Sunday, 12 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

รู้จัก Wegovy ยาลดน้ำหนักที่ ‘อีลอน มัสก์’ ยังลอง มาแรงถึงขั้นสร้างมูลค่าแซงหน้า ‘หลุยส์ วิตตอง’

(5 ก.ย. 66) เรื่องน้ำหนักตัว (อ้วน!!) เป็นปัญหาโลกแตกสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ที่นอกจากจะมีผลกระทบกับสุขภาพแล้ว ยังลดทอนความมั่นใจสำหรับบางคนอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหากมีใครสามารถคิดค้นสิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้อย่างได้ผล และปลอดภัยจริงๆ คงจะสร้างมูลค่าทางการตลาดได้มหาศาลเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าเพื่อรักษาโรคอ้วนที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก นั่นก็คือ บริษัทเวชภัณฑ์ของเดนมาร์กที่ชื่อ ‘Novo Nordisk’ ซึ่งได้พัฒนายา ‘Wegovy’ ซึ่งเป็นยาที่ช่วยในการควบคุมและรักษาโรคอ้วน หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Semaglutide’ โดยเพิ่งวางจำหน่ายยานี้อย่างเป็นทางการในอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ (4 ก.ย. 66) ที่ผ่านมา 

เจ้า ‘Wegovy’ นี้ ได้รับการรับรองแล้ว จากสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพ และการแพทย์แห่งอังกฤษ ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน หรือ ‘ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย’ (BMI) เกิน 30 ในระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 2 ปี ควบคู่กับการควบคุมอาหาร และ ออกกำลังกายได้

‘Wegovy’ เป็นยาควบคุมน้ำหนักที่ฉีดใต้ผิวหนัง มีคุณสมบัติในการระงับอาการหิว และทำให้ผู้รับยา บริโภคอาหารน้อยลงจากที่เคย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดน้ำหนัก และได้ทดสอบกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอาการโรคอ้วนจำนวน 304 คน คู่กับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก ร่วมกับการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ และ ออกกำลังกายมากขึ้นในระยะเวลา 104 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มทดลองที่ใช้ Wegovy มีน้ำหนักลดลงอย่างชัดเจนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ยา 

อีกทั้ง Novo Nordisk ยังอ้างว่าการใช้ Wegovy ช่วยลดความเสี่ยงจาก โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมองได้ และมีคนดังจำนวนมาก รวมถึง ‘อีลอน มัสก์’ เปิดเผยว่าใช้ยาตัวนี้ช่วยควบคุมน้ำหนักอยู่เช่นกัน ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งวันนี้ ที่มีการเปิดตัวจำหน่าย Wegovy ในอังกฤษ มูลค่าหุ้นของบริษัท Novo Nordisk ก็พุ่งทะยานถึง 4.28 แสนล้านเหรียญ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของยุโรป แซงหน้าหุ้นของ LVMH หรือ ‘หลุยส์ วิตตอง’ แบรนด์หรูของฝรั่งเศส ไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นของ Novo Nordisk ยังถูกคาดว่าจะพุ่งขึ้นไปได้อีก เพราะความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เพราะเอาแค่เฉพาะในอังกฤษ ทางกรมดูแลสุขภาพแห่งชาติ ถึงกับเปิดเผยว่า น่าจะมีคนไข้ชาวอังกฤษที่รอรับยา Wegovy หลายหมื่นคน ไม่รวมคลินิกเอกชนอีกต่างหาก ในขณะที่ Wegovy ในคลังยามีอยู่อย่างจำกัด  

ประกอบกับรัฐบาลอังกฤษยังสนับสนุนงบประมาณในการทดสอบยานี้กับผู้ป่วยโรคอ้วน เพื่อดูประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่กินงบประมาณด้านสุขภาพของอังกฤษ มากถึง 6.5 พันล้านปอนด์ต่อปี 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ริชี ซูแน็ก’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังเชื่อเลยว่า Wegovy อาจเป็นจุดเปลี่ยนเกมของผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากภาวะโรคเบาหวาน ให้กลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

จากปรากฏการณ์นี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมความต้องการยาควบคุมน้ำหนัก Wegovy ถึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในอังกฤษ, ยุโรป และในสหรัฐอเมริกา จนดันมูลค่าหุ้นของ Novo Nordisk แซงหน้าบริษัทแบรนด์หรูได้ เพราะสุดท้าย สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ ‘สุขภาพ’ ของตัวเอง หาใช่ทรัพย์สินภายนอก

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

กองทัพทหาร บุกยึดอำนาจ ‘อาลี บองโก ออนดิมบา’ หลังคว้าชัยเลือกตั้งใหญ่ ล้มอำนาจผู้นำ 3 สมัยแห่งกาบอง

คลื่นกระแสการรัฐประหารในทวีปแอฟริกา ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ล่าสุด กองทหารระดับสูงแห่งกาบอง ได้ประกาศผ่านช่อง Gabon 24 เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 66 แถลงข่าวยึดอำนาจประธานาธิบดี ‘อาลี บองโก ออนดิมบา’ ผู้นำกาบอง 3 สมัย หลังจากเพิ่งคว้าชัยจากการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงขาดลอยถึง 63.4%

นับเป็นการเลือกตั้งที่มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์อย่างรุนแรงจากพรรคฝ่ายค้าน และชาวกาบอง ถึงความไม่โปร่งใส และทุจริต

แต่ทันทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งของกาบองได้รับรองผลการนับคะแนน และประกาศให้ ประธานาธิบดี อาลี บองโก ผู้นำคนปัจจุบัน เป็นผู้ชนะได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็มีกลุ่มกองทหารบุกยึดสถานีโทรทัศน์พร้อมออกแถลงการณ์ว่า “ได้ยึดอำนาจ ประธานาธิบดี อาลี บองโก แล้ว” โดยอ้างว่า “การเลือกตั้งที่ผ่านมาขาดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นเหตุให้คณะทหาร ซึ่งเป็นตัวแทนของกองทัพที่หน้าที่ดูแลความมั่นคง และป้องกันประเทศ จำเป็นต้องยึดอำนาจรัฐบาล ให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และยุบสถาบันฝ่ายบริหารทั้งหมดในกาบอง”

