Monday, 13 May 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

รัฐบาลทหารพม่าไม่หวั่น!! เดินหน้าจัดงานวันกองทัพ ย้ายฤกษ์สวนสนามจาก 'รุ่งอรุณ' เป็น 'อาทิตย์อัสดง'

กองทัพพม่า ยังเดินหน้าจัดงานสวนสนามครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันกองทัพ ที่ตรงกับวันที่ 27 มีนาคมของทุกปี ในกรุงเนปิดอว์ ท่ามกลางเสียงนักวิจารณ์ที่ตั้งข้อสงสัยถึงกำลังพลในกองทัพพม่าว่ายังเหลืออยู่เท่าไหร่ หลังถูกกดดันอย่างหนักจากกองกำลังฝ่ายกบฏและถูกมองว่ากองทัพพม่าอยู่ในยุคที่ตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี

โดยในปีนี้ กองทัพพม่ายังคงจัดงานฉลองวันกองทัพตามปกติ และ นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ นายกรัฐมนตรีพม่า จะยังเข้าร่วมเป็นประธานในพิธี แม้กองทัพพม่ากำลังเผชิญสถานการณ์ที่ย่ำแย่ สูญเสียดินแดนจำนวนมากให้กองทัพชาติพันธุ์ เป็นเหตุให้เกิดกระแสขับไล่นายพล มิน อ่อง หล่าย อย่างกว้างขวางแม้ในแวดวงกลุ่มคนสีเขียวก็ตาม

และการจัดงานสวนสนามในปีนี้ มีความพิเศษกว่าทุกปี ที่มักจัดขึ้นในช่วงเช้า ซึ่งปีนี้ รัฐบาลพม่าจะเปลี่ยนมาจัดพิธีสวนสนามในช่วงเย็น โดยอ้างเหตุปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทำให้ช่วงเช้าอากาศร้อนเกินไป จึงเลือกมาจัดงานในตอนเย็น ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ที่จะช่วยให้การแสดงการบินของกองทัพอากาศมีความตระการตามากขึ้นด้วย

ด้านสำนักข่าวอิรวดี สื่อพม่า ชี้ว่า กองทัพพม่าบรรจงเลือกช่วงเริ่มพิธี ในเวลา 17.15 น. หรือ 5 โมง 15 นาที ตามแนวพิธีกรรมไสยเวทย์ ที่เลือกฤกษ์เวลาที่ประกอบด้วยตัวเลข 3 หลัก คือ 5, 5 และ 1 (5.15 PM) ที่รวมกันแล้วได้ 11 ที่จะช่วยหลีกเลี่ยงภยันตราย 11 ประการ ตามความเชื่อดั้งเดิมของพม่า  รวมถึงการเปลี่ยนช่วงเวลาพาเหรดมาเป็นช่วงเย็นเพราะเชื่อว่าดวงอาทิตย์จะไม่ตกใส่กองทัพพม่า 

แต่บรรยากาศในงานพาเหรดที่มีเป้าหมายเพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทัพในปีนี้ มีความแตกต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นวันกองทัพครั้งแรกหลังจากที่รัฐบาลพม่า เพลี่ยงพล้ำให้กับกองทัพชาติพันธุ์ติดอาวุธ หลังปฏิบัติการ 1027

โดยกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ อันประกอบด้วยกองกำลัง โกก้าง, ตะอ่าง และ อารกัน ได้รวมกลุ่มโจมตีกองกำลังพม่าอย่างฉับพลัน ในแผนปฏิบัติการ 1027 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่ทำให้กองทัพพม่าสูญเสียฐานที่มั่นในพื้นที่เขตปกครองชาติพันธุ์ไปเกือบทั้งหมด ต้องถอยมาปักหลักในเมืองศูนย์กลางที่ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์

ความเสียหายหลังถูกโจมตีโดยปฏิบัติการ 1027 ได้สะท้อนความอ่อนแอภายในกองทัพพม่าอย่างที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมานานหลายปี กลายเป็นแรงกดดันพุ่งสู่ นายพล มิน อ่อง หล่าย ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นผู้นำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพพม่า และกระแสเรียกร้องให้เขาลาออกจากตำแหน่ง  

และความระส่ำระสายนี้ ทำให้รัฐบาลพม่าจำเป็นต้องออกกฎหมาย เรียกระดมพลเพิ่ม โดยอนุญาตให้เรียกผู้ชายอายุ 18-35 ปี และผู้หญิงอายุ 18-27 ปีเข้าประจำการเป็นเวลา 2 ปี ทำให้คนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมากพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจุดหมายแรกของชาวพม่าที่เข้าเกณฑ์ถูกหมายเรียกคือประเทศไทย ที่มีชาวพม่าแห่ขอวีซ่าที่สถานทูตไทยในย่างกุ้งเป็นจำนวนมาก 

ดังนั้น งานสวนสนามประจำปีในวันกองทัพพม่าในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกองทัพพม่าเหมือนอย่างที่แล้วมา แต่เป็นเหมือนการเรียกขวัญ กำลังใจทหารในกองทัพในยามสิ้นหวัง และอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของนายพล มิน อ่อง หล่าย ที่ต้องพยายามรักษาแสงอาทิตย์ของเขาไว้ให้ได้ แม้ต้องยืนในยามอาทิตย์ใกล้อัสดงก็ตาม 

ฟองสบู่ Forest City เมืองใหม่แห่งอนาคตในมาเลเซีย โครงการยักษ์ 3.6 แสนล้าน ที่กำลังกลายเป็นเมืองร้าง

หากนับย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. 2559 ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อย น่าจะตื่นเต้นกับโครงการพัฒนาเมืองใหม่ ระดับเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Forest City’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัท เอสพลานาด แดงกา 88 ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย และ ‘คันทรี การ์เดน’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของจีน ในเขตพื้นที่ของรัฐยะโฮร์ ที่เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท) 

โดยโครงการนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลจีนเป็นครั้งแรกราวๆ ปี พ.ศ. 2549 ที่หวังจะให้เป็นส่วนหนึ่งในแผน Belt and Road Initiatives มีเป้าหมายยกระดับพื้นที่ในเขตรัฐยะโฮร์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ ครบครันด้วย อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถรองรับประชากรได้ถึง 7 แสนคน 

และยังเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ บริษัท คันทรี การ์เดน อีกด้วย หลังจากมีการนำเสนอ โครงการมานานถึง 10 ปี Forest City ก็ได้รับการอนุมัติก่อสร้างโดย อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2578 

แต่ทว่า วันนี้ Forest City ที่ผู้สร้างโปรโมตว่าจะกลายเป็นเมืองสวรรค์ในฝันของคนมีอันจะกิน มีแววจะกลายเป็นเมืองร้าง (Ghost Town) ไปเสียแล้ว เมื่ออาคารหลายแห่งสร้างแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง แต่กลับมีคนที่มาอยู่จริงน้อยมาก 

