Wednesday, 4 June 2025
POLITICS

เปิดความหมาย โลโก้ใหม่ ‘พปชร.’ 3 แถบสี แสดงจุดยืน อนุรักษนิยมทันสมัย ‘แดง-น้ำเงิน-เขียว’ สื่อความสามัคคี พัฒนาชาติเจริญก้าวหน้า ไร้ความขัดแย้ง

(27 เม.ย. 68) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค และนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ และรองโฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวหลังการประชุมใหญ่สามัญของพรรคว่า ในวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มาทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมโดยได้แก้ไขข้อบังคับพรรค 3 ข้อคือ

1.ให้ยกเลิกข้อ 4 ของข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ก็คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องหมายพรรคการเมือง โดยให้แก้ไขโลโก้เดิมเป็นของใหม่ โดยมีคำว่า "พรรค" อยู่บนกึ่งกลางด้านในของเครื่องหมายพรรคการเมือง เหนือตัวอักษรคำว่า "พลังประชารัฐ" โดยมี คำว่า "พลัง" เป็นสีเขียว คำว่า "ประชา" เป็นสีน้ำเงิน คำว่า "รัฐ" เป็นสีแดง อยู่ภายในวงล้อพลวัต ที่มี 3 แถบสี เป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว บนพื้นสีขาว โดยสีแดง หมายถึงความสามัคคีร่วมมือร่วมใจของประชาชน เพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ายั่งยืน ปราศจากความขัดแย้งในชาติ โดยจะสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่น และความสุขของประชาชน ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ สีขาว หมายถึง ความดีงามอภิบาล และการจัดการบ้านเมืองที่ดี และสีน้ำเงิน หมายถึง จุดยืนและการเมืองเชิงอนุรักษนิยมที่เป็นศูนย์รวมแห่งความสามัคคีของคนในชาติปราศจากความขัดแย้ง ส่วนสีเขียว หมายความถึง ความทันสมัย และอนุรักษ์ทรัพยากร และปกป้องผลประโยชน์ชาติและของประชาชนเป็นสำคัญ 

2.เรื่องอุดมการณ์ของพรรค โดยแก้ไขประกาศจุดยืนทางการเมืองในการเป็นพรรคอนุรักษนิยมทันสมัยที่มีเจตจำนงแน่วแน่ และปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีจารีต และค่านิยมของชาติ เปลี่ยนแปลงแนวทางขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและการบริหารจัดการภาครัฐที่ทันสมัยมีความยืดหยุ่นกับบริบทการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ 

3.แก้ไขเรื่องที่เป็นกรรมการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว หากขาดการประชุมพรรค 3 ครั้งติดต่อกัน โดยไม่แจ้งหัวหน้าพรรคทราบ และคณะกรรมการพรรคการเมืองมีมติให้พ้นจาก 

จากนั้น ได้มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 2 คน ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ พร้อมกันนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบหมายให้นายสุรเดช เป็นผู้ดูแลภาคเหนือตอนบน และได้มอบหมายให้นายธีระชัย เป็นรองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นคนแรกในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบเรื่องนี้ เพื่อจะขับเคลื่อนภารกิจของพรรคพลังประชารัฐต่อไป

‘บิ๊กป้อม’ นำทัพ!! พรรคพลังประชารัฐ ประชุมใหญ่สามัญ เปลี่ยนโลโก้พรรค พร้อมตั้ง ‘ธีระชัย - สุรเดช’ นั่งรองหัวหน้า

(27 เม.ย. 68) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ อาคารรัชดาวัน กรุงเทพฯ ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย คณะกรรมการบริหารพรรค สส. ตัวแทนภาค และตัวแทนสาขา และสมาชิกพรรค เข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค,นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรค, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค,นางสาวตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค,

นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรค,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยมงคล ไชยรบ รองหัวหน้าพรรค,พลเอกกฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ เหรัญญิกพรรค,นายสมโภชน์ แพงแก้ว นายทะเบียนสมาชิกพรรค

รวมถึงกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายอนันต์ ผลอำนวย กรรมการบริหารพรรค,นายทวี สุระบาล กรรมการบริหารพรรค,นายสุธรรม จริตงาม กรรมการบริหารพรรค นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ กรรมการบริหารพรรค,นายคอซีย์ มามุ กรรมการบริหารพรรค,พลตำรวจโทปิยะ ตะวิชัย กรรมการบริหารพรรค ,หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรค และนายวัน อยู่บำรุง กรรมการบริหารพรรค

ประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2568 ดำเนินการพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อรายงานผลการดำเนินงาน ตามมาตรา 43 และรับรองงบการเงิน ประจำปี 2567 ตามมาตรา 61 ของ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรคแตัวแทนพรรคประจำจังหวัดแสมาชิกพรรค รวมทัังสิ้นเกินกว่า 250 คนครบองค์ประชุมตามที่กฎหมายกำหนด

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดการประชุมว่า พรรคพลังประชารัฐขอประกาศจุดยืนทางการเมืองในการเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมทันสมัย ที่มีเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะยึดมั่นและปกป้องสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ อนุรักษ์และสืบสาน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี และ ค่านิยมอันดีงามของชาติ โดยขอขอบคุณสมาชิกพรรคทุกคนที่เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่ของพรรคในวันนี้

จากนั้นที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองที่ได้ดำเนินในรอบปี 2567 รวมถึงให้ความเห็นชอบงบการเงินของพรรคการเมืองประจำปี 2567 นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบตราสัญลักษณ์พรรคและความหมายของพรรคพลังประชารัฐตราใหม่ มีลักษณะดังนี้ คำว่า “พรรค” อยู่บนกึ่งกลางด้านในของเครื่องหมายพรรคการเมือง เหนือตัวอักษรคำว่า”พลังประชารัฐ”โดยมี คำว่า “พลัง” เป็นสีเขียว คำว่า “ประชา” เป็นสีน้ำเงิน คำว่า “รัฐ” เป็นสีแดง อยู่ภายในวงล้อพลวัต ที่มี 3 แถบสี เป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีเขียว บนพื้นสีขาว