ล่าสุด มีรายงานว่ามีการปิดพรมแดนของประเทศกาบอง และมีเสียงปืนดังขึ้นที่กลางกรุงลีเบรอวิล เมืองหลวงของกาบอง ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้

นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 8 ในระยะเวลาเพียง 3 ปี ที่เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในโซนภูมิภาคซาเฮล และประเทศใกล้เคียงอย่างกาบอง ที่ส่วนมากเป็นประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน

และหากรัฐประหารครั้งนี้สำเร็จ จะเป็นการสิ้นสุดการปกครองของตระกูลบองโก ที่ครองอำนาจในกาบองมานานถึง 56 ปี โดยประธานาธิบดี อาลี บองโก ผู้นำคนปัจจุบันที่ถูกรัฐประหารในวันนี้ ดำรงตำแหน่งมาแล้วถึง 14 ปี และสืบทอดอำนาจต่อจาก ‘โอมาร์ บองโก ออนดิมบา’ อดีตประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ซึ่งเป็นพ่อของเขาเอง

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี อาลี บองโก เคยเกือบถูกรัฐประหารมาแล้ว เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562 โดยกองทหารกลุ่มหนึ่งบุกยึดสถานีวิทยุแห่งชาติ ณ ใจกลางกรุงลีเบรอวิล ประกาศยึดอำนาจรัฐบาล ในขณะที่ อาลี บองโก ยังพักรักษาตัวจากอาการโรคหลอดเลือดสมองในประเทศโมร็อกโก แต่ครั้งนั้นทำการไม่สำเร็จ

แต่หากรัฐประหารในวันนี้ของกาบอง สามารถโค่นล้ม อาลี บองโก ผู้นำ 3 สมัยลงได้ ทวีปแอฟริกาคงสั่นสะเทือนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดรัฐประหารล่าสุดที่ไนเจอร์ ที่จะส่งผลต่อดุลอำนาจในภูมิภาคอย่างมาก

เนื่องจาก กาบองเป็นอีกหนึ่งชาติที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝรั่งเศส และในด้านทรัพยากร ก็ยังเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยก๊าซธรรมชาติ แร่แมงกานีส และป่าไม้  อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาการเมืองในหลายประเทศของแอฟริกา ที่สถาบันรัฐยังเปราะบาง สุ่มเสี่ยงต่อการถูกโค่นล้มจากคลื่นกระแสรัฐประหารในแอฟริกา เชื่อว่าจะไม่จบลงที่กาบองอย่างแน่นอน

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

ยึดรถไอศกรีมฉาว กลางย่านท่องเที่ยวดังในกรุงลอนดอน หลังกร่างขวางถนน ไร้ใบอนุญาต แถมค้ากำไรเกินควร 

(28 ส.ค. 66) ทำเสียชื่อเมืองผู้ดีเก่าอย่าง ‘กรุงลอนดอน’ ประเทศอังกฤษอย่างนี้ ต้องโดนสักที สำหรับรถเร่ขายไอศกรีมตามแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ที่ตอนนี้ โดนสื่ออังกฤษรุมแฉว่า “เป็นร้านที่ขายไอศกรีมแพงที่สุดในอังกฤษแล้ว”

เมื่อตำรวจลอนดอนใน 2 พื้นที่ทั้ง ‘Lambeth Council’ และ ‘Westminster City’ ได้บุกเข้ายึดรถเร่ขายไอศกรีมคันหนึ่ง ที่จอดขายไอศกรีมโคนสไตล์อังกฤษ ที่เรียกว่า ‘99 Flake’ ให้แก่นักท่องเที่ยวบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ เพราะจอดรถบนสะพานกีดขวางเลนจักรยาน ผิดกฏจราจร สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ และยังพบว่ารถขายไอศกรีมคันนี้ ไม่มีใบอนุญาติในการจำหน่ายอาหาร ผิดระเบียบด้านอนามัยอีกต่างหาก

แต่ที่แสบยิ่งกว่านั้นคือ ก่อนที่ตำรวจลอนดอนจะบุกมายึดรถไอศกรีมคันนี้ไป มีการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งว่า รถเร่คันนี้ ขายไอศกรีมโคนในราคาแพงลิว เข้าข่ายขูดรีดนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว

เพราะร้านนี้ ขายไอศกรีม 99 Flake ขนาดมาตรฐาน ซึ่งเป็นไอศกรีมโคนไอคอนของเกาะอังกฤษ ในราคาสูงถึงโคนละ 7 ปอนด์ (ประมาณ 310 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าร้านทั่วไปเกือบ 5 เท่า

หากคิดว่าไอศกรีมโคนละ 7 ปอนด์ ราคาแพงมากแล้ว แต่ล่าสุด ‘โจแอน ซิมบอร์’ นักท่องเที่ยวสาวรายหนึ่ง ที่เดินทางมาพร้อมครอบครัวและลูกๆ ยืนยันว่าได้ซื้อไอศกรีมโคนกับรถคันนี้ในราคาแพงกว่า 7 ปอนด์เสียอีก โดยเธอได้สั่งไอศกรีมไปทั้งหมด 4 โคน โดนไป 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,330 บาท) ตอนที่เจ้าของร้านบอกราคา เธออึ้งจนงง!! แม้จะเข้าใจว่าค่าครองชีพในลอนดอนนั้นสูงมาก แต่ไม่นึกว่าจะสูงถึงขนาดนี้

สิ่งที่ผิดปกติคือ ทางร้านก็ไม่ยอมติดป้ายราคาอาหารที่หน้าร้านเลย แม้คนทั่วไปจะสอบถามราคาก่อนซื้อ แต่บางครั้งหลายคนก็ชะล่าใจ ไม่นึกว่าไอศกรีมโคนเล็กๆ จะมีราคาแพงได้ถึงขนาดนี้

สำหรับไอศกรีมโคน 99 Flake ชื่อดังนี้ ถือกำเนิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่บริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Cadbury ในเมืองเบอร์มิงแฮม ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในปี 1920 ที่ชื่อว่า ‘Flake’ มีลักษณะเป็นแท่งช็อคโกแลตอบกรอบ คล้ายตังเม และไม่ละลายในอากาศร้อน ต่อมานิยมใช้ในการตกแต่งบนหน้าขนมหวาน

