเดนมาร์กยังกล่าวอีกว่า Carlsberg ได้แยกกิจการของโรงเบียร์ในรัสเซียออกจากธุรกิจในเครือของบริษัทเรียบร้อยแล้ว และเพิ่งจะเซ็นข้อตกลงที่จะขายกิจการในรัสเซียไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำสัญญาแล้วเสร็จ ก็มาโดนคำสั่งควบคุมการจากผู้นำรัสเซียเสียก่อน ยอมรับว่าหลังจากนี้การขายทอดกิจการอาจทำได้ยาก

บริษัท Danone Russia นับเป็นบริษัทผู้ผลิตนมที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย มีพนักงานราว 8,000 คน และมีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 1.1 พันล้านเหรียญ ส่วนโรงเบียร์ Carlsberg ในรัสเซีย ที่ทำตลาดภายใต้ชื่อ Baltika ถือเป็นแบรนด์เบียร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในรัสเซีย มีโรงงานผลิตเบียร์ถึง 8 แห่ง และพนักงานกว่า 8,400 คน

จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้บริษัทจากรัสเซียถูกคว่ำบาตร และเงินสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียถูกอายัดโดยชาติพันธมิตรตะวันตก เป็นเหตุให้รัฐบาลรัสเซียตอบโต้ด้วยการยึดกิจการของบริษัทข้ามชาติของชาติตะวันตก โดยรัฐบาลลรัสเซียได้ขู่ว่าอาจมีการพิจารณายึดทรัพย์สินของชาติตะวันตกเพิ่มอีก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของชาติตะวันตกที่กระทำกับบริษัทของรัสเซียในต่างประเทศเช่นกัน

เป็นมาตรการแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยึดมา ยึดกลับ ไม่โกง ตามสไตล์ปูติน สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือ สายป่านใครจะยาวกว่ากันนั่นเอง 

Bank of America ถูกปรับ 250 ล้านเหรียญ ฐานเปิดบัญชีปลอม-เก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

Bank of America ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา ถูกสั่งให้คืนเงินลูกค้ากว่า 100 ล้านเหรียญ และค่าปรับอีก 150 ล้านเหรียญ เมื่อตรวจพบว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน จากการหักรางวัลโบนัสบัตรเครดิต และ เปิดบัญชีโดยที่ลูกค้าไม่รู้ หรือไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อรวมยอดค่าเสียหายที่ทางธนาคารต้องจ่ายแล้ว นับเป็นค่าปรับที่สูงที่สุดในรอบหลายปีของ Bank of America แต่ที่หนักสุด คือ ภาพลักษณ์อันย่ำแย่ของธนาคารที่พังยับ หลังจากตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ได้สร้างชื่อเสียงในการเป็นสถาบันการเงินที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ ให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านการเงิน โดยไม่แสวงหากำไรจากค่าธรรมเนียมส่วนเกิน หรือ การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเงินกับลูกค้า

เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอังคาร (11 ก.ค.66) ที่ผ่านมาว่า จากการสืบสวนพบการกระทำผิดของ Bank of America ต่อบัญชีลูกค้าหลายแสนราย ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารมาตลอดระยะเวลาหลายปี ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  

เป็นเหตุให้ทางการสหรัฐสั่งให้ Bank of America ต้องคืนค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บซ้ำซ้อนให้แก่ลูกค้าเป็นเงินกว่า 100 ล้านเหรียญ บวกค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 90 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าปรับอีก 60 ล้านเหรียญให้กับสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐอเมริกาต่างหากด้วย

ด้าน นายโรหิต โชปรา ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค กล่าวว่า การคิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน, การเปิดบัญชีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกค้า และการระงับโบนัสตอบแทน ไม่ทำตามที่เคยแจ้งแก่ลูกค้าโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นสิ่งผิดกฎหมายและบ่อนทำลายความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งทางสำนักงานสามารถสั่งยุติการดำเนินการของธนาคารทั้งระบบได้

โดย Bank of America ใช้ระบบที่เรียกว่า ‘Double-dipping scheme’ หรือ ‘ชาร์จค่าธรรมเนียมเบิ้ล 2 รอบกับลูกค้า’ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มีการเบิกเงินเกินบัญชี ทางธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 35 เหรียญ และจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้ซ้ำอีกครั้ง เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมเดิม

ตัวอย่างที่มักพบการชาร์จค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนบ่อยครั้ง คือ การตัดค่าบริการรายเดือน เช่น ฟิตเนส ที่หลายครั้งเงินลูกค้าในบัญชีเหลือไม่พอตัด ธนาคารจะทำการปฏิเสธการชำระ พร้อมหักค่าธรรมเนียม 35 เหรียญจากลูกค้า แต่เมื่อลูกค้านำเงินมาเติมในบัญชี ก็จะถูกค่าปรับอีก 35 เหรียญเนื่องจากทำธุรกรรมซ้ำ ทำให้ธนาคารมีรายได้จากสิ่งที่ชาวอเมริกันเรียกว่า ‘ค่าธรรมเนียมขยะ’ มากมายมหาศาลในแต่ละปี 