วันนี้เราจึงเห็นแต่ภาพตึกสูงระฟ้า เรียงรายเต็มพื้นที่หน้าชายหาด ยาวเหยียดเป็นกิโลของ Forest City ที่ถูกทิ้งร้าง มืดมิด เงียบเหงา ไร้ผู้คน และรถรา นอกจากเสียงจิ้งหรีดเรไรดังสนั่นทั่วบริเวณ

ชาวมาเลเซียบางส่วน ที่เข้ามาจับจอง ซื้อห้องพักใน Forest City ในช่วงเปิดโครงการด้วยความหวังว่าจะได้อยู่ในย่านสังคมเมืองใหม่อนาคตไกล ต่างรู้สึกผิดหวัง และ ต้องการย้ายออกเพราะเริ่มไม่ไหวจะทนกับบรรยากาศอันแสนวังเวง ถ้าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียวใน Forest City ณ ขณะนี้ คือ ความเงียบสงบสำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกอย่างแท้จริง

สาเหตุที่โครงการยักษ์ Forest City ผิดเป้าค่อนข้างไกล แถมมีโอกาสที่จะกลายเป็นเมืองผีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น เกิดจากหลายปัจจัย 

และสิ่งที่ประเมินพลาดที่สุดอย่างแรกคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายในช่วงเปิดโครงการ ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะตั้งแต่ระดับกลาง - สูง เป็นหลัก ที่กำลังมองหาสินทรัพย์ลงทุนในต่างแดน แทนที่จะเป็นชาวมาเลเซียทั่วไป จึงทำให้โครงการนี้ถูกวิพากษ์ วิจารณ์จากชาวมาเลเซียจำนวนมากว่าเป็นการสร้างเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนจีนเป็นสำคัญมากกว่าชาวมาเลเซียเจ้าของประเทศ 

เมื่อเน้นไปที่ตลาดจีน โครงการนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่รัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเมืองนานนับปี ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ยังถดถอยหลังวิกฤติการระบาด จึงทำให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของ Forest City ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างที่คาดการณ์ไว้

อีกทั้งปัญหาด้านการเงินของ บริษัทคันทรี การ์เดน ที่เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักในโครงการนี้ จากวิกฤตฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และ ประชาชนทั่วไปที่กำลังพิจารณาเช่า-ซื้อ ทรัพย์สินในโครงการ Forest City กับอนาคตที่คาดเดาได้ยากว่า คันทรี การ์เดน จะกลับมาฟื้นสภาพ รอดพ้นจากภาวะหนี้สินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนได้เมื่อไหร่ 

รวมถึงปัจจัยด้านกำลังซื้อของชาวจีนที่ไม่เหมือนเดิม จากที่ประเมินในช่วงก่อนวิกฤติ Covid-19 ทำให้ Forest City จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธการตลาดหลายครั้ง จากการสร้างเมืองใหม่เพื่ออยู่อาศัยของกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ ที่เน้นไปที่เศรษฐีชาวจีนเป็นหลัก ถูกเปลี่ยนมาเป็นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนชายทะเลระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ทั้งชาวจีน และ มาเลเซีย ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดจองโรงแรม ที่พักในเมืองได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างภาพเมืองร้างขนาดมหึหาออกไปได้

ล่าสุด เมื่อ สิงหาคม 2566 นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ก็ออกมาช่วยสนับสนุนโครงการ Forest City อีกครั้งด้วยการประกาศยกระดับพื้นที่เมืองนี้ให้กลายเป็น ‘เขตการเงินพิเศษ’ เพื่อจูงใจนักลงทุนด้านการเงิน และ แรงงานทักษะสูงเข้ามาช่วยกู้เมือง โดยมีการเสนอสิทธิพิเศษด้านวีซ่า และ ภาษีในอัตราพิเศษ และยังสนับสนุนให้มีการจัดงานอีเวนต์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยหวังที่จะปลุกเมืองนี้ให้กลับมาเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ให้สมกับเป้าหมายและเม็ดเงินที่ลงทุนไปแล้วมากมายมหาศาล

ดังคำกล่าวที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน โปรเจกต์ 20 ปี อย่าง Forest City ก็เช่นกัน ที่อาจต้องใช้เวลาต่อจากนี้อีกสักระยะ ว่าเมืองแห่งนี้ จะกลายเป็นเมืองใหม่ของมนุษย์ หรือ เป็นจะเพียงสุสานของซากตึก

'ปูติน' มอบภารกิจใหม่ให้หน่วยสายลับ FBS หนุนธุรกิจรัสเซีย กรุยทางเปิดตลาดใหม่ สู้มาตรการคว่ำบาตรของโลกตะวันตก

วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย หลังจากที่เพิ่งคว้าชัยชนะเลือกตั้งในรัสเซียอย่างถล่มทลายเมื่อวันที่ 18 มี.ค.67 ที่ผ่านมา ก็ทำงานต่อ ไม่รอแล้วนะ ด้วยการเรียกประชุมทีมจากหน่วยความมั่นคงกลาง (FSB) ต่อทันทีเพื่อมอบหมายภารกิจใหม่ล่าสุด นั่นก็คือ การตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกและช่วยสนับสนุนกลุ่มธุรกิจรัสเซียขยายสู่ตลาดใหม่

การเรียกประชุมทีมด้านความมั่นคงนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเพียงวันเดียว และเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมประจำปีของ FSB หน่วยที่สืบทอดหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับ KGB ในอดีต ที่วลาดิมีร์ ปูติน เคยสังกัดอยู่ด้วย

และได้มอบหมายภารกิจใหม่ให้กับหน่วยด้านความมั่นคง ด้วยการหาหนทางสนับสนุนธุรกิจของชาวรัสเซียที่กำลังพัฒนากันอย่างเต็มที่ในตอนนี้ ให้สามารถต่อสู้กับอุปสรรค และความไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผยของชาติตะวันตกให้ได้ และหาช่องทางตลาดใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของรัสเซีย นับเป็นการขยายขอบเขตหน้าที่ของหน่วยความมั่นคงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย - ยูเครน

ต้องยอมรับว่าสงครามยูเครน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรัสเซียอย่างหนัก จากการคว่ำบาตร และมาตรการกดดันทางการค้าของชาติตะวันตก แต่หลังจากผ่านมา 2 ปี เศรษฐกิจของรัสเซียเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา GDP ของรัสเซียกลับมาโตได้ที่ 3.2% ในขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังประเมินว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะมีโอกาสเติบโตได้อีก 2.6% ในปีนี้ (2024) นอกจากนี้อัตราการว่างงานในรัสเซียอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานพุ่งสูงขึ้น