โดยร้านที่อ้างว่าเสิร์ฟเมนู 99 Flake เป็นร้านแรก คือร้านไอศกรีมของ ‘นายสเตฟาโน อาร์คารี’ ซึ่งร้านของเขาตั้งอยู่บ้านเลขที่ 99 บนถนน Portobello High Street ในสก็อตแลนด์ ได้ใช้ช็อกโกแลต Flake ครึ่งแท่งปักในไอศกรีมซอฟท์ครีม 1 โคนออกขายในปี 1922 ซึ่งเชื่อว่า 99 Flake มาจากเมนูนี้ที่ร้านของเขา และเป็นเมนูไอศกรีมที่ดังมาก และมีหลายร้านนำไอเดียไปขายบ้าง และกระจายไปทั่วอังกฤษ จนบริษัท Cadbury ต้องออกช็อกโกแลต Flake ในขนาดครึ่งแท่งมาวางจำหน่ายสำหรับนำไปประดับเป็นไอศกรีม 99 Flake โดยเฉพาะในเวลาต่อมา

ดังนั้น 99 Flake จึงเป็นไอศกรีมโคนระดับมาตรฐาน สตรีทฟู้ดทั่วไปในอังกฤษ โดยมากขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.5 ปอนด์เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นหลายปี ขายในราคา 99 เซนท์ตามชื่อไอศกรีมด้วยซ้ำไป

เมื่อเป็นไอศกรีมระดับตำนานของอังกฤษ ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนสนใจอยากลองเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอมาเจอราคาของรถเร่ไอศกรีม ที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส ดูเข้าถึงง่าย แต่หลอกขายไอศกรีมในราคาที่เรียกได้ว่าขูดรีด หลอกลวงผู้บริโภค เห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็คิดจะขายในราคาแบบตีหัวเข้าบ้าน ก็ทำนักท่องเที่ยวเข็ดได้เหมือนกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็โดนยึดรถ โดนออกสื่อทั่วอังกฤษประจานไปตามระเบียบ แต่ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวก็ต้องพึงระวังในการซื้อของกิน ของใช้เวลาเดินทางต่างแดน ต้องถามราคาก่อนสั่งเสมอ จะได้ไม่โดนโขกราคาเลือดซิบเช่นนี้

‘ไบเดน’ โหนกระแส ฟันธง!! ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง  ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้า Wagner เสียชีวิต

(24 ส.ค. 66) จับกระแสไว ยิ่งกว่าเจ้าของรายการโหนกระแสเสียอีก สำหรับ ‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังจากทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินของ ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ ผู้ก่อตั้งกองกำลัง Wagner ตกในรัสเซีย ที่ทำให้ผู้โดยสาร จำนวน 10 คน รวมทั้งเยฟเกนี พริโกซิน เสียชีวิตยกลำ ก็ได้ออกมาฟันธงทันทีว่า ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างแน่นอน

สื่อรัสเซียรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินเจ็ทเหมาลำโดย ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ และผู้บริหารระดับสูงของกองกำลัง Wagner ตกที่ ‘เมืองตเวียร์’ ทางภาคตะวันตกของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นของวันพุธที่ 23 สิงหาคม 2566 และไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ตอนนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเคลียร์พื้นแล้ว ล่าสุดพบร่างผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ศพ ส่วนทางรัฐบาลมอสโก ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้

ถึงแม้ทางเครมลินยังเงียบ แต่ทำเนียบขาวมาแล้ว โดย ‘โจ ไบเดน’ ออกมาแสดงความเห็นอย่างหนักแน่นว่า ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย เกี่ยวข้องกับการตกของเครื่องบินเหมาลำของหัวหน้าหน่วย Wagner อย่างไม่ต้องสงสัย

ไบเดนกล่าวว่า “ผมยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมไม่ประหลาดใจเลย เพราะไม่ค่อยมีอะไรที่เกิดขึ้นในรัสเซีย แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับปูติน”

ไบเดนยังบอกนักข่าว CNN ที่ตามไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับข่าวของพริโกซินว่า เขาเคยพูดไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วว่า พริโกซินต้องระวังความปลอดภัยของตัวเองให้มาก หลังเหตุก่อกบฏที่ล้มเหลวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ซึ่ง โจ ไบเดน เคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่เขาไปเยือนกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ในครั้งนั้น ไบเดนพูดติดตลกในห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า “ถ้าผมเป็นพริโกซินตอนนี้ ผมจะระวังอาหารทุกจานที่ผมกิน จับตามองเมนูทุกอย่างที่จะเสิร์ฟให้ผมนับจากนี้”

ไม่ใช่เฉพาะ ‘โจ ไบเดน’ ที่เชื่อว่า ‘เยฟเกนี พริโกซิน’ อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ‘มิไคโล โปโดลแยค’ ผู้ช่วยประธานาธิบดียูเครน ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นเช่นกันว่า อุบัติเหตุของเครื่องบินโดยสารของเยฟเกนี พริโกซิน เกิดขึ้นตรงวันที่กองกำลัง Wagner ลุกฮือในรัสเซีย ครบรอบ 2 เดือนพอดี (23 มิถุนายน 2566) ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณของรัฐบาลปูติน ถึงกลุ่มนายทุนชั้นสูงของรัสเซียว่า การไม่จงรักภักดีต่อระบอบปูติน มีราคาที่ต้องจ่าย และยังเป็นการปูทางสู่การเลือกตั้งใหญ่ในรัสเซียในปี 2024 อีกด้วย

ด้าน ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ที่ถูกพาดพิงจากสื่อทุกสำนักในวันนี้ ก็ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเยฟเกนี พริโกซิน นอกจากกำหนดการที่ต้องออกมากล่าวคำปราศรัยในวันฉลองชัย วันครบรอบ 80 ปี ยุทธการที่เมืองคูสค์ ซึ่งกองกำลังโซเวียตมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อกองทัพนาซีเยอรมัน ในแนวรบที่เมืองคูสค์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้ถือโอกาสนี้กล่าวปลุกใจ สร้างขวัญทหารรัสเซียที่ไปรบในยูเครนตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โดยนักวิเคราะห์มองว่า นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะของปูตินที่ยังแข็งแกร่งเพียงพอ ที่จะรอโอกาสแก้แค้นฝ่ายที่ต่อต้านเขาได้อย่างใจเย็น