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เลือกกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 2 ตำแหน่ง ได้แก่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล และนายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ด้วยคะแนน 339 ทั้ง 2 คน

และกรรมการบริหารชุดใหม่ ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนจากชุดเดิมหนึ่งตำแหน่ง โดยมีการปลด น.ส.กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ ออกจะกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากปรากฎภาพว่าไปร่วมกิจกรรมกับพรรคกล้าธรรม แล้วมีการแต่งตั้ง นายธีระชัยและนายสุรเดช เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพิ่มเติม

‘อัครเดช’ ปลื้ม!! ได้กำลังใจล้นหลาม!! ชาวบ้านแห่ชม 'พีระพันธุ์' ทุ่มเท ทำงานหนัก ลดค่าไฟต่อเนื่อง ผ่อนคลายค่าครองชีพ ช่วยลดภาระความเดือดร้อน ให้ครัวเรือน

(27 เม.ย. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

เนื่องจากในช่วงนี้เป็นการปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตนรวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติต่างลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและเสียงสะท้อนการทำงานจากพี่น้องประชาชน ตามนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ

จากการลงพื้นที่ตนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติต่างได้รับเสียงชื่นชมในการทำงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่สามารถลดค่าไฟได้อย่างต่อเนื่องทั้งในรอบเดือน ม.ค.-เม.ย. 68 ที่สามารถควบคุมค่าไฟให้อยู่ที 4.15 บาทต่อหน่วยจากที่ กกพ. ได้เสนอที่ 4.49-4.79 บาทต่อหน่วย และในรอบต่อไปคือ พ.ค.-ส.ค. 68 ที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย จากที่ กกพ. เสนอที่ 4.15 บาทต่อหน่วย 

นอกจากนี้พี่น้องประชาชนยังขอขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างหนักของนายพีระพันธุ์ และรัฐบาล ที่สามารถช่วยลดค่าไฟซึ่งเป็นหนึ่งในค่าครองชีพที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต เป็นการช่วยผ่อนคลายค่าครองชีพที่เป็นภาระหนักอึ้ง

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาพลังงานทั้งไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซ ซึ่งที่เห็นในขณะนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วน การแก้ไขปัญหาในระยะยาวต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะทลายปัญหาโครงสร้างราคาพลังงานที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน และเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน

"ตนอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนมั่นใจว่า การบริหารงานของกระทรวงพลังงานภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ภายใต้การสนับสนุนภารกิจนี้จากนายกรัฐมนตรีเป็นการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาพลังงานที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการรื้อ ลด ปลด สร้างพลังงานไทย การแก้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต "นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

สำนักข่าวอิศรา เปิดธุรกิจ ‘กัน จอมพลัง’ ลูกน้องคนสนิท ‘ผู้กองธรรมนัส’ จากร้านบะหมี่ สู่ ‘คนขายหวย - รักษาความปลอดภัย’ รายได้!! หลายสิบล้าน

(26 เม.ย. 68) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อ 24 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

โดยได้ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ ‘กัน จอมพลัง’ ในการช่วยเหลืองานสังคม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือกรณีนายประจักษ์ ดวงใย อายุ 65 ปี และนางสมศรี ดวงใย อายุ 64 ปี สองผัวเมีย ถูกนายสมิทธิพัฒน์ หรือพีช หลีนวรัตน์ ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ ‘นายกเบี้ยว’ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู สี เบียดปาด เหตุเกิดบนถนนกาญจนาภิเษก กม.22 มุ่งหน้าบางปะอิน จนได้รับบาดเจ็บและรถยนต์เสียหายเป็นข่าวดังครึกโครม และยังบอกกรณีนักการเมืองรายหนึ่งออกมาปูดมีคนตั้งค่าหัวนายกัณฐัศว์ 5 แสนบาทว่า ไม่มีใครทำอะไร‘กัน จอมพลัง’ได้หรอก ถ้ามีใครทำอะไร ‘กัน จอมพลัง’ ก็เหมือนทำเขาด้วย เพราะทำงานด้วยกันตั้งแต่ ‘กัน จอมพลัง’ ยังไม่ดัง

จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ เคยเป็นเจ้าของร้านขายบะหมี่ ‘จอมพลัง’ซึ่งมีร้านหนึ่งอยู่แถวอุโมงค์ ถ.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี ตอนนี้ปิดตัวแล้ว ปัจจุบัน นายกัณฐัศว์ มีชื่อเป็นกรรมการและถือหุ้น 3 บริษัท

1.บริษัท สลากรวยดี จำกัด ชื่อเดิม บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากทุกชนิดที่สำนักงานกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์จำหน่าย ที่ตั้งเลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายกัณฐัศว์ เป็นคนจดทะเบียนก่อตั้ง นายกัณฐัศว์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,995 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 10 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี เป็นกรรมการ ที่ตั้งปัจจุบัน 305/241 ซอยรามอินทรา 123 ถนนรามอินทรา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ล่าสุด 18 ธันวาคม 2567 จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สลากรวยดี จำกัด ผู้ถือหุ้นยังคงเดิม

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 59,965,429.89 บาท ต้นทุนขาย 52,975,000 บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 8,945,202.41 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,965,295.40 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 2,982,132.17 บาท หนี้สิน 551,515.24 บาท กำไรสะสม 1,430,616.93 บาท