รัสเซียสามารถรักษาเศรษฐกิจของตนให้เติบโตได้ด้วยการโยกธุรกรรมการค้า การลงทุนไปยังตลาดทางเลือกอื่น เช่น อินเดีย จีน และอิหร่าน และยังสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อกับประเทศคู่ค้าเหล่านั้น เช่น โครงการ International North-South Transportation Corridor (INTSC) ที่เชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างรัสเซีย - อิหร่าน - มหาสมุทรอินเดีย เข้าด้วยกัน แม้จะถูกเรียกว่าเป็น 'เส้นทางการค้าสำหรับพวกนอกคอก' (ประเทศที่โดนคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก) ก็ตาม  

ปูตินยอมรับว่าการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกสร้างปัญหา 'ชั่วคราว' ให้กับรัสเซียแต่เราต้องจัดการทุกอย่างให้จบได้อย่างแน่นอน 

ก็ต้องมาจับตาดูกันว่า ภารกิจด้านการช่วยเหลือเจ้าของกิจการรัสเซีย ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร กับ หาช่องทางตลาดใหม่ๆ ให้กับธุรกิจของรัสเซีย ที่ปูตินในมุมมองของอดีตสมาชิก KGB เก่า ได้เจาะจงมอบหมายให้กับ FSB ที่เป็นหน่วยสืบราชการลับ ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์ และ ไม่ใช่กระทรวงการต่างประเทศ จะมีทิศทางออกมาอย่างไร

สังคมจีนป่วน!! เทรนด์ 'Spicy milk style' เซ็กซี่ฟันน้ำนม ลุกลาม พ่อแม่จีนบ้าจี้ จับลูกแต่งตัวเซ็กซี่ หวังดัง-ดึงดูดเชิงพาณิชย์

สังคมจีนกำลังถกประเด็นร้อน เมื่อเกิดกระแสแฟชั่นฟันน้ำนมใหม่ล่าสุด ที่เรียกว่า 'Spicy milk style' หรือ เซ็กซี่ฟันน้ำนม ที่พ่อ-แม่ชาวจีน นิยมแต่งตัวลูกสาววัยอนุบาลด้วยเสื้อผ้าที่เน้นโชว์สัดส่วน เรือนร่าง ว่าเป็นแค่ 'แฟชั่น' การแต่งตัวเลียนแบบผู้ใหญ่ หรือ แก่แดดเกินวัยไม่เหมาะสม หรือไม่?

'Spicy Milk Style' มาจากภาษาจีนคำว่า 奶辣风 (หน่ายล่าเฟิน) ที่ไม่ได้หมายถึงหม่าล่าหม้อไฟรสเผ็ดของชาวจีน แต่หมายถึงกระแสแฟชั่นที่พี่พ่อแม่จีนจับลูกเล็ก ๆ ของตนเองมาที่แต่งตัวสไตล์เผ็ด ๆ แซ่บ ๆ ที่ตัดเย็บเลียนแบบเสื้อผ้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กระโปรงรัดรูป เสื้อเกาะอก สายเดี่ยว ชุดเปลือยหลัง และรองเท้าส้นสูง เป็นต้น 

ไม่เท่านั้น ยังถ่ายรูปลูก ๆ ของตนในชุดเซ็กซี่เผยแพร่ลงใน Weibo เว็บไซต์โซเชียลของจีน จนกลายเป็นไวรัล และสร้างกระแสความนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มพ่อแม่จีนที่ต้องการให้ลูก ๆ ของตนเป็นจุดสนใจ ส่งผลให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ในจีนลงมาแข่งขันผลิตเสื้อผ้าเด็กเล็กที่ออกแนวเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย 

หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน คงไม่มีใครนึกออกว่า การจับเด็กวัยอนุบาลมาแต่งตัวเป็นสาวฮอตจะเป็นจุดขายได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ กระแสการแต่งตัวสไตล์เซ็กซี่ฟันน้ำนมมีให้เห็นอย่างมากมายตามสื่อออนไลน์ของจีน หลายครั้งที่มีการเจาะจงใช้นางแบบเด็กเล็กมาแต่งกายในชุดเซ็กซี่ มาโปรโมตขายเสื้อผ้า และ สินค้า เพื่อกระตุ้นยอดวิวอีกด้วย

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มกระแส สังคมจีนยังมองว่าเป็นเพียงการจับเด็กมาแต่งตัวตามแฟชั่น เพื่อสร้างคอนเทนต์ลงในโซเชียล และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการโฆษณา โปรโมตสินค้า เสื้อผ้าแฟชั่น หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น จนชาวจีนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา 

แต่ต่อมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 สื่อท้องถิ่นจีนรายงานข่าวครูประถมของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งพบเด็กนักเรียนหญิงชั้นประถมต้นของตนสวมชุดกระโปรงสั้น เปลือยหลัง มาโรงเรียน เธอจึงเรียกผู้ปกครองมาเพื่อตักเตือนและขอร้องให้เปลี่ยนเป็นชุดสุภาพเมื่อมาโรงเรียน แต่ปรากฏว่าพ่อแม่ของเด็กปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเด็ก 

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อจีนยังพบว่า มียังพ่อแม่ของเด็กคนอื่นอีกหลายคนที่จับลูกสาวของตนแต่งชุดเซ็กซี่เป็นประจำ แถมยังให้โพสต์ท่ายั่วยวนแบบผู้ใหญ่เพื่อแชร์ลงในโซเชียลอีกด้วย โดยให้คำจำกัดความว่าเป็น 'Soft Pornography' - โป๊แบบอ่อน ๆ 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวครูสาวชาวปักกิ่งตักเตือนผู้ปกครองเรื่องการให้ลูกแต่งตัวแบบ 'Spicy milk style' มาโรงเรียนแต่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธก็กลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกโซเชียลจีนทันที โดยมีผู้มาถกเถียงในหัวข้อนี้มากถึง 130 ล้านวิว และร่วมแชร์ประสบการณ์ แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายที่คัดค้านมองว่า เด็กเล็กควรสวมเสื้อผ้าสมวัย เพราะเด็กมีกิจกรรม และการออกกำลังกายที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ การที่ให้เด็กมาสวมชุดรัดรูป กระโปรงสั้น เปิดเผยสัดส่วน หรือสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ อีกทั้งเครื่องแต่งกายเหล่านั้นมักดึงดูดความสนใจจากคนแปลกหน้า ที่อาจส่งผลเสียทางอารมณ์ของเด็กเล็ก เช่น ความวิตกกังวล หรือ ขาดความมั่นใจในตัวเองได้ในระยะยาว