ด้านผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองฯ กล่าวย้ำอีกว่า ระบบ ‘Double-dipping scheme’ ของธนาคารถือเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติด้านการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโกงลูกค้า ดังนั้นจึงต้องออกมาตรการบางอย่างคว่ำบาตร Bank of America เพื่อให้ธนาคารต้องคืนเงินส่วนนี้ให้แก่ลูกค้าพร้อมค่าปรับ 

นอกจากฐานความผิดในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนแล้ว Bank of America ยังโดนข้อกล่าวหาว่ามีการระงับโบนัส สิทธิพิเศษ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต ที่ไม่เป็นไปตามที่ธนาคารเคยได้แจ้งแก่ลูกค้า ซึ่งโบนัส และ รางวัลพิเศษ เป็นส่วนหนึ่งในการจูงใจให้ลูกค้าสมัครบัตรเครดิตของธนาคารที่พบว่า มีลูกค้าหลายหมื่นรายถูกระงับโบนัสพิเศษหลังจากที่ได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารแล้ว และ ยังพบว่าพนักงานของธนาคารแอบเปิดบัญชี หรือสมัครบัตรเครดิตให้ลูกค้าเพื่อทำยอด โดยไม่ได้แจ้ง หรือได้รับการยินยอมจากลูกค้ามาก่อน ถือเป็นความผิดที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ธนาคารแอบใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเพื่อหาผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Bank of America ถูกลงโทษจากการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมาย เพราะย้อนกลับไปในปี 2014  Bank of America ต้องจ่ายเงินสูงถึง 727 ล้านเหรียญ เป็นค่าปรับให้กับสำนักคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยข้อหาหลอกลวงลูกค้าประมาณ 1.4 ล้านราย ให้จ่ายค่าธรรมเนียม ที่ทางธนาคารอ้างว่าสำหรับบริการตรวจสอบเครดิตและรายงานเครดิตที่ลูกค้าไม่เคยได้รับมาก่อน

และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Bank of America ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตนเองใหม่นานนับสิบปี เพื่อให้เป็นธนาคารที่ชาวอเมริกันไว้ใจได้อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับมาทำผิดซ้ำรอยเดิมในหนนี้

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เงินทอง เป็นของสำคัญ ไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ธนาคาร เราจึงควรหมั่นเช็กบัญชีอยู่เสมอๆ เผื่อว่าจะมีใครแอบมาตัดเงินในบัญชีไปดื้อๆ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์ 

'อีลอน มัสก์' เผย Starlink ต้องถือสิทธิ์เจ้าของกิจการในไต้หวัน 100%  แลกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมแบบเร่งด่วน เพื่อทำสงครามกับจีน

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริหารเบอร์ต้นๆ ของโลก การจะเจรจาเรื่องธุรกิจใดสักอย่าง จึงย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้วสำหรับ อีลอน มัสก์ ที่ตอนนี้ดูแลกิจการยักษ์ใหญ่ ทั้ง Tesla, SpaceX และล่าสุดกับระบบอินเตอร์เนตดาวเทียม Starlink ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ 

โดยไม่นานมานี้ อีลอน มัสก์ ได้นำเสนอไอเดียให้รัฐบาลไต้หวัน พิจารณาดาวเทียม Starlink เป็นระบบ Backup สำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตสำรอง กันการโจมตีจากจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้ไต้หวันมั่นใจว่าการสื่อสาร และ ส่งผ่านข้อมูลสำคัญในประเทศยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ติดขัดแม้จะมีความพยายามตัดระบบเคเบิลพื้นฐานจนได้รับความเสียหาย

ข้อเสนอของอีลอน มัสก์ เกิดขึ้นหลังจากที่สายเคเบิลใต้ทะเล 'ไต้หวัน-มัทสุ' ทั้ง 2 เส้น ที่ลากผ่านใกล้พรมแดนทางทะเลระหว่างจีน และ ไต้หวันถูกตัดขาด โดยเรือประมงจีนลำหนึ่ง และเรือขนส่งจีนอีกลำหนึ่ง เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยทางไต้หวันตั้งข้อสงสัยว่าจีนจงใจแล่นเรือผ่านเพื่อตัดเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลของไต้หวัน ทำให้ชาวไต้หวันกว่า 14,000 คน ได้รับผลกระทบ ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ 

จากเหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การพิจารณาในการพัฒนาระบบอินเตอร์เนตดาวเทียมเป็นกรณีเร่งด่วน ไว้เป็นแผนสำรองเตรียมรับมือกับจีน 

โดยก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลไต้หวันได้ริเริ่มโครงการระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของตัวเองตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2565) โดยเล็งเห็นตัวอย่างจากสงครามในยูเครน ที่ระบบสื่อสารออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศจะขาดไม่ได้ และต้องการให้มีเน็ตเวิร์กสำรองในยามสงคราม เช่นเดียวกับโมเดล Starlink ในยูเครน 