2.บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และให้คำปรึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ทุกประเภท ที่ตั้งสำนักงานเดียวกับ บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด เลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 2,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี เป็นกรรมการ
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไทยคิงดี จำกัด ซึ่งเป็นชื่อปัจจุบัน เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5 ล้านบาท และย้ายสำนักงานที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แจ้งวัตถุประสงค์ ประกอบกิจการ จัดงานนิทรรศการต่างๆ บริการรับจัดงานอีเว้นตรมสถานที่ทุกประเภทประกอบกิจการนำเข้า ส่งออก และจำหน่าย ผักสด ผลไม้สด และสินค้าทางการเกษตร พืช ผัก ผลไม้ แปรรูป ทุกชนิด บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บ.อบจ.5) วันที่ 30 เม.ย.2567 นายกัณฐัศว์, นายธานี ถือหุ้นคนละ 24,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ 2,000 หุ้น รวมทั้งสิ้น 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 1,093,903.89 บาท ขาดทุนสุทธิ 752,866.45 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 331,638.86 บาท หนี้สิน 101,505.31 บาท ขาดทุนสะสม 769,866.45 บาท

3.บริษัท จอมพลัง รวยดี จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 เม.ย. 2566 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการกิจกรรมการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล ที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี (ที่ตั้งเดียวกับ บริษัท ไทยคิงดี จำกัด) นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 5,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท และร่วมกันเป็นกรรมการ

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 6,731.51 บาท ขาดทุนสุทธิ 768.49 บาท (ทั้ง 3 บริษัท ยังไม่มีข้อมูลงบการเงินปี 2567)

ในทางการเมือง อาจไม่เกินคาดหมาย หากจะมีชื่อ ‘เสี่ยกัน’ เป็นผู้สมัคร สส.พรรคกล้าธรรม ในวันข้างหน้า!!

‘เจ๊เจี๊ยบ อมรัตน์’ โพสต์เฟซ ประกาศลั่น!! ถ้าเลือกตั้ง นครปฐม ‘ปชน.’ แพ้ทั้งหมด จะวางมือ

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 68) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ ‘เจี๊ยบ’ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงการเลือกตั้งเทศบาลจังหวัดนครปฐม ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ ว่า …

“ตั้งใจจะเที่ยวเล่นยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด ถ้าผลเลือกตั้งเทศบาลจ.นครปฐมแพ้หมดทั้ง 3 แห่ง ที่พรรคประชาชนส่ง” 

ทั้งนี้ จ.นครปฐม พรรคประชาชน ส่งผู้สมัครนายกเทศมนตรี 3 แห่ง ดังนี้
1. เทศบาล(เมือง) นครปฐม นายวิชัย (หนุ่ย) ถ้ำเพชร์
2. เทศบาล(นคร) นครปฐม นายชัชวาล (หมอชัช) นันทะสาร
3. เทศบาลเมืองไร่ขิง นายเอกวิทย์ (เอก) นวเศรษฐ

‘จิรายุ’ เผย!! แพทย์ อนุญาต ให้ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ กลับบ้านได้ ยัน!! กำหนดการ เดินทางไปร่วมประชุม ครม. จันทร์นี้ ที่นครพนม

(26 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยระบุว่า ล่าสุดแพทย์ได้แนะนำให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า น.ส.แพทองธารสามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว

นายกรัฐมนตรีได้แจ้งกับแพทย์ว่า ขออนุญาตกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ซึ่งหลังจากนั้น น.ส.แพทองธารได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปพักผ่อนที่บ้านเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางไปร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี สัญจรที่จังหวัดนครพนมในเช้าวันจันทร์ที่จะถึงนี้

‘ภูมิธรรม’ เผยผลพูดคุย ‘ไทย-มาเลเซีย’ คืบหน้า ย้ำปัญหาชายแดนใต้ไม่ง่าย แต่พร้อมเดินหน้าพัฒนาเพื่ออนาคตร่วมกัน

(24 เม.ย. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. เข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงอาเซียนที่มาเลเซีย โดยระบุว่ามีการพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ด้วย

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการหารือคือปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และผลการพูดคุยของผู้นำทั้งสองประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเน้นย้ำว่าทั้งไทยและมาเลเซียมีความตั้งใจร่วมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม นายภูมิธรรมยอมรับว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีความซับซ้อนและสั่งสมมานาน แต่การหารือครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการในหลายมิติควบคู่กันไป

‘สนธิญา’ ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์’ ปม อ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังรับตำแหน่ง รมต.

‘สนธิญา สวัสดี’ ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ปมอ้างองคมนตรี - ถือหุ้น 3 บริษัท หลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี

(23 เม.ย. 68) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนตรวจสอบหาข้อเท็จจริง กรณี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังต่อไปนี้

1. มีการอ้างถึงองคมนตรี ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 หรือไม่ 

2. ประเด็นการถือหุ้นอยู่ในบริษัท จำนวน 3 บริษัท หลังจาก นายพีระพันธุ์ รับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566  

นายสนธิญา เรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 และมาตรา235 เพื่อไต่สวนและมีความเห็น ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (4) (5) และ มาตรา 219 การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจริยธรรมร้ายแรง ในข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 21 ประกอบข้อที่ 27 

ทั้งนี้เพื่อไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีการกระทำการดังกล่าว ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 235 ต่อไป 

นายสนธิญา กล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 41 (1)(2) ประกอบ มาตรา 50 เพื่อ ป.ป.ช. ไต่สวน และตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อันเป็นที่ประจักษ์ ตามที่ได้รับการร้องเรียน จากประชาชนมา เพื่อเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ และจริยธรรมของนักการเมือง และ คณะรัฐมนตรี 

‘จุลพันธ์-พิชัย’ สองรมต.คลังร่วมย้ำ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ยังเดินตามแผน กลุ่มวัยรุ่น 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน เริ่มจ่าย เม.ย.-มิ.ย. นี้ ตรวจสอบสิทธิผ่านแอป ‘ทางรัฐ’

(23 เม.ย. 68) รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' แจกเงิน 10,000 บาท ตามกำหนดเดิม โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการเฟส 3 สำหรับประชาชนกลุ่มอายุ 16-20 ปี รวม 2.7 ล้านคน

ผู้มีสิทธิจะได้รับเงินดิจิทัลภายหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยวางแผนทยอยโอนผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568 ทั้งนี้ จะมีการเปิดให้ตรวจสอบสิทธิผ่านแอป 'ทางรัฐ' และสามารถใช้จ่ายในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าโครงการยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจะเร่งเสนอรายละเอียดเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า

ส่วนเฟสถัดไป ซึ่งครอบคลุมกลุ่มอายุ 21-59 ปีนั้น จะเร่งดำเนินการหลังระบบมีความเสถียรและปลอดภัย โดยตั้งเป้าเสนอ ครม. ภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้ประชาชนกลุ่มใหญ่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง

'นายกฯ อิ้งค์' ส่งสัญญาณการเมืองนิ่ง ย้ำทีมเวิร์กสำคัญ – ยังไม่คิดสลับขั้ว ครม.

