Tuesday, 23 April 2024
COLUMNIST

คดีอุกอาจ!! ใช้ 'อาคม' ลอบปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ แต่มนตราสาปแช่ง มิเป็นผล จึงได้บทลงโทษแค่หลาบจำ

ความเชื่อเรื่องผี สาง เครื่องรางของขลัง โชคชะตา โดยเฉพาะ 'คาถาอาคม' เป็นของคู่บ้านเมืองเรามาอย่างช้านานแล้ว 

อย่างเวทมนตร์คาถาที่ถูกนำมาใช้ในด้านดี เช่น การใช้ในการป้องกันตัว การใช้คาถาอาคมประกอบการปรุงยารักษาโรค การใช้อาคมประกอบการไล่ภูตผีปีศาจโดยใช้หวายเสก (อันนี้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ในสมัยอยุธยาด้วย) การอาราธนาสิ่งศักดิสิทธิ์เพื่อปลุกขวัญกำลังใจอย่างการตัดไม้ข่มนามก่อนออกรบซึ่งปรากฏในการณ์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ก็ยังมีสำหรับใช้เพื่อปากท้องของประชาชนทางด้านการเกษตร อย่างการขอฝน โดยตามบันทึกคำให้การของชาวกรุงเก่าที่ระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาคือ ในช่วงนั้นเกิดภาวะฝนแล้ง ชาวบ้านทำนาไม่ได้ผล เชื่อกันว่าเทวดาเบื้องบนเป็นเหตุให้เกิดฝนแล้ง พระองค์จึงรับสั่งให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ 2 รูป เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไข ซึ่งในบันทึกก็ระบุว่ามีฝนตกลงมาจริง 

เมื่อมีด้านดี ก็ต้องมีด้านไม่ดี อย่างที่เราเรียกกันว่า 'มนต์ดำ' ซึ่งนำมาใช้ในด้านร้ายเช่น การสาปแช่ง การฝังรูปฝังรอย การทำเสน่ห์ยาแฝด การใช้ยาสั่งเพื่อให้เกิดผลตามต้องการไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง หรือหนักที่สุดก็คือการใช้ยาสั่งเพื่อ 'ฆ่า' 

ด้วยเหตุนี้ประเทศของเราถึงมี 'กรมแพทยา' ซึ่งมี 'ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคม' เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากอาคมหรือมนต์ดำ ทั้งยังเป็นตุลาการสำหรับไต่สวนคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณไสยต่าง ๆ โดย 'ศาลหรือตุลาการกรมแพทยา' ซึ่งมีการอ้างกันว่ามีกรมนี้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรม แต่จะมีมาตั้งแต่สมัยนั้นหรือไม่ แต่จากข้อมูลในพระธรรมนูญที่รวบรวมการประทับฟ้องต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง ที่ตราขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถเมื่อ พ.ศ.2165 มีการระบุถึงการฟ้องร้องกันด้วยเรื่องไสยศาสตร์โดยมีกฎหมายสำหรับรองรับเมื่อมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นด้วย

'กรมแพทยา' นี้ถูกลดบทบาทและอำนาจลงตั้งแต่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 มาจนถึงในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการปฏิรูปหลายอย่างในแผ่นดิน ซึ่งกรมแพทยาก็ถูกยุบลงเพราะถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย 

แต่ในช่วงก่อนการปฏิรูปก็มีคดีที่น่าสนใจในเรื่องการใช้ 'มนต์ดำ' ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ใหญ่โตระดับการลอบปลงพระชนม์พระราชวงศ์ชั้นสูงเลยทีเดียว แต่สุดท้ายคดีนี้ก็กลายเป็นคดีด้านคาถาอาคมที่ไม่เกิดผลและน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ 'กรมแพทยา' ถูกยุบไปในที่สุด

เรื่องของเรื่องเป็นแบบนี้ครับ ในปี พ.ศ. 2419 มีคนคิดจะใช้อาคมทำร้าย 'สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์' ผู้สำเร็จราชการในพระราชสำนัก โดยเจ้าอาคมมีชื่อว่า 'เกษ'

ส่วนนาย 'เกษ' จะก่อเหตุด้วยการขุ่นเคืองใดไม่มีปรากฏในบันทึก เพราะเป็นเพียงขั้นพยายามแต่ยังไม่ถึงขั้นลงมือก็โดนจับไปขังคุกเสียก่อน แต่ทว่าแม้อยู่ในคุกเขาก็ไม่ได้มีความสำนึกยังคงเดินหน้าปั้นหุ่นรูปสมเด็จฯ เสกเป่า สาปแช่ง ด้วยมนต์ดำทั้งหลายเพื่อหวังจะฆ่าพระองค์ให้ได้ด้วยอาคมร้าย ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากคนโทษร่วมคุกอื่น ๆ อีกด้วย 

ซึ่งคดีนี้ถูกนำความขึ้นกราบบังคมทูลในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงวิตกห่วงใยในความปลอดภัยของสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง 'พระยามหามนตรี' (อ่ำ อมรานนท์) ความว่า...

"ถึง พระยามหามนตรี ด้วยอ้ายเกษที่ไปจำไว้ ณ คุกนั้น กลับทำเล่ห์กลเวทมนตร์ปั้นรูปสมเด็จฯ เสกเป่าต่างๆ นั้น ได้สั่งให้พระพิเรนทร์ให้ไปชำระเอาความได้ในเวลาพรุ่งนี้ แต่อ้ายคนนี้เห็นจะต้องตายเสียหรืออย่างไรให้สูญเสียทีเดียว ถ้ายังอยู่ก็จะเป็นข้อพยาบาทสมเด็จฯ ต่อไปไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่บัดนี้ความวิตกนัก ด้วยเกิดความขึ้นดังนี้ ไม่รู้ว่าพ่อแม่พวกพ้องมันจะคิดร้ายอย่างไรกับสมเด็จฯ ถ้ามีเหตุการณ์สมเด็จฯ เป็นอย่างไรลงแลข้าก็เหมือนแขนขาดตาบอดเป็นสิ้นตัว..... 

"ให้พระยามหามนตรี คิดอ่านรักษาสมเด็จฯ ในเวลานี้อย่าให้มีอันตรายได้ แล้วให้ไปพร้อมด้วยพระพิเรนทรเทพชำระเอาต้นเหตุุความคิดให้สิ้นเชิง ให้ได้เร็วในพรุ่งนี้มะรืนนี้จะได้ให้พระยามหามนตรีมาเฝ้าท่าน วางการไว้ในเวลาค่ำวันนี้ให้เรียบร้อย ถ้ามีเหตุภายนอก พระยามหามนตรีจะต้องเป็นโทษ"....

นอกจากนี้พระพุทธเจ้าหลวงยังทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึง สมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ความว่า...

"ทูลฯ ท่านให้ทราบ ด้วยอ้ายคนนี้มันยังคิดการทำร้ายอยู่เสมอเห็นจะเอาไว้ไม่ได้ต้องตายเสีย ได้สั่งให้พระยามหามนตรีกับพระพิเรนทร์ไปชำระความเอาความจริงให้ได้ในพรุ่งนี้ แต่หม่อมฉันมีความวิตกที่พระองค์ท่านมากนัก ด้วยมันคิดร้ายด้วยเวทมนต์ไม่สำเร็จจะเล่นตรง ๆ ได้สั่งพระยามหามนตรีให้มาคิดระแวดระวัง แต่การภายในสำคัญมากนักขอให้ท่านรักษาพระองค์ให้จงมาก..."

ในเหตุการณ์นี้ แม้ว่าทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และสมเด็จฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จะทรงมีพระราชอำนาจประหารชีวิตคนได้และทรงเห็นว่านาย 'เกษ' สมควรตาย แต่ในที่สุดก็ทรงวินิจฉัยคดีนี้ว่า...

"ซึ่งอ้ายเกษคบคิดกับอ้ายขุนคนโทษด้วยกัน ปั้นรูปสมเด็จฯ กระหม่อมฉัน ให้อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ เอาไปฝังป่าช้าทำเวทมนตร์ต่าง ๆ ดังนี้ อ้ายเกษ อ้ายขุน อ้ายทรัพย์ อ้ายขำ ทาสผู้รู้เห็นมีความผิดให้เฆี่ยนอ้ายเกษ อ้ายขุนคนละ 60 ที แล้วจำคุกให้หมั้น อย่าให้เที่ยวไปมาได้ แลให้เฆี่ยนอ้ายทรัพย์ อ้ายขำ คนละ 30 ที เอาตัวจำคุกไว้ปีหนึ่งจึงพ้นโทษ"

โดยรวมก็ถือว่าเป็นโทษที่ไม่หนักทั้ง ๆ ที่เป็นการอาฆาตมาดร้ายเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่สุดท้ายจอมขมังเวทย์และทีมงานก็รอด อาจเพราะทำมนตราสาปแช่ง อย่างไรก็ไม่เป็นผลจริง

(อ้างอิงข้อมูลจาก 'หนังสือมิติลี้ลับในพงศาวดาร' โดย โรม บุนนาค) 

‘Lauren Singer’ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้ชีวิตแบบ ’ไม่ผลิตขยะ‘ มาแล้วกว่าสิบปี

ปัญหาขยะเป็นปัญหาโลกแตก ซึ่งแก้ได้ยากมาก ๆ แต่มีหญิงสาวชาว New York ผู้หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตปลอดขยะ (Zero waste) มาแล้วกว่าสิบปี ทั้ง ๆ ที่เธออาศัยอยู่ในมหานครใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก

ทั้งนี้ ‘Zero Waste’ หรือ ‘แนวคิดขยะเป็นศูนย์’ เป็นแนวทางในการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะช่วยทำให้ขยะที่ต้องถูกนำไปกำจัดลดเหลือน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ ด้วยส่วนหนึ่งของปัญหาขยะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่บริโภคสินค้าแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น ขวดน้ำพลาสติก ถุงพลาสติก หลอดพลาสติก โฟม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อขยะคือภาระของทุกคน จึงเป็นที่มาของการใช้ชีวิตแบบ ‘Zero Waste’ ซึ่งคือการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะไม่สร้างขยะใหม่ ๆ โดยพยายามไม่ให้มีอะไรหลงเหลือจนเป็นขยะได้ โดยยึดหลักง่าย ๆ อย่าง 1A3R ซึ่งประกอบด้วย

1A : Avoid การหลีกเลี่ยงใช้สิ่งที่ก่อให้เกิดขยะเพิ่ม เช่น พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
R1 : Reduce การใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะให้น้อยลง เช่น การใช้ถุงผ้าไปช็อปปิ้งแทนการรับถุงพลาสติกจากร้านค้า
R2 : Reuse การนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กล่องพัสดุที่ได้รับมา นำไปใส่ของส่งของต่อให้ผู้อื่น
R3 : Recycle การหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น การ Recycle พลาสติก ให้ออกมาเป็นวัสดุตั้งต้นในการสร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

(Lauren Singer ในร้าน Package Free ของเธอ)

อย่างไรก็ตาม Lauren Nicole Singer เกิดที่นคร New York มลรัฐ New York เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1991 ปัจจุบันอายุ 33 ปี เรียนจบปริญญาตรี ด้านสิ่งแวดล้อมและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย New York เมื่อปี ค.ศ. 2013 และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Columbia จากนั้นได้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืนของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของนคร New York ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งธุรกิจสีเขียว The Simply Co. และ Package Free เธอเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการอิสระ และบล็อกเกอร์ในการเคลื่อนไหวเพื่อไร้ขยะ โดยเธอเริ่มใช้ชีวิตแบบไร้ขยะมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักจากการรวบรวมขยะทั้งหมดจากเว็บบล็อกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โดยเธอบดขยะในโถบดขนาด 16 ออนซ์ และบล็อกของเธอก็คือ ‘Trash is for Tossers’ (ขยะเป็นของไร้ค่า) ซึ่งให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนโดยปลอดขยะ พร้อมกับบันทึกวิถีชีวิตที่ปราศจากขยะ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อเลิกการฝังกลบขยะ และลดละเลิกผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

(น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกและปลอดสารพิษ The Simply Co.)

Lauren Nicole Singer ได้ออกจากงานประจำในปี ค.ศ. 2014 และเปิดตัว The Simply Co. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น น้ำยาซักผ้าปลอดสารพิษออกสู่ตลาด น้ำยาซักผ้าออร์แกนิกของเธอได้รับการสนับสนุนจาก Kickstarter และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ของ Kickstarter และที่ร้านค้าส่งทั่วสหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์พร้อม ๆ กัน The Simply Co. ในปี ค.ศ. 2017 เธอเปิด Package Free เป็นร้านแบบป๊อปอัพในเมือง Williamsburg และนับตั้งแต่เปิดตัว Package Free สามารถลดขยะจากการฝังกลบได้หลายร้อยล้านชิ้น ในปี ค.ศ. 2023 นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมก่อตั้ง Overall Capital โดยเธอบอกว่า Rachel Carson และ Bea Johnson ในฐานะนักเขียนและนักเคลื่อนไหวเป็น 2 แรงบันดาลใจให้สนใจเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และเธอยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ‘สตรีที่น่าจับตามอง’ ของ Business Insider และ ‘หนึ่งในห้าสิบสตรีเปลี่ยนโลก’ ของ InStyle และ ‘ผู้เปลี่ยนแปลง ปี 2020’ ของ  Well + Good 

อย่างไรก็ตาม เรา ๆ ท่าน ๆ อาจจะคิดเองว่า แค่เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองง่าย ๆ อย่างการเริ่มต้นจากการใช้กล่องข้าว ขวดน้ำ ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ หรือแม้แต่ร้านค้าทางเลือกอย่าง Refill Station ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของการไม่ง้อบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยทุกคนนำภาชนะไม่ว่าจะเป็นขวดแก้วหรือขวดโหล มาเติมผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองนำกลับไปใช้ที่บ้าน และการคัดแยกขยะจะช่วยอะไรได้มากมาย แต่ความจริงแล้วการแยกขยะก่อนทิ้งมีประโยชน์อย่างมาก ทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของประเทศ ขยะอันตรายจะได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธีเพื่อลดปัญหาหรือมลพิษต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นหากทุกครอบครัวเริ่มต้นที่การคัดแยกขยะก่อนทิ้ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยที่ต้องนำไปกำจัดให้มีปริมาณน้อยลง และเป็นการลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย

ย้อนประวัติศาสตร์ 'สงกรานต์' ในแต่ละชาติ ปรับไปบ้างตามเวลา แต่สุขสันต์มิเคยเปลี่ยน

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทยของเรา สงกรานต์ที่ 'ยูเนสโก' ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ 'สงกรานต์ในประเทศไทย' เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

บทความนี้ผมจะเขียนเล่าในมุมที่ไม่ดรามา โดยจะเรียบเรียงเรื่องราวของสงกรานต์ที่น่าสนใจเพื่อให้อ่านกันเพลิน ๆ นะครับ

เริ่มต้นเรื่อง โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าสงกรานต์แบบบ้านเรามาจากอินเดีย แต่คำว่าสงกรานต์เรายืมคำนี้มาจากอินเดียแน่ ๆ เพราะคำว่า 'สงกรานต์' หรือ 'สํกฺรานฺติ' เป็นคำในภาษาสันสกฤตแปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย คือการที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งเข้าสู่อีกราศีหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นทุกเดือน แต่จะมีเดือนที่สำคัญมากก็คือเดือนที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า 'มหาสงกรานต์' ซึ่งในช่วงมหาสงกรานต์นี้ ดินแดนชมพูทวีปเขาจะมีเมนูอาหารและกิจกรรมพิเศษ เช่น...