สำหรับในวันนี้ ที่หน้าสำนักงานกองกำลัง Wagner ในเมือง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จะมีการจุดเทียน และวางดอกไม้ไว้อาลัยให้กับ เยฟเกนี พริโกซิน เนื่องจากพริโกซิน เป็นหนึ่งในนายทุนระดับสูงที่มีฐานความนิยมในรัสเซียอยู่พอสมควร ทว่าการจากไปของพริโกซิน ทำให้ไม่อาจคาดเดาอนาคตของกองกำลัง Wagner ที่ปักหลักในยูเครน และ ทวีปแอฟริกา ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไปหลังจากนี้…

‘ทหารมะกัน’ ลักลอบข้ามแดน ขอลี้ภัยไปอยู่ ‘เกาหลีเหนือ’ อ้าง ถูกเลือกปฏิบัติ-เหยียดเชื้อชาติ-ทารุณกรรมในกองทัพสหรัฐฯ

สื่อสหรัฐฯ อ้างอิงแหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือ ที่ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกว่า ได้จับกุมตัว ‘พลทหาร ทราวิส คิง’ สังกัดกองทัพสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ไว้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา พลทหาร ทราวิส คิง ได้ลักลอบข้ามชายแดน จากเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม เข้ามาในดินแดนเกาหลีเหนืออย่างผิดกฎหมาย ต่อมาถูกจำกุมตัวได้โดยกองกำลังเกาหลีเหนือ

หลังจากที่มีการสอบสวน พลทหาร คิง สารภาพว่า เขาตั้งใจที่จะข้ามแดนมายังเกาหลีเหนือด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่าผิดกฎหมาย โดยยังกล่าวอีกว่า ที่ทำไปเพราะต้องการต่อต้านการกระทำทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรม และการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในกองทัพสหรัฐฯ และตัวเขาก็ไม่แยแสต่อสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม ดังนั้น เขาประสงค์ที่จะขอลี้ภัยทางการเมืองในเกาหลีเหนือ หรือในประเทศที่สามอื่นๆ

‘พลทหาร ทราวิส คิง’ เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ปัจจุบันอายุ 23 ปี ถูกส่งมาประจำการในค่ายทหาร Garrison Humphreys ในจังหวัดพย็องแท็ก ประเทศเกาหลีใต้ ต่อมาถูกตำรวจเกาหลีใต้จับกุมด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ก่อนถูกส่งตัวคืนให้แก่กองทัพสหรัฐฯ โดย พลทหาร คิง จะต้องถูกส่งตัวกลับสหรัฐฯ เพื่อลงโทษทางวินัย และมีกำหนดเดินทางออกจากเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

แต่ทว่า พลทหาร คิง ได้หลบหนีออกจากสนามบินอินชอน และเข้าร่วมโปรแกรมทัวร์เยี่ยมชมเขตปลอดทหารที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวดังของเกาหลีใต้ เมื่อสบโอกาส พลทหาร คิง ได้หนีทัวร์ และเดินข้ามเขตชายแดนไปยังเกาหลีเหนือและหายตัวไป จนล่าสุดเพิ่งได้รับการยืนยันจากรัฐบาลเกาหลีเหนือว่า ได้ควบคุมตัวพลทหาร ทราวิส คิง อยู่ และเป็นพลเมืองสหรัฐฯ คนแรกในรอบ 5 ปี ที่ถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ

ด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ไม่ขอออกความเห็นในคำสารภาพของพลทหาร ทราวิส คิง ที่ปรากฏในสื่อเกาหลีเหนือ เพียงแต่กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายกลาโหมต้องการเพียงให้พลทหารอเมริกันเดินทางกลับสหรัฐฯ อย่างปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้โฆษกกลาโหมสหรัฐฯ เคยแถลงข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของพลทหาร ทราวิส คิง ว่าเขาแอบข้ามแดนไปเกาหลีเหนือเองโดยสมัครใจ ไม่ได้รับคำสั่งใดๆจากทางกองทัพสหรัฐฯ และไม่ออกความเห็นว่าพลทหารคิง ‘แปรพักตร์’ หรือไม่

ด้านรัฐบาลไบเดน กำลังถกเถียงกันในกรณีพลทหาร ทราวิส คิง ว่าสมควรที่จะระบุสถานะให้เขาเป็น ‘เชลยสงคราม’ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองพิเศษภายใต้อนุสัญญาเจนีวา ที่ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองด้านมนุษยธรรมแก่เชลยศึก แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และจนถึงตอนนี้ พลทหารคิงยังอยู่ในสถานะ ‘ขาดราชการโดยไม่ได้ลา’

ถึงแม้ว่ากรณีของพลทหาร ทราวิส คิง จะสร้างความอับอายกับกองทัพสหรัฐฯ อยู่พอสมควร แต่จากความเห็นของ วิคเตอร์ ชา รองประธานอาวุโสของสถาบันกลยุทธ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ทันทีที่พลทหารคิงถูกกักตัวในเกาหลีเหนือ เราก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของเขาได้อีกต่อไป ทุกถ้อยคำที่ผ่านสื่อของเกาหลีเหนือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเป็นแค่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือเท่านั้น

ส่วนการเรียกตัวพลเมืองอเมริกันกลับคืนมาจากการเกาหลีเหนือได้นั้น โดยปกติต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไปเยือน ซึ่งตอนนี้ทางสหรัฐฯ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับเกาหลีเหนือ แต่สิ่งที่เราเคยเห็นในอดีตเมื่อมีการคุมตัวพลเมืองอเมริกัน จะต้องมีการพิจารณาไต่สวนคดี ที่มักจบลงด้วยการเกณฑ์แรงงาน หรือจำคุก ที่จะนำไปสู่การใช้ระเบียบวิธีทางการทูตระดับสูงเพื่อพาคนอเมริกันกลับประเทศได้