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทราบว่ามีเรื่องของโพลที่ทุกคนให้ความสนใจ ก็พร้อมรับฟังทุกฝ่าย รวมถึงโพลที่สำรวจความเห็นประชาชนก็จะนำไปคิด

"และที่จริง ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง ไม่ว่าตำแหน่งอะไร ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตำแหน่งของใครคนใดคนหนึ่ง เราควรทำใจให้นิ่งไว้"

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะปรับพรรคภูมิใจไทย ออกและนำพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแทน นายกรัฐมนตรี กล่าวย้อนว่า คำถามนี้แรงขึ้นมาเลย ต้องบอกว่ายังไม่มีอย่างนั้น ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

เมื่อถามย้ำว่าในอนาคตจะมีทางเอาพรรคพลังประชารัฐเข้ามาร่วมรัฐบาล หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นายกฯเคยระบุให้ดูหน้าของนายกฯเอาไว้ และพูดว่าจะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ใช่ ที่บอกว่าให้ดูหน้าของดิฉันไว้จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร แต่นี่เป็นเรื่อง 2 ปีที่แล้ว และเผอิญคะแนนไม่ถึง ก็เลยต้องจับกันอยู่แล้ว และจับกันมาสักพักแล้ว ทำไมคำถามนี้ดีเลย์จัง“

เมื่อถามว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้ จะไม่มีผลอะไรกับรัฐบาลใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แล้วจะมีอะไรอีกหรือไม่ ขอสื่อเล่าให้ฟังบ้าง ดูๆให้หน่อย

ส่วนกรณีที่นายกฯระบุว่าให้ทำใจให้นิ่ง หมายถึงจะสื่อสารไปถึงรัฐมนตรีคนอื่นด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคน ทุกอย่าง ต้องทำใจให้นิ่งไว้ วันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ได้คิดจะปรับอะไร เมื่อมีความเห็นอะไรก็มาดูว่ามีอะไรบ้าง เพราะตนชอบทำงานเป็นทีมและทำงานแบบไม่ต้องสู้กัน สามารถทำงานด้วยกันไม่ต้องไฟท์กันแต่ละกระทรวง ไม่ชอบการแตกความสามัคคี และดูว่าต้องทำดีที่สุดจะเป็นอย่างไร ถ้าสมมุติว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆเราจะไปปรับแก้ตอนนั้น แต่เวลานี้ยังไม่ได้เป็นอะไร ต้องรอดูแล้วคุยกันก่อน

หรือประเทศไทยจะเป็น “แผ่นดินแห่งการคอร์รัปชัน” ไม่เว้นแม้แต่องค์กรที่เป็น “ผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของแผ่นดิน”

(17 เม.ย. 68) มีผู้คนจำนวนมากพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าแผ่นดินไม่ไหวหนักเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศก็จะไม่ทราบว่าตึก 30 ชั้นซึ่งเป็นที่ทำการใหม่ของ “สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” ที่กำลังก่อสร้างอยู่ และได้ถล่มลงมาราบคาบในไม่กี่นาที มีความไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย  

เงินภาษีของประชาชนเกิน 2,000 ล้านบาท ลอยหายไปในอากาศพร้อมฝุ่นควันแห่งความสงสัย

ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติ คงไม่มีใครไปตั้งคำถาม แต่การที่ทั้งประเทศไทยกลับมีตึกใหญ่สร้างใหม่อยู่เพียงตึกเดียวล้มครืนลงมาทับผู้คนจนล้มตาย จึงเป็นเรื่องที่ชวนสงสัยถึงมาตรฐานการสร้าง เป็นไปได้อย่างไรที่การใช้งบประมาณมากมายขนาดนี้ ยังไร้คุณภาพ ที่สำคัญนี่คือตึกสำนักงานของ “นักตรวจสอบกลโกง” โดยตรง ถ้าสืบค้นลึกลงไปแล้วพบว่าเบื้องหลังมี “ผู้ใหญ่แห่ง สตง.” บางคนทุจริต หรือรู้เห็นเป็นใจกับผู้รับเหมาให้มีการลดสเปควัสดุในการสร้าง ตึกถล่มครั้งนี้ก็จะกลายเป็นตึกแห่งการโกงกินของ "ผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของแผ่นดิน" เสียเอง

แม้ส่วนลึกจะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็ยากเหลือเกินที่จะหาคำตอบอื่นได้

แต่ไม่ว่าจะมีการโกงกินภายในหรือไม่ คนไทยตาดำ ๆ แบบเราก็ยากจะหวังพึ่งพิงองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบทั้งหน่วยงานเพื่อให้เกิดความโปร่งใสแห่งนี้ได้อีกต่อไป เพราะเห็นชัดว่าขาดความละเอียดรอบคอบในการใช้เงินภาษีของประชาชน

หลังตึกถล่มนอกจากจะช้าเป็นเต่าในการออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังเต็มไปด้วยคำพูดที่ฟอกตนเอง หนีปัญหา และไร้คำขอโทษใด ๆ ทำราวกับว่าประชาชนคนไทยรับประทานหญ้าเป็นอาหาร การที่บอกไม่รู้ ไม่เห็น ก็เท่ากับเป็นการสะท้อนคุณภาพ ศักยภาพ นิสัย และตัวตนของ "ผู้ใหญ่แห่ง สตง." อย่างหมดเปลือก