แต่ด้วยเหตุการณ์สายเคเบิลใต้ทะลขาดที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลไต้หวันเห็นว่า แผนพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมเป็นสิ่งที่รอไม่ได้อีกต่อไป และอาจต้องพึ่งพาบริการของ Starlink ที่มีดาวเทียมเครือข่ายพร้อมใช้ และเปิดให้บริการครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดถึง 7 ทวีป รวมถึง แอนตาร์กติกา ด้วย 

ทว่า ด้วยความเป็นคนไม่ธรรมดาของ อีลอน มัสก์ ก็ได้ใช้โอกาสนี้ยื่นข้อเสนออย่างเด็ดขาดมายังรัฐบาลไต้หวันว่า Starlink ต้องเป็นเจ้าของกิจการในระบบที่ไต้หวัน 100% เท่านั้น หากไม่แล้ว ก็จะล้มเลิกข้อตกลงทั้งหมด 

ทั้งนี้หากย้อนไปช่วงปี 2019 สื่อไต้หวันได้รายงานว่า อีลอน มัสก์ เริ่มนำเสนอธุรกิจอินทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ให้กับรัฐบาลไต้หวันมาแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตามกฎหมายของไต้หวันระบุว่า ธุรกิจโทรคมนาคมที่ต้องร่วมค้ากับบริษัทต่างชาติ จำเป็นต้องมีบริษัทไต้หวันถือหุ้นส่วนอย่างน้อย 51% 

แต่เมื่ออีลอน มัสก์ ยืนยันว่า Starlink ต้องการดำเนินธุรกิจในไต้หวัน ด้วยสิทธิ์การเป็นเจ้าของกิจการ 100% เท่านั้น โดยอีลอน มัสก์ ยืนยันว่าเป็นโมเดลธุรกิจของ Starlink ที่ทำในทุกประเทศทั่วโลก นั่นก็หมายความว่า หากรัฐบาลไต้หวันต้องการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตดาวเทียมของ Starlink ก็ต้องแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้กับธุรกิจของอีลอน มัสก์

นี่ถือเป็นเงื่อนไขที่ไม่ง่ายทั้งสำหรับ รัฐบาลไต้หวัน และ ธุรกิจ Starlink เอง และปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความต้องการระบบดาวเทียม แต่อยู่ที่เงื่อนเวลาว่าทางไต้หวันรอได้หรือไม่ ที่ต้องรับมือกับความกดดันจากจีน 

เพราะตอนนี้ ไต้หวันก็กำลังพัฒนาอินเทอร์เน็ตดาวเทียมร่วมกับ OneWeb บริษัทของอังกฤษ และมีการทดลองใช้ในบางพื้นที่บ้างแล้ว แต่อาจต้องรอเวลาอีก 2-3 ปี ในการเปิดให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ได้ 

ขณะเดียวกัน หากไต้หวันรอไม่ได้แล้ว เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีน ไม่น่าไว้วางใจ Starlink อาจเป็นคำตอบที่เร็วที่สุดในเวลานี้ ที่ต้องแลกกับอธิปไตยเหนือสิทธิ์การควบคุมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ

ก็ต้องยอมรับว่า การสร้างความกดดัน หวั่นไหว สั่นประสาท ในลักษณะนี้ อีลอน เจ้าของ Twitter คนปัจจุบัน เขาปั่นเก่งนักแล...

กฎหมายต้านสายลับฉบับใหม่ของจีนมีผล โทษถึงประหาร ด้าน สหรัฐฯ โวย!! จ้องเล่นงาน 'บริษัท-นักข่าว' มะกัน

ร่างกฎหมายต่อต้านหน่วยสืบราชการลับข้ามชาติฉบับใหม่ของจีน มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่จะเพิ่มอำนาจให้แก่รัฐบาลปักกิ่งในการตรวจสอบ จับกุมและลงโทษกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายจารกรรมสอดแนมข้อมูลลับ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้มากขึ้น 

การต่อต้านการจารกรรม สอดแนม ครอบคลุมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีเป้าหมายไปยังหน่วยงานของรัฐ หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยกฎหมายใหม่ ระบุถึง กลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายความผิดฐานเป็นสายลับ นอกจากจะหมายถึงตัวบุคคล หรือองค์กรจารกรรมเองแล้ว ยังรวมถึง องค์กรตัวแทนที่ได้รับ เผยแพร่ หรือครอบครอง เอกสาร ข้อมูล สิ่งของ และรายการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถือเป็นความผิดฐานสอดแนมด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ สร้างความกังวลแก่องค์กรต่างชาติในจีน จากเนื้อหาที่ระบุว่า พลเมืองจีนทุกคนมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการสอดแนม จารกรรมข้อมูลลับแก่เจ้าหน้าที่ และ ทางการจีนมีสิทธิ์ที่จะขอตรวจค้นทรัพย์สินของผู้ต้องสงสัยได้ทันที ซึ่งกฎหมายจีนระบุโทษของการสอดแนมข้อมูลลับด้านความมั่นคงไว้สูงสุดถึงประหารชีวิต 

