Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

'จีน' คว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธอเมริกัน  ตอบโต้นโยบายขายอาวุธให้ไต้หวันของสหรัฐฯ

เมื่อวันอาทิตย์ (7 ม.ค.67) ที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งประกาศคว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธสัญชาติอเมริกันทันที เพื่อตอบโต้นโยบายสนับสนุนอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นการยุยงปลุกปั่นการแบ่งแยกดินแดนของเกาะไต้หวันอย่างจงใจ ขัดต่อหลักการนโยบายจีนเดียวของจีนแผ่นดินใหญ่ 

โดยบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ คว่ำบาตรโดยรัฐบาลปักกิ่ง ได้แก่...

- BAE Systems Land and Armaments
- Alliant Techsystems Operations
- AeroVironment
- ViaSat 
- Data Link Solutions 

กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรนี้ จะประกอบด้วยการอายัดทรัพย์สินของบริษัทเหล่านั้นในจีน รวมถึงสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของทั้งองค์กร และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการห้ามองค์กรและบุคคลของจีนทำธุรกรรมและให้ความร่วมมือองค์กรทั้ง 5 แห่งนี้ด้วย 

รัฐมนตรีต่างประเทศจีนยังเสริมอีกว่า การขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวันที่ถือว่าเป็นภูมิภาคส่วนหนึ่งของจีน ส่งผลเสียร้ายแรงต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีนที่จะต้องปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง สิทธิ และผลประโยชน์ขององค์กรและพลเมืองของจีนตามกฎหมาย 

มาตรการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวันมูลค่า 300 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่ครอบคลุมถึงการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุง เพื่อเสริมศักยภาพด้านการสั่งการ ควบคุม และการสื่อสารให้แก่กองทัพไต้หวัน

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยังย้ำอีกว่า งบช่วยเหลือด้านการทหาร และ การขายอาวุธของสหรัฐฯให้ไต้หวัน จะช่วยให้ไต้หวันขยายขีดความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนปักกิ่งต้องออกมาตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรบริษัทค้าอาวุธทั้ง 5 แห่งของสหรัฐอเมริกาในวันนี้ แม้นักวิเคราะห์ตะวันตกจะมองว่าการคว่ำบาตรของจีนเป็นเพียงการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตอาวุธของสหรัฐฯ ไม่สามารถขายอาวุธให้กับรัฐบาลจีนได้อยู่แล้ว 

แต่อย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจจากรัฐบาลปักกิ่ง ถึงสหรัฐฯ ที่พยายามใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งกับจีน ที่อาจลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างจริงจังระหว่างชาติมหาอำนาจตะวันตก กับ จีน ในเขตพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งการขายอาวุธของสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งรูปแบบของความพยายามในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ ไต้หวัน 

รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องตอบโต้ ผ่านนโยบายคว่ำบาตรที่สหรัฐอเมริกาชอบใช้กดดันประเทศที่เป็นอริกับตนอยู่เสมอ แต่อาจไม่เห็นผลมากนัก เพราะตราบใดที่การครอบครองอาวุธ หมายถึงการรักษาสันติภาพในมุมมองของสหรัฐฯ และรัฐบาลไต้หวันเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน ก็คงคลี่คลายได้ยาก

‘อิหร่าน’ เดือด!! ประกาศแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดกลางงานรำลึก ‘กาเซม โซเลมานี’

สื่ออิหร่านรายงานข่าวด่วน เหตุลอบวางระเบิดถึง 2 ครั้งในงานรำลึกการเสียชีวิตของนายพล กาเซม โซเลมานี ผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRCG) ที่เมืองเคอร์มาน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 95 คน รัฐบาลอิหร่านประกาศ จะแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด

ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเกิดเหตุระเบิดถึง 2 ครั้ง ใกล้กับอนุสรณ์สถานของนายพล กาเซม โซเลมานี ที่มีการจัดงานรำลึกประจำปีให้กับอดีตผู้นำสูงของกองกำลัง IRCG ที่ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยโดรนพิฆาตของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2020 ขณะกำลังเดินทางเยือนอิรัก โดยงานรำลึกในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4

สื่ออิหร่านรายงานว่า เหตุระเบิดลูกแรก เกิดขึ้นช่วง 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในบริเวณด้านหน้าสุสานผู้พลีชีพ ใกล้ ๆ กับมัสยิด Saheb al-Zaman ส่วนระเบิดลูกที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากนั้น 15 นาที และห่างจากระเบิดจุดแรกเพียง 700 เมตรเท่านั้น โดยมีเจตนาสังหารผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างโกลาหลหลังจากเกิดเหตุระเบิดลูกแรก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 95 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในอิหร่าน ในรอบ 42 ปี 

ด้านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี สาบานว่าจะล้างแค้น กลุ่มอาชญากรที่ก่อเหตุระเบิดนองเลือดครั้งนี้อย่างถึงที่สุด หลายประเทศ รวมถึงรัสเซียและตุรกี ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ให้ได้

แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใด ออกมาแสดงตนอ้างตัวเป็นผู้ความรับผิดชอบ แต่คาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาหรับ หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายจิฮัด และ ISIS เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการก่อเหตุ และ การก่อความไม่สงบหลายครั้งในอิหร่านที่ผ่านมา 

แต่ก็มีไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของหน่วยลับจากอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา เนื่องจาก อิหร่าน ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล และ สหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นประเทศหลักที่ผลักดันให้เกิด กลุ่ม Axis of Resistance - พันธมิตรแห่งการต่อต้าน เพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

ด้าน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแถลงผ่านห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีในเมืองเคอร์มาน และไม่มีเหตุผลที่ต้องทำด้วย จึงขอให้เลิกสงสัยสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล เสีย 

เชื่อได้ว่า การก่อเหตุระเบิดรุนแรงในงานรำลึกนายพล กาเซม โซเลมานี มีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญของชาวอิหร่าน ที่จะมาเยือนสุสานของเขา แต่รัฐบาลอิหร่านยังยืนยันที่จะจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี แม้อาจเสี่ยงเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรง ส่วนหนึ่งก็เพื่อยกย่องผู้นำของกองกำลัง IRCG แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการตอกย้ำพฤติกรรมก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐอเมริกาให้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวอิหร่านนั่นเอง 

‘อิสราเอล’ ส่งโดรนสังหารเจ้าหน้าที่ฮามาสถึงเลบานอน โจมตีอย่างโจ่งแจ้ง ละเมิดอธิปไตยชาติอื่นอย่างร้ายแรง