อีกทั้งยังเป็นการสร้างค่านิยมด้านความงามที่ผิดให้กับเด็ก ที่ให้ความสำคัญแต่เพียงรูปลักษณ์ความงามภายนอกมากจนเกินไป และยังมีผลต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง หรือเพื่อนวัยเดียวกัน เพราะเครื่องแต่งกายที่แตกต่าง อาจสร้างความแปลกแยกทางสังคมให้เด็กได้ 

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวจีนบางกลุ่มก็มองว่า คำว่าแฟชั่น มีความหมายกว้างกว่า 'เครื่องแบบ' และมีการเติบโตตามยุคสมัยที่มีเสรีภาพในการแต่งกายมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ 'Spicy milk style' ส่วนหนึ่งมาจากพ่อแม่ในยุคมิลเนเนียน หรือพ่อแม่ที่เกิดหลังยุค 1990s ที่นิยมให้ลูกแต่งตัวเหมือนตนเอง หรือแต่งชุด พ่อ-แม่-ลูก แบบเดียวกัน เวลาออกไปเที่ยว แฟชั่นแบบ 'Spicy milk style' จึงเกิดขึ้น และหากพ่อแม่ให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ลูก ๆ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร 

แต่ทั้งนี้ China Daily สื่อของรัฐบาลชี้ว่า ถึงจะเป็นเรื่องแฟชั่นก็ควรมีขอบเขต โดยเฉพาะ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก ที่ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเชิงพาณิชย์ หรือ ใช้เด็กในเชิงสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายอย่างไม่เหมาะสม 

อย่างที่แบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Balenciaga เคยพลาดมาแล้ว ด้วยการให้เด็กเล็กในโฆษณาสินค้าอุ้มตุ๊กตาหมีที่สวมเครื่องพันธนาการทางเพศ หรือแบรนด์เนมหรูอย่าง Louis Vuitton และ Billionaire Boys Club ที่เปิดไลน์เสื้อผ้าเด็ก ก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'เซ็กซี่' ในประโยคที่พูดถึงเด็กเช่นกัน 

ดังนั้นขอบเขตของแฟชั่นเด็กควรอยู่ที่ตรงไหน การใช้เพียงวิจารณญาณของพ่อแม่อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘สิงคโปร์-มาเลเซีย’ เตือนเยาวชน ‘ยาดมชูกำลัง’ ไม่มีจริง เสี่ยงติดโรคทางเดินหายใจ แถมส่งเสริมให้ติดบุหรี่ด้วย

รัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ สั่งสอบเข้ม ‘ยาดมชูกำลัง’ หรือ ‘Energy Stick’ ที่กำลังฮิตอย่างมากในหมู่วัยรุ่น-วัยเรียนชาวสิงคโปร์และมาเลเซียอยู่ในขณะนี้ ว่าจะมีผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจผู้ใช้ ส่งเสริมพฤติกรรมติดบุหรี่ในอนาคตหรือไม่?

‘Energy Stick’ หรือ ‘ยาดมชูกำลัง’ ที่กำลังแพร่หลายในท้องตลาดสิงคโปร์ มาในรูปแบบคล้ายกล่องยาดมหลอดคู่ มีขนาดพอๆ กับกล่องไม้ขีดไฟ และมีสีสันสดใส แถมยังมีหลากหลายกลิ่นให้เลือก ทั้งกลิ่นมินท์, แตงโม, องุ่น, ส้ม, มะนาว และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังเคลมสรรพคุณ สูดดมแล้วมีแรง แก้ง่วง เหมาะสำหรับ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องอ่านหนังสือหนักตอนกลางคืน หรือ คนทำงาน OT หรือผู้ที่ต้องขับรถนานๆ ที่อาจเกิดอาการง่วงซึมระหว่างเดินทาง

เบื้องต้น ทางผู้ผลิตแจ้งส่วนประกอบในยาดมชูกำลังว่า มีเพียงส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดจากธรรมชาติที่ปลอดภัยเท่านั้น อีกทั้งยังมีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ทั่วไปเพียงหลอดละไม่เกิน 1.5 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณไม่เกิน 37 บาท) บวกกับกลยุทธ์การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย ที่สนับสนุนให้สูดดมก่อนไปเรียนหนังสือ หรือไปทำงานทุกวัน ทำให้ตาตื่น จนเป็นที่นิยมในกลุ่มเด็กวัยรุ่นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขในสิงคโปร์ ก็ได้ออกมาเตือนถึงผลเสีย หากสูดดม Energy Stick เป็นประจำว่า อาจเสี่ยงต่อเยื่อโพรงจมูกอักเสบ และโรคทางเดินหายใจได้ รวมทั้งตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสารประกอบในยาดมประเภทนี้บางยี่ห้อ อาจมีส่วนผสมของนิโคติน หรือ กัญชา ที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้มีความกระปรี้กระเปร่า ตาตื่น มีแรงทำกิจกรรมมากขึ้น ตามคำเคลมโฆษณา

ด้านผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า แม้ยาดมชูกำลัง จะไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายเช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า และอาจไม่มีผลข้างเคียงหากใช้สูดดมในระยะสั้น แต่ถ้าใช้การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการติดได้

สำหรับเจ้า Energy Stick ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ในสิงคโปร์เท่านั้น หากยังเป็นปัญหาในตลาดมาเลเซียด้วยเช่นกัน เมื่อ อัมราฮี บวัง ประธานสมาคมเภสัชกรแห่งมาเลเซีย ออกมาเตือนว่า ยาดมชูกำลังมีส่วนผสมบางอย่างที่คล้ายกับสารในบุหรี่ไฟฟ้า ต่างกันแค่ตรงที่ไม่มีการเผาไหม้ รวมถึงรูปแบบการใช้งาน ที่เป็นหลอดยาดมคู่ สำหรับสอดเข้าไปในโพรงจมูกทั้งสองข้างพร้อมกัน ทำให้รับสารระเหยโดยตรงเข้าสู่ปอดในปริมาณมาก และอาจเป็นด่านแรกที่จะกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภคไปสู่การทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า และ บุหรี่ทั่วไปในกลุ่มเยาวชนในเวลาต่อมาได้ 

โดยข้อแตกต่างระหว่างยาดมทั่วไป และ ยาดมชูกำลัง สำหรับในมาเลเซียคือ ผลิตภัณฑ์ยาดมทั่วไปจะต้องขึ้นทะเบียนเพื่อตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการเภสัชกรรมแห่งชาติก่อน จึงสามารถจำหน่ายได้ทุกช่องทาง แม้ในร้านขายยา แต่สำหรับ Energy Stick นั้นยังไม่มีการขึ้นทะเบียน และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญในมาเลเซียได้เรียกร้องให้แบนยาดมชูกำลัง พร้อมทั้งถอดโฆษณา และช่องทางจำหน่ายออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์โดยทันที จนกว่าจะผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียน ตรวจสอบส่วนประกอบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