บังกลาเทศ : เขาจะมีการเดินพาเหรดและเมนูพิเศษ 'ปันตาภัต' คือข้าวสวยแช่น้ำที่เสิร์ฟพร้อมปลาทอด กินพร้อมหอมแดงและพริกเขียว คล้าย ๆ ข้าวแช่บ้านเรา 

ศรีลังกา : ชาวพุทธสิงหลและชาวฮินดูทมิฬ จะมีการฉลองปีใหม่ร่วมกัน ผู้คนจะทำความสะอาดบ้าน จุดตะเกียงน้ำมัน และทานเมนูพิเศษ 'คิริภัต' คือข้าวกะทิ 

ส่วนในอุษาคเนย์ : ประเพณีสงกรานต์ในแต่ละแห่งก็จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เช่น คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกกันว่า 'สงกรานต์' ทางล้านนาเรียกว่า 'ปี๋ใหม่เมือง' ทางเขมรเรียกว่า 'ซ็องกราน' ส่วนมอญเรียกว่า 'ซงกราน' ทางพม่าเรียกว่า 'ทิงยัน' โดยจุดเชื่อมกันของเทศกาลนี้ ถ้าไม่นับการสาดน้ำ ก็จะมีการรดน้ำประแป้ง การละเล่นพื้นบ้าน การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป นอกจากนี้ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ส่วนเรื่องอาหารการกินหรือกิจกรรมที่พิเศษเหมือนชมพูทวีปไหม? มันก็มีอยู่บ้างครับ 

ตัวอย่างเช่นที่ 'พม่า' เขาจะมีเมนูพิเศษคือ 'ม่งโลงเหย่ป่อ' ซึ่งเป็นข้าวเหนียวปั้นไส้น้ำตาล คล้าย ๆ ขนมต้มบ้านเรา ทำกินเฉพาะเทศกาลนี้ พร้อมด้วยมหกรรมสาดน้ำ (ต้องเรียกมหกรรมเพราะสาดยับจริง ๆ) ซึ่งพม่านี้เขามีนิทานเรื่องการสาดน้ำที่ค่อนข้างจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่เขาเชื่อว่านี่คือหลักฐานการ 'สาดน้ำ' ที่เก่าที่สุด (ทำไม? มันถึงมาผูกกับการสาดน้ำที่สนุกสนานก็ไม่รู้) 

เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารพม่าฉบับอูกะลา ในสมัยของ 'พระเจ้านรสีหบดี' หรือ 'พระเจ้าหนีจีน' แห่งพุกาม ที่ชื่อว่าหนีจีน เพราะกองทัพมองโกลของพระเจ้ากุบไลข่านยกมาตีพุกาม พระองค์ต้านไม่ไหวก็เลยหนีลงมาทางพม่าตอนล่าง ซึ่งร่วมสมัยกับ 'พญามังราย' แห่งเชียงใหม่ 'พ่อขุนรามคำแหง' แห่งสุโขทัย และ 'พระยางำเมือง' แห่งพะเยา ซึ่งไม่ได้มีบันทึกเรื่องสงกรานต์ไว้เหมือนพุกาม เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ 

พระเจ้านรสีหบดีมีพระเหสีชื่อ 'พระนางพวาซอ' และมีพระสนมอีกหลายองค์ พระสนมที่โดดเด่นคือ 'พระสนมซอลง' และ 'พระสนมซอเม่า' ทุก ๆ สงกรานต์ซึ่งเป็นฤดูเดือนที่อากาศร้อน พระองค์มักเสด็จฯ ลงสรงพระกระยาสนานหรือสระผม บริเวณท่าน้ำเป็นเวลานาน ๆ บ่อย ๆ 

ที่นี้พะองค์คงนึกสนุกและอยากจะหยอกล้อ 'พระสนมซอลง' จึงรับสั่งให้พระสนมองค์อื่น ๆ และนางข้าหลวงสาดน้ำใส่พระสนมซอลงแบบไม่ให้รู้ตัว พอโดนรุมสาดแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเผ้าเสื้อผ้าก็เปียกปอนไปหมด จนทำให้พระสนมซอลงรู้สึกอับอาย โดยไม่ได้คิดว่านี่คือการล้อเล่นสาดน้ำในหมู่คนที่คุ้นเคยกัน 

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระสนมซอลงคิดแค้น ว่าพระเจ้านรสีหบดีออกอุบายกลั่นแกล้ง จึงคิดจะเอาคืน โดยแอบใส่ยาพิษลงไปในพระกระยาหารของพระเจ้านรสีหบดี (คุณพระ!!!) ซึ่งปกติแล้วหน้าที่ยกพระยาหารขึ้นถวายพระเจ้านรสีหบดีเป็นหน้าที่ของพระสนมซอลง แต่วันนั้นพระสนมซอลงแกล้งป่วย จึงขอร้องให้ 'พระสนมซอเม่า' ทำหน้าที่แทน

ระหว่างที่กำลังเชิญพระกระยาหารขึ้นถวายนั้น ปรากฏว่ามีสุนัขหลวงทรงเลี้ยงตามเห่าพระสนมซอเม่า พระสนมซอเม่าคิดว่ามันคงหิว ด้วยความสงสารจึงแอบนำอาหารบางส่วนโยนให้กิน พอสุนัขหลวงกินมันก็ตายทันที พอความทราบถึงพระเจ้านรสีหบดี พระองค์จึงให้สอบสวน จนได้ความตามจริงว่าพระสนมซอลงลอบวางยาพิษ ผลก็คือ 'พระสนมซอลง' ต้องโทษประหารชีวิต ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดของพระสนมนั่นเอง

จบแบบโศกนาฏกรรม 

แต่ในประวัติสงกรานต์พม่า ที่มาของการเล่นสาดน้ำในปัจจุบันที่เก่าแก่ที่สุดก็คือการสาดน้ำใส่ 'พระสนมซอลง' นี่แหละ ทั้งยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยพุกามที่เล่าเรื่องราวของการเล่นน้ำสงกรานต์ มีภาพของการเทน้ำจากหม้อน้ำราดใส่กันประกอบอีกด้วย ผมว่ายอมพม่าเขาไปเหอะ นี่ยังไม่รวมภาพใน The Graphic เมื่อ ค.ศ. 1888 ที่ปรากฏคนพม่าสาดน้ำใส่ฝรั่งอังกฤษนะ ซึ่งอันนี้เขาดรามากันไปเยอะแล้ว ผมไม่เล่าล่ะ 

'สงกรานต์พม่า' จัดขึ้นช่วงเดือน 5 (เมษายน) ของไทย พม่าเรียกว่า 'เดือนดะกู' ส่วนสงกรานต์ในภาษาพม่าเรียกว่า 'เหย่บะแวด่อ' (คำว่า 'เหย่' แปลว่า 'พิธีน้ำ' ส่วน 'บะแวด่อ' แปลว่า 'เทศกาล') รัฐบาลพม่ากำหนดประเพณีสงกรานต์ให้ตรงกับวันที่ 13-17 เมษายนของทุกปี ซึ่งสงกรานต์บ้านเขานี้จัดอย่างจริงจัง สาดกันจริงจังแบบไม่มีคำว่า 'ไม่เปียก'

มาที่ 'สงกรานต์ลาว' ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14-16 เมษายนของทุกปี โดยออกเป็น 3 วัน วันแรกเรียกว่า 'วันสังขารล่วง' ชาวบ้านจะทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปและเตรียมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา วันที่สองเรียกว่า 'วันเนา' ถือเป็นวันแห่งครอบครัว ญาติพี่น้องจะมารวมตัวกันเพื่อบายศรีสู่ขวัญให้แก่ผู้อาวุโส และวันสุดท้ายเรียกว่า 'วันสังขารขึ้น' ถือว่าเป็นวันปีใหม่ที่แท้จริง จะมีการอวยชัยให้พรซึ่งกันและกัน มีการสรงน้ำพระและการแห่นางสังขาร ซึ่งเป็นนางสงกรานต์ของลาวแล้วก็มีการสาดน้ำกันพอกรุบกริบ 

'สงกรานต์กัมพูชา' ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวกัมพูชาเรียกกันว่าเทศกาล “โจลชนัมทเมย” เป็นช่วงต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ในแต่ละปีรัฐบาลกัมพูชาอาจจะกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่ 13-15 หรือ 14-16 เมษายน มีกิจกรรมคล้าย ๆ กันแบ่งงานสงกรานต์ออกเป็น 3 วัน วันแรกทำบุญตักบาตร มีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเตรียมก่อพระเจดีย์ทราย วันที่สองเป็นวันของครอบครัว ช่วงค่ำก็จะมาร่วมกันก่อพระเจดีย์ทราย ส่วนในวันที่สาม จะมีการละเล่นรื่นเริงต่าง ๆ สรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล 

'สงกรานต์สิบสองปันนา' สงกรานต์ของชาวไต หรือชาวไท ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยเฉพาะเมืองเชียงรุ่ง จะจัดงานสงกรานต์ในช่วงวันที่ 13-15 เมษายน เรียกว่าเทศกาล 'พัวสุ่ยเจี๋ย' โดยกิจกรรมหลัก ๆ ที่มีในงานสงกรานต์สิบสองปันนาก็คือ 'การแข่งขันเรือมังกร' ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเทศกาลนี้ นอกจากนี้ก็จะมีการ 'ระบำนกยูง' ที่มีความเชื่อว่านกยูงนำพาความโชคดีมาให้ นอกจากนี้ก็ยังมีการร้องรำทำเพลง การเล่นน้ำ และการรดน้ำดำหัวให้กันและกัน 

'สงกรานต์ของประเทศไทย' แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีบันทึกการเล่นสาดน้ำเหมือนอย่างของพม่า แต่เทศกาลของเราก็มีความลุ่มลึกอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งผูกพันกับการรำลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ด้วยความชุ่มฉ่ำทั้งการสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัว และธรรมเนียมประกอบที่ดีงามไม่แพ้ใคร ๆ อย่างเช่น... 

ภาคเหนือเรามีพิธีความเชื่อเรื่อง 'ปู่สังกรานต์' หรือ 'ย่าสังกรานต์' จึงเป็นเหตุแห่งการจุดประทัดไล่เคราะห์ นอกจากนี้บางแห่งจะมีการทำขนมที่ไว้เฉลิมฉลองสงกรานต์ คือกาละแม ข้าวเหนียวแดงใส่ถั่วลิสงคั่ว ข้าวเหนียวแก้ว ข้าวแตน นางเล็ด ไปถวายวัด เพื่อไปเป็นเสบียงส่งไปให้บรรพบุรุษ 

ภาคอีสาน เราก็มีพิธีเสียเคราะห์ที่ใช้กระทงห้อง ใส่อาหารคาว-หวาน ไปทำพิธีในวัดเมือจบจะนำกระทงไปไว้ในป่าหรือทางแพร่งเพื่อเซ่นผีนำเอาสิ่งไม่ดีออกจากตน ตัวอย่างเช่น วัดไชยศรี จ.ขอนแก่น มีการทำบุญอัฐิบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เรียกว่า 'สักอนิจจา' มีการ 'แห่ต้นดอกไม้' ที่นาแห้ว จ.เลย ซึ่งทำถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อความเป็นมงคลและสร้างความสามัคคีคนในชุมชน (เห็นไหม? สาดน้ำใส่กันมันแค่ส่วนประกอบ) 

ภาคกลางส่วนใหญ่มักประกอบกิจกรรมทางศาสนาเป็นหลัก นอกจากนั้นก็จะมีงานที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง สงกรานต์มอญ ที่ยังรักษาวัฒนธรรมของชาวรามัญ-ไทย ไว้อย่างงดงาม ทั้งที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร หรืออย่างที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ 

ภาคใต้บ้านเราจะเรียกว่า 'วันว่าง' ไม่ทำงาน ไม่ตัดเล็บ ตัดผม ก่อนจะเข้าวัดในวันว่างนี้เพราะเชื่อว่าเทวดาองค์เก่าเมื่อปีก่อนไม่อยู่ จึงต้องพึ่งบารมีพระพุทธก่อนที่วันเถลิงศกจะเข้ามาพร้อมเทวดาองค์ใหม่ก็จะมาประจำเมือง โดยจะแต่งชุดสวย ชุดใหม่ รอรับกันในวันนี้ 

ถึงตรงนี้ที่สงกรานต์คือ กิจกรรมสำคัญที่ผมอยากจะชวนให้ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านไปค้นหาและสัมผัสความดีงามเหล่านั้นด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งผมเชื่อว่าแม้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะทำให้ประเพณีสงกรานต์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ความเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของปี ความรื่นเริงสนุกสนานและการระลึกถึงบรรพบุรุษ ครอบครัว ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ จะยังคงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่และสืบทอดต่อไปอีกนานเท่านาน สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ

เปิดเรื่องราว ‘Liu Mingqun’ พนง.ทำความสะอาดในกรุงปักกิ่ง สู่การเป็น ‘สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติ’ สมัยที่ 14

เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประชาธิปไตยของจีน ควรจะต้องตั้งคำถามด้วยว่า คนอย่าง Liu Mingqun ผู้เป็นเพียงพนักงานรักษาความสะอาดธรรมดา ๆ คนหนึ่งจะสามารถมีสิทธิมีเสียงกลายเป็นนักการเมืองได้ทำงานในรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยของโลกตะวันตกหรือไม่???

สภาประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress: NPC) เป็นสภานิติบัญญัติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่เป็นรัฐสภา (State) ด้วยรัฐธรรมนูญของจีนกำหนดให้สภาประชาชนแห่งชาติเป็นองค์กรอำนาจรัฐสูงสุด มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ, ควบคุมดูแลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ, ตราและแก้กฎหมาย, เลือกตั้ง ถอดถอนและโยกย้ายประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี มนตรีแห่งรัฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง และตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ, ตรวจสอบและอนุมัติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรายงานการปฏิบัติงาน, ตรวจสอบและอนุมัติงบประมาณแผ่นดินและรายงานการปฏิบัติงาน, ตัดสินใจเรื่องเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ ฯลฯ โดยการผ่านมติในเรื่องต่าง ๆ ต้องได้รับเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมด

สำหรับสภาประชาชนแห่งชาติเป็นรัฐสภาที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก โดยสมัยที่ 14 ซึ่งเป็นสมัยปัจจุบันมีสมาชิก 2,977 ที่นั่ง เป็นสตรี 790 ที่นั่ง (มากที่สุดตั้งแต่มีสภาฯ) ตัวแทนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ 442 ที่นั่ง (รวมถึงฮ่องกง 36 ที่นั่ง มาเก๊า 12 ที่นั่ง และไต้หวัน 6 ที่นั่ง) สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติมาจากการคัดเลือก ดำรงตำแหน่งวาระละห้าปี การจัดประชุมใหญ่ประจำปีจะจัดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่อง 10 ถึง 14 วัน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่ง

Liu Mingqun เป็นสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติสมัยปัจจุบันคือสมัยที่ 14 เธอเป็นเพียงเจ้าหน้าที่สุขาภิบาล ทำหน้าที่พนักงานทำความสะอาด ประจำสถานีจัดเก็บขยะเขต Shijingshan ในกรุงปักกิ่ง สถานีจัดเก็บขยะนี้มีหน้าที่รวบรวมและแปรรูปขยะจากครัวเรือนในพื้นที่บริการกว่า 

10,000 ครัวเรือน โดยมีกำลังการจัดเก็บขยะมากกว่า 15 ตันต่อวัน เธอมักจะไปทำงานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงเสมอเพื่อทำความสะอาดสถานีขยะและฆ่าเชื้อรถบรรทุกขยะ ต้องขอบคุณความพยายามอย่างต่อเนื่องของ Liu Mingqun จนทำให้สถานีจัดเก็บขยะแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สถานีจัดเก็บขยะที่สะอาดที่สุดในกรุงปักกิ่ง’ จากเพื่อนร่วมงานของเธอและชาวบ้านผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง

หลังจากได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติแล้ว Liu Mingqun ก็ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่อเก็บเกี่ยวรวบรวมความรู้ใหม่ ๆ มากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ของเธอได้ดียิ่งขึ้น เธอมักจะไปค้นคว้า พูดคุยสื่อสารกับแรงงานจากชนบทเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา และพูดคุยกับคนในชุมชนเกี่ยวกับแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัยเก่า เธอได้นำญัตติ ‘การแยกขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น’ แนะเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อการจำแนกประเภทขยะมานำเสนอในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติสมัยปัจจุบันคือสมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 โดยเธอหวังที่จะปรับปรุงความแม่นยำของการจำแนกประเภทขยะในครัวเรือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานรีไซเคิล 

(Liu Mingqun ขณะสำรวจตัวเองหน้ากระจกในสถานีจัดเก็บขยะของเขต Shijingshan ในกรุงปักกิ่ง เมืองเอกของจีน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024)

(Liu Mingqun พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในระหว่างการประชุมกลุ่มของคณะผู้แทนปักกิ่งในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun (ที่ 2 จากขวา) ระหว่างการประชุมกลุ่มคณะผู้แทนปักกิ่งในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun เข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) สมัยที่ 14 ครั้งที่ 2 ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2024)

(Liu Mingqun ที่สำนักงานของสถานีจัดเก็บขยะในเขต Shijingshan กรุงปักกิ่ง เมืองเอกของจีน เเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024 (Xinhua/Chen Zhonghao)

เรื่องราวของนักการเมืองเยี่ยงนี้ แบบนี้ เช่นนี้ ยากที่จะเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยอย่างแน่นอน ด้วยเพราะการเข้าสู่วงการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งคือการใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเป็นการเลือกตั้งตามคุณภาพของเงินที่ใช้ในการหาเสียง หรือซื้อเสียง แม้แต่พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดในบ้านเราก็ใช้ทรัพยากรมหาศาลในการชวนเชื่อและสร้างกระแส ดังนั้น การเมืองในระบอบประชาธิปไตยนักการเมืองที่มีคุณภาพแต่ไม่มีเงินหรือไม่มีผู้สนับสนุนจึงยากที่จะได้เข้าไปทำหน้าที่ตามความรู้ความสามารถอย่างถูกต้องเหมาะสม ปัจจุบันทุกวันนี้เราจึงพบเห็นแต่เรื่องราวข่าวคาวฉาวโฉ้ของนักการเมืองในระบบเลือกตั้งซึ่งมีอยู่ทั่วไป ฉะนั้นเมื่อผู้เลือกตั้งและผู้รับเลือกตั้งต่างก็ไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพ การเมืองก็จะไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพ แล้วก็จะทำให้ชาติบ้านเมืองไม่ซื่อสัตย์และไร้คุณภาพตามไปด้วย…เป็นวัฏจักรเช่นนี้ตลอดไป

'ฟุตบอล' กีฬาแห่งการรวมใจคนทั้งชาติ  วิวัฒนาการพันปีที่มีจุดเริ่มจากแดนมังกร

หากพูดถึงกีฬาที่คนทั้งโลกนิยมทั้งเล่นและชม กีฬาประเภทนั้นคงไม่พ้นกีฬา 'ฟุตบอล' ซึ่งเป็นกีฬาเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก เก่าแก่ขนาดไหน และมาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไร ผมพอจะเรียบเรียงเรื่องให้อ่านกันเพลิน ๆ ได้แบบนี้ 

พอนึกถึงต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอล เราคงจะนึกถึงประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีทีมฟุตบอลยอดนิยมอยู่หลายต่อหลายทีม แต่คุณรู้ไหม? จุดกำเนิดของฟุตบอลมันกลับมาจากกีฬาที่เล่นกันในประเทศจีนเมื่อตั้งแต่ประมาณ ๒,๖๐๐ ปีก่อนคริสตกาล 