สำนักข่าว Reuters อ้างอิงแหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงในเลบานอน และ กองกำลังฝ่ายปาเลสไตน์ รายงานว่า นายซาเลห์ อัล-อาโรรี หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสถูกลอบสังหารเสียชีวิตแล้ว จากการโจมตีด้วยโดรนพิฆาตของอิสราเอล ภายในสำนักงานของกลุ่มฮามาสในเมือง Haret Hreik ชานกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของคืนวันที่ 2 ม.ค. 67 ทางการเลบานอนได้รับรายงานเหตุระเบิดภายในอาคารแห่งหนึ่งที่เมือง Haret Hreik ที่ต่อมาพบว่าเป็นสำนักงานของกลุ่มฮามาส และพบผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุอย่างน้อย 6 คน หนึ่งในนั้นคือ นายซาเลห์ อัล-อาโรรี (57 ปี) สมาชิกคนสำคัญของโปลิตบูโร และหนึ่งในแกนนำของฝ่ายกองกำลังฮามาส ที่มีค่าหัวจากทางการสหรัฐฯ ถึง 5 ล้านเหรียญ 

ด้วยสงครามระหว่างกองกำลังฮามาส และ อิสราเอล ที่ผ่านมา ทำให้ ซาเลห์ อัล-อาโรรี ถูกหมายหัวจากกองกำลังป้องกันประเทศของอิสราเอล จนนำไปสู่การส่งโดรนลอบสังหารข้ามแดนมาโจมตีถึงเลบานอนในวันนี้ 

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเลบานอนกล่าวว่า เนื่องจากสำนักงานของกลุ่มฮามาสตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร 3 ชั้น และไม่มีตึกสูงอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง จึงง่ายต่อการล็อกเป้าโจมตีด้วยโดรน 

แรงระเบิดทำให้ตัวอาคารชั้น 3 เสียหายอย่างรุนแรง และเกิดเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและหน่วยดับเพลิงของเลบานอน ยังพบซากชิ้นส่วน แขน ขา ของผู้เสียชีวิต กระจายเกลื่อนตามพื้นถนนด้านล่าง อย่างน่าสยดสยอง 

หลังจากเหตุการลอบสังหาร แดเนียล ฮาการี โฆษกประจำกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้ออกแถลงการณ์ว่า กองกำลังอิสราเอลอยู่ในระดับความพร้อมที่สูงมากในทุกพื้นที่ และทุกสถานการณ์ ทั้งเชิงป้องกัน และ เชิงรุก เพื่อต่อสู้กับกลุ่มฮามาสเป็นสำคัญ 

แต่ทว่า ด้าน นาจิบ มิกาตี นายกรัฐมนตรีแห่งเลบานอน แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในระดับภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมครั้งล่าสุดของฝ่ายอิสราเอลใกล้กรุงเบรุต ยังไม่นับรวมการโจมตีของกองทัพอิสราเอลเป็นประจำแทบทุกวันทางตอนใต้ของเลบานอน ดังนั้นรัฐบาลเลบานอนจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับ ‘การโจมตีอย่างโจ่งแจ้ง’ ของฝ่ายอิสราเอลในดินแดนของตน ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยอย่างร้ายแรง 

เช่นเดียวกันกับถ้อยแถลงของกลุ่มกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน ได้ออกมาประณามการก่อเหตุลอบสังหารครั้งนี้ว่าไม่ต่างจากการโจมตีประเทศเลบานอนโดยตรงเช่นกัน ที่จะนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอนของฝ่าย ‘Axis of Resistance’ หรือ กลุ่มพันธมิตรแห่งการต่อต้าน - กองกำลังผสมที่มีเป้าหมายต่อต้านอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา ที่ประกอบด้วย อิหร่าน. กลุ่มฮามาส, กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน, กองกำลังติดอาวุธในอิรัก และกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน

ในอีกด้านหนึ่ง มาร์ก เรเจฟ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า อิสราเอลไม่ขอรับผิดชอบต่อการโจมตีสำนักงานฮามาสในเลบานอน แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายใด ก็ชัดเจนว่าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อโจมตีรัฐบาลเลบานอน แต่เพื่อทำลายกองกำลังฮามาสเท่านั้น 

แต่ถึงรัฐบาลอิสราเอลจะไม่ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวกับการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาสในเลบานอน ทว่า แดนนี ดานอน อดีตนักการทูตอาวุโสของอิสราเอลและ สส. ในพรรคลิคุดของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู โพสต์ข้อความผ่าน X เพื่อแสดงความยินดีกับหน่วย IDF, ชินเบต, มอสสาด และกองกำลังรักษาความปลอดภัย ที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดนายซาเลห์ อัล-อาโรรี

และได้ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ 7/10 (วันที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีชุมชนอิสราเอลในชายแดนฉนวนกาซา) ก็ควรรู้ไว้ซะด้วยว่าเราจะตามล่า และปิดบัญชีพวกมันอย่างสาสม"

ก็คงไม่ต้องเดากันแล้วว่า เหตุการลอบสังหารข้ามพรมแดนแบบไม่ต้องเกรงใจเป็นฝีมือของใคร เพราะทุกคนคงเข้าใจตรงกัน

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘พันธมิตรยุโรป’ ข้องใจ!! แผนสกัดการโจมตีจาก ‘กลุ่มฮูตี’ ของสหรัฐฯ หลังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด-คลุมเครือ หวั่นเติมเชื้อไฟความรุนแรงเพิ่ม

‘กองทัพเรือสหรัฐฯ’ เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการใหม่ล่าสุด ‘Operation Prosperity Guardian’ (OPG) ผนึกกำลังกับพันธมิตรหลัก ทั้งในยุโรป และตะวันออกกลาง รวมทั้ง แคนาดา และออสเตรเลีย ในการจัดตั้งกองกำลังป้องกันการโจมตีทางทะเลเฉพาะกิจ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง ที่ตอนนี้กลายเป็นเป้าหมายของ ‘กองกำลังติดอาวุธฮูตี’ จนหลายบริษัทเดินเรือเปลี่ยนเส้นทาง งดแล่นผ่านทะเลแดง เพื่อความปลอดภัยของตน

‘ฮูตี’ เป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิม นิกายซายดิส นิกายย่อยสายหนึ่งของชีอะห์ ในเยเมน มีบทบาทสำคัญในการลุกฮือของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเยเมน ที่ได้รับการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียในช่วงกระแสอาหรับสปริง จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในปี 2014 ที่กินเวลานานถึง 10 ปี จนถึงปัจจุบัน ที่มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3.7 แสนคน และกลายเป็นคนพลัดถิ่นถึง 4 ล้านคน 