หน่วยข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NCSC) เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ ทำให้รัฐบาลปักกิ่งขยายขอบเขตอำนาจรัฐในการเข้าถึง และควบคุมข้อมูลของบริษัทของสหรัฐฯ ในจีนได้ง่ายขึ้น และติงว่า คำจำกัดความของ "ข้อมูลลับด้านความมั่นคง" ในกฎหมายของจีนมีความกำกวม ไม่ชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่ทางการจีนมองว่าเป็นความลับ อาจจะเป็นเพียงเอกสารภายในบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจทั่วไปก็ได้ ที่อาจทำให้บริษัทของสหรัฐถูกลงโทษด้วยข้อหาเป็นสายลับได้ในอนาคต 

แต่ในกฎหมายฉบับเดิมของจีน ก็ระบุโทษในคดีการจารกรรมไว้สูงสุดถึงประหารชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีชายวัย 78 ปี สัญชาติอเมริกันถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตข้อหาเป็นสายลับมาแล้ว  

นอกจากนี้ ยังมีกรณีพนักงานชาวญี่ปุ่นของบริษัทยา Astellas Pharma Inc. ถูกทางการจีนกักตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม ด้วยข้อหาเป็นสายลับ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดของคดีจากทางการจีน ทำให้ เท็ตสึโระ ฮอนมะ ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในจีน แสดงความวิตกกังวลถึง ความไม่แน่นอน, ความยุติธรรม และ ความโปร่งใสในตลาดจีน ที่จะส่งผลต่อการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นได้ 

สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มองว่า กฎหมายต่อต้านการจารกรรมใหม่ จะส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับองค์กรสายลับ หรือแม้แต่ชาวจีนเอง ที่ต้องติดต่อ ร่วมงานกับบริษัทข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติ 

ด้าน หลิว เผิงหยู่ โฆษกประจำสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตอบโต้ว่า รัฐบาลจีนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองจากภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศผ่านกฎหมายของตนเอง แต่ทั้งนี้ จีนยังคงส่งเสริมการเปิดตลาดในระดับสูง และจัดเตรียมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และความเป็นสากลสำหรับบริษัทจากทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย 

อีกประเด็นที่มีการกล่าวถึงไม่น้อยว่า กฎหมายใหม่นี้จะส่งผลต่อการทำงานของสื่อมวลชนต่างชาติในจีนด้วยหรือไม่ และอาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ นายอีวาน เกรชโควิช นักข่าวสัญชาติอเมริกันจาก Wall Street Journal ที่ถูกจับตัวในรัสเซียด้วยข้อหาเป็นสายลับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นนักข่าวอเมริกันคนแรกนับตั้งแต่หลังสงครามเย็นที่ถูกจับกุมโดยรัสเซียด้วยข้อหานี้ 

ในประเด็นนี้ เหมา หนิง โฆษกหญิงประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาสรุปสั้นๆ ว่า "หากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายจีนแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว" 

‘ฝรั่งเศส’ ปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง ก่อจลาจลเผาเมืองปารีส จากกรณีตำรวจยิงเด็กวัยรุ่น 17 ปี เสียชีวิตคาด่านตรวจ

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจปราบจลาจลในฝรั่งเศสกว่า 2000 นาย ออกปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงปารีสจำนวนมาก ที่ออกมาประท้วงหนักในกรณีที่ตำรวจฝรั่งเศสยิงวัยรุ่นชายวัย 17 ปีเสียชีวิตในบริเวณด่านตรวจ

การประท้วงได้ยกระดับไปสู่ความรุนแรง มีการจุดไฟเผากองขยะ รถยนต์ข้างทาง อาคารสาธารณะ สถานีตำรวจ และยังทำลายทรัพย์สินราชการเป็นจำนวนมาก ติดต่อกันเป็นคืนที่ 2 แล้ว อีกทั้งมีการปะทะกันระหว่างตำรวจปราบปรามที่ใช้แก๊สน้ำตา และกลุ่มผู้ประท้วงที่ยิงพลุไฟ และขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ ล่าสุดมีผู้ประท้วงถูกจับกุมตัวแล้วไม่ต่ำกว่า 150 ราย

‘เจอราลด์ ดาร์มานิน’ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวถึงเหตุความไม่สงบในกรุงปารีสเมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาว่า “เป็นความรุนแรงที่แสดงออกถึงการต่อต้านสัญลักษณ์ของระบอบสาธารณรัฐ ที่ไม่สามารถรับได้อีกต่อไป ศาลาว่าการเมืองต่างๆ โรงเรียน และสถานีตำรวจหลายแห่งถูกเผา และทำลาย ซึ่งเราได้จับกุมคนก่อเหตุได้ราว 150 คน”

รัฐมนตรีมหาดไทยยังกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ, ทหาร และหน่วยดับเพลิง ที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์รุนแรงด้วยความกล้าหาญ อีกทั้ง ยังประนามกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรงว่า ‘ไร้ยางอาย และปราศจากความยั้งคิด’