กีฬาโบราณของจีนที่เชื่อว่ามันคือต้นกำเนิดของฟุตบอลมีชื่อเรียกว่า 'ชู่จีว์' (蹴鞠) จากบันทึก 'สื่อจี้' ของ 'ซือหม่าเชียน' ผู้บันทึกประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) มาจนถึงสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก) ได้บันทึกไว้ว่า 'ชู่จีว์' เป็นกิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายรูปแบบหนึ่งของประชาชนทั่วไปโดยมีกำเนิดราว ๕,๐๐๐ ปีก่อน ในสมัยก่อนเกิดจักรพรรดิ จากนั้นถูกนำเข้าไปสู่การเล่นเผื่อการผ่อนคลายของทหารในช่วงราว ๒,๕๐๐ ปีก่อนในยุคสงครามระหว่างแคว้นครั้งใหญ่ และมาได้รับความนิยมถึงขีดสุดในยุคราชวงศ์ฮั่น ในช่วง ๒๐๖ ปีก่อนคริสตกาล

'ชู่จีว์' (蹴鞠) มีความหมายตรงตัวว่า 'เตะบอล' โดยมักถูกนำไปเล่นในกองทัพเพื่อเป็นการฝึกทหาร ในสมัยราชวงศ์ฮั่นไปจนถึงยุคสามก๊กกีฬาประเภทนี้ถือว่าเป็นกีฬายอดนิยมเลยทีเดียว เพราะมีการสร้างสนามแข่งขันที่มีในค่ายทหารทุกแห่ง เรียกว่า 'จูซาง' เพื่อไว้ใช้แข่งขันโดยเฉพาะ โดยมีเสาประตูเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และมีลูกบอลทำจากขนนก กติกาการแข่งขันก็จะคล้าย ๆ ฟุตบอลในปัจจุบันคือ แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย มีผู้เล่นฝ่ายละ ๑๒ คน ห้ามใช้มือสัมผัสลูกบอล แต่ผู้เล่นสามารถกระแทกกัน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันได้ ชิงไหวชิงพริบ ชิงจังหวะเข้าทำประตู มีลักษณะคล้ายกับรักบี้ผสมฟุตบอล ฝ่ายไหนเตะบอลเข้าประตูของคู่แข่งได้มากกว่าฝ่ายนั้นก็คือผู้ชนะ 

ลูกบอลแบบขนนกถูกปรับมาเป็นลูกบอลหนังที่มีอากาศบรรจุไว้ภายในช่วงยุค 'ราชวงศ์ถัง' ซึ่งเป็นช่วงราชวงศ์ที่มีความเป็นปึกแผ่นสูง 'จูซาง' ได้ถูกสร้างไว้อย่างแพร่หลายในนครหลวง 'ฉางอัน' และมารุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงสมัย 'ราชวงศ์ซ่ง' เพราะมีการแข่งขัน 'ชู่จีว์' ในรูปแบบ Tournament ซึ่งมีการเชียร์กันอย่างเอิกเกริกและเริ่มส่งต่อกีฬาประเภทนี้ไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ได้เข้ามาค้าขายในประเทศจีน ณ ช่วงเวลานั้นอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี ไปจนถึงพ่อค้าชาวตะวันตก ซึ่งนักประวัติศาสตร์กีฬาสันนิษฐานว่า 'ชู่จีว์' น่าจะไปถึงยุโรปและพัฒนามาเป็นฟุตบอลในรูปแบบของประเทศอังกฤษในเวลาต่อมา 

จากหลักฐานยืนยันด้วยภาพวาดยุคโบราณ บันทึกและการค้นพบเหรียญบรอนซ์ที่แกะสลักเป็นรูป 'ชู่จีว์' ทำให้ ใน ค.ศ. ๒๐๐๔ การแถลงข่าวของงานมหกรรมฟุตบอลนานาชาติแห่งประเทศจีนครั้งที่ ๓ 'เซปป์ แบลตเตอร์' ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ในขณะนั้นได้ประกาศว่า 'จีนเป็นแหล่งกำเนิดของกีฬาฟุตบอล'

คราวนี้เราข้ามไปที่ฝั่งอังกฤษเพื่อรู้จักกับฟุตบอลที่แพร่หลายในปัจจุบันกันบ้าง โดยนักประวัติศาสตร์ระบุว่าคำว่า Football เกิดขึ้นโดย 'พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๒ แห่งอังกฤษ' เมื่อปี ค.ศ.๑๓๑๔ แต่คำว่า Football นี้กลับเป็นประกาศที่พระองค์ห้ามเล่นกีฬาประเภทนี้ !!! เพราะมันหนวกหูจากเสียงเชียร์และการตะโกนใส่กัน (งั้นก็แสดงว่าเขาเล่นกีฬาแย่งลูกบอลแบบนี้เล่นกันมาก่อนยุคของพระองค์แล้วสิ ???) 

ในยุคแรกกีฬาฟุตบอลของอังกฤษเริ่มต้นขึ้นในสถานศึกษาที่มีสนามหญ้า จนกระทั่งในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๕๗ กลุ่มนักเรียนเก่าในเมืองเชฟฟีลด์ (Sheffield) รวมตัวกันก่อตั้ง 'สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์” (Sheffield Football Club) ขึ้นเป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกของอังกฤษและของโลก โดยมีการแข่งขันครั้งแรกระหว่าง 'สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์' (Sheffield Football Club) กับ กับ 'สโมสรฟุตบอลฮัลลัม' (Hallam football club) ซึ่งอยู่ในเมืองเดียวกัน ในปี ค.ศ. ๑๘๖๒ 

แต่กระนั้นการแข่งขันฟุตบอลก็ยังมีกติกาสะเปะสะปะไปตามแต่ละพื้นที่แล้วแต่ใครจะยึดถือ เช่น กฎของเคมบริดจ์และกฎของเชฟฟีลด์ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้เล่น จนกระทั่ง FA ของอังกฤษถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ กฎและกติกาของฟุตบอลจึงเริ่มเป็นรูปธรรมจากการประชุมครั้งแรกในกรุงลอนดอน ซึ่งมีตัวแทนจาก ๑๒ สโมสรเข้าร่วม ซึ่งตัวตั้งตัวตีในการประชุมครั้งนั้นก็คือ 'อีเบเนเซอร์ โคบบ์ มอร์ลีย์' (Ebenezer Cobb Morley) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น 'บิดาของสมาคมฟุตบอลและฟุตบอลสมัยใหม่: ซึ่งกติกาและรูปแบบการเล่นฟุตบอลก็ได้พัฒนาขึ้นจากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน 

โดยการแข่งขันรายการฟุตบอลแรกของอังกฤษและของโลกก็คือการแข่งขันที่ชื่อว่า FA Cup เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๒ ซึ่งเป็นการแข่งขันในรูปแบบแพ้ตกรอบ แต่กระนั้นก็เป็นการแข่งขันที่ทุกสโมสรตั้งตารอเพื่อเข้าแข่งขัน เพราะมันคือรายการที่สโมสรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็มีโอกาสเข้ารอบและตกรอบได้เหมือนกัน ก่อนที่จะเกิดระบบ League ที่มีการแข่งขันเพื่อเก็บสะสมคะแนนแล้วจัดลำดับในเวลาต่อมา

แล้วในประเทศไทยล่ะกีฬาฟุตบอลเข้ามายังไง ? และเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ? 

กีฬาฟุตบอลในไทยเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๕ พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่าง ๆ ที่ประเทศอังกฤษ โดยหนึ่งในนั้นคือ 'ครูเทพ' เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับเข้ามาเล่นในประเทศไทยเป็นคนแรก ทั้งยังจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการแรกของประเทศไทยระหว่าง 'ทีมชาวบริเตนบางกอก' กับ 'ทีมกรมศึกษาธิการ' ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ โดยใช้กติกาของ FA 

เมื่อเริ่มแรกกีฬาฟุตบอลถูกคัดค้านเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลที่ว่า สยามเป็นเมืองอากาศร้อน ทั้งยังก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่น และผู้ชมได้ง่าย ฯลฯ เอาว่าอะไรใหม่ ๆ ก็อย่างนี้แหละมักจะโดนค้านไว้ก่อน แต่หลังจากนั้นทุกคำครหาก็ค่อย ๆ เงียบไป เพราะ 'พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงเป็นนักเรียนเก่าจากอังกฤษทรงจัดตั้ง 'สโมสรคณะฟุตบอลสยาม' ซึ่งมีพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงลงแข่งขันเป็นผู้เล่นเอง ทั้งส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์อีกด้วย โดยรายการนานาชาติรายการแรกของสยามระหว่าง 'ทีมชาติสยาม' กับ 'ทีมราชกรีฑาสโมสร' เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ 

จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามขึ้น โดยทรงรับเข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมี 'เจ้าพระยารามราฆพ' (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นนายกสมาคม ฯ คนแรก 

ในปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๙ รัชกาลที่ ๖ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ริเริ่มการแข่งขัน 'การแข่งขันฟุตบอลสำหรับพระราชทานถ้วยทองของหลวง' โดยถ้วยรางวัลทำด้วยทองคำแท้ขึ้น มี ๑๒ ทีมเข้าร่วม ได้แก่ นักเรียนนายร้อยทหารบก, นักเรียนนายเรือ, นักเรียนตำรวจภูธร, นักเรียนสารวัตร, กรมนักเรียนเสือป่าหลวง, เสือป่าเสนากลาง, เสือป่ากองพันพิเศษ รักษาพระองค์, กรมเสือป่าราบหลวง, กรมพรานหลวง, กรมเสือป่าม้าหลวง, กรมทหารมหาดเล็ก และกรมทหารรักษาวังซึ่งต่อมาการแข่งขันนี้จะรู้จักกันในชื่อฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. 

เมื่อแข่งขันกันครบ ๒๙ นัด ผลปรากฏว่า 'สโมสรนักเรียนนายเรือ' ที่กล่าวกันว่า 'เสด็จเตี่ย' กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อดีตนักฟุตบอลโรงเรียนนายเรือของประเทศอังกฤษ คือผู้นำกีฬาลูกหนังเข้าไปสู่รั้วโรงเรียนนายเรือ มีคะแนนเป็นอันดับที่ ๑ จากการลงสนามแบบพบกันหมด จึงได้ครองถ้วยทองของหลวงเป็นสโมสรแรก

จากฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. ซึ่งเรียกว่า 'ถ้วยใหญ่' ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เรายังมีการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานระดับชั้นที่ ๒ ของประเทศไทย โดยจัดการแข่งขันครั้งแรกในปีเดียวกัน โดยสโมสรทหารราชวัลลภ ได้ตำแหน่งชนะเลิศในรายการนี้เป็นสโมสรแรก ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่าการแข่งขันชิง 'ถ้วยน้อย' ก่อนที่การแข่งขันในประเทศไทยจะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย

จนในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร' รัชกาลที่ ๙ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ขอพระราชทานถ้วยพระราชทานเพิ่มเติม คือ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ค. และ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง. ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชื่อ 'ฟุตบอลถ้วยใหญ่' และ 'ฟุตบอลถ้วยน้อย' เป็น ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. และ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ข.

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ สมาคมฟุตบอลฯ ดำเนินการจัดแข่งขัน ฟุตบอลอาชีพในระบบลีกขึ้น โดยผ่านช่วงล้มลุกคลุกคลาน ปรับเปลี่ยน มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนจะลดบทบาท ลดทอนและพัฒนามาจนเป็นการแข่งขัน 'ไทยลีก' อย่างในปัจจุบัน

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เพียงแค่อยากจะเล่าให้ทุกท่านได้สัมผัสว่า 'ฟุตบอล' มันเป็นอะไรที่มากกว่ากีฬา มันมีแหล่งกำเนิดที่หลากหลายมากกว่าที่เราจะบันทึกสรุปได้ในบทความสั้น ๆ แต่กระนั้นผมก็เชื่อว่ากีฬาชนิดนี้ยังคงเดินหน้าและเติบโตต่อไป ทั้งในเรื่องผลประโยชน์ โอกาสทางเศรษฐกิจ โอกาสแห่งชีวิต ฯลฯ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น 'ฟุตบอล' คือกีฬาที่ช่วยรวมใจคนทั้งชาติได้ เป็น 'กีฬาที่เป็นมากกว่ากีฬา' ของจริง 

‘Project Azorian’ ปฏิบัติการ ‘ลวง-ลับ-พราง’ ของสหรัฐอเมริกา ใช้ CIA แฝงตัวกู้ซากเรือดำน้ำ K-129 หวังล้วงข้อมูลขีปนาวุธโซเวียต

Project Azorian (โครงการอะโซเรียน) เป็นโครงการของสำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) เพื่อการกู้ซากเรือดำน้ำ K-129 ของโซเวียตที่จมจากพื้นมหาสมุทรแปซิฟิกในปี 1975 โดยเรือ Hughes Glomar Explorer ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ เรือดำน้ำ K-129 จมในปี 1968 ที่ประมาณ 1,600 ไมล์ (2,600 กม.) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฮาวาย โดย Project Azorian เป็นหนึ่งในปฏิบัติการข่าวกรองที่ซับซ้อน ราคาแพง และเป็นความลับที่สุดในห้วงสงครามเย็น โดยมีมูลค่าราว 800 ล้านดอลลาร์หรือกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน


(เรือดำน้ำ K-129)

เรือดำน้ำ K-129 หรือที่กองทัพเรือโซเวียตเรียกเรือชั้นนี้ว่า Project 629 แต่สหรัฐฯ และกองทัพนาโต้เรียกว่า ‘Golf’ ด้วยระหว่างขับน้ำ 2,700 ตัน ความยาว 100 เมตร ความกว้าง 8.5 เมตร เป็นเรือดำน้ำใช้เครื่องยนต์ดีเซล 3 เครื่อง และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 3 เครื่อง สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 17 นอต (31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ปฏิบัติงานในทะเลได้ 70 วัน และมีลูกเรือ 83 นาย เรือดำน้ำชั้นนี้ติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี (Ballistic Missile Submarine) โดยมีท่อยิงขีปนาวุธ 3 ท่อ สามารถติดตั้งขีปนาวุธทางยุทธวิธี (Tactical Ballistic Missiles) แบบ R11 FM หรือ ‘Scud’

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1968 กัปตัน Vladimir I. Kobzar และลูกเรือดำน้ำ K-129 นำเรือดำน้ำ K-129 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนครั้งที่ 3 ของเรือลำนี้ รายงานจากเรือส่งกลับมาว่า การแล่นตามทิศทางที่กำหนดเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่เมื่อเรือดำน้ำ K-129 ข้ามเส้นรุ้งที่ 180 (180th meridian) ก็ขาดการติดต่อ แม้จะมีความพยายามติดต่อกับเรือจากฐานทัพเรือ Kamchatka แต่ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากเรือลำนี้ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงกลางเดือนมีนาคม กองทัพเรือโซเวียตจึงประกาศว่าเรือลำนี้สูญหาย การค้นหาและกู้ภัยทางอากาศบนพื้นผิวมหาสมุทรและใต้ทะเล จากทางแปซิฟิกเหนือบริเวณตั้งแต่ Kamchatka ไปจนถึง Vladivostok จึงเริ่มขึ้น เมษายน 1968 กองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของสหภาพโซเวียต และอากาศยานถูกสังเกตว่า มีการเคลื่อนย้ายกำลังไปยังตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการค้นหาที่มีความผิดปกติบางอย่าง สำนักงานข่าวกรองทางเรือสหรัฐอเมริกา (ONI) ประเมินว่า เป็นปฏิกิริยาที่น่าจะเกิดขึ้นจากการสูญเสียเรือดำน้ำของโซเวียต การค้นหาด้วยเรือผิวน้ำของโซเวียตมีศูนย์กลางอยู่บริเวณซึ่งทราบว่า เกี่ยวข้องกับเส้นทางลาดตระเวนเรือดำน้ำดีเซลติดขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ ชั้น ‘Golf’ II (SSB) ของโซเวียต เรือดำน้ำแบบนี้บรรทุกขีปนาวุธนิวเคลียร์ 3 ลูกในเรือ และประจำการในระยะยิงขีปนาวุธไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ หลังจากการค้นหาหลายสัปดาห์โซเวียตก็ยังไม่สามารถค้นหาเรือแม้แต่ร่องรอยหรือซากเรือที่จมได้ และปฏิบัติการของกองเรือแปซิฟิกของโซเวียตก็จึงค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติ 

ขณะเดียวกันกองทัพเรืออเมริกันก็ได้เริ่มค้นหาจากเครือข่ายของระบบเฝ้าระวังเสียง ( SOSUS ) ซึ่งเป็นระบบโซนาร์แบบพาสซีฟที่พัฒนาโดยกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเพื่อติดตามเรือดำน้ำของโซเวียต ระบบดังกล่าวที่อยู่ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกได้ทำการตรวจสอบการบันทึก โดยหวังว่าจะตรวจพบการระเบิดที่เกี่ยวข้องกับการสูญหายของเรือดำน้ำ K-129 ลำดังกล่าว กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล Acoustic (คลื่นเสียงที่เดินทางผ่านตัวกลาง

ต่าง ๆ) จากที่ตั้ง AFTAC 4 แห่ง และ Array ณ สถานีทหารเรือ Adak มลรัฐ Alaska ใช้ SOSUS ค้นหาซากเรือดำน้ำภายใน 5 ไมล์ทะเล ซึ่งสถานที่นี้อยู่ห่างจากพื้นที่ค้นหาของกองทัพเรือโซเวียตหลายร้อยไมล์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกทางเรือ (NAVFAC) Point Sur ทางตอนใต้ของเมือง Monterrey มลรัฐ California สามารถแยกลายเซ็นโซนิคในการบันทึก Array ความถี่ต่ำของเหตุการณ์การระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 1968 โดยใช้วันที่และเวลาของเหตุการณ์จาก NavFac Point Sur NavFac Adak และ US West Coast NAVFAC ก็สามารถแยกเหตุการณ์ Acoustic ได้เช่นกัน ด้วย SOSUS 5 เส้น ในที่สุดหน่วยสืบราชการลับของกองทัพเรือสหรัฐฯก็สามารถก็กำหนดพิกัดที่แน่นอนของซากเรือดำน้ำ K-129 โดยระบุตำแหน่งว่า อยู่ใกล้กับละติจูด 40.1 ° N และลองจิจูด 179.9 ° E (ใกล้เคียงกับเส้นวันที่ระหว่างประเทศ) 