กองกำลังฮูตี ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของอิหร่าน และ กลุ่มติดอาวุธฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน อีกทั้งยังประกาศตนเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร ‘Axis of Resistance’ หรือ ‘กลุ่มอักษะแห่งการต่อต้าน’ แนวร่วมที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส และต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

แผนการโจมตีเรือขนส่งในทะเลแดงของกลุ่มฮูติ เป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน และกดดันอิสราเอลให้ยุติการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา หลังจากที่เกิดสงครามเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอล-ฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเรือบรรทุกสินค้าลำแรกที่ถูกจี้โดยกลุ่มฮูตี คือ ‘เรือ Galaxy Leader’ เรือสัญชาติบาฮามาส ดำเนินการโดยบริษัทขนส่งญี่ปุ่น ‘Nippon Yusen’ แต่จดทะเบียนโดยบริษัทอังกฤษ ที่มี ‘อับราฮัม เรมี อันการ์’ มหาเศรษฐีชาวอิสราเอลถือหุ้นอยู่

โดยกลุ่มฮูตี ขู่ที่จะโจมตีเรือบรรทุกสินค้าทุกลำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แหล่งเงินทุนของอิสราเอล และภายหลังครอบคลุมถึงเรือสินค้าที่เทียบท่าเรือของอิสราเอลด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้มีเรือขนส่งที่ถูกกลุ่มฮูตีโจมตีแล้วถึง 12 ลำ โดยอาวุธที่ใช้มีตั้งแต่โดรนพิฆาต, ขีปนาวุธจากพื้นผิวสู่พื้นผิว, ขีปนาวุธนำวิถี, จรวดร่อน และอื่นๆ ที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน

ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มฮูตี ยืนยันว่า ได้ใช้โดรนโจมตีท่าเรือเมืองไอลัต ของอิสราเอล และยิงขีปนาวุธโจมตีเรือขนส่ง ‘MSC United VIII’ ที่ออกจากท่าเรือคิง อับดุลลาห์ ของซาอุดีอาระเบีย เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองการาจี ในปากีสถาน หลังจากที่ทางกลุ่มได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนการโจมตีไปแล้ว 3 ครั้ง แต่ทว่าถูกเพิกเฉย

จึงกลายเป็นที่มาของแผนปฏิบัติการล่าสุดของสหรัฐฯ ‘Operation Prosperity Guardian’ (OPG) ในการจัดตั้งกองกำลังป้องกันทางทะเลร่วมกับชาติพันธมิตรอีก 9 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ, บาห์เรน, แคนาดา, เดนมาร์ก, กรีซ, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, ออสเตรเลีย และเซเชลส์

รวมกันเป็นหน่วยเฉพาะกิจที่ 153 ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังผสมทางทะเลของสหรัฐฯ ที่ตอนนี้มีเรือพิฆาตของอังกฤษ, เรือรบฟริเกตของกองทัพเรือกรีก และกองเรือของสหรัฐฯ บางส่วน อาทิ  USS Laboon, USS Carney และ USS Mason พร้อมอาวุธ, ระบบต้านขีปนาวุธและโดรนพิฆาต

แต่ทว่าการป้องกันการลอบโจมตีในเขตน่านน้ำทะเลแดงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เป็นสาเหตุให้อีก 3 ประเทศพันธมิตรใหญ่ และมีกองทัพเรือแข็งแกร่งอย่างฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน ขอถอนตัวตั้งแต่แผน OPG ยังไม่ทันเริ่ม เนื่องจากเป้าหมายของปฏิบัติการ OPG เพื่อรักษาเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเรือพาณิชย์มีความคลุมเครือเกินไป ขอบเขตของแผนการอยู่ที่ตรงไหน กับพื้นที่ทางทะเลตลอดชายฝั่งของเยเมน ในเขตยึดครองของกลุ่มฮูตีที่มีระยะทางถึง 450 กิโลเมตร ที่สามารถยิงขีปนาวุธจากชายฝั่งโจมตีเรือสินค้าที่แล่นผ่านได้ตลอดเวลา

ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐฯ และหลายชาติพันธมิตรที่เข้าร่วมแผน OPG มีระบบเรดา และปืนต้านขีปนาวุธที่ทันสมัย สามารถสกัดการโจมตีของกลุ่มฮูตีได้อยู่แล้ว แต่หากต้องจัดเรือรบคุ้มกันเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ที่เต็มได้ด้วยตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากและเทอะทะ ไม่สามารถแล่นได้เร็ว ก็ไม่ต่างจากเป้านิ่งที่ถูกเล็งได้ง่าย อีกทั้งกัปตันเรือบรรทุกสินค้ามักไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามแผนยุทธวิธีทางทหาร จึงเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการรับมือกับการโจมตี

อีกทั้งข้อจำกัดด้านอาวุธ ที่ติดตั้งภายในเรือรบคุ้มกัน และน้ำมันเชื้อเพลิง หากต้องเคลื่อนขบวนคุ้มกัน ตลอดพื้นที่เสี่ยงจากการโจมตี ที่ต้องใช้เวลาแล่นผ่านอย่างน้อย 16 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับกองกำลังฮูติที่มีคลังแสงสำรองไม่จำกัด และสามารถโจมตีได้ทุกทิศทาง ตลอด 24 ชั่วโมง

และหากปฏิบัติการ OPG หมายถึง ‘การป้องกัน’ นั่นก็หมายความว่า ต้องอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายตั้งรับ ซึ่งกลุ่มฮูตีเองก็หาได้เกรงที่จะยิงขีปนาวุธ โจมตีกองเรือรบสหรัฐไม่ และได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อ 19 คุลาคมที่ผ่านมา โดยกองกำลังฮูติได้ปล่อยขีปนาวุธร่อน 4 ลูก กับโดรนพิฆาตอีก 15 ลูก ใส่เรือพิฆาต USS Carney ของสหรัฐฯ ขณะปฏิบัติภารกิจตามแผน OPG อยู่กลางทะเลแดง

ตามความเห็นของกองทัพเรือสหรัฐฯ มองว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสกัดการโจมตีของกองกำลังฮูตี หากไม่มีการโจมตีเชิงรุกจากฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรในปฏิบัติการ OPG ด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานขีปนาวุธของกองกำลังฮูตีที่อยู่ในแผ่นดินเยเมน ด้วยขีปนาวุธทำลายล้างสูงคืนไปบ้าง