สาเหตุที่จุดกระแสการประท้วงในหลายเมืองของฝรั่งเศส เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (27 มิ.ย. 66) ที่เขตนองแตร์ ชานกรุงปารีส เมื่อตำรวจฝรั่งเศสได้เรียกหยุดรถคันหนึ่งเพื่อตรวจค้น โดยตำรวจอ้างว่า มีการขัดขืนและพยายามจะขับรถชนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อป้องกันตัว ทำให้ ‘Nahel M’ วัยรุ่นชายวัย 17 ปี ถูกยิงเข้าบริเวณทรวงอกในระยะเผาขนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ซึ่งข้อเท็จจริงขัดกับภาพจากกล้องวงจรปิด ที่คนขับได้หยุดรถแล้ว และตำรวจยืนในตำแหน่งด้านข้างรถ และใช้ปืนจ่อเข้าไปในรถ

เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ชุมชนกลุ่มน้อยในฝรั่งเศส ที่เชื่อว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐ และการตัดสินใจใช้ความรุนแรงของตำรวจฝรั่งเศส ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตในกรณีคล้ายกับ Nahel M มาแล้วถึง 13 ราย

‘เอมานูเอล มาครง’ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของ Nahel M และยังกล่าวว่า “ประเทศเรามีเยาวชนคนหนึ่งถูกสังหาร ด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้ และให้อภัยไม่ได้เช่นกัน และสั่งให้มีการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด”

ด้านครอบครัวของวัยรุ่นชายผู้เสียชีวิต เรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสออกมาเดินขบวนประท้วง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบุตรชาย แต่สุดท้ายกลายเป็นเหตุบานปลายที่มีการเผาทำลายอาคาร ทรัพย์สินราชการในหลายเมือง ทั้งกรุงปารีส เมืองตูลูซ ดีฌง และลียง จนทางการฝรั่งเศสต้องส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมสถานการณ์ และจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้เป็นจำนวนมาก

เรื่องคดีความของวัยรุ่น 17 ปี ก็เรื่องหนึ่ง แต่การใช้ความรุนแรงจนเกือบจะเผาบ้าน เผาเมืองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่สามารถเอามาเฉลี่ยกันได้ เพราะสังคมไม่อาจสงบได้หากเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์
 

‘สายลับสหรัฐฯ’ โว รู้แผนก่อกบฏของ ‘วากเนอร์’ ก่อนปูติน ชี้!! สืบพบสัญญาณความผิดปกติได้ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย.

เมื่อไม่นานนี้ สื่อสหรัฐฯ ทั้ง Washington Post และ New York Times รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ รับทราบข้อมูลล่วงหน้าที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่กองกำลัง วากเนอร์จะก่อกบฏภายในรัสเซีย และได้สรุปรายงานนี้ให้กับทั้งทางทำเนียบขาว สภาคองเกรซ และฝ่ายกลาโหมก่อนหน้าจะเกิดเหตุจริงเพียงไม่กี่วัน

สายสืบสหรัฐฯ อ้างว่า สามารถจับสัญญาณการเคลื่อนไหวบางอย่างของเยฟเกนี พริโกซิน และกองกำลังวากเนอร์ในการต่อต้าน นายพลเซอร์เก ชอยกู ผู้นำฝ่ายกลาโหมรัสเซีย ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่า พริโกซิน ริเริ่มวางแผนการตั้งแต่เมื่อใด แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของเขาทำให้ทีมข่าวกรองของสหรัฐฯ รับรู้ถึงความไม่ปกติภายใน ว่าน่าจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุด คือ ‘สงครามกลางเมือง’ ได้

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า จุดแตกหักของเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา ให้กองกำลังอาสาสมัครทั้งหมด ต้องมาขึ้นทะเบียน และลงนามข้อตกลงกับกองทัพรัฐบาล ถึงแม้ว่าจะไม่ระบุเจาะจงว่าเป็นกลุ่มกองกำลังวากเนอร์ แต่หลักปฏิบัตินั้นชัดเจนว่า ทหารกองอาสาสมัครทั้งหมด ทุกกลุ่ม ครอบคลุมถึงหน่วยของกองทหารรับจ้างวากเนอร์ ต้องอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงกลาโหม

นั่นหมายความว่า ฝ่ายกระทรวงกลาโหมรัสเซีย มีเป้าหมายที่จะควบรวมกองกำลังวากเนอร์ เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จากที่เคยเป็นกองกำลังอิสระ บริหารในรูปแบบบริษัทเอกชน ที่มีเยฟเกนี พริโกซิน เป็นผู้นำ และยังสร้างผลงานโดดเด่นในการสู้รบในยูเครน โดยเฉพาะสมรภูมิในเมืองบัคมุท

เจ้าหน้าที่ฝ่ายการทหารของยูเครนก็ได้จับตา พริโกซิน หลังวันประกาศเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เช่นกัน และเชื่อว่าผู้นำกองกำลังวากเนอร์ เริ่มเคลื่อนพลเพื่อต่อต้านรัฐบาลมอสโกแล้วตั้งแต่วันนั้น และยังแสดงออกชัดเจนว่า ‘ไม่ลงรอย’ กับผู้นำสุงสุดของฝ่ายกลาโหมรัสเซียหลายครั้ง และมั่นใจว่า พริโกซินไม่รู้ตัวว่า ทั้งรัฐบาลยูเครน และหน่วยข่าวกรองสหรัฐกำลังจับตาดูอยู่ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับระหว่างกันอีกด้วย