(ซากเรือดำน้ำ K-129 ถ่ายด้วยกล้องควบคุมระยะไกลของหุ่นยนต์ของเรือ USS Halibut)

ทั้งนี้ กรกฎาคม 1968 กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้เริ่ม ‘ปฏิบัติการ Sand Dollar’ ด้วยเรือดำน้ำ USS Halibut จากฐานทัพเรือ Pearl Harbor ไปยังจุดจมของซากเรือดำน้ำ K-129 วัตถุประสงค์ของปฏิบัติการ Sand Dollar คือ การค้นหาและถ่ายภาพซากเรือดำน้ำ K-129 โดย USS Halibut เป็นเรือดำน้ำที่สามารถใช้อุปกรณ์ค้นหาใต้น้ำลึกซึ่ง และเป็นเรือดำน้ำที่มีอุปกรณ์พิเศษเพียงชนิดเดียวของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในขณะนั้น โดย USS Halibut พบซากเรือดำน้ำ K-129 หลังจากการค้นหา 3 สัปดาห์ โดยการใช้กล้องควบคุมระยะไกลของหุ่นยนต์ (แต่ต้องใช้เวลาค้นหาเกือบห้าเดือนกว่าจะพบซากเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ USS Scorpion ในมหาสมุทรแอตแลนติกในปี 1968 เช่นกัน) USS Halibut ใช้เวลาหลายสัปดาห์ต่อมาในการถ่ายภาพแบบ Closed up กว่า 20,000 ภาพในทุกแง่มุมของซาก K-129 ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ USS Halibut ได้ถูกหน่วยงานพิเศษของประธานาธิบดีใช้อ้างอิง ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ในปี 1968

ต่อมาในปี 1970 จากการถ่ายภาพชุดนี้ Melvin Laird และ Henry Kissinger ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอแผนลับในการกู้ซาก K-129 เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถศึกษาเทคโนโลยีขีปนาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต และอาจกู้คืนวัสดุที่ใช้ในการเข้ารหัส ข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับจากประธานาธิบดี Richard Nixon และ CIA ได้รับมอบภารกิจในการกู้ซาก K-129 ด้วยโครงการ Project Azorian อันเป็นชื่อปฏิบัติการกู้เรือในครั้งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการลับสุดยอดที่ปฏิบัติการในช่วงสงครามเย็นของสหรัฐอเมริกา เป็นปฏิบัติการที่มีค่าใช้จ่ายมากที่สุดตลอดช่วงสงครามเย็น ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี ในการเตรียมการ ภายหลังจากการจมของเรือดำน้ำ K-129 ในปี 1968 ฝ่ายสหรัฐฯ จำต้องรอเวลาและวางแผนให้ปฏิบัติการนี้

ต้องทำให้ดูเหมือนเป็นงานของพลเรือนมากกว่าจะเป็นงานด้านการทหาร การจะเคลื่อนสรรพกำลังไปยังจุดที่เรือดำน้ำโซเวียตจมอยู่ก็เป็นความท้าทายแรก และความท้าทายอย่างต่อมาคือการนำเรือดำน้ำขนาด 2,700 ตัน ขึ้นมาจากใต้ทะเลโดยมิให้พวกโซเวียตล่วงรู้ เป็นอีกความท้าทายที่ยากลำบากของฝ่ายอเมริกัน

(เรือ GSF Explorer)

ทั้งนี้ เรือ GSF Explorer เดิมคือ เรือ USNS Hughes Glomar Explorer (T-AG-193) ต่อโดย Global Marine Development Inc. หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของ Global Marine Inc. ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการขุดเจาะนอกชายฝั่งน้ำลึกได้รับสัญญาให้ออกแบบและสร้าง Hughes Glomar Explorer เพื่อกู้เรือดำน้ำโซเวียตที่จมอย่างลับ ๆ เรือถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือ Sun ใกล้เมือง Chester มลรัฐ Pennsylvania โดย Howard Hughes มหาเศรษฐีนักธุรกิจซึ่งมี บริษัทต่าง ๆ มากมาย และเป็นผู้รับเหมาเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร เครื่องบิน และสัญญาดาวเทียมหลายประเภทของสหรัฐฯ ตกลงที่จะให้ชื่อของเขาโดยอ้างว่า เป็นโครงการเรือขุดแมงกานีสจากพื้นมหาสมุทร แต่ Hughes และบริษัทของเขาไม่มีส่วนร่วมในโครงการเลย โดยมีการจัดฉากเซ็นสัญญาว่าจ้างอย่างเป็นทางการให้บริษัทของเขา ออกแบบสร้างเรือขุดเจาะลำนี้ขึ้นมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1972 เรือก็ถูกปล่อยลงน้ำ ด้วยระวางขับน้ำ 57,000 ตัน ยาว 619 ฟุต (189 ม.) ในชื่อ เรือ Hughes Glomar Explorer (HGE) มีความยาว 189 เมตร กว้าง 35 เมตร ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไฟฟ้า โดยมีความเร็วสูงสุด 10 นอต (19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ลูกเรือประจำ 160 นาย 

หากมองเรือลำนี้จากภายนอก จะเห็นเป็นเรือขุดเจาะธรรมดาทั่วไปที่มีแท่นขุดเจาะขนาดใหญ่อยู่กลางลำเรือและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ดูแล้วสมกับงานที่กำลังจะไปทำ แต่ทว่าภายในลำตัวเรือ HGE มีช่องเปิดขนาดใหญ่ที่สามารถนำเรือดำน้ำขนาดเล็กและขนาดใหญ่เข้ามาภายในได้ รวมทั้งยังมีปั้นจั่นขนาดใหญ่ที่เหมือนกับแขนมหึมา สามารถดำลงไปหยิบจับสิ่งอยู่ใต้ทะเลเข้ามาตรงช่องเปิดขนาดใหญ่ที่มีอยู่บริเวณกลางลำตัวเรือได้ อุปกรณ์กู้มีลักษณะเป็นกรงเล็บจักรกลขนาดใหญ่ ซึ่ง Lockheed สร้างมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘Capture Vehicle’ แต่เรียกกันติดปากว่า Clementine ยานจับได้รับการออกแบบให้ลดระดับลงสู่พื้นมหาสมุทรจับลำตัวเรือดำน้ำเป้าหมาย จากนั้นก็ดึงส่วนนั้นขึ้นในที่ยึด ข้อกำหนดประการหนึ่งของเทคโนโลยีนี้คือ การรักษาฐานลอยน้ำให้มั่นคง และอยู่ในตำแหน่งเหนือจุดคงที่พอดี คือ 16,000 ฟุต (4,900 ม.) ใต้พื้นผิวมหาสมุทร ตัวยานจับจะถูกลดระดับ และยกขึ้นบนท่อร้อยสายแบบเดียวกับที่ใช้กับแท่นขุดเจาะน้ำมัน ท่อเหล็กยาว 30 ฟุต (9.1 ม.) แต่ละส่วนถูกร้อยเข้าด้วยกันเป็นก้ามปูผ่านรูตรงกลางเรือ โครงแบบนี้ออกแบบโดย Western Gear Corp. จากเมือง Everett มลรัฐ Washington เมื่อกรงเล็บจับได้สำเร็จ ‘วัตถุเป้าหมาย’ จะถูกดึงขึ้นเข้าไปในตัวเรือ HGE กระบวนการกู้ซากทั้งหมดเกิดขึ้นใต้น้ำห่างจากการมองเห็นของเรือลำอื่น เครื่องบิน หรือดาวเทียมสอดแนม

จุดเก็บกู้ของ K-129 โดยอาศัยจุดตัดของวงกลมสามวงที่ทำเครื่องหมายระยะทางไปยัง Long Beach, CA, Pearl Harbor, HI และ Petropavlovsk, Kamchatka ซากเรือดำน้ำ K-129 จมที่ความลึกกว่า 16,000 ฟุต (4,900 ม.) และด้วยเหตุนี้ปฏิบัติการกู้ซากเรือจึงอยู่เลยระดับความลึกของปฏิบัติการกู้เรือใด ๆ ที่เคยพยายามมาก่อน เรือ Hughes Glomar Explorer เดินทาง 3,008 ไมล์ทะเล (5,571 กม.) จากเมือง Long beach มลรัฐ California เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1974 มาถึงสถานที่กู้ซากเรือดำน้ำ K-129 ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1974 และใช้เวลากู้ซากเรือดำน้ำ K-129 นานกว่าหนึ่งเดือน ในช่วงเวลานี้มีเรือรบของกองทัพเรือโซเวียตอย่างน้อยสองลำเข้ามาสำรวจตรวจสอบพื้นที่ปฏิบัติงานของเรือ Hughes Glomar Explorer ได้แก่เรือลากจูงในมหาสมุทร SB-10 และเรือตรวจวัดระยะขีปนาวุธของโซเวียต Chazma 

เรือดำน้ำขนาดเล็กและนักประดาน้ำในชุดดำน้ำลึกที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เรือดำน้ำขนาดเล็กดำลงไปยังซากเรือมรณะของโซเวียตลำนี้ ทีมกู้ซากเรือติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนำเรือดำน้ำลำนี้เข้าไปภายในช่องที่อยู่ภายในลำตัวเรือ Hughes Glomar Explorer ปั้นจั่นขนาดใหญ่ ถูกหย่อนลงไปในน้ำ ดำดิ่งลงไปหาเรือดำน้ำโซเวียตที่จอดสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเล มือของมันหยิบเรือดำน้ำโซเวียตราวกับมือของมนุษย์ที่หยิบจับสิ่งของ ค่อย ๆ ดึงขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่ในขณะที่เหลือระยะทางอีกเพียงครึ่งหนึ่งก่อนที่ซากเรือดำน้ำโซเวียตจะไปถึงช่องภายในลำตัวเรือ Hughes Glomar Explorer หนึ่งในแขนเหล็กขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ล็อกลำตัวเรือดำน้ำ K-129 เอาไว้เกิดขัดข้องขึ้น มันหยุดทำงานและทำให้ลำตัวเรือดำน้ำโซเวียตเอียงตะแคงข้าง ส่งผลให้ประตูท่อยิงขีปนาวุธเปิดออกพร้อมกับขีปนาวุธที่ค่อย ๆ ไหลออกมาจากท่อ โดยโผล่ออกมาจากท่ออย่างช้า ๆ ซึ่งทีมกู้ซากเรือไม่สามารถทำอะไรได้เลย พวกเขาต่างพากันสวดภาวนาไม่ให้เกิดหายนะร้ายแรงขึ้น เพราะขีปนาวุธเหล่านี้เมื่อมันหล่นลงไปกระแทกกับพื้นทะเลอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้ และชีวิตทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้จะต้องตายเพราะแรงระเบิด เมื่อขีปนาวุธโผล่พ้นท่อยิงออกมา มันจึงร่วงหล่นลงไปสู่จุดที่เรือดำน้ำ K-129 เคยจมอยู่อย่างรวดเร็ว ทุกคนบนเรือต่างกลั้นหายใจและพากันหาที่ยึดจับบนตัวเรือเอาไว้ เมื่อเสียงของการกระแทกดังขึ้นและเงียบหายไป จึงทำให้ทุกคนโล่งอกหลังจากลุ้นกันจนตัวโก่งกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้

แต่เมื่อซากเรือดำน้ำ K-129 เกิดเอียงตะแคงข้างเช่นนี้ เลยส่งผลให้น้ำหนักของลำตัวเรือกดทับไปที่อีกด้านหนึ่งของแขนเหล็กขนาดใหญ่ที่ล็อกลำตัวเรือเอาไว้ ส่งผลให้รับน้ำหนักไม่ไหว และทำให้หักพร้อมกับลำตัวเรือดำน้ำที่ฉีกขาด วินาทีนั้นทุกคนบนเรือ Hughes Glomar Explorer ต้องลุ้นระทึกอีกครั้ง เพราะลำตัวทั้งลำอาจจะหล่นลงไปกระแทกเข้ากับขีปนาวุธที่หล่นลงไปก่อนหน้านี้ และอาจทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ เสียงสวดมนต์และร้องเรียกหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของลูกเรือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนต่างคิดว่า ไม่รอดแน่แล้ว จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที เมื่อไม่มีการระเบิดเกิดขึ้นหรือมีสัญญาณอันตรายใด ๆ จึงทำให้รู้ว่าปลอดภัยแล้ว แต่ผลก็คือ เรือ HGE ต้องประสบความล้มเหลวขั้นวิกฤตส่งผลให้ส่วนข้างหน้าแตกออกเป็นสองส่วน ชิ้นส่วนที่มีพื้นที่การเดินเรือที่สำคัญและส่วนตรงกลางตกลงสู่พื้นมหาสมุทร ดังนั้นพื้นที่แล่นเรือตรงกลางและส่วนหลังของ K-129 จึงถือว่า การกู้เรือดำน้ำ K-129 ไม่สำเร็จ สิ่งที่ถูกดึงขึ้นมาอย่างแน่นอนจัดอยู่ในประเภท Secret Noforn หรือ Top Secret แต่โซเวียตสันนิษฐานว่า สหรัฐฯ สามารถกู้ตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ คู่มือปฏิบัติการ สมุดรหัส และเครื่องเข้ารหัสได้

นอกจากนี้ แหล่งข่าว (ไม่เป็นทางการ) อีกราย ระบุว่า สหรัฐฯ สามารถกู้ส่วนหัวเรือได้ซึ่งบรรจุตอร์ปิโดนิวเคลียร์ 2 ลูก แต่ไม่มีอุปกรณ์เข้ารหัสหรือสมุดรหัส Seymour Hersh จาก The New York Times ได้เปิดเผยรายละเอียดบางส่วนของ Project Azorian ในปี 1974 แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์เพราะด้วยแรงกดดัน William Colby จากผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (CIA) หลายเดือนหลังจากปฏิบัติการกอบกู้เสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1975 LA Times ได้ออกข่าวสั้น ๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ ทำให้ The New York Times ต้องเผยแพร่เรื่องนี้ที่เขียนโดย Seymour Hersh และ Jack Anderson เล่นเรื่องนี้ต่อในรายการโทรทัศน์เมื่อเดือนมีนาคม 1975 สื่อเรียกโครงการนี้ว่า Project Jennifer ซึ่งในปี 2010 ได้รับการเปิดเผยว่า ชื่อนี้ไม่ถูกต้องเนื่องจาก Project Jennifer เป็นชื่อเรียกระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล Project Azorian

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่า ในส่วนที่กู้ขึ้นมาได้นั้นเป็นศพของลูกเรือหกคน แต่เนื่องจากมีการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี ศพจึงถูกฝังในทะเลในตู้เหล็กเมื่อกันยายน 1974 โดยจัดพิธีอย่างสมเกียรติยศทางทหารบริเวณประมาณ 90 ไมล์ทะเล (167 กิโลเมตร) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮาวาย วิดีโอเทปของพิธีนั้นถูกมอบให้กับรัสเซียโดย Robert Gates ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ ขณะเยือนกรุงมอสโกในเดือนตุลาคม 1992 และที่สุดแล้วบรรดาญาติของลูกเรือก็ได้ชมวิดีโอนี้ในอีกไม่กี่ปีต่อมา การกู้ซากเรือดำน้ำ K-129 ถูกระบุว่า ประสบความล้มเหลวโดยสามารถกู้คืนชิ้นส่วนที่ไม่สำคัญของเรือดำน้ำได้เพียงเล็กน้อย แต่ CIA โต้แย้งในคดีเสรีภาพในการให้ข้อมูลข่าวสารว่า อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวต้องถูกเก็บเป็นความลับเนื่องจาก "การรับทราบอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นการเปิดเผยลักษณะและวัตถุประสงค์ของโครงการ" คำตอบนี้ได้เข้าสู่ศัพท์เฉพาะทางกฎหมายอันเป็นคำตอบในลักษณะ Glomar หรือ Glomarization คือ ‘ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธ’

(การจัดพิธีศพลูกเรือประจำเรือดำน้ำ K-129 แบบทหารเรืออย่างเต็มรูปแบบและส่งร่างของพวกเขากลับคืนสู่ท้องทะเลอีกครั้ง)

ในปี 2018 ไฟล์ภาพถ่ายวิดีโอเทปและหลักฐานเอกสารอื่น ๆ ยังคงถูกปกปิดต่อสาธารณะ ภาพไม่กี่ภาพปรากฏในสารคดีปี 2010 แสดงให้เห็นซากเรือดำน้ำ K-129 ได้แก่ ส่วนหัวเรือโดยที่ช่องเก็บขีปนาวุธได้รับความเสียหายอย่างหนัก แสดงให้เห็นตัวท่อขีปนาวุธเพียงท่อเดียวที่ติดอยู่กับลำตัว สรุปแล้วเวลาและงบประมาณมหาศาลที่ถูกทุ่มเทเพื่อกู้ซากเรือดำน้ำลำนี้ให้ได้ทั้งลำ กลายเป็นได้มาเพียงส่วนหัวของเรือดำน้ำ ความยาว 11.5 เมตรเท่านั้น ที่สามารถดึงขึ้นไปจนถึงช่องเก็บภายในลำตัวเรือ Hughes Glomar Explorer สิ่งที่หวังว่าจะได้พบทั้ง ขีปนาวุธ เครื่องยนต์ของเรือ และสมุดรหัสของโซเวียต กลายเป็นการคว้าน้ำเหลว แต่ชิ้นส่วนของหัวเรือดำน้ำที่ถูกกู้ขึ้นมาได้ ทีมกู้ซากเรือทำการตรวจสอบภายในพบว่า มีศพของลูกเรืออยู่ภายในนั้นจำนวน 6 ศพที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี แม้ฝ่ายอเมริกันจะเป็นผู้ที่ตั้งใจที่ลักลอบกู้เรือลำนี้กลับไปเพื่อศึกษา แต่ก็ยังให้เกียรติผู้วายชนม์ทุกศพที่พบ ด้วยการจัดพิธีศพแบบทหารเรืออย่างเต็มรูปแบบ และส่งร่างของพวกเขากลับคืนสู่ท้องทะเลอีกครั้ง