แต่นั่นก็จะอยู่นอกเหนือขอบเขตของปฏิบัติการ OPG ที่มีไว้เพื่อ ‘รักษาเส้นทางที่ปลอดภัย’ สำหรับเรือสินค้าในทะเลแดง และการโจมตีกลุ่มฮูตีบนภาคพื้นดินในเยเมน มีความสุ่มเสี่ยงที่จะพลาดเป้า หรือขยายวงความขัดแย้งทางการเมืองในตะวันออกกลางมากขึ้น จากจุดเริ่มต้นเดิมที่เขตฉนวนกาซาในปาเลสไตน์เท่านั้น และอาจทำให้กลุ่มพันธมิตรที่เข้าร่วมในแผน OPG ทั้งยวง ถูกพ่วงเข้าไปในประเด็นความขัดแย้งที่มากขึ้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้

เพราะไม่มีใครอยากรับเผือกร้อน หรือหากระดูกแขวนคอเพิ่ม ดังนั้น ฝรั่งเศส, อิตาลี และสเปน จึงขอถอนตัวจากปฏิบัติการ OPG โดยอ้างว่าไม่ต้องการอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การรบของสหรัฐฯ แต่จะส่งเรือฟริเกตไปคุ้มกันเรือสินค้าของประเทศตัวเองจะสะดวกกว่า

ดั่งคำพังเพยที่กล่าวว่า “เรียนผูกได้ ก็ต้องเรียนแก้ได้” แต่ก่อนจะแก้ให้ถูกต้อง ก็ต้องมองให้ออกว่าปมที่เป็นปัญหา และคู่กรณีหลักนั้นอยู่ที่ไหน สุดท้ายปฏิบัติการชื่อเท่ๆ อย่าง ‘OPG’ อาจไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้

130 ปี รำลึก ‘เหมา เจ๋อตง’ ความเงียบเหงา เพราะ ‘หนุ่ม-สาวจีน’ เหินห่าง ภายใต้ค่านิยม ‘นอนหายใจทิ้ง’ ที่กำลังท้าทายพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

วันที่ 26 ธันวาคม 2566 รัฐบาลปักกิ่งจีนได้เตรียมงานฉลองวันคล้ายวันเกิด ให้กับ 'เหมา เจ๋อตง' อดีตผู้นำ และนักปฏิวัติผู้ก่อตั้ง วางรากฐานระบอบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และได้รับการขนานนามว่า ‘บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน’

เหมา เจ๋อตง เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2436 หากท่านประธานเหมา มีชีวิตถึงวันนี้ ก็จะมีอายุครบ 130 ปีพอดี  

โดยปกติ รัฐบาลจีนจะจัดงานรำลึก วันคล้ายวันเกิดให้แก่ เหมา เจ๋อตง เป็นประจำทุกปีอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งงานพิธีทางการที่จะจัดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง และ ที่บ้านเกิดของเขา ที่เมืองเฉาชาน ในมณฑลหูหนาน 

แต่ทว่าในปีนี้ รัฐบาลจีนตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบพิธีให้เรียบง่ายกว่าที่ผ่าน ๆ มา แม้แต่งานรำลึกที่บ้านเกิดของ เหมา เจ๋อตง ก็มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม โดยแหล่งข่าวในจีนเปิดเผยว่า ทางการจีนไม่ต้องการให้งานรำลึกของ เหมา เจ๋อตง โดดเด่นจนเกินไป เพื่อป้องกันการถูกโยงไปเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มแนวคิดฝ่ายขวา และ ฝ่ายซ้าย ที่โต้แย้งกันถึงปรัชญาแนวทางในระบอบสังคมนิยมของเหมา เจ๋อตง ที่ผ่านมาว่าถูกต้อง เหมาะสมกับจีนหรือไม่

โดยเฉพาะในยุคสมัยใหม่ ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้โครงสร้างทางสังคม และ เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากโลกเมื่อ 50 ปีก่อน ในช่วงที่ เหมา เจ๋อตง เชื่อมั่นว่าสามารถสร้างชาติจีนที่มั่งคั่ง เสมอภาค และ เท่าเทียมได้ด้วยการ ‘ปฏิวัติวัฒนธรรม’ หนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความแตกแยกในสังคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน 

แต่ทั้งนี้ เหมา เจ๋อตง มักถูกยกให้เป็นดั่งผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้วางรากฐานอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนที่สังคมจีนจะเกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์โดย เติ้ง เสี่ยวผิง ด้วยการเปิดประเทศ และรับเอารูปแบบเศรษฐกิจระบบทุนนิยม มาผสมผสานเป็นระบอบสังคมนิยมใหม่ ที่ส่งเสริมการแข่งขันของภาคเอกชนในตลาดเสรีมากขึ้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน 

แต่เมื่อมาถึงยุคของผู้นำ สี จิ้นผิง ผู้ที่ประกาศเจตนารมณ์ในการสืบทอดอุดมการณ์ของ เหมา เจ๋อตง และมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายอย่าง โดยเน้นนโยบายรวมศูนย์มากขึ้น บริหารงานผ่านระบบรัฐวิสาหกิจ มากกว่าภาคเอกชน เพื่อรัฐสามารถควบคุมได้ง่าย 

รวมถึงนโยบายตัดตอนกลุ่มนายทุนใหญ่ในภาคธุรกิจการเงิน เทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ และการศึกษาที่ผ่านมา ส่งผลต่อกระทบต่อการขยายตัวของธุรกิจเอกชนขนาดย่อยในประเทศอย่างมาก 

ทับถมด้วยเศรษฐกิจที่หยุดชะงักจากช่วงวิกฤติ Covid-19 และ ปัญหาฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ทำให้หนุ่ม-สาวจีนรุ่นใหม่รู้สึกสิ้นหวัง ขาดแรงจูงใจในการต่อสู้เพื่อก่อร่าง สร้างตัว ด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่น ซึ่งแตกต่างจากคนจีนรุ่นก่อน ๆ ในยุคสร้างชาติ 

จนเกิดวัฒนธรรมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า ‘ถั่งผิง’ - นอนหายใจทิ้ง และ ‘ไป่ลั่น’ - ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เพราะคิดว่าการทำงานหนัก เพื่อสร้างฐานะ กลายเป็นเป้าหมายที่เกินเอื้อม

ดังนั้น หนุ่ม-สาว จีนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกเฉยชา และไม่ค่อยอินกับปรัชญาอุดมการณ์ของเหมา เจ๋อตง ส่งผลให้งานรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดอดีตผู้นำที่มักถูกยกย่อง เทิดทูนให้เป็น 'บิดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน' ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ

ประกอบกับภาพลักษณ์ของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ถูกมองว่าซ้อนทับกับอัตลักษณ์ของ เหมา เจ๋อตง ในแง่การกระชับอำนาจทางการเมืองสูงสุดได้อย่างเบ็ดเสร็จ และการแก้รัฐธรรมนูญให้ผู้นำจีนสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่จำกัดสมัย ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่ดีนักในมุมมองของหนุ่ม-สาวจีนยุคใหม่ 

นั่นอาจเป็นสาเหตุที่รัฐบาลจีน ตัดสินใจลดทอนงานรำลึกถึง เหมา เจ๋อตง ให้เรียบง่ายลง เพื่อหลีกเลี่ยงการจุดประเด็นที่ถกเถียงในสังคม แต่ยังคงไว้ซึ่งพิธีการที่สำคัญ ตามแบบฉบับคุณธรรมของชาวจีน ที่ต้องมีการรำลึกบรรพบุรุษ ที่อุทิศตนทำงานหนักเพื่อสร้างชาติ ดังเช่น ส่วนหนึ่งในบทความที่ สี จิ้นผิง เคยเขียนไว้ว่า...