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทางการเกาหลีเหนือจะปล่อยตัวชาวอเมริกัน ที่ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายกลับสหรัฐฯ โดยไม่มีการเจรจาต่อรองในระดับสูง จึงยากที่จะคาดเดาว่าอนาคตของพลทหาร ทราวิส คิง จะไปต่ออย่างไรในดินแดนเกาหลีเหนือ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

'นร.เขมร' ผวา!! หลังพบคลังลูกระเบิดนับพัน ถูกฝังไว้กลางโรงเรียนมานานกว่า 50 ปี

สื่อกัมพูชารายงานว่า ได้ค้นพบลูกระเบิดตกค้างที่ยังไม่ระเบิดถูกฝังไว้กลางสนามภายในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดกระแจะ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชามากกว่า 2,000 ลูก นอกจากนี้ยังพบหัวกระสุนระเบิด M79 อีกมากกว่า 1,000 ลูก จัดว่าเป็นหนึ่งในอาวุธสงครามที่มีพลังทำลายล้างสูง ที่สหรัฐอเมริกาได้นำมาใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม 

ทางการกัมพูชาได้สั่งให้ปิดโรงเรียนชั่วคราว และระดมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อกู้ระเบิดโดยทันที โดย นาย เฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา กล่าวว่า ต้องใช้เวลาพอสมควรในการกู้ระเบิดตกค้าง และจำเป็นต้องขยายพื้นที่การค้นหารอบรัศมีโรงเรียนด้วย  

แต่นับว่ายังโชคดีมากๆ ที่ยังไม่มีนักเรียนคนใดเคยได้รับบาดเจ็บจากซากระเบิดสมัยสงครามกัมพูชา เพราะลูกระเบิดเหล่านี้ ไม่ใช่ระเบิดด้าน ยังสามารถระเบิดได้อย่างง่ายดาย หากมีใครขุดไปกระทบมันเข้า

ระเบิดที่พบในครั้งนี้ เป็นอาวุธที่ใช้ในสมัยสงครามกลางเมืองกัมพูชา ในช่วงระหว่างปี 1960s - 1975 ช่วงหนึ่งของยุคสงครามเย็น ที่กัมพูชาถูกใช้เป็นสงครามตัวแทนในการสู้รบระหว่างฝ่ายกองกำลังคอมมิวนิสต์ และ ฝ่ายรัฐบาลสาธารณรัฐ ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน 

และกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง และโหดร้ายนานนับสิบปี อีกทั้งกัมพูชายังเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดมากที่สุดในโลก นอกเหนือจากลาวและเวียดนามในสมัยนั้น จึงทำให้ในกัมพูชายังมีลูกระเบิดตกค้างหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก 

ซึ่งพื้นที่ของโรงเรียนในเมืองกระแจะแห่งนี้ เคยเป็นค่ายทหารมาก่อน เมื่อมีการค้นพบลูกระเบิดจำนวนมากที่ถูกฝังดินไว้ จึงสันนิษฐานได้ว่า น่าจะพบลูกระเบิดตกค้างอีกจำนวนไม่น้อยในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

จากผลพวงของสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ยังคงทิ้งมรดกเป็นกับระเบิด และ ทุ่นระเบิดหลงเหลือ และ กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ที่มักเป็นอันตรายกับประชาชนในท้องที่ ที่ไปค้นพบ และเคลื่อนย้ายโดยบังเอิญ 

รัฐบาลกัมพูชาเคยรายงานว่ามีชาวบ้านไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนที่ต้องเสียชีวิตจากระเบิดตกค้างหลังสงครามตลอด 40 ปีแม้สงครามจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชาสัญญาว่าจะพยายามกู้ระเบิดตกค้างให้หมดไปให้ได้ภายในปี 2025 นี้ 

ที่ต้องบอกว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลย จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชาประเมินว่าอาจมีทุ่นระเบิด และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่ระเบิดในกัมพูชาถึง 6 ล้านลูก แต่บางข้อมูลชี้ว่า ปริมาณลูกระเบิดอาจมีมากกว่านั้นถึง 10 ล้านลูกที่ยังคงรอการกู้ทิ้งทำลาย

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'เหงียน' คิดใหญ่!! มุ่งสู่ 'ประเทศ ศก.ดิจิทัล-หลุดรายได้ปานกลาง' พา 'เวียดนาม' เป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2045 

รัฐบาลเวียดนาม เดินหน้า Road Map ยกระดับประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลาง สู่ประเทศรายได้สูงที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าในการเป็นสังคมดิจิทัล 100% ภายในปี 2030 ที่จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ Start-ups และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีใหม่ และจะช่วยการยกระดับรายได้ประชาชนในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลของเวียดนาม เป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2020 ที่จะผลักดันภาคเศรษฐกิจดิจิทัลให้โตขึ้นจากเดิม 14% ของ GDP ให้ได้ถึง 20% ของ GDP ภายในปี 2025 โดยเชื่อว่า หากรัฐบาลสามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างประเทศที่ขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จะสามารถพาเวียดนามขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า

ตัวเลขเหล่านี้ รัฐบาลเวียดนาม อ้างอิงจากการคาดการณ์ของ World Bank ที่กล่าวว่า หากภาคธุรกิจดิจิทัลโตได้ถึง 10% ในแต่ละปี ตั้งแต่ปีนี้ (2021) จะสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2045 ซึ่งเกือบเท่ากับ GDP ของเวียดนามในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลเวียดนามจึงตัดสินใจปูพรมมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจดิจิทัลรุ่นใหม่ สร้างศูนย์ฝึกอบรม Start-ups ในหลายเมือง อาทิ ฮานอย, ดานัง, โฮจิมินห์ ซิตี้ อัดฉีดงบประมาณเพื่อการศึกษา พัฒนา นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ ให้ได้ 1% ของ GDP