อนึ่งสำหรับจุดที่เรือรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ เองจม กองทัพเรือสหรัฐฯ จะประสานกองทัพเรือหรือรัฐบาลเจ้าของพื้นที่บริเวณนั้นให้กันเขตเป็นอนุสรณ์สถาน หรือ สุสานสงครามทางทะเล War Grave โดยห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรวบกวนหรือเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา เรื่องของการประกาศพื้นที่เป็น อนุสรณ์สถาน หรือ สุสานสงครามทางทะเล War Grave และสามารถใช้ พ.ร.บ.ในการประกาศเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุทางทะเล ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั่วโลกรับรู้ โดยเฉพาะชาวเรือทุกประเทศจะรักษา จรรยาบรรณในเรื่องการประกาศเขตอนุสรณ์สถาน หรือ สุสานสงครามทางทะเล War Grave เป็นอย่างดี โดยจะไม่มีการเข้าไปรบกวนอย่างเด็ดขาด 

รู้จัก ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ฯ’ จอมพล เจ้าฟ้า อัจฉริยะนักดนตรี ต้นสำเนาตำนาน ‘โหมโรง’

ไม่แน่ใจว่าคุณจำภาพจากภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ตอนหนึ่งได้หรือไม่? ตอนที่พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) นำกำลังบุกเข้าไปใน ‘วังบางขุนพรหม’ ก่อนเข้าควบคุมตัว ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต’ ผู้รักษาพระนคร โดยที่พระองค์ไม่ทรงเชื่อสายตาว่าคนที่ทรงใกล้ชิดและทรงมีบุญคุณอย่างมากมาก่อน

แต่เรื่องที่จะเล่าไม่ใช่เรื่องในปี พ.ศ. 2475 แต่จะเป็นเรื่องราวทางการดนตรีที่เกิดขึ้นใน ‘วังบางขุนพรหม’ และพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต’ ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระอัจฉริยภาพทางการด้านการทหารเลยแม้แต่น้อย ซึ่งได้เรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้ 

เริ่มตั้งแต่เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาตามแบบอย่างพระราชกุมารและพระราชกุมารีในสมัยนั้น โดยทรงศึกษาทั้งวิชาด้านภาษาทั้งไทยและอังกฤษ รวมไปถึงศิลปวิทยาในด้านต่าง ๆ เช่น การละคร การดนตรีไทย โดยเฉพาะดนตรีไทยพระองค์สามารถทรงซออู้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังทรงเครื่องดนตรีอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว 

จนเมื่อ ‘ทูลกระหม่อมบริพัตร’ เสด็จ ฯ ไปทรงศึกษาต่อวิชาการทหารที่ประเทศเยอรมนี นอกจากวิชาทหารพระองค์ยังได้ทรงศึกษาวิชาโปรดของพระองค์นั่นก็คือ ‘ดนตรี’ โดยได้ทรงศึกษาการเล่นเปียโน การประสานเสียง การประพันธ์เพลง การเป็นวาทยากรควบคุมวงดนตรีขนาดใหญ่ เรียกว่าผลการเรียนทั้งในส่วนที่เป็นทหารก็ยอดและในส่วนของการดนตรีก็เยี่ยม 

พระองค์ทรงเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับความชอบทางดนตรี ประทานแก่ ‘พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา’ พระธิดาฟังว่า “…ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อจะเรียนดนตรีและภาษา และจะทำงานด้านดนตรีอย่างเดียว แต่พ่อเลือกไม่ได้ เพราะพ่อบังเกิดมามียศตำแหน่ง ต้องทำงานให้ประเทศชาติ ทูลหม่อม (รัชกาลที่ 5) สั่งให้พ่อไปเรียนวิชาทหารเพื่อกลับมาปรับปรุงกองทัพไทย พ่อก็ไปเรียนวิชาทหาร บางครั้งพ่อเบื่อบางวิชาที่ต้องเรียนจนทนไม่ไหว ต้องเก็บพ็อกเก็ตมันนี่เอาแอบไปเรียนดนตรี แอบไปเรียนเพราะพวกผู้ใหญ่สมัยนั้นเห็นว่าวิชาดนตรีไม่เหมาะกับชายชาติทหาร เมื่อได้เรียนดนตรีที่พ่อรักก็สบายใจ เกิดความอดทนที่จะเรียนและทำงานที่พ่อเบื่อ…”

มาในปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมจัดซื้อที่ดินพระราชทานแก่ ‘ทูลกระหม่อมบริพัตร’ เพื่อใช้สร้างวังที่ประทับ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2444 ในขณะที่ยังทรงศึกษาอยู่พระองค์ได้ทรงให้สร้างวังในรูปแบบเรอเนซองส์ผสมผสานกับลวดลายศิลปะแบบนีโอ-บารอก โดยเริ่มก่อสร้างจากตำหนักหอจากไม้เป็นประเดิม จนกระทั่งพระองค์ทรงศึกษาจบและนิวัติกลับสยามในปี พ.ศ. 2446 ซึ่งที่ตำหนักหอแห่งนี้เองที่ทูลกระหม่อมได้เริ่มทรงดนตรีไทย ก่อนที่วังจะแล้วเสร็จทั้งหมดในปี พ.ศ. 2449 ซึ่งที่ประทับแห่งนี้ก็คือ ‘วังบางขุนพรหม’ อันโอ่อ่า โดยเป็นสถานที่จัดงานต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ใช้เป็นที่จัดงานสังสรรค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นสถานศึกษาซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า ‘บางขุนพรหมยูนิเวอร์ซิตี้’ หรือ ‘บางขุนพรหมคอลเลจ’ และอีกหนึ่งความสำคัญของวังแห่งนี้ก็คือ ‘คอนเสิร์ตฮอลล์’ ห้องบันทึกเสียงและศูนย์การประชันวงดนตรี 

ย้อนกลับในปีพ.ศ. 2446 ‘ทูลกระหม่อมบริพัตร’ ได้เริ่มทรงดนตรีไทยอย่างจริงจัง โดยทรงรวบรวมมหาดเล็กเรือนนอกที่สามารถเล่นดนตรีไทยได้มาก่อตั้งเป็นวงพิณพาทย์ไม้แข็งของวังบางขุนพรหม จากการเริ่มวงที่รวบรวมมหาดเล็กมาต่อเพลง ไม่ช้าก็กลายเป็นวงที่อุดมไปไปด้วยนักดนตรีไทยชั้นยอดแห่งยุคอย่างด้วยการจัดการวงจากหลวงกัลยาณมิตตาวาส (ทับ พาทยโกศล) และนำการบรรเลงโดยจางวางทั่ว พาทยโกศล นอกจากวงปี่พาทย์พระองค์ก็ยังทรงตั้งวงเครื่องสายที่ทรงบรรเลงร่วมกับพระญาติและผู้ใกล้ชิดอีกด้วย 

สำหรับยุคนั้น ‘วังบางขุนพรหม’ คือสถานที่สำคัญแห่งการประลองทางดนตรี โดยมีวงดัง ๆ นอกไปจาก วงปี่พาทย์วังบางขุนพรหมที่นำโดย ‘จางวางทั่ว พาทยโกศล’ ก็จะมีวงอย่างเช่น วงปี่พาทย์วังบูรพานำโดย ‘จางวางศร’ (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) วงสมเด็จพระบรมฯ (เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ’) นำโดย ‘นายโสม’ (พระเพลงไพเราะ) วงพระองค์เพ็ญ (กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม) นำโดย นายขลิบ ชำนิราชกิจ เป็นต้น ซึ่งบรรยากาศในการประชันก็จำลองมาอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘โหมโรง’ ซึ่งท่านผู้อ่านลองไปหาชมกันได้ โดย ‘ทูลกระหม่อมบริพัตร’ ก็เป็นพระองค์แรกในการทดลองบันทึกเสียงทั้งการประชัน การบรรเลงต่าง ๆ ไว้ในแผ่นครั่ง ตั้งแต่ในครั้งกระนู้น ซึ่งถ้าวงใดได้มาบรรเลงหรือประชัน ณ วังบางขุนพรหมแม้จะไม่ชนะ แต่ก็มีชื่อเสียงกลับไปว่าได้มาแสดง ณ วังแห่งนี้แล้ว

จากดนตรีไทยมาสู่ดนตรีสากล จริง ๆ แล้วทูลกระหม่อมบริพัตรทรงเริ่มนิพนธ์เพลงไทยสากลก่อนเพลงไทยเดิม แม้ว่าพระองค์จะทรงตั้งวงปี่พาทย์ขึ้นก่อน เอ้า !!! ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ? 

เรื่องของเรื่อง ‘กรมพระนครสวรรค์วรพินิต’ ในขณะที่ทรงเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ พระองค์ได้ทรงนิพนธ์ทำนองเพลงตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของดนตรีสากล สำหรับบรรเลงด้วยแตรวงโดยเฉพาะขึ้นเป็นครั้งแรกในสยาม เพลงนั้นก็คือเพลง ‘วอลซ์ปลื้มจิต’ ซึ่งถือว่าเป็นเพลงไทยสากลเพลงแรกในประวัติศาสตร์การดนตรีของประเทศไทย โดยเพลงพระนิพนธ์ในชุดแรกที่เรียกว่าเพลงฝรั่งแท้ ๆ นอกจากวอลซ์ปลื้มจิตแล้วก็จะมีอีก 4 เพลงคือ เพลงวอลซ์ประชุมพล เพลงวอลซ์โนรี เพลงมณฑาทอง และ เพลงมาร์ชบริพัตร ทั้ง 5 เพลงนี้ ในปัจจุบันพบเพียงแค่ 4 เพลง เพลงที่หายไปก็คือ ‘เพลงวอลซ์โนรี’ ซึ่งเพลงวอลซ์โนรีนี้เป็นเพลงที่ทรงนิพนธ์ประทานให้แก่เจ้าหญิงโนรี แห่งประเทศสวีเดน เมื่อครั้งที่เจ้าหญิงโนรีเสด็จมาในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

จากเพลงแบบสากล พระองค์ยังทรงนำเพลงไทยแท้ ๆ  มาเรียบเรียงเสียงประสานแบบสากล จนกลายเป็นเพลงไทยทำนองฝรั่ง โดยเพลงที่เราคุ้นเคยก็คงเป็นเพลง ‘มหาฤกษ์ มหาชัย’ กับเพลงอื่น ๆ อาทิ เพลงสรรเสริญเสือป่า เพลงสาครลั่น และเพลงที่มีความลุ่มลึก คำนึง ถึงคนที่จากไปไกลอย่าง ‘เพลงพญาโศก’ ซึ่งนำไปบรรเลงโดยทั่วไป 

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงนิพนธ์เพลงไทยแท้ ๆ สำเนียงแบบไทย เรียบเรียงแบบไทยแต่เอามาเล่นในแตรวง โดยทรงทำไว้เป็นโน้ตรวมฉบับรวมทั้งวง (Score) ทั้งหมด 20 เพลง ตัวอย่างเช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม (เพลงนี้เมื่อแรกเริ่มทรงนิพนธ์เป็นเพลงสำหรับวงโยธวาทิตก่อนแล้วจึงปรับปรุงเป็นทางพิณพาทย์ในเวลาต่อมา ชื่อบางขุนพรหมแต่พระองค์ทรงแต่งเพลงนี้ที่พระราชวังบ้านปืน จังหวัดเพชรบุรี ) เพลงเขมรพวงสามชั้น เพลงเขมรชมจันทร์ เพลงถอนสมอ เพลงบุหลันชกมวย ฯลฯ 

โดยทั้ง 20 เพลง ทูลกระหม่อมบริพัตรได้ได้ทรงประพันธ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ทรงทำทางเป็นเพลงสำหรับแตรวงหรือวงโยธวาทิต แต่ทรงยึดแนวเพลงของเก่าเป็นพื้น แล้วก็ดัดแปลง ตัดลงจากสามชั้นเป็นชั้นเดียวบ้าง แล้วก็ทรงประทานให้แตรวงทหารเรือหรือทหารบกได้นำไปบรรเลง นับเป็นพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีที่ไม่เหมือนใคร

นอกจากเพลงที่เล่นในแตรวงแล้ว กรมพระนครสวรรค์ยังทรงนิพนธ์เพลงไทยแท้ที่บรรเลงด้วยปี่พาทย์ โดยเพลงประเภทนี้ พระองค์ทรงนิพนธ์เป็นส่วนมาก เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงลี้ภัยการเมืองไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยเพลงที่พระองค์ทรงนิพนธ์สำหรับวงปี่พาทย์นี้มีทั้งหมด 25 เพลง เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา (ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงแรกในพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยนอกจากเรียบเรียงเพื่อใช้กับแตรวงแล้ว ทางเพลงนี้ก็เป็นทางแบบไทยเดิมจึงสามารถเรียบเรียงเป็นแบบปี่พาทย์ได้อีกทาง) เพลงน้ำลอดใต้ทราย เพลงแขกสาย เถา เพลงโหมโรงประเสบัน เพลงเทวาประสิทธิ์ เถา ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่คนดนตรีไทยคุ้นเคยกันดี 

ประเภทขับร้องหรือทางร้องซึ่งประเภทนี้แยกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือช่วงที่ทูลกระหม่อมทรงประทับที่วังบางขุนพรหม เมื่อพระองค์ทรงนิพนธ์เพลงเสร็จก็จะประทานให้หม่อมเจริญ พาทยโกศล ทำทางขับร้องถวาย ช่วงที่สองเมื่อเสด็จฯ ไปประทับอยู่ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อพระองค์ทรงพระนิพนธ์เพลงใหม่ขึ้น พระองค์ทรงต่อทางร้องประทานให้คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ โดยเวลาที่ทรงต่อทางร้องจะทรงใช้ซออู้สีนำ บางครั้งก็ทรงเปล่งพระสุรเสียงนำบ้าง 

ประเภทสุดท้ายคือเพลงเดี่ยว ตามที่ทราบพระองค์ทรงมีความชำนาญในการสีซอสามสายเป็นอย่างมาก จึงมีเพลงพระนิพนธ์ที่เป็นทางเดี่ยวสำหรับซอสามสายไว้มากกว่าทางเดี่ยวของเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ ส่วนเครื่องดนตรีตะวันตกนั้นมีแค่ทางเดี่ยวแตรคอร์เนทเพียงอย่างเดียว ซึ่งบทเพลงประเภทเพลงเดี่ยวนี้มีเพียง 4 เพลงเท่านั้น ได้แก่ ทางเดี่ยวซอสามสายเพลงบุหลันลอยเลื่อน ทางเดียวซอสามสายเพลงอาเฮีย ทางเดี่ยวซอสามสายเพลงสารถี 3 ชั้น และทางเดี่ยวแตรคอร์เนทเพลงสารถี 3 ชั้น

สมเด็จเจ้าพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และสมาชิกในราชสกุลบริพัตร ทรงมีเวลาเตรียมพระองค์ไม่ถึง 12 ชั่วโมง หลังจากเช้าแห่งวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระองค์ต้องทิ้งวังและปล่อยให้ข้าราชบริพารร่วม 400 ชีวิตดูแลตัวเอง โดยทรงมีเงินส่วนพระองค์ติดไปเพียง 9,000 บาท โดยคณะผู้ก่อการได้จัดขบวนรถถังและรถหุ้มเกราะห้อมล้อมรถ นำเสด็จฯ จากวังบางขุนพรหมไปยังสถานีหัวลำโพง บนรถไฟที่ประทับยังมีตำรวจอีกสองกองร้อย ตามเสด็จไปควบคุมพระองค์จนถึงชายแดนไทยจนออกจากประเทศไทยไปยังปีนัง ก่อนจะเสด็จฯ ไปประทับเป็นการถาวรที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยพระองค์ทรงประทับอยู่ต่างแดนร่วม 12 ปี ก่อนที่พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคพระวักกะ (โรคไต) และพระหทัย (โรคหัวใจ) และได้สิ้นพระชนม์ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2487 โดยพระศพของพระองค์ได้อัญเชิญกลับมาประเทศไทยในอีก 4 ปีหลังจากวันสิ้นพระชนม์ ก่อนจะมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพทูลกระหม่อมบริพัตร ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2493 ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง

นี่คือเรื่องราวทางดนตรีและพระอัจฉริยภาพของ ‘พระบิดาแห่งเพลงไทยสากล’ จอมพล จอมพลเรือ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต’

‘Operation Wedding’ ภารกิจหนีตายของชาวรัสเซียเชื้อสายยิว ลงทุนเหมาเที่ยวบิน เพื่อจี้เครื่องบินหนีออกจาก ‘สหภาพโซเวียต’

หลังจากสงครามหกวัน ปี 1967 ‘สหภาพโซเวียต’ ได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับ ‘อิสราเอล’ เกิดผลกระทบต่อการยื่นขอวีซ่าของคนรัสเซียเชื้อสายยิว ที่ส่วนใหญ่ได้ทำการยื่นขอทั้งครอบครัวเพื่อเดินทางออกจากสหภาพโซเวียต ผลที่เกิดขึ้นคือการขอวีซ่าของพวกเขา ‘ถูกระงับ’ หรือ ‘ถูกปฏิเสธ’

หนึ่งในเงื่อนไขของผู้ขอวีซ่าเดินทางออกจากสหภาพโซเวียตคือ ‘การลาออกจากงาน’ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงอย่างมาก เพราะเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยสังคม ซึ่งมีความผิดทางอาญา