หน่วยสอดแนมลับของสหรัฐฯ เชื่อว่า แม้กระทั่งปูตินเอง น่าจะเพิ่งรับรายงานแผนการก่อกบฏของพริโกซิน ผู้ซึ่งเคยเป็นสหายคนสนิทของเขา ล่วงหน้าเพียงวันเดียวเท่านั้น ซึ่งพริโกซินก็ดำเนินตามแผนการที่วางไว้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

และทันทีที่กลุ่มวากเนอร์ ข้ามชายแดนยูเครนเข้ามาในรัสเซียในช่วงวันศุกร์ที่ 23 มิ.ย. ก็บุกยึดกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในเมืองรอสตอฟได้ทันทีในวันเสาร์ และประกาศบุกมอสโกต่อในวันอาทิตย์ สร้างความปั่นป่วนโกลาหลไปทั่วกรุงมอสโก ก่อนที่จะเยฟเกนี พริโกซิน จะยอมรับเงื่อนไขของทางรัฐบาลรัสเซีย ลี้ภัยไปเบลารุส และให้กลุ่มวากเนอร์ ถอยกลับไปประจำในฐานที่มั่นของตน

แม้ว่าเหตุการณ์จะสงบแล้ว แต่กองทัพรัสเซียคงไม่อาจไว้วางใจกองกำลังวากเนอร์ได้อีกต่อไป แม้ปูตินจะยอมรับว่า ทหารวากเนอร์ส่วนใหญ่ถือเป็นนักรบผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ แต่หลังเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผ่านมา จำเป็นที่จะต้องสลายกลุ่มวากเนอร์ โดยปูตินยื่นข้อเสนอว่า กองกำลังวากเนอร์มีทางเลือก 3 ทาง คือ เข้าประจำการในกองทัพรัสเซีย, กลับบ้าน หรือลี้ภัยไปเบลารุสเท่านั้น

จากคำกล่าวอ้างของเยฟเกนี พริโกซิน มีกองกำลังวากเนอร์ ที่ประจำการพร้อมรบอยู่ราว 25,000 คน และมีกองหนุนสำรองอีกนับหมื่นคน

‘นาตาชา’ นักเรียนไทย-อเมริกัน ชนะรางวัลงานวิจัยยอดเยี่ยม สามารถวิเคราะห์กลไกสมองเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายได้

‘นาตาชา กุลวิวัฒน์’ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 16 ปี ที่กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกา แต่ความสามารถเกินอายุ สร้างผลงานวิจัยยอดเยี่ยมจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดโครงการวิจัยในงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ได้สำเร็จ พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.74 ล้านบาท)

กว่าจะได้งานวิจัยที่ประสบความสำเร็จนี้ นาตาชาใช้เวลาศึกษาค้นคว้าข้อมูลเนื้อเยื่อสมองในห้องแล็บของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นานถึง 6 เดือน โดยเธอได้เปรียบเทียบตัวอย่างเนื้อเยื่อสมองของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งบริจาคโดยญาติของพวกเขา 10 ตัวอย่าง เปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อสมองของผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นๆ และพบว่า เนื้อเยื้อสมองของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมี ‘ไซโตไคน์’ หรือกลุ่มโปรตีนขนาดเล็กที่อักเสบอยู่เป็นจำนวนมาก

โดยทั่วไปแล้ว ‘ไซโตไคน์’ อาจเกิดการอักเสบได้ตามปกติจากการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรค แต่ร่างกายก็สามารถปลดปล่อยไซโตไคน์ได้แม้ไม่มีภัยคุกคาม เช่น ในช่วงที่มีความเครียดเรื้อรัง และนั่นอาจทำให้เกิดการอักเสบที่มากเกินไป จนส่งผลเสียต่อร่างกายได้หลายกรณี อาทิ โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งในงานศึกษาของ นาตาชา กุลวิวัฒน์ บ่งชี้ว่าการอักเสบเหล่านี้ส่งผลต่อโปรตีนในสมองชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า ‘claudin-5’

‘Claudin-5’ มักพบในเซลล์ที่สร้างสิ่งกีดขวางระหว่างเลือดและสมอง หรือ ‘BBB’ ​​ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารที่สามารถผ่านจากเลือดไปยังเซลล์สมอง โดย นาตาชา กุลวิวัฒน์พบว่า มี claudin-5 แทรกซึมอยู่ในสมองส่วนอื่นๆ เช่นในเซลล์ประสาทนิวรอน และเส้นเลือดฝอยในสมองของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย บ่งชี้ว่า ‘ระบบ BBB ในสมองของผู้ตายเกิดอาการบกพร่อง’

จึงเป็นสาเหตุให้มีสารแปลกปลอมในเลือดไหลเข้าสู่พื้นที่การทำงานในสมอง จนเป็นพิษต่อระบบประสาท และผลการวิจัยของเธอทำให้เห็นว่า ‘ระดับ Claudin-5 ในสมองสูงขึ้นอาจทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้’