"การรำลึกถึงสหาย เหมา เจ๋อตง ที่ดีที่สุดคือ การสืบทอดเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ ที่เขาและเหล่าสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ ได้ทุ่มเท ทำงานอย่างหนักเพื่อบ้านเมือง และเขียนประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ให้ได้” 

ในวันที่อุดมการณ์เหล่านั้น กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะทำเช่นไรต่อไป คงต้องติดตามดูกัน...

ใหญ่แค่ไหน ก็เด้งได้!! ประธานบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดนไล่ออก โทษฐาน 'ไล่กอดสาว' หลังเมาแอ๋ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัท

‘ญี่ปุ่น’ เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียม มารยาท และ การวางตัวที่เหมาะสมในสังคมมาก เพราะบุคลากรทุกระดับ ถือเป็นภาพลักษณ์ขององค์กร 

ยิ่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ยิ่งต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก ต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่พนักงานระดับล่างขององค์กร มิฉะนั้นแล้ว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่จบแค่โดนติฉินนินทา แต่มีสิทธิ์ถูกปลดจากตำแหน่งฟ้าผ่า แบบไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย 

เช่นเดียวกับกรณีของ นายไซโต้ ทาเคชิ ประธานใหญ่บริษัท ENEOS บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่น วันนี้ถูกปลดจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสาเหตุแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อหน้าธารกำนัลในบริษัท 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในบริษัท ที่นอกเหนือจากไซโต้ ทาเคชิ ในตำแหน่งประธานใหญ่ ก็ยังมีรองประธานอีก 2 คน คือ นายยาตาเบะ ยาสุชิ และ นายซุนากะ โคทาโร่ ร่วมในงานเลี้ยงด้วย 

หลังจากจบงานเลี้ยงไปไม่นาน ก็มีจดหมายร้องเรียนจากคนในบริษัทถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของประธานใหญ่ ไซโต้ ทาเคชิ ที่ดื่มเหล้าจนเมาหนักในงาน จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และไล่กอดหญิงสาวอย่างรุ่มร่ามในงานเลี้ยง 

เมื่อมีข้อครหา ทาง ENEOS ก็ไม่นิ่งนอนใจ ได้ส่งทีมทนายจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่า ไซโต้ ทาเคชิ ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหา ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่อาจรับได้ จนนำไปสู่การสั่งปลดประธานใหญ่ของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในวันนี้ และยังตัดเงินบำเหน็จบางส่วนของเขาด้วย 

ส่วนรองประธานอีก 2 คนที่อยู่ในงานเลี้ยงเดียวกันอย่าง ซุนากะ โคทาโร่ ถูกตัดเงินเดือน และ ยาตาเบะ ยาสุชิ ขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเช่นกัน

ไซโต้ ทาเคชิ ประธานบริษัทที่อื้อฉาวคนล่าสุดของ ENEOS เข้าทำงานในบริษัทมานานตั้งแต่ปี 1986 จนสามารถเลื่อนขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทได้ในปี 2022 ซึ่งเขาได้เข้ามาแทนอดีตประธานบริษัทคนก่อนหน้าที่ต้องลาออกไปเพราะช่าวอื้อฉาวเช่นกัน 

สำหรับ ENEOS เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมญี่ปุ่นอย่างหนักจากข่าวการคุกคามทางเพศ และทำร้ายร่างกายสาวบาร์แห่งหนึ่งในจังหวัดโอกินาวา ของนาย สุกิโมริ ทสึโตมุ อดีต CEO ของบริษัทเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบมาก่อน 

นั่นจึงทำให้ ENEOS กลายเป็นบริษัทที่มีข่าวอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามทางเพศของผู้บริหารระดับสูงสุดถึง 2 ปีติดต่อกัน และทำให้บริษัทต้องส่งตัวแทนผู้บริหารออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านสื่อมวลชน และให้คำมั่นสัญญาในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ ธรรมาภิบาลภายในองค์กรเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก 

ส่วนตำแหน่งประธานบริษัทที่ว่างอยู่ในขณะนี้ มีการแต่งตั้งให้ นายมิยาตะ โทโมฮิเดะ รองประธานฝ่ายบริหารรักษาการณ์ชั่วคราวไปก่อน จนกว่าจะมีการประชุมภายในเพื่อคัดเลือกทีมผู้บริหารคนใหม่ในวันที่ 1 เมษายนปีหน้า 

จากกรณีของ ENEOS ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสังคมญี่ปุ่นจริงจังกับมาตรฐานจริยธรรมของผู้บริหารมาก และลงดาบให้เห็นจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหน ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดระเบียบสังคมของชาวญี่ปุ่น ให้เป็นที่ชื่นชม และน่าเอาเป็นแบบอย่างในบ้านเราบ้าง

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ฮ่องกง’ เผชิญวิกฤติ ‘นักท่องเที่ยวจีนหด-ยอดจับจ่ายลดฮวบ’ หลังขาชอปกระเป๋าหนักเริ่มเอือม เปลี่ยนจุดหมายไปไหหลำแทน

เจ้าของธุรกิจร้านค้า แบรนด์เนมหรูในฮ่องกง ถึงคราวต้องเปลี่ยนกลยุทธ์หนีตาย หลังพบยอดนักท่องเที่ยวจีนระดับไฮ-เอนด์ ลดฮวบ ยอดจับจ่ายไม่ตรงตามเป้า คาด พิษเศรษฐกิจจีนยังซบเซา อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเอือมฮ่องกง หนีไปเที่ยว ‘เกาะไหหลำ’ แทน

คาดการณ์ผิด ธุรกิจเปลี่ยนทันที สำหรับฮ่องกง ที่เคยขึ้นชื่อเรื่องแหล่งชอปปิงสุดฮิตติดลมบนของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นิยมมาจับจ่ายซื้อสินค้าหรู แบรนด์เนมกันทีละมากๆ ดั่งสำนวนที่ว่า “shop till you drop - ไม่ล้มละลาย ไม่เลิก”