การยื่นขอวีซ่าเพื่อออกจากสหภาพโซเวียต มีผลสำเร็จกับแค่บางคน ในขณะที่อีกหลายคนถูกปฏิเสธ ซึ่งมีผลทันทีและมีผลในระยะยาว คำร้องขอวีซ่าของพวกเขาจะถูกเพิกเฉยไปอีกหลายปี

ในหน่วย OVIR (Office of Visas and Registration) ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งใน MVD (กระทรวงกิจการภายในของสหภาพโซเวียต) ที่รับผิดชอบในการออกวีซ่า ได้ให้เหตุผลที่สำหรับคำปฏิเสธว่า “บุคคลเหล่านี้ได้รับการเข้าถึงข้อมูลที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหภาพโซเวียตในบางช่วงเวลา จึงไม่สามารถอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้”


ทำให้คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘Refusenik’ แปลว่า ‘ผู้ถูกปฏิเสธ’ ส่วนใหญ่หมายถึงชาวรัสเซียเชื้อสายยิว ซึ่งถูกปฏิเสธการขออพยพย้ายถิ่นจากสหภาพโซเวียตไปยังประเทศอิสราเอล ด้วยเหตุนี้ ทำให้ ‘Operation Wedding’ ถือกำเนิดขึ้นมา

‘Operation Wedding’ เป็นปฏิบัติการจี้เครื่องบินโดยกลุ่มหนุ่มสาวชาวโซเวียตเชื้อสายยิว ผู้ซึ่งถูกปฏิเสธการขอวีซ่าออกสหภาพโซเวียต เพื่ออพยพไปอยู่ยังอิสราเอล พวกเขาจึงคิดวางแผนที่จะ ‘จี้’ เครื่องบินเพื่อหลบหนีจากสหภาพโซเวียต 

แน่นอนว่า แรกเริ่มของความคิดทุกอย่างดูง่ายและเป็นไปได้ทั้งหมด พวกเขาวางแผนใช้วิธีปลอมตัวเป็นครอบครัวเพื่อเดินทางไปงานแต่งงานของญาติในต่างเมืองด้วยสายการบินท้องถิ่น 

โดยสมาชิกในกลุ่มจะซื้อตั๋วทุกใบบนเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก 12 ที่นั่ง (Antonov An-2) ทำให้ในเที่ยวบินดังกล่าวไม่มีผู้โดยสารอื่นเลย จึงไม่มี ‘ผู้บริสุทธิ์’ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะได้รับอันตราย 

นอกจากนี้พวกเขาจะบังคับให้นักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องลงจากเครื่องบิน แล้วให้ ‘Mark Dymshits’ ผู้เป็นอดีตนักบินทหาร และเป็นนักบินของกลุ่มเข้าควบคุมเครื่องบิน และบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือพรมแดนโซเวียตไปยังสวีเดน แล้วมุ่งหน้าไปยังอิสราเอล


ปฏิบัติการนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 1970 หลังจากมาถึงสนามบิน Smolnoye (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นสนามบิน Rzhevka) ใกล้นครเลนินกราด กลุ่ม ‘แขกงานแต่งงาน’ ยังไม่ทันที่จะขึ้นเครื่องบินเลย ทั้งหมดก็ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ของ MVD 

พวกเขาทั้งหมดถูกตั้งข้อหากบฏ มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ภายใต้มาตรา 64 ของประมวลกฎหมายอาญาของ RSFSR 

โดย ‘Mark Dymshits’ และ ‘Eduard Kuznetsov’ ถูกตัดสินให้ต้องรับโทษประหารชีวิต แต่หลังจากการประท้วงจากนานาประเทศ จึงถูกตัดสินจำคุก 15 ปีแทน 

-Yosef Mendelevitch และ Yuri Fedorov ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี
-Aleksey Murzhenko ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี
-Sylva Zalmanson (ภรรยาของ Kuznetsov และเป็นสตรีผู้เดียวที่ถูกพิจารณาคดี) ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี 
-Arie (Leib) Knokh ถูกตัดสินจำคุก 13 ปี 
-Anatoli Altmann ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี 
-Boris Penson และ Wolf Zalmanson (พี่ชายของ Sylva และ Israel) ถูกตัดสินจำคุก 10 ปี
-Israel Zalmanson ถูกตัดสินจำคุก 8 ปี
-Mendel Bodnya ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี 

ในขณะที่สื่อโซเวียตพาดหัวว่า ‘อาชญากรได้รับการลงโทษ’ แต่ก็มีผู้คนมากมายในฟากฝั่งของโลกตะวันตกเรียกร้องให้ ‘ปล่อยตัวคนเหล่านี้!’ 

ภายหลังเมื่อม่านเหล็กแห่งอิสรภาพเปิดออก ชาวโซเวียตกว่า 300,000 คน ก็สามารถอพยพออกนอกประเทศได้ ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มนี้มีสถานะเป็นผู้จ่ายค่าอิสรภาพให้กับชาวโซเวียตทุกคนที่ได้รับอนุญาตให้อพยพ


การอพยพชาวยิวจากสหภาพโซเวียตก่อนและหลังการพิจารณาคดี Operation Wedding (the First Leningrad Trial) ครั้งแรก ตามด้วยการปราบปรามชาวยิว และมีการเคลื่อนไหวที่ไม่เห็นด้วยทั่วสหภาพโซเวียต นักเคลื่อนไหวถูกจับกุม ศูนย์ชั่วคราวเพื่อศึกษาภาษาฮีบรูและโตราห์ถูกปิด 

ในขณะเดียวกันการประณามจากนานาประเทศทำให้ทางการโซเวียตต้องเพิ่มโควตาการย้ายถิ่นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 1960 ถึง 1970 มีชาวยิวในโซเวียตเพียง 3-4,000 คนเท่านั้นที่สามารถอพยพออกจากสหภาพโซเวียตได้ แต่หลังจากการพิจารณาคดีในช่วงระหว่างปี 1971 ถึง 1980 มีผู้ได้รับวีซ่าถึง 347,100 คน เพื่ออพยพออกจากสหภาพโซเวียต และ 245,951 คนเป็นชาวรัสเซียเชื้อสายยิว


ในเดือนสิงหาคม 1974 Sylva Zalmanson ได้รับการปล่อยตัว โดยเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนักโทษอิสราเอลกับสายลับของสหภาพโซเวียต หรือ ‘Yuri Linov’ ในเบอร์ลิน 

หลังจากนั้นเธอก็อพยพไปยังอิสราเอล เดือนกันยายนในปีต่อ ๆ มาเธอได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวสามี Edward Kuznetsov และผู้ถูกปฏิเสธคนอื่น ๆ จนในที่สุดวันที่ 27 เมษายน 1979 Kuznetsov ก็ได้รับการปล่อยตัว และอพยพไปอยู่กับภรรยาของเขาที่อิสราเอล 

ทางด้าน Mark Dymshits ก็ได้รับการปล่อยตัวในเวลาเดียวกันพร้อมกับผู้ถูกปฏิเสธที่มีชื่อเสียงของสหภาพโซเวียตอีกสามคน ได้แก่ Aleksandr Ginzburg, Valentin Moroz และ Georgy Vins 

การปล่อยตัวผู้ถูกปฏิเสธทั้งห้าเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอันยาวนาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนักโทษกับสหภาพโซเวียต โดยสาลับโซเวียตสองคน Rudolf Chernyaev และ Valdik Enger ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 50 ปีในสหรัฐฯ 

หลังจากอพยพไปอิสราเอล Kuznetsov ได้เป็นหัวหน้าแผนกข่าวของ ‘Radio Liberty’ (1983-1990) และเป็นหัวหน้าบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียที่ใหญ่ที่สุดในอิสราเอล Вести (1990-1999) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษารัสเซียที่ได้รับความนิยมสูงสุดนอกประเทศโซเวียตรัสเซีย


‘คณะกรรมการปลดปล่อยสามชาวเลนินกราด’ นำโดย Tilman Bishop วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐโคโลราโด ได้จัดการรณรงค์ทางการทูต เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษที่เหลือ 

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1981 Mendelevitch ก็ได้รับการปล่อยตัวและอพยพไปอยู่กับครอบครัวในอิสราเอล เขาเรียกร้องให้มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดปล่อยสมาชิกอีกสองคนของกลุ่ม ได้แก่ Fedorov และ Murzhenko ผู้ซึ่งไม่ใช่ชาวยิว เหยื่อของการเลือกปฏิบัติจากสหภาพโซเวียต และได้เรียกร้องให้มีการประท้วงต่อไป

วันที่ 15 มิถุนายน 1984 Aleksei Murzhenko ก็ได้รับการปล่อยตัวเพียงเพื่อจะถูกจับอีกครั้งด้วยข้อหา ‘ละเมิดทัณฑ์บน’ ต่อในเดือนมิถุนายน 1985 หลังจากติดคุกมา 15 ปี Yuri Fedorov ก็ได้รับการปล่อยตัวภายใต้ข้อกำหนดในการตั้งถิ่นฐาน แต่เขายังคงถูกปฏิเสธการให้วีซ่าไปจนถึงปี 1988 

และเมื่อเขาเดินทางไปอเมริกาในปี 1998 เขาได้ก่อตั้ง The Gratitude Fund เพื่อระลึกถึงผู้ต่อต้านสหภาพโซเวียต ที่ทำ ‘สงครามต่อต้านอำนาจของโซเวียตและยอมสละเสรีภาพส่วนบุคคลและชีวิตเพื่อประชาธิปไตย’


อีก 45 ปีต่อมาในปี 2016 Anat Zalmanson-Kuznetsov ผู้สร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของ Eduard Kuznetsov และ Sylva Zalmanson ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘Operation Wedding’ สารคดีเกี่ยวกับการหักหลังที่กำกับโดยเธอเอง เพื่อเปิดเผยถึงเรื่องราวของพ่อแม่ของเธอซึ่งเป็นตัวเอกในกลุ่ม ‘วีรบุรุษ’ ของโลกตะวันตก แต่เป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ ในสายตาของสหภาพโซเวียต 

จึงนับเรื่องตลกมาก ๆ ที่การจี้เครื่องบินโดยสารในสหภาพโซเวียตกลับกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องในมุมมองภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อของ ‘สื่อตะวันตก’ ทั้ง ๆ ที่การจี้เครื่องบินโดยสารในประเทศตะวันตกก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทั้ง ๆ ที่ได้มีชาวรัสเซียเป็นจำนวนมากที่อพยพหลบหนีออกจากสหภาพโซเวียตด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่การจี้เครื่องบินโดยสารและไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด 

โลกตะวันตกโดยสื่อตะวันตกจึงทำตัวเป็นผู้ตัดสินถูกผิดด้วยบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยวและเป็นเช่นนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ 

👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล 
 

เปิดเรื่องราว ‘Genepil’ ราชินีองค์สุดท้ายแห่งดินแดนมองโกเลีย สู่แรงบันดาลใจชุดเจ้าหญิง ‘Padmé’ ในภาพยนตร์ Star Wars


อดีตราชอาณาจักรมองโกเลีย ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ สาธารณรัฐมองโกเลีย ซึ่งได้รับเอกราชจากสาธารณรัฐจีนในปี 1911 และเขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย Genepil (เกอเนอพิล) เป็นพระชายาองค์ที่ 2 ของ Bogd Khanate (Bogd Khan : ผู้ปกครองผู้ศักดิ์สิทธิ์) กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมองโกเลีย (มองโกลข่านองค์สุดท้าย) ระหว่างปี 1911 ถึง 1924 

ในปี 1921 มองโกเลียเกิดการปฏิวัติของตนเองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติรัสเซีย ทำให้ Bogd Khanate ถูกกักบริเวณในวัง ในเวลาต่อมาได้รับอิสรภาพและกลับคืนสู่สถานะเดิม แต่ก็เป็นผู้ปกครองเพียงแต่ในนามเท่านั้น 

สำหรับ Genepil เป็นบุตรสาวของตระกูลขุนนาง เธอเกิดในปี 1905 ที่เมือง Tseyenpil ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมองโกเลียไม่ไกลจาก Baldan Bereeven อารามที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในมองโกเลีย 


หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระราชินี Dondogdulam ในปี 1923 Genepil ได้รับเลือกให้เป็นพระมเหสีจากกลุ่มสตรีชาวมองโกเลียที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 20 ปี ซึ่งได้รับการเลือกโดยคณะองคมนตรีของกษัตริย์ Bogd Khanate แม้ว่าขณะนั้น Genepil ได้สมรสกับชายชาวมองโกเลียชื่อ Luvsandamba อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการเป็นพระชายาของกษัตริย์ Bogd Khanate นั้นเป็นไปในนามเท่านั้น และการอภิเษกสมรสก็จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อถูกนำตัวไปที่พระราชวัง Genepil ได้รับการบอกเล่าถึงชะตากรรมของเธอเมื่อเธอมาถึงพร้อมกับคำรับรองขององคมนตรีว่า ในไม่ช้าเธอจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้เนื่องจาก Bogd Khanate เองทรงมีสุขภาพไม่ดี


แต่ Genepil ได้รับการสถาปนาเป็นพระราชินีได้ไม่ครบปี กษัตริย์ Bogd Khanate ก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1924 ซึ่งเป็นช่วงที่ระบอบกษัตริย์ของมองโกเลียถูกยกเลิก เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย (ระหว่างปี 1924 ถึง 1992) อันเนื่องจากการเข้ามาแทรกแซงของสหภาพโซเวียต หลังจากออกจากราชสำนักมองโกเลีย อดีตราชินี Genepil ต้องกลับไปอยู่ครอบครัวของพระนาง 


ต่อมารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียในในช่วงทศวรรษที่ 1930 ภายใต้จอมพล Khorloogiin Choibalsan ผู้นำมองโกเลียและจอมพลแห่งกองทัพประชาชนมองโกเลีย ผู้ได้รับฉายาว่า 'Stalin' แห่งมองโกเลีย' ได้ดำเนินการปราบปรามกวาดล้างบรรดาผู้เห็นต่างลัทธิคอมมิวนิสต์ตามระบบสตาลินเพื่อกำจัดวัฒนธรรมมองโกเลียและส่วนที่เหลือของระบอบการปกครองเก่า 

ปฏิบัติการอันโหดร้ายนี้ส่งผลให้บรรดาหมอผีและลามะในมองโกเลียถูกกวาดล้างไปจนเกือบหมด ประมาณการว่ามี ‘ศัตรูของการปฏิวัติ’ ระหว่าง 20,000 ถึง 35,000 รายถูกประหารชีวิตในช่วงเวลานี้ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 ของประชากรทั้งหมดของมองโกเลียในขณะนั้น 

และในปี 1937 รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลียได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า อดีตราชินี Genepil และพรรคพวกได้ทำการรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อก่อการจลาจลโดยได้รับความช่วยเหลือจากจักรววรดิญี่ปุ่น ต่อมาเธอถูกจับกุมและประหารชีวิตในปี 1938 ในขณะที่เธอถูกประหารชีวิตนั้น เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่


ทั้งนี้ เครื่องแต่งกายของ Genepil ถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของเจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ในภาพยนตร์ Star Wars (Star Wars : The Phantom Menace) จากภาพลักษณ์ของสตรีชาวมองโกเลียในปี 1921 ซึ่งน่าจะเป็นอดีตราชินี Genepil นั่นเอง 

ซึ่งในภาพยนตร์ Star Wars เจ้าหญิง Padmé Amidala ผู้เป็นราชินีแห่ง Naboo และวุฒิสมาชิกแห่งวุฒิสภา Galactic ด้วย เธอได้แต่งงานกับ Anakin Skywalker (Darth Vader) ผู้เป็นบิดาของ Luke Skywalker ดังนั้นเธอจึงเป็นมารดาของ Luke พระเอกของภาพยนตร์ Star Wars เธอเสียชีวิตในขณะที่ให้กำเนิดลูกแฝด Luke Skywalker และ Leia Organa เธอเป็นแรงกระตุ้นให้ Anakin Skywalker เข้าไปสู่ด้านมืดของพลัง และในที่สุดกลายเป็น Darth Vader ไป

ทั้งนี้ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งรับบทโดย Natalie Portman สวมชุดสีแดงสดสะดุดตาที่มีแขนเสื้อกว้างและเครื่องประดับศีรษะที่แวววาวซึ่งชวนให้นึกถึงเขาวัว ชุดนี้เป็นหนึ่งในชุดยอดนิยมของผู้ที่ชื่นชอบแต่ง Cosplay ภาพยนตร์ Star Wars มาก และนักออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์ Star Wars ก็ยอมรับว่า พวกเขาได้เห็นเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมของทิเบตและมองโกเลีย จึงกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดของ เจ้าหญิง Padmé Amidala Naberrie ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกสุนทรีย์ที่ให้ความรู้สึกแบบเอเชีย


แม้ว่า มองโกเลียจึงได้รับเอกราชจากจีนในปี 1911 ได้สำเร็จ แต่ก็ถูกแบ่ง 2 ส่วน ด้วยอิทธิพลของสหภาพโซเวียต ซึ่งส่งกองทหารเข้ามายังมองโกเลียตั้งรัฐบาลใหม่แล้วบังคับให้ชาวมองโกเลียเลิกใช้อักษรมองโกเลีย โดยเปลี่ยนไปใช้อักษรสลาโวนิกที่ใกล้เคียงกับภาษารัสเซียมากกว่าแทน 

แต่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งไม่ได้ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียตยังคงใช้ภาษามองโกเลียต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 

นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสคริปต์ภาษามองโกเลียดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีนจนสามารถพิมพ์ภาษามองโกเลียในเว็บไซต์ต่าง ๆ  ได้แล้ว ขณะที่ตอนนี้ชาวมองโกเลียในของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และ GDP เฉลี่ยต่อคนมากกว่าสาธารณรัฐมองโกเลียถึง 2 เท่า 

ไม่นานมานี้สาธารณรัฐมองโกลประกาศว่า จะเลิกใช้ภาษาสลาโวนิก และกลับมาเรียนรู้และใช้สคริปต์ภาษามองโกเลียที่ใช้ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีน 

สถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในทิเบตและซินเจียงเช่นกัน อักษรทิเบตและอักษรอุยกูร์ทั้งหมดถูกแปลงเป็นดิจิทัลโดยมหาวิทยาลัยจีน สามารถพิมพ์บนอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นข้อพิสูจน์ว่า การที่โลกตะวันตกมักจะเอ่ยอ้างว่า รัฐบาลจีนได้ทำลายล้างวัฒนธรรมของชาวมองโกล ชาวทิเบต และชาวซินเจียง จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล 
 

‘Volkswagen’ พ่าย 'BYD' รถยนต์ขายดีในจีน แต่ยังครองแชมป์ 'แบรนด์รถยนต์ต่างชาติ’ ยอดนิยม

แม้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมาจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีนแล้วก็ตาม และยังต้องสูญเสียตำแหน่งนี้ให้กับ BYD แบรนด์รถยนต์ของจีนเอง แต่ Volkswagen ก็ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับหนึ่งของจีน โดยยอดขายทิ้งห่าง Toyota แบรนด์รถยนต์ต่างชาติอันดับสองถึงกว่า 500,000 คัน และหากรวมเอายอดขายของ Audi แบรนด์รถยนต์ต่างชาติในเครือของ Volkswagen แล้วยอดขายของสองแบรนด์รถยนต์จะพุ่งขึ้นเฉียดสามล้านคัน ยังไม่รวมแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ภายใต้ Volkswagen Group China อันได้แก่ Škoda , Bentley และ Lamborghini ซึ่งจะทำให้ยอดขายโดยรวมมากกว่าสามล้านคันเลยทีเดียว

28 มีนาคม 1937 'Gesellschaft zur Vorbereitung des Deutschen Volkswagens GmbH' ก่อตั้งขึ้นในประเทศเยอรมนี ต่อมาในวันที่ 16 กันยายน 1938 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'Volkswagenwerk GmbH' ปัจจุบัน Volkswagen เป็นบริษัทรถยนต์นานาชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตและจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก บริษัทเยอรมันแห่งนี้เป็นเจ้าของรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้อ เช่น Audi, Skoda, Lamborghini, Bentley, Porsche, Bugatti, Seat และ Scania

ในจีน Volkswagen ดำเนินการภายใต้บริษัท Volkswagen Group China โดยตลาดรถยนต์จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Volkswagen โดยคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั่วโลกของ Volkswagen การดำเนินงานของ Volkswagen ในประเทศจีน ได้แก่ การผลิต การขาย และการบริการรถยนต์ทั้งคัน ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง และ จำหน่ายและบริการรถยนต์นำเข้า ยานพาหนะที่ผลิตในประเทศและนำเข้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศจีน โดย Volkswagen Group China เป็นบริษัทร่วมทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่ที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน บริษัทเริ่มเข้ามาบุกเบิกในจีนตั้งแต่ช่วงต้นปี 1978 และเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ของจีนมายาวนานหลายทศวรรษ จีนเป็นตลาดเดียวที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ Volkswagen 

การเข้าสู่ประเทศจีนของ Volkswagen เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1985 เมื่อก่อตั้ง Shanghai Volkswagen โรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ เป็นบริษัทร่วมทุน โดยจีนและเยอรมนีต่างถือครองเงินลงทุนเริ่มแรกฝ่ายละครึ่ง ปัจจุบันเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ภายใต้แบรนด์หลักสองแบรนด์ Volkswagen และ Skoda ครอบคลุม ตลาด A0, A, B และ SUV แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทผลิตรถยนต์ต่างประเทศรายอื่น อาทิ Santana Motor บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติสเปน และแน่นอนในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ท้องถิ่น เช่น BYD (ซึ่งสามารถแซงหน้า Volkswagen ได้แล้ว) Geely หรือ Changan ฯลฯ

แม้ว่าตลาดรถยนต์ของจีนอยู่ในช่วงการเติบโตที่ลดลง สืบเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง และกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตที่สูงของตลาดรถ SUV (Sport Utility Vehicle) ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2017 ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 27% ส่วนแบ่งของ SUV ในตลาดจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ SUV รุ่น Teramont และ Phideon ของ Volkswagen สะท้อนถึงแนวโน้มสำคัญในตลาดรถยนต์จีน Teramont ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ SUV ปัจจุบันรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในจีนประมาณ 40% เป็นรถยนต์ SUV และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังเพิ่มขึ้น เฉพาะแบรนด์ Volkswagen เพียงแบรนด์เดียวก็มีรถยนต์ SUV มากกว่า 10 รุ่นในตลาด SUV ภายในสิ้นปี 2020 ในปี 2018 มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่น Tharu, Tayron, Touareg และ T-Roc ในปี 2564 Volkswagen ได้ลงทุนมากกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มรถ SUV ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำเทรนด์ของโลกและเป็นตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในปี 2018 และมียอดขายรถยนต์โดยสารระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประมาณหนึ่งล้านคันในจีน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2019 รัฐบาลจีนให้ความสนใจอย่างมากต่อรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในปี 2020 ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยของยานพาหนะอยู่ที่ 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เพื่อพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลจีนจึงกำหนดโควตารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้บริษัทผู้ผลิตในจีนที่ขายรถยนต์มากกว่า 30,000 คันในจีนต้องผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 10% 

Volkswagen กับตลาดรถยนต์สีเขียวของจีน โดย Volkswagen Anhui (ชื่อเดิม JAC-Volkswagen) เป็นการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ระหว่าง JAC Motors กับ Volkswagen ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองเหอเฟย มณฑลอานฮุย โดยเริ่มแรกเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้ แบรนด์ SEAT และต่อมาคือแบรนด์ Sehol ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen Anhui หลังจากที่ Volkswagen เข้าถือหุ้นใหญ่ (75%) ในบริษัทในปี 2020 พร้อมกับถือหุ้น 50% ใน JAG (บริษัทแม่ของ JAC) ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของในข้อตกลงมูลค่าหนึ่งพันล้านยูโร บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา e-Mobility ที่จะให้บริการแก่ Volkswagen Group ทั้งหมดในประเทศจีน Volkswagen กำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม MEB ของ Volkswagenโดยมีกำลังการผลิต 350,000 คันต่อปีภายใต้บริษัท ควบคู่ไปกับโรงงานระบบแบตเตอรี่ภายใต้บริษัท VW Anhui Components ที่ถือหุ้นทั้งหมด 

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนเพิ่มอีก 23.1 พันล้านหยวน (3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน Volkswagen Anhui ซึ่งประกอบด้วย 14.1 พันล้านหยวนสำหรับศูนย์วิจัยและพัฒนา และเกือบ 9.1 พันล้านหยวนในระยะแรกของฐานการผลิตในเหอเฟย ทั้งนี้ในเดือนเมษายน ปี 2023 Volkswagen ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร (1.1 พันล้านดอลลาร์) ในศูนย์กลางแห่งใหม่ของจีนที่เรียกว่า 100% TechCo เพื่อการพัฒนา นวัตกรรม และการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบ โรงงานดังกล่าวจะตั้งอยู่ในเมืองเหอเฟย ใกล้กับ Volkswagen Anhui ด้วยจำนวนพนักงาน 2,000 คน โดย Volkswagen มีแผนที่จะผสานการวิจัยและพัฒนายานยนต์และส่วนประกอบเข้ากับการจัดซื้อ ซึ่งจะทำให้วงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่สั้นลงประมาณ 30% คาดว่าจะ "มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลแบรนด์ Volkswagen ในอนาคตที่จะเปิดตัวในปี 2567

หลายสิบปีมาแล้วที่ Volkswagen เป็นรถ Taxi ยอดนิยมในจีน

กลับมาดูบ้านเราแม้จะเป็นฐานการผลิตของรถยนต์มากมายหลายแบรนด์ทั้งค่ายตะวันตกและตะวันออก ทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศรองรับเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มรถยนต์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากพลังงานสันปดาบมาเป็นพลังไฟฟ้าแล้ว แต่จนทุกวันนี้บ้านเราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์แห่งชาติเลย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่สุดแล้วจะมีนักลงทุนชาวไทยได้คิดที่จะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบรนด์ไทยให้ได้ใช้กันในอนาคต
 

รู้จัก 'ลุงดอน' ตัวเดินเรื่องแห่ง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หน่วยราชการพิเศษ ผู้ภักดีและอยู่เคียงข้าง ‘ในหลวง ร.๗’

ผมไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านจะได้ชมภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง '๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' หรือ '2475 Dawn of Revolution' กันแล้วหรือยัง? จะมีมุมมองในเหตุการณ์ที่แอนิเมชันเรื่องนี้ได้นำมาเล่าเรื่องราวแบบไหน? อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณและภูมิรู้ที่แตกต่างกันไปนะครับ 

ขอบอกว่าบทความนี้มีสปอยภาพยนตร์เรื่องนี้บางส่วน หากชมแล้วก็คงไม่มีปัญหา ส่วนผู้ที่ยังไม่ชมแนะนำว่าอ่านแล้วรีบไปชมกันนะครับ

มีเรื่องหนึ่งที่ทีมงานอยากให้ผมเล่าเกร็ดเล็ก ๆ ของตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ‘ลุงดอน’ ซึ่งในเพจ #ปราชญ์สามสี ได้ลงข้อมูลว่าเป็นตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจว่ามาจาก นาย ‘พโยม โรจนวิภาต’ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง...เขาเป็นทั้งนักเขียน และเป็นถึงคนสนิทของ ‘รัชกาลที่ ๗’

เอาล่ะ!! ผมจะขยายความและเล่าเรื่องเล็ก ๆ ของ 'ลุงดอน' คนนี้ 

‘นายพโยม โรจนวิภาต’ เป็นมหาดเล็กรายงานของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โดยตอนเป็นนักเขียนเขามีนามปากกา อ.ก. รุ่งแสง ซึ่งในภาษาอังกฤษ ก็คือ Dawn นั่นเอง (ติดตามอ่านเพิ่มเติมที่ #ปราชญ์สามสี ได้นะครับ : https://www.facebook.com/share/p/CtEEho9UgcQru1EM/?mibextid=oFDknk 

ที่มาของเรื่องราวสายลับนั้น เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่นาน ซึ่งคณะราษฎร ซึ่งเป็นรัฐบาลกุมอำนาจการปกครองในเวลานั้น ได้จัดตั้งกองตำรวจพิเศษขึ้น โดยใช้ชื่อว่า ‘กองตำรวจสันติบาล' โดยให้มีหน้าที่สืบสวนหาข่าวสารทางการเมือง ติดตามสอดส่องการเคลื่อนไหวของบุคคลต่าง ๆ นั้น โดยเฉพาะพวกที่เชื่อได้ว่าเป็นพวก ‘กษัตริย์นิยม’ หรือ ‘รอยัสลิสต์’ ทั้งยังมี ‘กองนักสืบพลเรือน’ คอยสอดส่องเหตุการณ์ต่าง ๆ พร้อมรายงานหากบุคคลใด ๆ แสดงท่าทีอันเป็นปรปักษ์ต่อระบอบใหม่ โดยทำงานสอดประสานกับ ‘กองตำรวจสันติบาล’

ส่วนทางราชสำนัก ก็ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวขึ้นเช่นกัน แต่วัตถุประสงค์ไม่ได้เป็นไปในทางที่คณะราษฎรทำเลยแม้แต่นิดเดียว!!! 

เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงเกรงว่าพระราชวงศ์บางพระองค์อาจแสดงความไม่พอใจและมีปฏิกิริยาต่อทางรัฐบาลจนเกิดเป็นเรื่องขึ้น จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ฝ่ายราชสำนักจัดตั้งหน่วยราชการพิเศษ ให้คอยสอดส่องความประพฤติของพระราชวงศ์ รวมทั้งความเคลื่อนไหวในด้านต่าง ๆ ของบ้านเมืองโดยทั่วไปด้วย เพื่อทรงทราบว่าใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง ย้ำนะครับว่า 'พระราชวงศ์'

หน่วยราชการพิเศษนี้ใช้คนน้อยมาก ๆ ทั้งยังไม่ได้นำงบจากภาษีของประชาชนมาใช้เพื่อกำจัดใคร โดยหน่วยราชการนี้ประกอบด้วย ผู้สำเร็จราชการพระราชวังในฐานะหัวหน้าหน่วย และผู้ที่ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดพระองค์ได้คัดเลือกแล้วว่าเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการข่าวสาร, หนังสือพิมพ์, วงสังคมทหารและพลเรือน เรียกว่าเป็นคนแบบ 'ไปที่ไหนก็เข้าได้' ที่สำคัญเป็นผู้ที่เคยถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามมากกว่า ๗ ครั้งอีกด้วย 

หน่วยราชการพิเศษที่ทรงตั้งขึ้นนี้ นอกจากเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) ผู้สำเร็จราชการพระราชวัง, มหาเสวกตรี พโยม โรจนวิภาต ซึ่งมีรหัสลับแทนตัวว่า 'พ. 27' กับ 'ผู้ช่วย' ที่ไม่ปรากฏชื่อแล้ว ซึ่งจะมีใครอีกหรือไม่ และจบบทบาทลงเมื่อใด ก็มิปรากฏชัดเจน โดย นายพโยม โรจนวิภาต เล่าถึงการตั้งหน่วยราชการพิเศษนี้ว่า...

“…เมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่พสกนิกรไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเกรงว่าอาจจะมีพระราชวงศ์บางองค์ คิดต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงทรงโปรดให้จัดตั้งหน่วยสอดส่อง ความประพฤติของบรรดาเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และทูลเกล้าฯ ถวายรายงานการเคลื่อนไหว แต่การณ์กลับปรากฎว่า พ.๒๗ ได้พบแต่ปฏิกิริยาของพวกคณะปฏิวัติ ทะเลาะวิวาท เพื่อแย่งชิงอำนาจกันเอง ทั้งยังสร้างความสะเทือนพระราชหฤทัยนานาประการ” 

หน่วยราชการพิเศษนี้ ทำหน้าที่เสมือนเป็นนักรายงานข่าว นักรวบรวมข้อมูลข่าว นักวิเคราะห์ข่าว และนักประเมินข่าว 'รายวัน' โดยใน ๑ วัน หน่วยงานนี้จะต้องรวบรวมข่าวสารการเมือง ที่นอกเหนือไปจากเรื่องที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย พร้อมสืบไปถึงเบื้องลึก เบื้องหลังอย่างแท้จริง และต้องกรองออกมาจนกลายเป็น 'ข่าวกรอง' ที่ได้กลั่นกรองมาแล้วอย่างแท้จริง โดยมีหลักสำคัญคือ ต้องไม่เสนอข่าวลือ ไม่เสนอข่าวที่ไม่ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและต้องไม่สอดแทรกความคิดเห็นใด ๆ ใส่ลงไปนอกจากจะเป็นความคิดเห็นของบุคคลในข่าว ตามที่ได้สืบสวนมาเท่านั้น 

การรายงานข่าวดังกล่าวนี้ จะต้องรวบรวมเสนอผู้สำเร็จราชการพระราชวัง ในทุกคืน จนเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ก็ต้องรีบจัดพิมพ์ให้เสร็จและอ่านให้ผู้สำเร็จฯ ฟังอีกครั้งหนึ่งเพื่อทวนความ ก่อนจะลงนามกำกับแล้วจึงนำไปผนึกซอง 'ติดครั่ง' ประทับตราพิเศษเป็นอักษรไขว้ พ.ร.ว. (แหวนตราชื่อย่อ พโยม โรจนวิภาต) เสร็จแล้วนำส่งเจ้าหน้าที่กรมวังก่อนย่ำรุ่ง เพื่อ 'เดินหนังสือ' ด้วยรถไฟขบวนแรกจากพระนครไปหัวหิน โดยรายงานนี้จะถึงพระราชวังไกลกังวลราวบ่ายโมงเศษ ซึ่งรัชกาลที่ ๗ จะทรงรับและเปิดซองนี้ด้วยพระองค์เองเพื่อทรงทอดพระเนตรในทันทีที่รายงานไปถึง

เหตุสำคัญครั้งหนึ่ง พ.๒๗ ได้เขียนรายงานไปยังในหลวงรัชกาลที่ ๗ ว่าจะมีการก่อกบฎต่อต้านรัฐบาล โดยโค้ดหมายเลข ๑ แทนตัวพระองค์เจ้าบวรเดช และโค้ดหมายเลข ๒ แทนตัวรองแม่ทัพกบฏคือพระยาศรีสิทธิสงคราม แต่รายงานที่ พ.๒๗ ส่งไปในครั้งนี้ ในหลวงท่านรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดกบฎต่อต้านรัฐบาล ซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชฯ ในหลวงตรัสกับ พ.๒๗ ว่า “ฉันนึกว่าแกจะรู้ลึกกว่านี้” 

ที่พระองค์ตรัสดังนี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์มีส่วนรู้เห็นกับการก่อกบฏแต่ประการใด แต่เพราะพระองค์ทรงประเมินและทรงทราบมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วว่า พระองค์เจ้าบวรเดชมีใจอยากจะคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแต่แรกก่อนคณะราษฎร และคิดจะกำจัดพระยาพหลฯ มาตั้งแต่เริ่มมีเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เพราะพระองค์เคยทรงปรามไว้ จนทำให้พระองค์เจ้าบวรเดชทรงขุ่นเคือง ร.๗ เป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเตือนพระยาพหลฯ ไว้แล้วด้วยซ้ำว่า ให้ระวังพระองค์เจ้าบวรเดชไว้ (ใครจะบอกว่าพระองค์ทรงรู้เห็นและสนับเรื่องกบฏบวรเดชผมขออนุญาตตบปากสัก ๗ ครั้งนะครับ)

กลับมาที่ พ.๒๗ เขาได้เล่าไว้ในหนังสือ 'พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้า' ถึง 'แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์' โดยระบุไว้ว่า...