จึงเกิดปรากฏการณ์ธุรกิจดิจิทัลบูมอย่างมากในเวียดนาม จากตัวเลขผู้ประกอบการธุรกิจในเวียดนามตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา พบว่ามี Start-ups หน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และมีบริษัทด้านธุรกิจ IT ทั้งฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และ สร้างสรรค์คอนเทนต์ดิจิทัลเกือบ 14,000 บริษัท จากเดิมที่หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน ในเวียดนามแทบไม่มีธุรกิจประเภทนี้เลยในประเทศ

และตอนนี้เวียดนามกำลังเป็นประเทศที่น่าจับตาที่ดึงดูดนักลงทุนด้านธุรกิจดิจิทัลจากทั่วโลก โดยล่าสุดเวียดนามขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของประเทศที่มีการตกลงทำสัญญาในธุรกิจด้านเทคโนโลยีมากที่สุดในอาเซียน และมีธุรกิจที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ หรือที่เรียกว่า 'ยูนิคอร์น' ถึง 4 บริษัท ได้แก่ VNG, VNPay, MoMo และ Sky Mavis

ถึงแม้รัฐบาลเวียดนามจะทุ่มเทอย่างเต็มที่สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล แต่ก็ยังมีอุปสรรคบางประการที่อาจทำให้เวียดนามไปไม่ถึงเป้า และยังเป็นจุดที่นักลงทุนกังวล คือ การปรับกรอบข้อกฎหมายใหม่ให้เข้ากับธุรกิจในยุคดิจิทัล เช่น การจัดเก็บภาษี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การป้องกันฐานข้อมูลสำคัญ หรือการเข้าแทรกแซงของภาครัฐ อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในประเทศที่มีทักษะในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับสูง ที่จะรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบของประเทศ

แต่ก็นับว่าเวียดนามเป็นเสือซุ่มที่น่าจับตาในอาเซียน ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไกล และตั้งเป้าไว้สูงของรัฐบาลเวียดนามนั้น ทำให้ไทยเราต้องเร่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

Xylazine ระบาด 'สหรัฐฯ' เปลี่ยนเมืองสวยเป็นเมืองซอมบี้  เริ่มลุกลามข้ามฟากมายุโรปแล้ว เพราะ 'หาซื้อง่าย-ราคาถูก'

มหันตภัยยาเสพติด นับเป็นภัยร้ายที่กัดกร่อนในทุกๆสังคมทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ และ เทคโนโลยี อย่างสหรัฐอเมริกา ก็กำลังเผชิญกับปัญหา ที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยดำดิ่งสู่วงจรอุบาทว์ 'จน-เครียด-เสพ' เป็นคน มิหนำซ้ำยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ซึ่งมหันตภัยตัวล่าสุดที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังเผชิญอยู่ในประเทศตอนนี้ เป็นยาเสพติดตัวใหม่ชื่อว่า Xylazine หรือที่ชาวอเมริกันมักเรียกว่า 'ยาซอมบี้' เพราะมันสามารถเปลี่ยนเปลี่ยนมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ กลายเป็นซอมบี้ไร้สติได้ในเวลาไม่นาน

ซึ่ง Xylazine ใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีฤทธิ์เป็นยาสลบ, ยาแก้ปวด, คลายกล้ามเนื้อ สำหรับ ม้า วัว ควาย และ สัตว์ 4 เท้าขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีการรับรองให้ใช้กับมนุษย์ในทุกกรณี

แต่ต่อมา มีการนำ Xylazine มาผสมกับสารเสพติดชนิดอื่น เช่น Fentanyl หรือ เฮโรอีน กลายเป็นยาเสพติดตัวใหม่ที่เรียกว่า 'Tranq' เมื่อมีการฉีดเข้าร่างกายจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม อัตราการเต้นหัวใจจะพุ่งสูง แล้วก็จะลดลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะอันตราย อีกทั้งยังเกิดแผลพุพองตามร่างกายทำให้เกิดภาวะผิวหนังตายได้ ด้วยอาการเช่นนี้ ยาเสพติดที่มีส่วนผสมของ Xylazine จึงถูกเรียกกว่า 'ยาซอมบี้' เสพแล้วจะมีสภาพเหมือนผีดิบเดินดินอย่างในภาพยนตร์

การเสพ Zylazine พบครั้งแรกในประเทศเปอร์โต ริโก ในช่วงปี 2000s ก่อนที่จะแพร่หลายสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงราวปี 2006 จนปัจจุบัน ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตกว่า 7% ของการเสพยาเกินขนาดในสหรัฐฯ ที่มีมากกว่า 1 แสนคนในแต่ละปี

จากข้อมูลล่าสุดที่สำรวจจาก 20 รัฐ รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดที่มีส่วนผสมของ Zylazine เพิ่มขึ้นถึง 10.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ในปีนี้ (2023) ดร.ราอูล คุปตา ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายควบคุมยาเสพติดแห่งชาติของทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่า 'ยาซอมบี้' ถือเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ และ รัฐบาลไบเดนมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดผสม Xylazine ให้ได้อย่างน้อย 15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถสกัดการแพร่หลายของยาซอมบี้ในประเทศได้ทันหรือไม่ สืบเนื่องจากวัตถุดิบอย่าง Xylazine และ Fentanyl ยังไม่ถือเป็นสารควบคุมในสหรัฐฯ ใครก็ตามที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล ก็สามารถซื้อได้ แม้ทางช่องทางออนไลน์ และพบว่าหลายครั้งไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อยาอย่างถูกต้องอีกด้วย นอกจากนี้ ยาซอมบี้ยังมีราคาถูกกว่ายาเสพติดชนิดอื่นในตลาดมืด ทำให้ยาชนิดนี้เข้าถึงง่ายในกลุ่มวัยรุ่น คนยากไร้ และ คนไร้บ้าน

และยิ่งมาแพร่หลายอยางหนักในช่วงที่เกิดการระบาด Covid-19 ที่พบว่ายาซอมบี้ กลายเป็นสารเสพติดหลักที่นิยมในหมู่นักเล่นยาข้างถนน โดยมีจุดศูนย์กลางที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย และกระจายยาซอมบี้ออกไปทั่วประเทศ ซ้ำเติมปัญหาคนไร้บ้านในสหรัฐฯ ที่นับวันจะหนักขึ้นอยู่แล้ว ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ด้วยสภาพของผู้คนยากไร้ ที่นอนแน่นิ่ง เหม่อลอย ไร้สติ และยังมีแผลฝีหนองเน่าเปื่อยตามร่างกาย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการเสพยาซอมบี้ เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น