แม้แต่ช่วงก่อน Covid-19 ที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ก็ยังมีฮ่องกงที่ยังคึกคักไปด้วยลูกค้ากระเป๋าหนักจากจีนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเกิดวิกฤติ Covid-19 ที่ทางการฮ่องกงต้องใช้มาตรการ Lockdown ปิดเกาะ คัดกรองชาวต่างชาติ และชาวจีนนานแรมปี จนทำให้ร้านค้าในฮ่องกงจำนวนมากต้องยุติกิจการไป

แต่หลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านพ้นไป ทางการฮ่องกงเคยคาดว่า การท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักได้ดังเดิมภายในเวลา 1 ปี รวมถึงยอดจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว ที่อั้นไว้นานตั้งแต่ช่วงปิด Covid-19 แต่ยอดนักท่องเที่ยวกลับไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มาน้อยลงกว่าที่คาด แถมยอดการจับจ่ายซื้อของต่อคนที่เคยหวือหวา ตอนนี้ลดเหลือเพียง 18-55% จากค่าเฉลี่ยในปี 2018 ก่อนเกิน Covid-19

สัญญาณเตือนแรงมาจากการเริ่มทยอยปิดร้านบางสาขาของร้านค้าแบรนด์หรูในฮ่องกง ทั้ง Valentino, Burberry, Louis Vuitton และล่าสุด Harvey Nichols ห้างหรูสัญชาติอังกฤษก็ประกาศคืนพื้นที่เช่า ปิดกิจการสาขาใหญ่ ในเขต Central ในห้าง Landmark Store ในปลายปี 2023 นี้แล้วเช่นกัน เนื่องจากยอดการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลหยุดยาวของจีนไม่เข้าเป้า การลดสาขาจึงเป็นทางออกที่ดีกว่าในการรักษาระดับผลกำไร จากการขายสินค้าแบรนด์หรูในสถานการณ์ที่ลูกค้ามีจำนวนลดลง

นักวิเคราะห์ด้านการตลาดมองว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง แถมยอดจับจ่ายต่อหัวก็ลดลงตามไปด้วย เป็นเพราะพิษเศรษฐกิจของจีน ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เหมือนก่อนช่วง Covid-19

แต่บางส่วนมองว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงตั้งแต่เข้าปี 2019 แล้ว จากผลพวงของเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกง ที่ลุกลามจนเกิดกระแส ‘ปลดปล่อยฮ่องกง’ เมื่อมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงออกในเชิงเหยียด ไม่ต้อนรับชาวจีนแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 เสียอีก

มิหนำซ้ำ การเติบโตของการซื้อสินค้าออนไลน์ และสถานที่ท่องเที่ยวคู่แข่งอย่างเกาะไหหลำ ที่รัฐบาลจีนหมายมั่นปั้นให้เป็น ‘เกาะฮาวายแห่งประเทศจีน’ ด้วยนโยบายเกาะปลอดภาษี ที่ให้ชาวจีนและนักท่องเที่ยวสามารถมาชอปปิงสินค้าแบรนด์หรูปลอดภาษีได้ไม่อั้น จนทำให้มีร้านค้ามาเปิดกิจการแล้วมากกว่า 3,000 แบรนด์ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 28.6 ล้านคน ภายในแค่ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งที่มาแรงของเกาะฮ่องกง

‘โรแซนนา ถัง’ ผู้บริหารของห้าง Cushman & Wakefield ในฮ่องกงมองว่า ตอนนี้กระแสการท่องเที่ยวในฮ่องกงเริ่มเปลี่ยนจากจุดหมายปลายทางของการชอปปิง ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์มากขึ้น หากดูจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่นิยมไปเช็กอินตามจุดถ่ายรูป จุดชมวิวสวยๆ ที่สามารถแชร์ลงสื่อโซเชียลได้ จนกลายเป็นคำศัพท์บัญญัติใหม่ว่า ‘Instragramable places’

กิจการ ร้านค้าหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนบรรยากาศร้านใหม่ หรือขยายไปจับธุรกิจร้านน้ำชา คาเฟ่ ร้านนั่งชิล ร้านอาหารที่ขายบรรยากาศ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่มมากกว่า

รัฐบาลฮ่องกงก็เล็งเห็นกระแสการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปเช่นกัน และพยายามที่จะผลักดันโปรเจกต์ส่งเสริมการท่องเที่ยวฮ่องกงในรูปแบบใหม่ เช่น การจัดงานเทศกาลประจำฤดู งานวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สำคัญ โปรโมตการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แบบ ‘Unseen Hong Kong’ ที่ไม่ใช่แค่จุดหมายเรื่องการชอปปิง แต่สามารถมาท่องเที่ยวแบบ Outdoor ปีนเขา ล่องทะเลได้ด้วย

แต่ก็ต้องใช้เวลา และทุนสนับสนุนไม่ใช่น้อยทีเดียว ในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับฮ่องกง เมื่อเกาะสวรรค์แห่งการชอปปิงสินค้าหรูกำลังสิ้นมนต์ขลัง เพราะคู่แข่งในย่านเอเชียที่มาแรงอย่างเกาะไหหลำของจีน การปรับลุคใหม่เพื่อเรียกลูกค้าเก่าจากแผ่นดินใหญ่ให้กลับมาอีกครั้ง นับเป็นโจทย์หินที่ท้าทายอย่างมากจริงๆ

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘เยอรมัน’ ขาดแคลน ‘ครู’ อย่างหนัก จนต้องลดคลาส ทำ นร.เกรดร่วง หลังคนหนุ่ม-สาวหันเมินอาชีพนี้ เหตุค่าตอบแทนต่ำ สวนทางภาระงาน

‘นักการศึกษาเยอรมัน’ จี้!! รัฐบาลแก้ปัญหาขาดแคลนครูอย่างหนักทั่วประเทศด่วน โดยชี้ข้อมูลจากผลสอบวิชาคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการอ่านของนักเรียนระดับเกรด 9 ในเยอรมันร่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดครูในโรงเรียน

‘รีเบคก้า’ ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในฮัมบูร์ก ผู้มีประสบการณ์สอนในวิชาภาษาอังกฤษ และ ประวัติศาสตร์มานานกว่า 30 ปี เปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อเยอรมันว่า โดยทั่วไปแล้ว วิชาภาษาเยอรมัน, อังกฤษ และ คณิตศาสตร์ ถือเป็นวิชาหลักที่ต้องเน้นเป็นอันดับแรก แต่เมื่อครูขาดแคลน ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องงดคลาสวิชาอื่นๆ เพื่อเทครูมาสอนวิชาหลักก่อน ซึ่งหลายครั้งที่ชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของเธอต้องถูกยกเลิกไปเป็นเดือนก็มี