เช่นเดียวกับ ดร.เซวา ตู เวิน หัวหน้าแผนกโรคระบบทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤติ ของโรงพยาบาล Singapore General Hospital ที่ชี้ว่า ผู้ผลิต พยายามสื่อสารกับผู้บริโภคให้หลงเข้าใจว่า ยาดมชูกำลัง มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า และ มีผลดีต่อสุขภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับบุหรี่ไฟฟ้า 

แต่จริงๆ แล้ว มีงานวิจัยจำนวนมากบ่งชี้ว่า สารแต่งกลิ่นบางชนิดมีก็เป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจได้ แล้วยังทำให้การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจบกพร่อง และสร้างความเสียหายต่อเซลล์เหมือนกัน

ดังนั้น วัยรุ่นหยุดคิดสักนิด อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำเคลมแรงๆ เพราะแค่ดมแล้วมีแรง ในราคาไม่กี่สิบบาท ไม่มีอยู่จริง 

‘กลุ่มหัวรุนแรง’ วางเพลิงเสาไฟฟ้าข้างโรงงาน Tesla ในเยอรมัน อ้าง!! ต้องการโค่น ‘อีลอน มัสก์’ พร้อมตราหน้า ‘นักเทคโนโลยีฟาสซิสต์’ 

‘อีลอน มัสก์’ ฉุนขาด เมื่อโรงงานผลิตรถยนต์ Tesla ในแคว้นบรันเดินบวร์ค ของเยอรมัน กลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มคนหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายจัด ที่ชื่อว่า ‘Vulkangruppe’ หรือ กลุ่มภูเขาไฟ ได้ลอบวางเพลิงเสาไฟฟ้าข้างโรงงาน ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง โรงงานรถยนต์ต้องหยุดชะงัก และ หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียงไม่มีไฟฟ้าใช้ 

เมื่อวันอังคาร (5 มี.ค. 67) ที่ผ่านมา เกิดเพลิงไหม้เสาไฟที่จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าโรงงาน Tesla กระทบต่อระบบไฟฟ้าในโรงงานทั้งหมด จนต้องหยุดการผลิตชั่วคราว คาดว่าอาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับมาเดินสายการผลิตรถยนต์ได้อีกครั้ง 

ต่อมาไม่นาน เว็บไซต์ ‘kontrapolis.info’ ของเยอรมัน ได้โพสต์จดหมายของกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายในเยอรมัน ที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มภูเขาไฟ (Vulkangruppe) ออกมาแสดงตนว่าเป็นผู้ก่อเหตุลอบวางเพลิงดังกล่าว ด้วยการตัดกระแสไฟเข้าโรงงาน Tesla เพื่อสร้างความปั่นป่วนจนต้องปิดโรงงาน

โดยทางกลุ่มได้ประกาศเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า ต้องการทำลายโรงงานยักษ์ใหญ่ระดับ Gigafactory ของ Tesla และโค่นล้ม อีลอน มัสก์ ที่ทางกลุ่มกล่าวหาว่าเขาเป็น ‘นักเทคโนโลยีฟาสซิสต์’ ที่เสวยสุขบนทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงานผู้คน ซึ่งการทำลายอีลอน มัสก์ จะถือเป็นก้าวสำคัญของการปลดปล่อยระบอบปิตาธิปไตย (ระบอบที่ชายเป็นใหญ่) พร้อมลงชื่อท้ายจดหมายว่า ‘Agua De Pau’ ภูเขาไฟในประเทศโปรตุเกส

กลุ่มภูเขาไฟ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหัวรุนแรงซ้ายจัดกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ที่เคยก่อเหตุลอบวางเพลิงในกรุงเบอร์ลินมาตั้งแต่ปี 2554 ภายใต้ชื่อ ‘Vulkangruppen’ โดยมักเล็งเป้าหมายไปที่ท่อสายเคเบิลบนทางรถไฟ, เสาสัญญาณวิทยุ, สายสัญญาณข้อมูลสื่อสาร หรือ รถยนต์ขององค์กรต่าง ๆ หลังก่อเหตุมักส่งจดหมายออกมาแสดงตนเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์พร้อมลงท้ายจดหมายด้วยชื่อภูเขาไฟที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาไฟของไอซ์แลนด์ เช่น ‘Grimsvotn’, ‘Katla’ และ ‘Ok’ เป็นต้น 

กลุ่มภูเขาไฟ ไม่มีแกนนำชัดเจน มีอุดมการณ์ทางการเมืองใกล้เคียงกับระบอบอนาธิปไตย (ระบอบที่ปฏิเสธการมีอยู่ของรัฐบาล และ ลำดับชั้นทางสังคม) ซึ่งถือเป็นแนวคิดสุดขั้วที่สุดในอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้าย 

ต่อมาทางกลุ่มพยายามเข้ามามีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเรื่องปัญหาสภาพอากาศโลก และถูกนำมาเป็นข้ออ้างหนึ่งในการโจมตีโรงงาน Tesla ในวันนี้ที่ Tesla ถูกโยงว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ทุนนิยมสีเขียว’ 

ด้านอีลอน มัสก์ ได้โพสต์ข้อความลงใน X ถึงกลุ่มภูเขาไฟว่า เป็นผู้ก่อการร้ายเชิงนิเวศที่โง่ที่สุดในโลก รักษ์โลกแบบใด ถึงมาโจมตีโรงงานที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แทนที่จะไปโจมตีโรงงานที่ผลิตรถยนต์พลังงานฟอสซิล แล้วจะบอกว่าเป็นนักขับเคลื่อนเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร 

อีลอน มัสก์ เปิดโรงงาน Tesla ในเยอรมันเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังเป็นการท้าทายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่เป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกอีกด้วย

แต่ Tesla ก็กำลังมีประเด็นกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในเยอรมัน เมื่อ อีลอน มัสก์ วางโครงการที่จะขยายโรงงานในเยอรมันเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ Tesla ให้ได้ถึง 1 ล้านคันต่อปี เพื่อรองรับตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างมากในยุโรป ซึ่งจำเป็นต้องถางพื้นที่ป่าเพิ่มอีกอย่างน้อย 420 เอเคอร์ จึงเกิดกระแสต่อต้านของกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และชาวบ้านในพื้นที่ ที่มาปักหลักตั้งแคมป์เพื่อขัดขวางการถางป่าเพื่อขยายโรงงาน Tesla มาแล้ว

ครบรอบ 10 ปี เที่ยวบิน MH 370 สาบสูญ 'มาเลเซีย' เตรียมรื้อแผนค้นหาใต้ทะเลลึกอีกครั้ง