และผลงานวิจัยชิ้นนี้ของเธอ ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจนไดรับรางวัล Gordon E. Moore Award for Positive Outcomes for Future Generations พร้อมเงินรางวัล 50,000 ดอลลาร์ จากงาน Regeneron International Science and Engineering Fair ซึ่งถือเป็นงานแข่งขันด้านวิชาการในระดับสากลของนักเรียนระดับชั้นเตรียมอุดมศึกษา ที่จัดโดยองค์กร Society for Science

นาตาชา กุลวิวัฒน์ ลูกครึ่งสาวไทย-อเมริกัน อัจฉริยะผู้นี้ ปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่าว่า เธอเริ่มศึกษาสาเหตุที่ทำให้คนตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากปัจจัยด้านจิตวิทยามาก่อน เช่นอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น หรือความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ลดลง แต่ต่อมาก็ลองหันมาศึกษาจากมุมมองทางชีววิทยาของระบบประสาท เพราะไม่ค่อยมีงานวิจัยที่นำเสนอในมุมนี้

สาเหตุที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยการฆ่าตัวตาย มีแรงบันดาลใจมาจากการเป็นอาสาสมัครให้กับ American Foundation for Suicide Prevention และ กลุ่ม Out of the Darkness Walks ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้และสนับสนุนทางใจ แก่ผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการฆ่าตัวตายนั่นเอง

และงานวิจัยในขั้นต่อไปของ นาตาชา กุลวิวัฒน์ คือการศึกษาผลลัพธ์จากการรักษาด้วยยาต้านอาการอักเสบต่างๆ ว่าจะมีปฏิปฏิกิริยาอย่างไรกับ claudin-5 ในกลุ่มสัตว์ทดลอง ซึ่งเธอหวังว่างานวิจัยนี้อาจให้เบาะแสในการพัฒนาวิธีการรักษาทางเลือกในกรณีที่ระบบ BBB บกพร่องที่เสี่ยงต่อการตัดสินใจการฆ่าตัวตายของมนุษย์ได้ในอนาคต

นับเป็นผลงานวิจัยที่น่าภูมิใจของเด็กนักเรียนเชื้อสายไทย ที่ฉายแววรุ่งในสหรัฐ และนอกเหนือจากความสามารถด้านวิทยาศาสตร์แล้ว เธอยังมีผลงานหนังสือภาพ My Dreams: A Trilingual Drawing Book: English, Thai, and Chinese ที่บอกเล่าประสบการณ์ของการเติบโตมาในครอบครัว 2 ภาษา (ไทย - อังกฤษ) และยังสนใจเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมอีกด้วย

และด้วยความรักในด้านการวาดภาพ และภาษา เธอได้รวบรวมภาพเขียนตั้งแต่สมัยเด็ก พร้อมคำบรรยายถึง 3 ภาษา (อังกฤษ, ไทย, จีน) เพื่อสนับสนุนทักษะด้านจินตนาการ และ พัฒนาภาษาไปควบคู่กันด้วย นับเป็นเยาวชนที่เก่งรอบด้านจริงๆ

‘ชาวเซอร์เบีย’ ส่งมอบปืนคืนรัฐฯ กว่าหมื่นกระบอก หลังเกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในโรงเรียน

‘เซอร์เบีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ปัจจุบันจากจำนวนชาวเซอร์เบียราว 7 ล้านคน มีการถือครองปืนมากถึง 2.7 ล้านกระบอก และมากกว่าครึ่งเป็นอาวุธปืนที่ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมการถือครองปืนของชาวเซอร์เบีย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามยูโกสลาเวียในปี 1989 ซึ่งชาวเซอร์เบียมองว่า การมีอาวุธปืนในครอบครองถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการป้องกันตนเอง อีกทั้งการใช้ปืน ยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีแต่งงาน งานเฉลิมฉลองในวันเกิดทารก หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมที่ใช้ปืนเป็นอาวุธในเซอร์เบียอยู่ในระดับกลาง ราวๆ 0.3 คดีต่อประชากร 100,000 คน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย อาจทำให้ชาวเซอร์เบียชะล่าใจว่า การถือครองปืนไม่ได้ส่งผลต่อระดับคดีอาชญากรรมในประเทศ จนกระทั่ง เกิดเหตุโศกนาฎกรรม กราดยิงครั้งใหญ่ ติดต่อกันถึง 2 แห่งภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในโรงเรียน Vladislav Ribnikar Model Elementary School ชานกรุงเบลเกรด โดยนักเรียนอายุ 13 ปี ใช้ปืนของพ่อกราดยิงเพื่อน และ ครูในโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เกิดเหตุชายวัย 21 ขับรถไล่ยิงคนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเบลเกรด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายในคืนเดียว

จากเหตุสลดดังกล่าว ทำให้ชาวเซอร์เบียเริ่มตระหนักถึงอันตราย จากการมีอาวุธใกล้มือเกินไปที่บ้าน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูซิส ออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนโดยทันที

ด้านผู้นำเซอร์เบีย ก็ได้ออกคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และเพิ่มโทษการถือครองอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ด้วยโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ประธานาธิบดี วูซิส ได้ประกาศช่วงนิรโทษกรรม 1 เดือนให้กับชาวเซอร์เบียทุกคนที่ยังครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ให้นำมาส่งมอบคืนกับรัฐบาล จะได้รับการยกเว้นโทษ ซึ่งช่วงนิรโทษกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ไปจนถึง 8 มิถุนายนนี้ หากพ้นชวงนี้ไป ทางรัฐบาลเซอร์เบียจะเริ่มนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และใครที่ยังถือครองอยู่จะได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น

ซึ่งทันทีที่มีประกาศ ชาวเซอร์เบียก็ได้นำอาวุธไปคืนให้กับรัฐบาลเซอร์เบียเป็นจำนวนมาก จนกองพะเนินเป็นภูเขา และยังเป็นที่น่าตกตะลึงว่า ในจำนวนปืนที่นำมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีปืนกล ปืนกึ่งอัตโนมัต ที่เป็นกลุ่มอาวุธที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครองอยู่แล้ว ยังพบปืนต่อสู้รถถัง และ ปืนยิงขีปนาวุธ บางส่วนด้วย ซึ่งนับรวมแล้วตอนนี้มีปืนจากประชาชน ส่งคืนให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 13,500 กระบอก

แม้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมการครอบครองปืนของชาวเซอร์เบียจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยผู้นำเซอร์เบียได้ออกมากล่าวชื่นชมชาวเซอร์เบียที่นำอาวุธมาส่งคืนให้ เพราะมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในจำนวนปืนราวหมื่นกระบอกนี้ กว่าครึ่งเป็นปืนที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ชาวเซอร์เบียบางส่วนก็ยินดีส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาล เพราะเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเหล่านี้แล้ว อีกทั้งไม่อยากเห็นเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเซอร์เบียอีก

การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนในเซอร์เบีย กำลังจะเป็นที่สนใจอย่างมากในอีกประเทศที่มีปัญหาคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนอย่างหนัก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา

โดยสื่อในสหรัฐ พยายามถอดรหัส ‘เซอร์เบียโมเดล’ การปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลดการถือครองอาวุธปืน และสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้โดยปราศจากอาวุธ

แต่โมเดลเซอร์เบีย อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายที่สหรัฐ เนื่องจากในเซอร์เบียไม่มี ‘สมาคมปืนแห่งชาติ’ ที่พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อล็อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ในการยกมือคัดค้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ มานานนับร้อยปีนั่นเอง

ไขปมลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ ‘หลานเคนเนดี’ บอก!! เป็นฝีมือของ CIA

‘โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์’ หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า 2024 อีกทั้งยังเป็นหลานชายแท้ๆ ของ ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ อดีตประธานาธิบดีชื่อดังที่ถูกลอบสังหาร ได้ออกมาทิ้งระเบิด เปิดประเด็นลูกใหม่ว่า CIA อยู่เบื้องหลังการแผนการลอบสังหารครั้งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุ ‘WABC 770 AM’ ของนิวยอร์กว่า มีหลักฐานต่างๆ มากมาย ที่ชี้ว่า CIA เกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงอดีตผู้นำเคนเนดีที่เมืองดัลลัส ในรัฐเท็กซัส ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 และความพยายามที่จะปกปิดหลักฐานเหล่านั้นด้วย 

อีกทั้งยังอ้างอิงหนังสือ ‘JFK and the Unspeakable’ ของ เจมส์ ดักกลาส ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้นานถึง 12 ปี และพยายามเสนองานของเขาให้กับหลายสำนักพิมพ์ แต่ถูกปฏิเสธ กว่าจะได้ตีพิมพ์จริงในสำนักพิมพ์ Orbis Book ที่ก็เคยปฏิเสธงานของดักกลาสถึง 3 ครั้ง ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กว่า 500 หน้า ได้กล่าวถึงแรงจูงใจ และความเป็นไปได้ที่ทั้ง CIA และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ต้องการกำจัดประธานาธิบดีคนที่ 35 คนนี้ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปิดคดีว่า นายลี ฮาร์วีย์ ออสวอล์ด เป็นผู้ลงมือสังหารแต่เพียงผู้เดียวในอีก 1 ปีต่อมา 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ เป็นหนึ่งในครอบครัวเคนเนดี ที่เข้าสู่วงการการเมืองของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นทนายด้านสิ่งแวดล้อม และสมาชิกพรรคเดโมแครต มีศักดิ์เป็นหลานชายของ จอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งในวันที่ลุงของเขาถูกลอบสังหาร และเป็นข่าวดังไปทั่วโลกนั้น เขามีอายุเพียง 9 ปี และต่อมาเมื่อเขาอายุ 14 ปี พ่อของเขา ‘โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี’ หรือ บ๊อบบี้ ซึ่งเป็นน้องชายของจอห์น ก็มาถูกลอบสังหารเช่นเดียวกัน ขณะกำลังเดินสายหาเสียงเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 1968


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top