โดย ครูรีเบคก้า เล่าว่า ปัญหาการขาดแคลนครูมีมานานแล้ว แม้ว่าทางโรงเรียนพยายามประกาศรับสมัครครูมาตลอด แต่ก็ยังได้จำนวนครูมาไม่พอ และยังทำให้ครูที่ยังเหลืออยู่ต้องแบกรับภาระการสอนที่เพิ่มมากขึ้นจนป่วยจากการทำงานหนัก

ปัญหานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่โรงเรียนของครูรีเบคก้า แต่เป็นปัญหาของโรงเรียนทั่วเยอรมัน จนหลายโรงเรียนต้องลดทอนหลักสูตรให้สั้นลง บางโรงเรียนเปิดการสอนได้แค่ 4 วันต่อสัปดาห์ ที่ไม่ใช่เหตุผลเรื่อง Work life balance แต่เพราะไม่มีครูมาสอน

สื่อเยอรมันชี้ว่า โรงเรียนในเยอรมันอาจขาดแคลนครูหลายหมื่นตำแหน่ง และเนื่องจากการกำหนดรูปแบบหลักสูตร และสวัสดิการครู อยู่ในอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละ 16 แคว้น ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ก็ยิ่งทำให้การจัดการหาผู้สอนมีความยากขึ้นไปอีก

ด้านรัฐมนตรีศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง และหน่วยงานของแต่ละแคว้น พยายามหาแนวทางร่วมกันในการแก้ปัญหา ซึ่งได้ประเมินว่าทั่วประเทศน่าจะขาดแคลนครูอยู่ประมาณ 14,000 ตำแหน่ง

แต่ทว่า นักเศรษฐศาสตร์, นักวิชาการด้านการศึกษา และ กลุ่มสหภาพแรงงานครูออกมาค้านว่ารัฐบาลประเมินตัวเลขต่ำเกินไป ไม่สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต

หากประเมินจากตัวเลขนักเรียนในโรงเรียนของปีนี้ (2023) ที่มีอยู่ประมาณ 830,000 คน บางส่วนมาจากกลุ่มชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในเยอรมันมากขึ้น จึงคาดการณ์ได้ว่าอัตราเด็กเกิดใหม่ในเยอรมันน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ในขณะที่เยอรมัน จำนวนครูกลับลดลงเรื่อยๆ ทุกปี หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ป้ญหาในวันนี้ คาดว่าในปี 2035 เยอรมันอาจขาดแคลนครูมากกว่า 56,000 ตำแหน่ง

ในขณะที่เยอรมันกำหนดให้ครูต้องจบวุฒิขั้นต่ำปริญญาตรีที่ตรงสาย แต่เพราะปัญหาการขาดแคลนครู ทำให้รัฐบาลเยอรมันอนุโลมให้ผู้ที่จบสาขาอื่นๆ ที่เข้าอบรมหลักสูตรด้านการสอนฉบับเร่งรัดสามารถบรรจุเป็นครูได้ แต่ก็เหมือนเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน เนื่องจากผลสำรวจพบว่า หนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจอาชีพครูกันแล้ว

เหตุผลเพราะว่า อาชีพครูในความคิดของหนุ่ม-สาวยุคนี้ถูกมองว่าเป็นงานหนัก ค่าตอบแทนน้อย รับผิดชอบสูง มีชั่วโมงการทำงานยาวนาน แม้รัฐบาลจะกำหนดให้ครูมีชั่วโมงการสอนเฉลี่ย 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ส่วนใหญ่มักพบว่าสอนเกินเกณฑ์มาตรฐานไปไกลมาก ถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มิหนำซ้ำ หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐเสนอแนะให้เพิ่มชั่วโมงการเรียนของนักเรียน ยืดอายุวัยเกษียณของครู เพิ่มจำนวนนักเรียนในชั้น และคาดหวังเทคนิคการสอนที่หลากหลาย

ด้วยอุปสรรคหลายปัจจัยจนปวดใจ เลยทำให้เยอรมันหาครูมาสอนได้ยาก และครูหลายคนเลือกที่จะรับงานสอนแบบ Part-time มากกว่าทำงานแบบประจำเต็มเวลา เพราะมีความยืดหยุ่นในชั่วโมงการสอนได้มากกว่า

ร่ายยาวมาถึงตรงนี้ เราจึงเข้าใจ และเห็นภาพของวิกฤติครูในเยอรมัน และปัญหาที่ครูสาวรีเบคก้ากำลังเผชิญอยู่ ว่าทำไมครูในเยอรมันถึงขาดแคลน และต้องทำงานหนัก ทำไมบางโรงเรียนในเยอรมันถึงไม่สามารถเปิดสอนได้เต็ม 5 วันต่อสัปดาห์ และต้องตัดวิชาเสริม เน้นสอนแต่วิชาหลัก จนส่งผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนโดยรวมของนักเรียนเยอรมันไปในที่สุด

'เศรษฐีนีมาเลเซีย' กรี๊ด!! แหวนราคา 36 ล้านหายในโรงแรมหรูที่ปารีส เจ้าหน้าที่พลิกโรงแรมหานาน 2 วัน สุดท้ายพบอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น

สื่อฝรั่งเศสรายงานเหตุวุ่นวายใน The Ritz โรงแรมสุดหรูในใจกลางนครปารีส ของฝรั่งเศส เมื่อมีนักท่องเที่ยวสาวชาวมาเลเซียออกมาโวยวายว่าแหวนเพชรเม็ดโต ราคาหลัก 1 ล้านเหรียญ (ประมาณ 36 ล้านบาท) ถูกขโมยจากห้องพักในโรงแรมหรูชั้นนำของฝรั่งเศส และกลายเป็นคดีที่มีการพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ของฝรั่งเศสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

หญิงสาวชาวมาเลเซียรายนี้ ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม เป็นนักธุรกิจหญิงชั้นนำ ที่สามารถเรียกได้ว่ามีฐานะในระดับเศรษฐีนีของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยเธอเข้าพักในโรงแรม Ritz ที่ตั้งในย่านหรูของกรุงปารีส จนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม เธอได้ถอดแหวนเพชรเม็ดโต ราคาถึง 1 ล้านเหรียญวางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างหัวนอน ก่อนที่จะออกจากโรงแรมไปชอปปิงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาพบว่า แหวนเพชรของเธอได้หายวับไปจากห้องแล้ว 

และในวันนั้น เธอได้แจ้งตำรวจในทันที โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุ เพื่อสอบสวน และประสานงานกับทางโรงแรมว่ามีบุคคลแปลกปลอมเข้ามาขโมยของในโรงแรมหรือไม่?