รัฐบาลมาเลเซียเตรียมพิจารณาแผนการค้นหาซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ที่หายสาบสูญไปจากจอเรดาร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 ขณะออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต อย่างเป็นปริศนาจนถึงวันนี้ ที่กำลังจะครบรอบ 10 ปีของเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็ยังไม่สามารถหาซากเครื่องบินพบ 

ทางการมาเลเซีย เคยประสานความร่วมมือกับหลายชาติ ทั้งจีน และ ออสเตรเลีย พยายามค้นหาเครื่องบิน MH 370 มาโดยตลอด 

แต่ทว่า พื้นที่ในการค้นหากว้างขวางมากถึง 1.2 แสนตารางกิโลเมตร ครอบคลุมน่านน้ำตั้งแต่ชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ไปจนถึงมหาสมุทรอินเดีย และ เอเชียกลาง และใช้เวลาสำรวจนานมากกว่า 2 ปีตั้งแต่ปี 2017 - 2019 ทุ่มเทงบประมาณถึง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.68 พันล้านบาท) แต่ก็ยังหาเครื่องบิน MH 370 ไม่พบ ทิ้งไว้แต่เพียงความสิ้นหวังของครอบครัวผู้โดยสาร และ ลูกเรือ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกับเที่ยวบินมรณะ 

แต่มาวันนี้ แอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 10 ปี โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน MH 370 ว่า รัฐบาลมาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหา และ การค้นหาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน 

พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้กำลังพิจารณาแผนการของ บริษัทสำรวจพื้นผิวใต้ทะเลของสหรัฐอเมริกา Ocean Infinity ที่ได้ยื่นเสนอโครงการค้นหา MH 370 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทีมสำรวจก่อนหน้าประสบความล้มเหลวไปแล้วถึง 2 ครั้ง 

รัฐมนตรี โลค กล่าวว่า ตอนนี้ โครงการครั้งใหม่ของ Ocean Infinity กำลังได้รับการพิจารณาในสภา โดยบริษัทสำรวจของสหรัฐฯ ยินดีรับประกันผลงานแบบ ‘ไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย’ แต่ถ้าหาเจอ ทางรัฐบาลมาเลเซียถึงจะจ่ายค่าบริการสำรวจให้แก่ Ocean Infinity เป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดหวังว่า การค้นหาครั้งใหม่จะเริ่มต้นได้ในเร็ว ๆ นี้

แต่สำหรับครอบครัว และ ญาติมิตรผู้สูญเสีย หลังจากผ่านมา 10 ปี พวกเขาคิดอย่างไรกับการติดตามหาเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สาบสูญ 

ครอบครัวผู้เสียชีวิตบางกลุ่ม เรียกร้อง และ ยืนยันให้รัฐบาลมาเลเซียค้นหาเครื่องบินจนเจอ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในกระบวนการยุติธรรม 

อาทิ นาย ไป๋ จง ชาวจีนผู้สูญเสียภรรยาจากเหตุโศกนาฏกรรม กล่าวหนักแน่นว่า ไม่ว่าจะผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น ก็ยังคงต้องการคำตอบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบความจริงได้ในสักวันหนึ่ง

ในขณะที่ เกรซ นาธาน ทนายความมาเลเซียผู้สูญเสียแม่ไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้น กล่าวว่าเธอรู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าจะมีการเริ่มโครงการค้นหาซากเครื่องบินอีกครั้ง แต่ก็ควรอยู่ในโลกความจริง และไม่ต้องการให้รัฐบาลเสียงบประมาณเป็นพัน ๆ ล้านไปกับการพยายามค้นหาโดยเปล่าประโยชน์ 

แต่หากมองในอีกแง่หนึ่ง การผลักดันให้มีการค้นหา MH 370 จนสำเร็จก็เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมการบิน เพราะ MH370 จะไม่ถูกทิ้งเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะนำไปสู่อนาคตของการวางมาตรฐานความปลอดภัยในการบิน เป็นเครื่องเตือนใจที่จะทำให้ผู้ที่รับผิดชอบนึกถึงทุกครั้งก่อนนำเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า 

ซึ่งเชื่อว่า ปริศนา MH 370 ถูกค้นพบ และ คลี่คลายได้อย่างแน่นอนในสักวันหนึ่ง

หมอฝึกหัดเกาหลีใต้กว่า 6.4 พันคน ตบเท้าลาออก ประท้วงรัฐบาล เร่งแต่ผลิตแพทย์ แต่ไม่ดูคุณภาพ

แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้มากกว่า 6,400 คน พร้อมใจยื่นใบลาออก เพื่อประท้วงแผนการเร่งผลิตแพทย์ด้วยการสั่งให้มหาวิทยาลัยเพิ่มโควต้าการรับนักศึกษาแพทย์เกือบเท่าตัว โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยด้านความพร้อมและคุณภาพ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในระบบสาธารณสุขของประเทศในอนาคต

ไม่นานมานี้ แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้จำนวน 6,415 คน จาก 100 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ยื่นจดหมายลาออก ส่วนอีก 1,600 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเดินออกจากที่ทำงานทันที สร้างความปั่นป่วนในการให้บริการผู้ป่วยในหลายโรงพยาบาล ทั้งเกิดความล่าช้าในขั้นตอนการรักษา และคิวผ่าตัด

ปาร์ค มิน-ซู รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขคนที่ 2 ได้เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการนัดประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดดังกล่าว โดยได้สั่งการให้โรงพยาบาลรัฐ 97 แห่ง ขยายช่วงเวลาการให้บริการยาวขึ้น อีกทั้งให้โรงพยาบาลทหารอีก 12 แห่งเปิดเตียงฉุกเฉินเพื่อรองรับเคสผู้ป่วยพลเรือนทั่วไปเป็นการชั่วคราว 

ปัจจุบันในเกาหลีใต้มีแพทย์ฝึกหัดอยู่ราว 13,000 คน แต่มาวันนี้ นัดกันยื่นจดหมายลาออกไปแล้วกว่า 6,400 คน จนระบบการทำงานในโรงพยาบาลติดขัดอย่างหนัก

สาเหตุของการนัดประท้วงของแพทย์ฝึกหัด เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ต้องการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์อีกปีละ 2,000 คนตั้งแต่ปีหน้า 2568 เป็นต้นไป จากเดิมที่เคยรับปีละ 3,058 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยชี้ว่าการเร่งผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น

เนื่องจากในหลายพื้นที่ของเกาหลีใต้ยังขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก อีกทั้งเกาหลีใต้มีสัดส่วนแพทย์ต่อจำนวนประชากรอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