และตอนนี้ ยาซอมบี้ ก็เริ่มกระจายสู่ยุโรปแล้ว เมื่อรัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันผู้เสียชีวิตจากการเสพยาที่มีส่วนผสมของ Xylazine รายแรกในปี 2022 และพบยาซอมบี้จำนวนมาก ขายในตลาดใต้ดินทั้งในอังกฤษ และยุโรป สร้างความวิตกให้แก่รัฐบาลชาติตะวันตกในการหาวิธีสกัดยาซอมบี้ไม่ให้ระบาดในชุมชนของตน

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตื่นตระหนกกับภัยคุกคามต่างชาตินอกบ้าน แต่สุดท้ายภัยที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจเป็นภัยจากความอ่อนแอในสังคมภายในบ้านของตัวเอง หากปล่อยปละละเลย รังแต่จะลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งร้ายทำลายประเทศได้ในภายหลัง

'อินโดฯ' สั่งบล็อก X.com ของ 'อีลอน' หลังเข้าใจผิด คิดว่า X เป็น 'เว็บโป๊'

คลั่ง X จนเป็นเหตุ ถึงขนาดที่ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง SpaceX ได้ตัดสินใจเปลี่ยนโลโก้ และ รีแบรนด์แพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดังอย่าง Twitter ด้วยตัวอักษร X พร้อมเปิดเว็บไซต์ X.com เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงบัญชี Twitter ด้วย

แต่ทว่า วันนี้ กระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศของอินโดนีเซีย มีคำสั่งให้บล็อกเว็บไซต์ X.com ของอีลอน มัสก์ เสียแล้ว เนื่องจากพบว่า เว็บไซต์ที่มีตัวอักษร X มักถูกใช้ในการเผยแพร่เนื้อหาลามกอนาจาร และ การเล่นพนันผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย

อีกทั้งตอนนี้รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายปราบปรามเว็บไซท์ที่เผยแพร่หนังโป๊ และ เว็บพนันอย่างหนัก ทำให้ X.com ของอีลอน มัสก์ ติดร่างแหไปด้วย เพราะในระบบตรวจจับของทางการอินโดนีเซียยังเข้าใจว่า X.com คือ 'เว็บโป๊'

ดังนั้น การบล็อก X.com ของรัฐบาลอินโดนีเซีย จะส่งผลให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศราว 24 ล้านบัญชี จากประชากรชาวอินโดนีเซียทั้งหมดกว่า 270 ล้านคน ไม่สามารถใช้ Twitter ได้

ทั้งนี้ อุซมาน กันซอง อธิบดีกรมสารสนเทศและการสื่อสารสาธารณะ กล่าวว่าทางรัฐบาลได้ติดต่อทาง X.com และตัวแทนของทาง Twitter เพื่อออกหนังสือชี้แจงถึงกิจการ และเนื้อหาที่จะเผยแพร่บนเว็บไซต์ เพื่อพิจารณาปลดล็อกต่อไป

ฉะนั้น เรื่องนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งความยุ่งยากที่ผู้บริหาร Twitter ต้องจัดการ และสร้างความเข้าใจในตัวตน และ โลโก้ใหม่ล่าสุดแทนสัญลักษณ์นกสีฟ้า แต่ยังไม่อาจหยุดยั้งความหลงใหลในตัวอักษร X ของอีลอน มัสก์ ได้

หากย้อนกลับไปในปี 1999 ที่เป็นยุคที่เรียกว่า dot-com generation ธุรกิจในโลกอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู อีลอน มัสก์ และเพื่อนๆ ได้แก่ แฮริส ฟริคเกอร์, คริสโตเฟอร์ เพยน์ และ เอ็ด โฮ ได้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อว่า X.com ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตั้งใจให้เป็นธนาคารออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่จะรวมบริการฝาก-ถอน เงินกู้ สินเชื่อ ประกันภัย ไว้ในที่เดียวกัน แม้จะมีหลายคนติงว่า ตัวอักษร X มักถูกโยงให้นึกถึงคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ แต่อีลอน มัสก์ ชอบชื่อนี้มาก และยืนยันที่จะเปิดโดเมน ด้วยชื่อนี้ให้ได้

และต่อมา X.com ได้ควบรวมกิจการกับ Confinity Inc. บริษัทซอฟต์แวร์ด้านธุรกรรมการเงิน และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Paypal ผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ในเวลาต่อมา จนมาในปี 2017 อีลอน มัสก์ ยอมควักกระเป๋าซื้อโดเมน X.com คืนมาจาก Paypal ซึ่งเขาได้โพสต์ความรู้สึกผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาในตอนนั้นว่า ยังไม่มีแผนว่าจะเอาโดเมน X.com มาทำอะไร แต่ชื่อโดเมนนี้มีคุณค่าทางจิตใจกับสำหรับเขา

่มาวันนี้ อีลอน มัสก์ มีแผนสำหรับ X.com ที่จะคืนชีพด้วยการนำมาสวมแทนแบรนด์ Twitter เสียเลย และขั้นต่อไป อีลอน มัสก์ ตั้งใจที่จะต่อยอดให้ Twitter เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มโซเชียล โดยเปลี่ยนให้เป็นแอปพลิเคชันที่ทำได้ทุกอย่าง อาทิ บริการชำระเงิน และ ธนาคารดิจิทัล

แต่ปัญหาคือ ภาพจำของคนทั่วไปกับตัวอักษร X ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมักถูกใช้ในเว็บไซต์ลามกอนาจาร หรือมีเนื้อหาต้องห้าม ผิดกฎหมาย หรือแม้กระทั่งการดูหมิ่นศาสนา ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีชุมชนชาวมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จึงเป็นเหตุให้ X.com ขออีลอน มัสก์ ถูกเบรกอย่างกะทันหันในอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มที่จะถูกจับตาเป็นพิเศษ ถึงเนื้อหาที่เผยแพร่ใน Twitter หลังจากที่สวมแบรนด์ X อีกด้วย