ผมเชื่อว่า "คน สตง." ระดับอื่นมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ มีอุดมการณ์ มีมาตรฐานในการทำงานตรวจสอบที่สูง คนเหล่านี้จะพลอยเสียหายและหมดกำลังใจจากคำพูดของ "ผู้ใหญ่แห่ง สตง." ไม่กี่คน ช่างไม่แฟร์กับคนเหล่านี้เลย

คนระดับ "หัวหน้าขององค์กรอิสระของชาติ" ที่ประชาชนจะฝากชีวิตและความหวังไว้ กลับชักช้า ตื้นเขิน ไร้ความกล้าหาญ และจริงใจ ท่านหาอาชีพอื่นทำเถอะครับ 

วิเคราะห์เชิงตัวเลข ศึกชิง สส.เขต 8 นครศรีฯ นับถอยหลังโค้งสุดท้ายใครจะเข้าวิน อีก 7 วันรู้ผล

(21 เม.ย. 68) ศึกชิงเก้าอี้ สส.เขต 8 นครศรีฯเกิดจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 นครศรีฯ พรรคภูมิใจไทย ตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดง่ายๆคือให้ใบแดงนั้นเอง

กกต.กำหนดให้เลือกตั้งวันที่ 27 เมษายน 2568 มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 6 คน จาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย
หมายเลข 1 : ไสว เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย สามีของมุกดาวรรณนั้นเอง
หมายเลข 2 : ชินวรณ์ บุณยเกียรติ จากพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส.เขตนี้ 9 สมัย
หมายเลข 3 : ณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง จากพรรคประชาชน
หมายเลข 4 : ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง จากพรรคพร้อม
หมายเลข 5 : ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ลูกเขยของชินวรณ์
หมายเลข 6 : พิษณุ รสมาลี จากพรรคทางเลือกใหม่

อาจกล่าวได้ว่า สนามเลือกตั้งนี้ สูสีกันมาก ไม่มีใครกล้าฟันธงว่า ใครจะเข้าวิน มีแต่พูดกันในแวดวง หรือโต๊ะกาแฟ แต่ภาพกว้างๆ คือ มีผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ กล้าธรรม และภูมิใจไทย และซีกฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ส่วนพรรคพร้อม และพรรคทางเลือกใหม่ ยังไม่มี สส.ในสภา บางคนอาจจะมองว่า พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคแย่งคะแนนกันเอง อาจจะกอดคอกันแพ้ และทำให้ตาอยู่อย่างพรรคประชาชนคว้าพุงปลามันไปกิน แต่ในทางการเมืองไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า คนใต้ยังไม่ให้โอกาสกับพรรคประชาชนในทุกสนามเลือกตั้ง ยังติดภาพของ ม.112 และการหาเสียงครั้งนี้การพยายามสร้างกระแสนั้น กระแสยังไม่ขึ้น ไม่เหมือนครั้งการเลือกตั้งที่ราชบุรี หรือพิษณุโลก

ส่วนพรรคซีกรัฐบาล 3 พรรค น่าจะคนละฐานเสียงกัน ต่างพรรคต่างคนต่างก็มีฐานของตัวเอง งานนี้ใครจัดตั้งได้ดี มีเครือข่ายเหนียวแน่นจึงมีโอกาสชนะ ผมคงไม่วิเคราะห์ในเชิงของการใช้ปัจจัยชี้นำ

ขออนุญาตที่จะวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข โดยภาพรวมประชากร 150,000 คน จะมี สส.ได้ 1 คน กล่าวสำหรับเขต 8 นครศรีฯ อันประกอบด้วย ฉวาง ช้างกลาง นาบอน และพิปูน และฐานใหญ่อยู่ที่ฉวาง

อ.ฉวาง ถิ่นของชินวรณ์ และก้องเกียรติ มีประชากร 64,749 คน อ.ช้างกลาง ถิ่นของไสว มีประชากร 28133 คน พิปูน ถิ่นของณัฐกิตติ์ มีประชากร 28808 และนาบอน มีประชากร 26046 คน โดยรวมแล้วมีประชากร 147,735 คน น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ 2265 คน

ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เอาตัวเลขกลมๆ ประมาณ 120,000 คน สมมุติว่า มาใช้สิทธิ์ 60% ก็น่าจะมีตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 72,000 กว่าคน ประมาณการณ์ได้ว่า ผู้สมัครคนใดทำคะแนนได้เกิน 20,000 ต้นๆ ก็จะมีสิทธิ์คว้าชัยชนะ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” ที่เคยชนะก็มีคะแนน 20,000 ต้นๆ ตามด้วย สุนทร รักษ์รงค์ จากพรรคพลังประชารัฐ เกือบ 18.000 คะแนน

ชินวรณ์ ก้องเกียรติ และไสว มีโอกาสที่จะทำคะแนนถึง 20.000 ใกล้เคียงกัน ส่วนฐานเดิมของพรรคประชาชน ก็อยู่ในหลักหมื่นต้นๆ ด้วยชินวรณ์เคยเป็น สส.เขตนี้มายาวนานโครงสร้างเครือข่ายยังมีอยู่ แต่ประมาทไสวไม่ได้กับการเป็น สส.มาสองปีของภรรยา และยังเคยเป็น ส.อบจ.มาก่อนด้วย ย่อมจะสร้างเครือข่าย สร้างฐานมวลชนไว้ไม่น้อย ประกอบกับไสวเคยเป็นครูในย่านนี้ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับก้องเกียรติ ที่เคยเป็น ส.อบจ.ฉวางมาก่อน ย่อมจะมีเครือข่าย ฐานมวลชนอยู่ในมือเป็นกอบเป็นกรรม เพียงแต่ว่าช่วง 20 กว่าวันของการหาเสียงกับอีก 7 วันสุดท้าย ใครจะทำอะไรได้มากกว่ากัน มากกว่าการที่ใจถึงควักจ่ายมากกว่ากัน