แต่ในอีกด้านหนึ่ง แพทย์บางส่วนกลับมองว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายโดยไม่ได้ปรึกษา หรือรับฟังความเห็นของทีมแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่จริง ๆ จึงมองเพียงตัวเลขเชิงปริมาณ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพทักษะ และหัวใจในการให้บริการ

เช่นเดียวกับกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ได้ยื่นใบลาออกประท้วงรัฐบาล มองว่าการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ จะยิ่งทำให้คุณภาพการเรียน การสอนในวิชาแพทย์ลดลง เพราะรัฐบาลไม่เคยลงไปศึกษาข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยแพทย์ในเกาหลีใต้มีความพร้อมเพียงพอที่จะรองรับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐหรือไม่ 

จะอย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วย ปาร์ค มิน-ซู ออกมาแสดงความผิดหวังต่อการประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในระบบการดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ มีเคสผ่าตัดหลายเคสต้องเลื่อน หรือต้องย้ายตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นอย่างฉุกละหุก

อีกทั้งยังวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำอันไร้เหตุผล ที่ทิ้งคนไข้ของพวกเขาไว้ข้างหลัง เพื่อเป็นเครื่องมือในการประท้วงนโยบายรัฐ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะส่งผลร้ายแรงอะไรตามมา 

ทางการเกาหลีใต้ได้ส่งจดหมายเรียกตัวแพทย์ฝึกหัดให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ และเตรียมสอบแพทย์ 2 คนที่เชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนัดลาออกประท้วงของบรรดาแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ หากพบว่าผิดจริงอาจลงโทษหนักถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตได้

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'รัสเซีย' ฮึกเหิม!! เผด็จศึกเบ็ดเสร็จเมือง 'อัฟดิอิฟกา' ความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ครั้งใหญ่ของยูเครน

เมื่อวันอาทิตย์ (18 ก.พ. 67) กองทัพรัสเซียได้ประกาศชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือเมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) ทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งถือเป็นเมืองหน้าด่านสู่แคว้นโดเนตสค์ ที่ปัจจุบันเป็นเขตยึดครองโดยรัสเซีย 

การสู้รบในเมืองอัฟดิอิฟกา ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา โดยกองทัพรัสเซียพยายามที่จะกัดดัน รุกคืบ เพื่อยึดเมืองอัฟดิอิฟกาให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม 

และแล้ว หลังจากที่ปะทะกันอย่างหนักในอัฟดิอิฟกา มานานถึง 2 ปี กองทัพยูเครน นำโดย พลโท โอเล็กซานดร์ ซีร์สกี ผบ.ทบ.ยูเครนคนล่าสุด ได้ตัดสินใจถอนกำลังออกมาจากเมืองนี้แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพากองทหารออกจากพื้นที่ปิดล้อมของรัสเซีย และรักษาชีวิตพลทหารยูเครน ที่มีอยู่จำกัด จึงถือว่าฝ่ายกองทัพรัสเซียสามารถยึดเมืองนี้ได้แล้วอย่างสมบูรณ์ ซึ่งรัฐบาลมอสโควก็ได้ประกาศชัยชนะอีกครั้งในรอบ 9 เดือนหลังจากพิชิตเมืองบัคมุทได้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว

เมืองอัฟดิอิฟกาสำคัญกับรัสเซียอย่างไร?

อันที่จริง เมือง อัฟดิอิฟกา ก็ไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่ มีประชากรราว ๆ 3.1 หมื่นคน (ก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ซึ่งตัวเมืองมีขนาดเพียงครึ่งเดียวของเมือง บัคมุท แต่ชาวยูเครนก็รู้จักเมืองเล็ก ๆ นี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่ตั้งโรงงานบริษัทโค้กที่ใหญ่ที่สุดในยูเครนมานานตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต 

แต่ขนาดไม่สำคัญเท่าทำเล เนื่องจากเมืองนี้เป็นเหมือนประตูทางเข้า ที่มีถนนวิ่งตรงสู่ใจกลางแคว้นโดเนตสค์ เขตยึดครองสำคัญของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย ดังนั้นการที่กองกำลังยูเครนยกพลมาปักหลักสู้ตายที่เมืองนี้ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงพล และเสบียงขนส่งจากโดเนตสค์เข้าสู่พื้นที่ตอนกลางของยูเครน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ ที่ยูเครนพร้อมยกกองทัพบุกมาโจมตีใจกลางโดเนตสค์ของฝ่ายรัสเซียได้โดยง่าย 

นอกจากนี้ เมืองอัฟดิอิฟกายังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของยูเครนฝั่งตะวันออก ที่นอกจากจะมีเขตอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตโค้กที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และยังเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปแล้ว ยังมีเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของ รีนาท อาห์เมตอฟ มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในยูเครนอีกด้วย 

ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่รัสเซียจะทุ่มเททั้งเวลา และทรัพยากรด้านการทหารนานถึง 2 ปี เพื่อบุกโจมตีเพื่อยึดอัฟดิอิฟกาให้จงได้ แม้ต้องถล่มเมืองนี้จนราบเป็นหน้ากลอง ไม่เว้นแม้แต่โรงงานโค้กที่ชาวยูเครนแสนภูมิใจก็ยังไม่เหลือซาก จนสามารถปักธงรัสเซียได้สำเร็จ บนความสูญเสียทหารอย่างมากมายทั้ง 2 ฝ่าย 

แม้หากประเมินพื้นที่ที่รุกคืบได้เพิ่มมีแค่ 29 ตารางกิโลเมตร กับจำนวนทรัพยากรที่เสียไป อาจดูไม่คุ้มค่า แต่สิ่งที่รัสเซียได้มามากกว่าดินแดน ก็คือขวัญกำลังใจทหาร ที่กลับมาฮึกเหิมได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการตอกย้ำ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน ว่าแผนการตอบโต้กองทัพรัสเซีย ที่ถูกใช้เป็นแคมเปญหาทุน และ ความช่วยเหลือด้านอาวุธจากต่างประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดหวัง แม้แต่เมืองอัฟดิอิฟกา ที่เซเลนสกี้เพิ่งไปเยี่ยมเยือน ให้กำลังใจทหารแถวหน้าเมื่อช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมานี้เอง ผ่านไปแค่เดือนกว่า ๆ กลายเป็นของรัสเซียไปเสียแล้ว 

การพิชิตพื้นที่เล็ก ๆ ในเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ จึงกลายเป็นความพ่ายแพ้เชิงสัญลักษณ์ของกองทัพยูเครน ที่ทำให้ชาติพันธมิตรตะวันตกต้องออกมาขยับตัวกันอีกคร้้ง เริ่มจาก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงความกังวลเมืองเห็นว่ากองทัพยูเครนมีแววพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียในอัฟดิอิฟกา และได้กล่าวโทษความเพิกเฉยของสภาคองเกรซในการอนุมัติงบประมาณ และอาวุธเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน 