(อนึ่งปารีส มักมีข่าวนักท่องเที่ยวถูกลักเล็ก ขโมยน้อยอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่ดูมีฐานะ ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า 'Crazy Rich Asians' มักเป็นเป้าหมายของกลุ่มมิจฉาชีพอยู่เสมอ)

แต่หลังจากพลิกโรงแรมหาอยู่นานถึง 2 วัน พนักงานโรงแรมก็พบแหวนเพชรหรูของเศรษฐีนีมาเลเซียอยู่ในถุงภายในเครื่องดูดฝุ่น สร้างความโล่งใจทั้งลูกค้า ทั้งทีมตำรวจที่สามารถปิดคดีได้ และได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่โรงแรมที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และเป็นมืออาชีพ 

นับเป็นความโชคดีของเศรษฐีนีมาเลเซียที่ไม่สูญแหวนเพชรหรูของเธอในทริปที่ปารีส เพราะถึงแม้ทางโรงแรมจะยืนยัน มั่นใจเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยเพียงใดก็ตาม แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุโจรปล้นภายในโรงแรมแห่งนี้ 

เมื่อย้อนกลับไปช่วงเดือนกันยายน ปี 2018 เจ้าหญิงองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ซาอุฯ เคยแจ้งตำรวจว่าเครื่องเพชรมูลค่ามากกว่า 8 แสนยูโร (ประมาณ 30 ล้านบาท) ได้สูญหายไปจากห้องสูท ของโรงแรม The Ritz แห่งนี้เช่นเดียวกัน และไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ ซึ่งในปีเดียวกัน ก็เคยเกิดเหตุแก็งโจรบุกปล้นร้านเครื่องเพชรที่อยู่ในโรงแรม โดยใช้ค้อนทุบตู้กระจก กวาดเครื่องเพชร และนาฬิกาแบรนด์เนมไปได้ถึง 4 ล้านยูโร (154 ล้านบาท) ก่อนจะถูกจับตัวได้ในเวลาต่อมา 

ดังนั้น ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัย สำหรับทรัพย์สินมีค่าของคุณ แม้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นโรงแรม 5 ดาวหรูหราที่สุด ในย่านคนรวยที่สุด แต่ถ้าคุณประมาทก็หนีไม่พ้นมือโจรอยู่ดี 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

นักศึกษารัสเซีย ผุดไอเดียขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อนำชิ้นส่วนภายในไปผลิตเป็นโดรนรบกับยูเครน

โดยทั่วไปแล้ว หลายประเทศมักมีแคมเปญรณรงค์ให้นักศึกษาเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการยกเหตุผลด้านสุขภาพ ซึ่งหาก ‘ลด-ละ-เลิก’ ได้ ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาว 

แต่ทว่า ที่ ‘รัสเซีย’ กลับมีแคมเปญที่แปลกกว่านั้น คือ ขอบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า...เพื่อชาติ!!

แคมเปญดังกล่าวนี้ ถูกจัดขึ้นโดยนักศึกษาจากชมรม Falcon Patriotic Military Club ของ University of Samara ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ที่ผุดแคมเปญสุดพิสดาร ด้วยการผสมผสานไอเดียที่ใช้รณรงค์ลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เข้ากับแนวคิดชาตินิยม 

โดยจะมีการจัดกลุ่มอาสาสมัคร ถือกล่องตระเวนรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าจากเพื่อนๆ นักศึกษาในสถาบัน ด้วยเหตุผลจูงใจอย่างการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีการออกใบปลิว และ โปสเตอร์ประกอบแคมเปญด้วยการดัดแปลงภาพสไตล์ย้อนยุคสมัยสหภาพโซเวียต ที่เคยใช้จริงตอนที่รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้ชาวรัสเซียลดการดื่มเหล้าวอดก้า เพียงแต่คราวนี้ เปลี่ยนจากวอดก้า เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแทน  พร้อมสโลแกนเท่ๆ ว่า…

“1 e-cigarette = 1 drone attack on the enemy!” หรือ “บุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน = โดรนพิฆาต 1 ลำ สำหรับโจมตีข้าศึกของเรา”

หลายท่านอาจจะงงว่า เป้าหมายสำคัญของการขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษากลุ่มนี้ จะมีส่วนให้กองทัพรัสเซีย นำไปใช้ผลิตโดรนพิฆาตในการสู้รบในสงครามรัสเซีย-ยูเครน จริงๆ ได้อย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้ทางกลุ่มนักศึกษาเจ้าของแคมเปญ ก็อธิบายว่า... 

“อันที่จริงแล้ว ตัวบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้ แต่ชิ้นส่วนภายใน เช่น แผงวงจรไมโครและแบตเตอรี สามารถนำไปดัดแปลงใช้ใหม่ในระบบปล่อยกระสุนของโดรนพิฆาตได้”

สำหรับชมรม Falcon Patriotic Military Club ก่อตั้งในปี 2008 มีวัตถุประสงค์ในการปลุกจิตสำนึกรักชาติแก่เยาวชน และ นักศึกษาของรัสเซีย  ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของทหารในโรงเรียน หรือ รับบริจาคสิ่งของ และจัดส่งของจำเป็นให้กับทหารแนวหน้าในสงครามยูเครน อาทิ โทรศัพท์มือถือ, เตาภาคสนาม, เสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ และล่าสุดทำแคมเปญบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อนำไปผลิตโดรนพิฆาตให้กับกองทัพรัสเซีย 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้เล็ดลอดถึงหูสื่อยูเครน ก็ได้มีการรายงานบลัฟอย่างรวดเร็วว่า “ไอเดียการดัดแปลงบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นโดรนโจมตีนั้น ได้มาจากนักศึกษาของยูเครนต่างหาก โดยสถาบัน Chernivtsi Polytechnic College ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครนเคยทำมาก่อนแล้ว  นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์สนับสนุนกองทัพที่ล้ำหน้านั้นอีก ด้วยการพัฒนาโครนโจมตีขนาดจิ๋ว Powerbank สุดอึดที่สามารถชาร์ตโทรศัพท์มือถือได้นานถึง 10 วันอีกด้วย” 

ก็ไม่น่าเชื่อว่าจากแคมเปญเลิกบุหรี่ไฟฟ้า จะกลายมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่เข้าไปช่วยเสริมศักยภาพในสงครามได้ ภายใต้แนวคิดปลุก ‘จิตสำนึกในความรักชาติ’ 

เพียงแต่มันก็ยังไม่รู้สึกถึงแง่มุมดีๆ ที่จะมีต่อโลกใบนี้ยังไงก็ไม่รู้!! 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top