ดังนั้น ความท้าทายของอีลอน มัสก์ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อ Twitter เป็น X อย่างเดียว แต่จำเป็นต้องรีแบรนด์ ภาพลักษณ์ของตัวอักษร X ในสายตาชาวโลกด้วย

'นางแบบไต้หวัน' ปั้นคอนเทนต์สยิว เติมกำลังใจให้นักรบยูเครน ร่วมเพศทัพอาสา ถ่ายทุกท่วงท่าปลุกใจทหารกล้าให้ฮึกเหิม

สร้างความฮือฮา กลางสนามรบกันเลยทีเดียว เมื่อ 'ฟ่าน เพ่ยกุง' นางแบบสาว ไต้หวัน-อเมริกัน วัย 33 ปี ยอมลงทุน เปลื้องผ้า สร้างคอนเทนต์เซ็กซี่ โพสต์ท่ายั่วยวน ในชุดทหาร กับขีปนาวุธ และ อาวุธสงครามลงในโซเชียลและ OnlyFans แพลตฟอร์มสำหรับผู้ใหญ่เพื่อระดมทุนและส่งกำลังใจให้กับกองทัพยูเครน โดยเธอได้ให้นิยามคอนเทนต์ในครั้งนี้ว่า เป็นการกลั่นกำลังใจจากเต้าเพื่อทหารยูเครนและบรรดาอาสาสมัครในการต่อต้านปูติน

ฟ่าน เพ่ยกุง นางแบบสาวเจ้าของไอเดียสุดสยิวกิ้วคนนี้มีโปรไฟล์ไม่ธรรมดา จากสาวไต้หวันสัญชาติอเมริกันในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ที่สามารถคว้ามงกุฎนางงาม Miss Taiwanese American Princess เวทีประกวดสาวงามของชุมชนชาวไต้หวันในสหรัฐอเมริกา ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีใน ลอสแอนเจลิส ได้สำเร็จ ก่อนที่จะผันตัวมาเป็นนางแบบ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลและเป็นศิลปิน 

อีกทั้งยังมีข้อมูลระบุว่า เธอเคยเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเยล หนึ่งในสถาบันไอวี่ ลีกของสหรัฐฯ และยังได้คะแนนอันดับต้นๆ จากการแข่งขัน NASA Hackathon อีกด้วย แต่มาเอาดี จริงจังในการทำคอนเทนต์เซ็กซี่ใน OnlyFans 

แต่เมื่อราวๆ เดือนพฤศจิกายน 2565 ฟ่าน เดินทางมายังยูเครนในฐานะอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสงคราม และได้มาประจำที่ศูนย์อาสาสมัครในเมืองลวิว ทางตะวันตกของยูเครน ซึ่งถือว่าห่างไกลจากสมรภูมิรบแถวหน้า เธอจึงได้รับหน้าที่ทำงานพื้นๆ ซึ่งไม่ต่างที่เธอเคยทำตอนอยู่ในสหรัฐอเมริกา 

เพื่อต้องการแสวงหาความท้าทายกว่านี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ฟ่านตัดสินใจย้ายไปประจำอยู่ในเมืองคาห์คีฟ ทางฝั่งตะวันออกที่เป็นศูนย์กลางการสู้รบระหว่างทหารทั้งสองฝั่ง ซึ่งเธอเห็นว่าสามารถช่วยสนับสนุนกองทหารยูเครนได้โดยตรงมากกว่า 

และนั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างคอนเทนต์เซ็กซี่กลางสนามรบ โดยหวังใจว่าจะเป็นการปลุกจิตใจทหารกล้าชาวยูเครนให้ฮึกเหิมมากขึ้น และยังมีโอกาสได้พบกับทหารหนุ่มๆ จากทั่วโลก ที่อาสามาช่วยรบในยูเครน 

ซึ่ง ฟ่าน เพ่ยกุง ก็เล่าผ่านสื่อสหรัฐฯ อย่างเปิดเผยว่า เธอมีความสัมพันธ์กับอาสาสมัครในกองทัพยูเครนหลายคน ตั้งแต่ ทหารอาสาจากอังกฤษ เจ้าหน้าที่ควบคุมโดรนชาวยูเครน ช่างไฟ และ เจ้าหน้าที่ไอที อีก 2 คน เป็นต้น 

และเธอได้โพสต์ภาพถ่ายสุดเซ็กซี่ กับอาวุธในสนามรบลงในช่องทาง OnlyFans ให้กองทหาร และ อาสาสมัครของยูเครนชมฟรี และเปิดรับบริจาคจากผู้ที่เข้าชมคอนเทนต์ของเธอเพื่อระดมเงินสมทบกองทุนช่วยเหลือชาวยูเครน ที่ทำให้สื่อหลายสำนักสนใจไอเดียสุดแหวกแนวของฟ่านเป็นจำนวนมาก 

แต่ถึงกระนั้น ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่เธอจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน ทั้งจากกลุ่มชาวอาสาสมัครคนอื่น และ ผู้คนในโลกโซเซียล ที่มองว่าภาพ และเนื้อหาของเธอเข้าข่ายอนาจาร และไม่เหมาะสม เพราะที่นั่นคือสนามรบจริง มีทหารมากมายเสียชีวิตจริงๆ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ชวนหดหู่ และเศร้าใจมากกว่าจะนำมาใช้ในเนื้อหาเชิงอีโรติก

แต่สำหรับฟ่าน เธอยังพอใจ และ มีความสุขในสิ่งที่เธอทำ โดยเชื่อว่า เนื้อหาของเธอ ช่วยเยียวยาจิตใจนักรบแถวหน้าที่ต้องไปสละชีพเพื่อชาติได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้คลายเครียด สร้างความกระชุ่มกระชวย ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชายชาติทหารเหมือนกัน 

ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนว่าเห็นสมควรอย่างไร ใครถนัดช่วยสนับสนุนแบบไหน ทางยูเครนก็ไม่ขัดข้อง ขออย่าทำทหารวอกแวกเวลาออกสนามรบจริงเป็นใช้ได้  

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top