ด้านเดนมาร์กประกาศยกคลังแสงปืนใหญ่ทั้งหมดที่มีในกองทัพส่งไปให้ยูเครน เมื่อเห็นฝ่ายยูเครนกำลังเพรี่ยงพร่ำเพราะขาดแคลนอาวุธ อีกทั้งยังเรียกร้องใช้ชาติพันธมิตรยุโรป สละยุทโธปกรณ์ของตัวเองไปให้ยูเครนที่มีความจำเป็นต้องใช้ก่อน

ส่วน ฝรั่งเศส และ เยอรมัน เพิ่งเซ็นข้อตกลงฉบับใหม่ที่จะมอบเงินช่วยเหลือด้านการทหารให้ยูเครนเพิ่มอีกในปี 2024 นี้ โดย เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส อนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มให้ยูเครนอีก 3 พันล้านยูโร ส่วน โอลัฟ ช็อลทซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมัน ตั้งใจที่จะอัดฉีดให้ถึง 2.8 หมื่นล้านยูโร ผ่านกองทุนของสหภาพยุโรป ที่จะทำให้เยอรมันกลายเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา

นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างแค่ รัสเซีย กับ ยูเครนมานานแล้ว แต่เป็นการวัดพลังกันระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่ใช้ยูเครนเป็นสนามรบตัวแทน แต่เมื่อได้ชื่อว่าเป็นสงครามแล้ว ทุกฝ่ายย่อมคาดหวังชัยชนะ และเมื่อลองได้ร่วมลงทุนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามรบเล็ก หรือใหญ่ ขอชนะไว้ก่อนดีที่สุด

‘ยูเครน’ โวย!! Starlink ให้กองทัพรัสเซียใช้ได้ไง ด้าน ‘อีลอน มัสก์’ แจง!! “มันเป็นแค่ข่าวปลอม”

สำนักหน่วยข่าวกรองของยูเครน ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน Telegram ว่า ตอนนี้กองทัพรัสเซียกำลังใช้บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ของ อีลอน มัสก์ ในเขตพื้นที่ยึดครองของรัสเซียในยูเครน พร้อมแนบหลักฐานเป็นคลิปสนทนาสั้น ๆ ที่ระบุว่าเป็นทหารรัสเซียที่คุยกันว่า ‘พวกเขากำลังใช้อินเทอร์เน็ตของ Starlink อยู่’ 

ด้าน อังเดรย์ ยูซอฟ ตัวแทนจากหน่วยข่าวกรองของยูเครนออกมากล่าวว่า ทางยูเครนมีหลักฐานการแอบใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starlink ของกองทัพรัสเซียเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ปัญหาในเชิงระบบในไม่ช้า อีกทั้งยังเปิดเผยด้วยว่า กองกำลังฝ่ายรัสเซีย และพื้นที่ที่พบการใช้งาน ก็คือ กองพลจู่โจมทางอากาศที่ 83 ที่ปักหลักโจมตีในเมือง Klishchiivka และ Andriivka ในเขตแคว้นโดเนตสค์ ซึ่งตอนนี้อยู่ในพื้นที่ยึดครองของรัสเซีย

Starlink เป็นบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของอีลอน มัสก์ ปัจจุบันมีดาวเทียมส่งสัญญาณมากถึง 5,289 ดวง ครอบคลุมการใช้งานถึง 70 ประเทศในทุกทวีปทั่วโลก โดยอีลอน มัสก์ ได้เปิดให้ยูเครนใช้บริการ Starlink เป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ช่วงเริ่มสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพื่อสนับสนุนการตอบโต้ของกองทัพยูเครน 

แต่ทว่า ต่อมาความสัมพันธ์ของอีลอน มัสก์ และ รัฐบาลยูเครนเริ่มเย็นชาต่อกัน ตั้งแต่ที่อีลอน มัสก์ สั่งให้ระงับสัญญาณในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทางคาบสมุทรไครเมีย ทำให้กองทัพยูเครนต้องพับแผนการโจมตีไครเมียด้วยโดรนพิฆาตไป โดยอีลอน อ้างว่า การโจมตีของฝ่ายยูเครนในพื้นที่ไครเมียอาจทำให้สงครามเข้าสู่จุดที่เลวร้ายมากกว่าเดิม จนถึงขั้นสงครามนิวเคลียร์ได้ 

จนกระทั่งวันนี้ที่หน่วยข่าวกรองยูเครนออกมาแถลงว่า พบหลักฐานว่ากองทัพรัสเซียสามารถเข้าถึงบริการ Starlink ของอีลอน มัสก์ ได้แล้ว พร้อมข่าวลือแพร่สะพัดว่า รัสเซียซื้ออุปกรณ์สัญญาณถูกลิขสิทธิ์ของ Starlink ผ่านทางรัฐบาลดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เป็นเหตุให้อีลอน มัสก์ ต้องออกมาโพสต์ผ่าน X ว่า “มีการปล่อยข่าวปลอมมากมายว่า SpaceX กำลังจะเปิดสัญญาณ Starlink ให้รัสเซีย ซึ่งมันเป็นแค่ข่าวปลอม สิ่งที่พวกคุณควรรู้ไว้คือ เราไม่เคยขาย Starlink ให้รัสเซีย ไม่ว่าจะทางตรง หรือ ทางอ้อม ใด ๆ ทั้งสิ้น”

เช่นเดียวกับทางรัสเซีย ดมิตริ เพสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของยูเครนที่ว่า กองทัพรัสเซียแอบมาขโมยเสาสัญญาณ Starlink ไปใช้ หรือได้ใช้อินเทอร์เน็ต Starlink ในเขตยึดครองโดเนตสค์

แต่ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ฝ่ายกองทัพรัสเซียจะเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ Starlink ได้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตดาวเทียม ส่งสัญญาณตามขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ทหารรัสเซียก็มีโอกาสเข้าถึง Starlink ในพื้นที่ของยูเครน และอาจทำการปลอมแปลงข้อมูลเขตภูมิศาสตร์ให้แสดงว่ากำลังใช้งานอยู่ในพื้นที่ที่ถูกบล็อก หรืออยู่นอกเขตบริการ Starlink ก็ทำได้เช่นกัน

ในยุค Internet of Things ทุกอย่างเสกสรรได้ด้วยอินเทอร์เน็ต ไม่เว้นแต่ความได้เปรียบในการทำศึกสงครามที่ไม่ได้วัดด้วยปริมาณกำลังพลเสมอไป ดังนั้นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสมอกันของฝั่งศัตรู ไม่ว่าจะซื้อใช้เอง ขอยืมใช้ หรือแอบใช้ ก็สร้างความระแวงได้เหมือนกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top