พรรคภูมิใจไทยอย่าได้คิดว่า จะเอาคะแนนของมุกดาวรรณ กับคะแนนของสุนทรมารวมกันแล้ว มีคะแนนเกือบ 40,000 แล้วจะชนะ เพราะไม่ควรลืมว่า คราวนี้สุนทรไม่ได้ลงสมัครเอง คะแนนเดิมของสุนทรอาจจะแกว่งไปไหนก็ได้ เช่นกันคะแนนที่เคยเลือกมุกดาวรรณ อาจจะแปลเปลี่ยนไปเลือกใครก็ไม่รู้ กับบาดแผล “ใบแดง” หรือว่าใบแดงอาจจะแปรเป็นคะแนนสงสารก็ได้

โค้งสุดท้ายแล้ว หรือมวยยกสุดท้าย สำหรับศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เขาจึงได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคลงไปเต็มพื้นที่แล้ว 27 เมษายน วันพิพากษาของประชาชน ใครจะเดินเข้าวิน กองเชียร์ระทึกครับ

‘พีระพันธุ์’แจงปมสัญญาซื้อไฟ 5,200 MW ลั่น!! พบผิด‘ยกเลิกสัญญา’ได้ทันที

(20 เม.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า เรื่อง การเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านได้ตั้งกระทู้ถามในสภาเมื่อเดือนที่ผ่านมา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบไปอย่างครบถ้วนแล้ว

Lesiy[โครงการประมูลดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2565 ในรัฐบาลที่ผ่านมา ในรอบแรกมีการประมูลขนาด 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากการประมูลเสร็จสิ้น ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ แต่ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยยกฟ้องทุกกรณีแล้ว จึงไม่มีข้อกฎหมายใดเป็นอุปสรรคต่อการลงนามในสัญญาอีกต่อไป และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจึงเริ่มทยอยดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขกำหนดให้ กฟผ.ต้องลงนามในสัญญาภายในสอง 2 ปี โดยในส่วนของไฟฟ้าจากแสงแดดจะครบกำหนดในวันที่ 18 เมษายน 2568 ส่วนพลังลมครบกำหนดภายในปี 2569

สำหรับการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 5,200 เมกกะวัตต์ในเฟสแรกนั้น มีการประมูลที่ 4,852 เมกกะวัตต์ มีสัญญาทั้งสิ้น 175 ฉบับ มีโครงการ  ที่ กฟผ.เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ โดยเป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565  และทางกฤษฎีกาได้ให้ข้อเสนอแนะว่า เนื่องจากมีการเซ็นลงนามสัญญาไปแล้วหากยกเลิกหรือชะลอการเซ็นลงนามสัญญาส่วนที่เหลืออาจจะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย

ในส่วนของ 16 โครงการที่ยังไม่ได้ลงนามนั้น หากจะหยุดกระบวนการทันที จะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย  เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนที่มีการดำเนินการล่วงหน้าแล้ว และ กฤษฎีกาได้แนะนำให้ กฟผ. ใส่เงื่อนไขในสัญญาเพิ่มเติมว่า หากภายหลังพบว่าการประมูลมีปัญหาทางกฎหมายหรือผิดขั้นตอนใด ๆ ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ต้องรอให้ครบสัญญา 25 ปี  ดังนั้น ทั้ง 3 สัญญาที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา จึงได้มีการดำเนินการตามเงื่อนไขที่ต้องลงนามในสัญญาภายใน 2 ปีและมีการปรับเงื่อนไขของสัญญาตามคำแนะนำของกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ขอให้วางใจได้

ขณะเดียวกัน สำหรับ 16 สัญญาที่เหลือ นายพีระพันธุ์ได้หารือกับผู้ว่าการ กฟผ.เพื่อหาช่องทางทางกฎหมายในการชะลอการลงนามเพื่อให้มีเวลาตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังวลอย่างรอบคอบ โดยส่วนใหญ่เป้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยจะครบกำหนดในปี 2569 ซึ่งขณะนี้ ผู้ว่าฯ กฟผ. กำลังตรวจสอบข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางดำเนินการให้สอดคล้องกับกรอบอำนาจที่มี จึงขอให้มั่นใจว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้จะไม่เป็นข้อผูกมัดไป 25 ปี เพราะสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที หากพบว่ามีการกระทำผิด

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดย กกพ. ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565   และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย  ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ไข  ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุชัดว่า หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการปฏิรูปพลังงานคือ ปัญหากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกฎหมายพลังงานที่มีอยู่จำกัดอำนาจรัฐมนตรีในการกำกับดูแลอย่างแท้จริง รัฐบาลจึงอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่เปิดช่องให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใด ๆ ในอนาคต

“ขอยืนยันว่า หากมีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าโครงการใดผิดกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยขั้นตอน ก็สามารถดำเนินการยกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบอายุสัญญา 25 ปี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย”

ทั้งนี้  รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกเสียงของประชาชนและฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ แต่ขอให้การนำเสนอข้อกล่าวหาเป็นไปอย่างรอบคอบและยึดข้อเท็จจริง มิใช่การบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างว่า การลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 25 ปี

สมรภูมิเขต 1 นครศรีฯ คึกคักเตรียมพร้อมรับเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคการเมืองเข้าสู่โหมดสร้างฐาน หลายตัวเต็งเริ่มขยับสับเปลี่ยน

จับตาเขต 1 นครศรีฯ ‘ดร.รงค์’ ย้ายไปรวมไทยสร้างชาติ ‘สส.หนึ่ง’ โยกมาลงชน ขณะที่ ‘ราชิต’ ขอพัก ส่วน ‘หมอผึ้ง’ ผันมาเขต 2 

เขต 1 นครศรีธรรมราช เป็นเขตเลือกตั้งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งปี 70 เพราะเป็นเขตเมือง ประชากรมีความรู้ ตื่นตัวทางการเมืองสูง 
 
น่าสนใจมากยิ่งขึ้นถ้า ‘ราชิต สุดพุ่ม’ สส.พรรคประชาธิปัตย์เขตนี้ไม่ไปต่อตามที่เป็นข่าว เพราะมีปัญหาด้านสุขภาพในห้วงเวลาที่อายุมากขึ้นตามลำดับ เขตเลือกตั้งที่ 1 ของนครศรีฯก็จะเหลือตัวเต็ง ‘ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ’ อดีต สส.พลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 64 ตามด้วย ‘จรัญ ขุนอินทร์ จากพรรคภูมิใจไทย ที่คราวที่แล้วแพ้ให้กับผู้ว่าฯราชิต แต่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานการเมืองในเขตนี้อยู่ 

ยังมี ‘แมน-ปกรณ์ อารีกุล’ จากพรรคประชาชน ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นทำงานการเมือง เลือกตั้งคราวที่แล้วแมนมีคะแนนมาอันดับสอง ถีบ ดร.รงค์ลงไปอยู่อันดับสาม และสำหรับเขตนี้ยังมี ‘มนตรี เฉียบแหลม’ จากพรรคเพื่อไทย ที่ยังประสงค์จะลงเขตนี้ เมื่อ ‘บุณฑริกา ยอดสุรางค์’ อาจจะถอยไปเล่นการเมืองท้องถิ่น เพื่อเริ่มบันไดขั้นแรกของเวทีการเมือง 

กล่าวสำหรับ ดร.รงค์ แม้จะดูเป็นตัวเด่น แต่ก็ไม่ได้ปลอดโปร่งเสียทีเดียว เมื่อ ดร.รงค์ได้ตัดสินใจเดินออกจากพลังประชารัฐแล้ว เมื่อพรรคตัดสินใจเลือก ‘ฮูวัยดีย๊ะ อูเซ็ง พิศสุวรรณ’ น้องสาวของ ดร.สุรินทร์ ลงสมัครแทน ดร.รงค์แม้จะยังมุ่งมั่นทำงานด้านนิติบัญญัติ แต่ก็ต้องหาพรรคใหม่สังกัด 

ดร.รงค์ มีทางเลือกอยู่ 3 พรรค คือภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และพรรคกล้าธรรม สำหรับพรรคภูมิใจไทย ดร.รงค์ไม่น่าจะเลือก เพราะต้องไปเบียด จรัญ ขุนอินทร์ คนรู้จักกันอีก พรรคกล้าธรรม เข้าใจว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าจะรุกภาคใต้หนัก ทำลายฐานภูมิใจไทย ยิ่ง ‘วันนอร์-วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ ประกาศวางมือทางการเมือง โอกาสของพรรคกล้าธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีอยู่สูง อย่าลืมว่า รอ.ธรรมนัส แม้จะเป็นคนพะเยา แต่ไปโตอยู่นราธิวาส ดร.รงค์ก็รู้จักมักคุ้นกับ รอ.ธรรมนัสดี ตั้งแต่สมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐมาด้วยกันแล้ว น่าจะคุยกันเข้าใจง่ายกว่า 

พรรครวมไทยสร้างชาติ น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของ ดร.รงค์ เพราะระดับผู้นำส่วนใหญ่ก็เคยร่วมงานกันมาในพรรคพลังประชารัฐ จึงรู้จักกันดี ตั้งแต่ชุมพร สุราษฎร์ นครศรีฯ และพัทลุง ซึ่งอาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าสายกล้าธรรมอีก 

ผม #นายหัวไทร ค่อนข้างมั่นใจว่า ดร.รงค์จะเลือกร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ เคยส่ง พูม แก้วภราดัย ลูกชายของวิทยา แก้วภราดัย มาก่อน ก็ไม่ยาก พรรคจะส่งใคร เมื่อมีคนเสนอตัวมากกว่าหนึ่งคน ก็ใช้วิธีการทำโพลล์ ซึ่งถ้าทำโพลล์ ดร.รงค์ก็น่าจะผ่าน 

แต่ให้จับตา ‘สส.หนึ่ง-ทรงศักดิ์ มุสิกอง’ สส.ประชาธิปัตย์ เขต 2 อาจจะย้ายเขตมาลงเขต 1 แทนผู้ว่าฯราชิตที่อาจจะขอพัก ซึ่งเขต 1 ดร.รงค์ก็จะชนตรงกับ สส.ทรงศักดิ์ 

เขต 2 ก็จะว่างจาก สส.เก่า ประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่เดิมจะส่งใครมาลงแทน ก็มีข่าวแว่วๆให้ได้ยินว่า อาจจะโยก 'โกเท่-พิทักษ์เดช เดชเดโช' จากเขต 3 มาลงเขต 2 ก็ต้องหาคนใหม่ไปลงเขต 3 อีก 

กล่าวสำหรับเขต 2 ข่าวที่ยืนยันได้ ‘หมอผึ้ง-นันทวัน วิเชียร’ จากพรรคภูมิใจไทย จะโยกจากเขต 9 มาลงเขต 2 เปิดทางให้ ‘สายัณห์ ยุติธรรม’ ย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย และลงสมัคร เขต 9 แทน เพราะสายัณห์เป็น สส.เขต 9 มาก่อน 

การเมืองเริ่มเข้าสู่โหมดสร้างฐาน มีการสับเปลี่ยน โยกตัวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ 

‘วิชัย ทองแตง’ เชื่อมั่นคนไทยรับมือสงครามการค้าได้ ยก ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ ของในหลวง ร.9 คือหนทางพ้นวิกฤต

เมื่อวันที่ (16 เม.ย. 68) นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมการเตรียมรับมือ TRUMP WAR ว่า…  
ผมติดตามข่าวสารการเมืองในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ Donald Trump สามารถช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาครองได้เป็นครั้งที่ 2 คนทั่วไปเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า เป็น Trump 2.0 

ทว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก เมื่อ Trump ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ให้ขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จนช็อคไปทั้งโลก ครอบคลุม 185 ประเทศทั่วโลกจาก 193 ประเทศ กล่าวขานกันว่ากลายเป็น TRADE WAR ที่เข้มข้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้ตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกร่วงอย่างหนัก ทุกประเทศต้องปรับตัวและปรับกลยุทธเพื่อความอยู่รอด ที่กระทบุรุนแรงที่สุดน่าจะเป็น ประเทศจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ แม้ Trump จะมีประกาศเลื่อนเวลาออกไป 90 วัน นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2568 สะท้อนให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดฯ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายกังวลได้ว่า สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามที่ดังที่สุดที่ทั่วโลกกังวลคือ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ และสภาวะเช่นนี้จะดำรงอยู่ยาวนานขนาดไหน "บางคนคิดเลยเถิดไปถึงว่า สงครามการค้านี้จะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ 

ในฐานะที่เคยเป็นนักธุรกิจ ที่คร่ำหวอดในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้มายาวนานปัจจุบันแม้จะล้างมือไปแล้วเมื่อตอนอายุครบ 70 ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงประเทศชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ผมจึงได้สั่งให้ทีมงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้มันน่าห่วงจริง ๆไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อ Trump เพียงคนเดียว จะสามารถสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้เกิดขึ้นกับโลกทั้งใบได้เพียงคำกล่าวไม่กี่ประโยค 

คนไทยพร้อมรับมือมั้ยครับ ? ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า คนไทยยังขาดความพร้อมหลายด้านโลกการเงินมันซับซ้อนครับ ยิ่งเราเป็นประเทศเล็ก อำนาจต่อรองมีไม่มาก ความสามามารถในการแข่งขัน(Competitiveness) ของเรายังไม่แกร่งพอ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอยู่ไม่ใช่น้อย ในท่ามกลางโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ AI กำลังมา Disrupt เกือบทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อมาประจวบเหมาะกับ TRUMP WAR จะยิ่งทำให้เราป้องกันตัวได้ยากขึ้นในการวางแผนเผชิญวิกฤติ 

ทุกท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งบางอย่างที่ทำให้เราหลุดพ้นวังวนที่เชี่ยวกรากเหล่านั้นได้ ขอเพียงมี "สติ" 

ยังพอจำกันได้มั๊ยครับ ในช่วงวิกฤติการเงินในเอเชีย เมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยได้น้อมนำเอา "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในการแก้ปัญหา ทำให้เราผ่านวิกฤตินั้นมาได้ อันที่จริงพระองค์ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 แล้วครับ ปรัชญานี้ยังคงดำรงอยู่ เป็นแก่นแกนอยู่กลางใจพสกนิกรชาวไทยทุกคน ลองไปหาอ่านกันดูอีกครั้งนะครับ เป็นหลักปรัชญาที่ทำให้พวกเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางโดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้นกันกันที่ดีความสนใจของผม ทำให้ผมยอมรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ "มูลนิธิครอบครัวพอเพียง" เพื่อสนับสนุนส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจปรัชญานี้ และประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองอย่างเหมาะสม จนท่านดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รักษ์ อดีตอธิการบดี แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ผู้ล่วงลับ) ได้ให้เกียรติเรียนเชิญเป็นผู้บรรยายวิชา "ศาสตร์แห่งแผ่นดิน" ในช่วงปฐมนิทศนักศึกษา 

ผมและครอบครัวยึดถือ และนำเอาหลักปฏิบัติของปรัชญานี้ มาใช้อย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้วครับ อยากให้รัฐบาลน้อมนำมาสื่อสาร ถ่ายทอดอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการดีมากอย่างน้อยฉุดรั้งและตักเตือนให้คนไทยมีสติ มีความหวัง ไม่ตื่นตระหนก หวาดกลัวต่อสงครามอารยะแบบไร้อารยะ ที่มนุษย์บางประเภทกำลังเบ่งพองซึ่งอำนาจของตน

พี่น้องครับ ลูกหลานครับ การประกาศ TRUMP WAR ครั้งนี้ ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ หรือ สนามการค้า ทุกอย่างล้วนมาจากเป้าหมายเรื่อง เงินและผลประโยชน์ ถามว่า ประเทศไทย และปวงชนชาวไทย ปรารถนาเช่นเดียวกันนี้หรือเปล่า อย่าลืมว่าเรามี"ภูมิคุ้มกัน" ที่พ่อหลวงทรงสังสอนเป็นแนวปฏิบัติที่ส่งผลต่อความผาสุกและยังยืน เชื่อหรือไม่ครับ ลูกชายคนเล็กของผมเรียนจบด้านธุรกิจากมหาวิทยาลัย ABAC แต่เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง ด้วยการมาขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ว่า เขาขอเป็นเกษตรกร... เน้นด้วยว่า บนแนวทาง "ศาสตร์พระราชา" คุณแม่เขาบอกว่า เราต้องยอมเขาเลยนะพ่อ เชื่อได้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะเขาจะอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง โดยเหตุนี้ "สวนสมดุล" จึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.พ.ศ. 2562 เขาทุ่มเทใส่ใจต่อแปลงวนเกษตร ที่ปลอดจากสารเคมีทั้งปวง พร้อมเปิดร้านกาแฟ ออแกนิก เล็ก ๆ อยู่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ริมแม่น้ำแม่กลอง โดยขอย้ายสำมะโนครัวจากการเป็นคนคนกรุงเทพ ไปเป็นคนแม่กลอง และเปิดวิสาหกิจชุมชนเล็ก ๆ ร่วมกับชาวบ้านที่นั่น 

วันนี้เขาค้นพบว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" คือ ปรัชญาที่ดีที่สุดที่จะช่วยจรรโลง และผดุงสังคมไทยให้ปลอดภัย และเป็นสุข ไม่ว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นสักกี่ครั้งก็ตาม 

ฝากทุกท่านให้ศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top