"…แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการในกรุงเทพฯ จัดขึ้น นอกเหนือแผนการของพระองค์เจ้าบวรเดช คือการบุกเข้าประหาร 'คนสำคัญ' ของฝ่ายรัฐบาล ซึ่งพักอยู่ในวังปารุสกวัน ทราบว่ากลุ่มนี้ได้ว่าจ้างนักเลงปืนชั้นยอดจากต่างจังหวัดมากำจัดบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ในจังหวะที่บุคคลนั้นพรวดพราดออกมาจากห้องนอน ขณะมีเสียงสัญญาณบอกเหตุร้ายดังขึ้น เมื่อกองทัพฝ่ายโคราชยกมาถึงสถานีจิตรลดา และกองหน้าส่วนหนึ่งกำลังบุกเข้าวังปารุสก์"

โดยแผนนี้จะดำเนินการในวันที่ ๑๐ ตุลาคม เมื่อคณะผู้ก่อการเดินทางออกจากจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่ 'พระยาพหลฯ' หากแต่เป็น 'หลวงพิบูลสงคราม' ซึ่งนับว่าประหลาดมาก 

แต่เดชะบุญกลุ่มผู้ก่อการได้เลื่อนแผนการออกไป ๑ วัน โดยคณะผู้ก่อการได้ออกเดินทางจากโคราชในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ทำให้แผนสังหารไม่สามารถดำเนินไปได้ เลยเป็นอันว่า 'แผนหลั่งเลือดในวังปารุสก์' ไม่เกิดขึ้น 

ทำไม? ถึงไม่จัดการสังหารผู้นำของคณะราษฎรในวันนั้นซะล่ะ ??? 

ไม่ใช่ว่า พ.๒๗ จะกลัวตายเลยไม่ดำเนินตามแผนต่อเนื่องไปนะครับ โดยเขาเล่าว่าหากเขาลงมือ “กลัวว่าจะกลายเป็นหลักฐานพยานให้ฝ่ายรัฐบาลกล่าวหาได้ว่า ‘พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนรู้ร่วมคิดกับฝ่ายทหารหัวเมือง’ เพราะข่าวทางลับของคณะราษฎรได้มาถึงมือผู้นำของพวกเขาแล้ว ด้วยการข่าวของผู้ก่อการรั่วและเป็นปฐมเหตุให้การต่อต้านรัฐบาลล้มเหลว (พระยาพหลฯ รู้ก่อนคณะผู้ก่อการออกจากโคราช และหลวงพิบูลได้เตรียมการรบแล้ว) ซึ่ง พ.๒๗ มีสิทธิ์โดนสอยร่วงตายอย่างไร้ประโยชน์ ทั้งยังจะเป็นเหตุใช้ปรักปรำในหลวงรัชกาลที่ ๗ เพราะ พ.๒๗ ซึ่งเป็นข้าราชการในวังแต่มา 'ตาย' อยู่ที่วังปารุก์วัน 

หลังจากกบฏบวรเดชถูกปราบปรามล่วงไปแล้ว ๔ เดือน ได้มีคำสั่งระบุว่า “สำนักพระราชวังก็มีคำสั่งปลด รองเสวกตรี พโยม โรจนวิภาต ออกจากราชการ ฐานหย่อนสมรรถภาพ” ทั้งยังเป็นที่ต้องการตัว เนื่องจากถูกมองว่ามีส่วนพัวพันในกรณี 'กบฏบวรเดช' ทำให้เขาต้องเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหลบภัยการเมือง โดยเขาบรรยายการตามจับบุคคลที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดชไว้ว่า...

"ผู้เอาใจช่วยพวกกบฎและประณามรัฐบาลได้แก่ ใครๆ ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่เต้นแร้งเต้นกา หรือซุบซิบ เห็นพ้องด้วยกับการกบฎ เพื่อล้มรัฐบาลพระยาพหลฯ คนกบฎประเภทนี้ คือ คนปากเสีย มีโทษติดตะรางได้สวยเหมือนกัน" 

ก่อนที่ พ.๒๗ จะหนีออกนอกประเทศเขาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ โดยทรงมีพระเมตตาพระราชทานเงินให้ ๓,๐๐๐ บาท แล้วทรงให้ออกนอกประเทศ ไปลี้ภัยอยู่ที่ปีนังและสิงคโปร์ จึงเดาได้ว่าในหลวง ร.๗ ท่านทรงคาดไว้แล้ว

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น นายพโยม โรจนวิภาต ได้เข้าร่วมเป็นเสรีไทย โดยเป็นผู้จัดการวิทยุภาคภาษาไทย ได้พูดโจมตีรัฐบาลไทยภายใต้การคุมอำนาจของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังได้แต่งกลอนตำหนิ หัวหน้ารัฐบาลที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของญี่ปุ่น ผ่านสถานีวิทยุ ไว้ว่า...

เป็นจอมพลไฉนยอมเป็นจอมแพ้...
ทำผิดแล้วคิดแก้ไม่ได้หรือ...
เกิดเป็นชายชาตรีมีฝีมือ...
ไฉนจึงดื้อให้ไพรีนั่งขี่คอ...

จนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ยุติลง พร้อมกับรัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองทั้งหมดแล้ว เขาจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย 

ถ้าเราอยากจะรู้จักเขามากกว่านี้ลองไปหาหนังสือที่เขาเขียนชื่อ 'พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้า' อ่านกันนะครับ สนุกแน่

เปิดเรื่องราว ‘Lykov’ ครอบครัวเก่าแก่ ที่หันหลังให้กับความศิวิไลซ์ เอาชีวิตรอดจากธรรมชาติหฤโหดสุดเหน็บหนาวใน Siberian 42 ปี

พื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberia (วงกลม)

Siberian ดินแดนทางเหนือสุดของทวีปเอเชียตั้งแต่เทือกเขาอูราลไปจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศรัสเซียปัจจุบัน พื้นที่ 13.1 ล้านตารางกิโลเมตร (5,100,000 ตารางไมล์) ของ Siberian ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ (ราว 77%) ของรัสเซีย และเกือบ 9% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อถึงความหฤโหดของความหนาวเย็นในฤดูหนาว ยุคอดีตสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1953 มีนักโทษทางการเมืองหลายล้านคนถูกส่งมายังค่ายกักกันและเรือนจำใน Siberian

Karp Lykov

ในปี 1936 ครอบครัว Lykovs ซึ่งเป็นสมาชิกของ Old Believers ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของ Russian Orthodox นำโดย Karp Lykov หัวหน้าครอบครัวได้หลบหนีเข้าไปในส่วนลึกมากของพื้นที่ Abakan ในดินแดน Tashtypsky เขต Khakassia ทางตอนใต้ของ Siberian เพื่อหลบหนีการปราบปรามผู้ที่มีความเชื่อทางศาสนาภายใต้ระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียต พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 150 ไมล์ ในพื้นที่ป่าของเทือกเขา Sayan

Karp, Agafia และ Natalia Lykov ถ่ายในปี 1978 สวมใส่เสื้อผ้าที่ได้รับมา

ครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คนใช้เวลา 42 ปีในการแยกตัวออกจากสังคมมนุษย์อาศัยในพื้นที่ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่ สมาชิกของครอบครัวประกอบด้วย

1. Karp Osipovich Lykov (c. 1901–16 กุมภาพันธ์ 1988) (Карп Лыков) พ่อ
2. Akulina Lykov (c. 1900–16 กุมภาพันธ์ 1961) (Акулина Лыкова) แม่
และลูก ๆ อีก 4 คน
3. Savin (c. 1927– 1981) (Савин)
4. Natalia (c. 1934–1981) (Наталия)
5. Dmitriy (1940–1981) (Дмитрий)
6. Agafia (born 1944) (Агафья)

ครอบครัว Lykov เดินเท้าเปล่า

หลังจากที่พี่ชายของ Karp Lykov ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของสหภาพโซเวียต Karp และ Akulina Lykov พร้อมลูกสองคน Savin และ Natalia ก็หลบหนีออกจากบ้านเกิดที่เมือง Lykovo (Tyumen Oblast) ไปทางตะวันออก ต่อมาพวกเขามีลูกอีก 2 คนคือ มีเด็กอีกสองคนคือ Dmitriy และ Agafia การหลบหนีของพวกเขาจบลงที่ตอนใต้ของ Siberia ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนที่ใกล้ที่สุด 250 กิโลเมตร (160 ไมล์) และอยู่ห่างจากชายแดนมองโกเลียประมาณ 160 กิโลเมตร พวกเขานำสิ่งของจำเป็นเพียงไม่กี่อย่างได้แก่ กาต้มน้ำ เมล็ดพืช กังหันล้อหมุน และส่วนประกอบของเครื่องทอผ้า

พวกเขาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าจนพัง สิ่งของดั้งเดิมหลายชิ้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นในป่า พวกเขาเปลี่ยนรองเท้าที่ชำรุดด้วยรองเท้าที่มีพื้นเป็นเปลือกไม้ และใช้ป่านที่ปลูกจากเมล็ดพืชมาทดแทนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น อย่างไรก็ตามโลหะก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เมื่อกาต้มน้ำชำรุดเสียหาย และอาหารก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนค้นหาทุกวัน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่อย่างอดอยากต่อเนื่องตลอดมา โดยส่วนใหญ่มีชีวิตรอดจากมันฝรั่งบดผสมกับเมล็ดป่านและข้าวไรย์บด ชีวิตไม่มีความแน่นอนจนพวกเขาต้องประชุมครอบครัวเป็นประจำทุกปีเพื่อหารือกันว่า ควรเพาะเมล็ดพันธุ์สำหรับปีต่อไป หรือกินเป็นอาหารเพื่อยังชีพตอนนั้น ในปี 1961 Akulina ผู้เป็นแม่ก็เสียชีวิตลงด้วยสาเหตุจากความอดอยาก สมาชิกครอบครัวแต่ละคนมีจุดแข็งและความรอบรู้ของตนเอง พวกเขาแต่ละคนจะจัดการส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเขา Dmitriy ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กที่เกิดในป่า โตพอก็ออกล่าสัตว์ บางครั้งเขาก็หายไปหลายวัน หลับนอนโดยไม่มีที่พักพิงภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด โดยไม่มีกับดักหรืออาวุธสมัยใหม่ เขาอาศัยกับดักที่ซ่อนอยู่ด้วยการขุดเอง หรือติดตามล่าเหยื่อจนในที่สุดก็จัดการได้เมื่อพวกมันอ่อนล้าหมดแรง

วันหนึ่งในปี 1978 นักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งนั่งเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพื้นที่โล่ง เนื่องจากไม่มีบันทึกการอยู่อาศัยของมนุษย์ในบริเวณนี้ พวกเขาจึงวนเวียนอยู่สองสามครั้ง หลักฐานนั้นน่าสนใจ สวนที่ใหญ่พอที่จะสังเกตได้จากบนอากาศนั้นมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สร้างได้ พวกเขาหาที่ลงจอดและออกเดินทางเพื่อตรวจสอบ สิ่งที่พวกเขาพบนั้นท้าทายความเชื่อมาก เมื่อไปพบกับบ้านหลังหนึ่งซึ่งต่อมาได้ถูกบรรยายไว้ว่า “ไม่ใหญ่ไปกว่าโพรง เต็มไปด้วยเขม่าดำคล้ำ และเย็นเหมือนห้องใต้ดิน คับแคบ สกปรก มีห้องเดียว พื้นปูด้วยเปลือกมันฝรั่งและลูกสน มีหญิงสาวสองคนที่แลดูกำลังหวาดกลัวอยู่ที่มุมห้อง กลุ่มนักธรณีวิทยาต้องการมอบอาหาร ชา ขนมปัง ขนมหวาน และสิ่งอื่น ๆ ที่ Karp ชายชรารู้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เป็นสิ่งที่ลูก ๆ ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

Karp กับ Agafia ลูกสาวในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1988

ยิ่งไปกว่านั้นลูก ๆ ของครอบครัว Lykov ไม่เคยพบใครเลยนอกจากพ่อแม่ของพวกเขา พวกเขารู้ว่า มีสถานที่ห่างไกลที่ผู้คนอาศัยอยู่ตามตึกสูง พวกเขาได้ยินมาว่า มีประเทศอื่นนอกเหนือจากสหภาพโซเวียต แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ห่างไกลสำหรับพวกเขามาก พวกเขาเรียนรู้ที่จะเขียนและอ่านจากแม่ และหนังสือเล่มเดียวที่พวกเขาเคยเห็นคือ พระคัมภีร์ไบเบิลและพระกิตติคุณที่พ่อแม่ของพวกเขานำติดตัวไปด้วย กลุ่มนักธรณีวิทยาได้ถอยออกจากบ้านเพื่อให้ครอบครับ Lykov  มีเวลาปรับตัวเข้ากับผู้มาเยี่ยมที่ไม่คุ้นเคย เพื่อเพิ่มโอกาสเชิงบวกในการติดต่อครั้งแรก พวกเขารอให้ครอบครัว Lykovs มาหาพวกเขา ที่นั่นพวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของ Lykovs หญิงสาวทั้งสองพูดภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง พวกเขาเคยได้ยินแนวคิดเกี่ยวกับเมืองและประเทศต่าง ๆ ผ่านเรื่องราวที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่สื่อการอ่านเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและพระคัมภีร์ เมื่อนักธรณีวิทยาคนหนึ่งเสนอขนมปัง หญิงสาวคนหนึ่งตอบว่า “เราไม่ได้รับอนุญาต” อันที่จริงเธอไม่เคยรู้หรือได้ยินเกี่ยวกับอาหารประเภทนี้มาก่อน ความบันเทิงหลักของครอบครัวคือให้ทุกคนเล่าความฝันของตน

Agafia ลูกสาวผู้เหลือรอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและโลกก็รู้จักพวกเขา แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เข้าสู่วิถีชีวิตของพวกเขา หลังจากการค้นพบไม่นาน Savin และ Natalia ก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการขาดอาหารที่รุนแรงของพวกเขา ในปีเดียวกันนั้นเอง Dmitriy ก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมหลังจากปฏิเสธที่จะรับการขนส่งทางอากาศไปยังโรงพยาบาล Karp ชายชราผู้เป็นพ่อเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปี 1988 และในปี 2022 Agafia ลูกสาวผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว Lykov ยังคงอาศัยอยู่ตามลำพังในถิ่นทุรกันดารบนความสูง 2,000 เมตรที่ครอบครัว Lykov ได้มาตั้งรกรากตั้งแต่ปี 1936

'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ยอดนักกินจอมชักดาบ อดีตนักเรียนนอกรสนิยมสูง แต่ไม่มีสตางค์

วันนี้มาเล่าเรื่องจริงในอดีตในแบบเบา ๆ กันบ้างดีกว่า ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักคำว่า 'กินแล้วชักดาบ' คือการฉ้อฉลรูปแบบหนึ่ง โดยการทำตนเป็นลูกค้า ที่มาสั่งและบริโภคอาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหาร ภัตตาคาร เมื่อบริโภคเสร็จแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงิน โดยอาจจะยอมรับแบบตาใสว่าไม่มีเงินจ่าย หรือหาวิธีหลบเลี่ยงออกไปอย่างแยบยล ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 'ชักดาบ' หมายถึง ไม่ยอมจ่ายเงิน 

ซึ่งที่มาที่ไปของคำว่า 'ชักดาบ' นี้ บ้างก็ว่าเกิดขึ้นช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาโดยทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปกินอาหารในร้านค้าของคนไทย พอกินเสร็จเจ้าของร้านจะเก็บเงินก็เอาชักดาบออกมาวางบนโต๊ะแล้วมองหน้าแบบขึงขัง ประมาณว่า “กูไม่จ่าย” เจ้าของร้านก็ไม่กล้าเก็บเรียกเก็บเงินซ้ำ ทหารญี่ปุ่นก็ออกจากร้านไปโดยไม่จ่ายเงินจากทหารหนึ่งกลุ่มก็กลายเป็นทหารหลายกลุ่มที่ทำเหมือนกันจนกลายเป็นพฤติกรรมปกติ ซึ่งทำให้คนไทยเข็ดขยาดและไม่ค่อยอยากรับลูกค้าที่เป็นทหารญี่ปุ่นนัก ซึ่งอันนี้ผมว่าก็ฟังแล้วขำ ๆ นะครับ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงในบริบท ณ ช่วงเวลานั้น แต่เรื่องจริง ๆ เมืองไทยช่วงเวลานั้นมีเงินเฟ้อค่อนข้างสูง เพราะญี่ปุ่นเล่นผลิตเงินใช้เอง บ้างก็ใช้เครดิตไว้กับร้านค้า พอสงครามยุติก็หายต๋อม คนไทยก็รับกรรมเรื่องหนี้ไป ก็อาการโดยรวมทั้ง 'ชักดาบ' หน้าร้าน หรือไม่มาจ่ายหนี้ก็อารมณ์เดียวกัน

ทีนี้ในเมืองไทยมันมีเรื่องราวของ 'ยอดนักชักดาบ' อยู่คนหนึ่ง ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2526 - 2528 ซึ่งยอดชายคนนี้มีชื่อและนามสกุลว่า 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์'

นายโพธิ์เงิน กระตุฤกษ์ มีชาติกำเนิดที่เรียกได้ว่าดีเยี่ยมเพราะเป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คนของ คุณเวช กระตุฤกษ์ เจ้าของสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นครองตลาดหนังสือนวนิยายของเมืองไทย โดยมีนักเขียนชื่อดังที่เขียนประจำอย่างมากมาย เช่น ส.บุญเสนอ, จ.ไตรปิ่น, ป.อินทรปาลิต, ไม้ เมืองเดิม, อรวรรณ จนถึง พนมเทียน และน.นพรัตน์ ฯลฯ เรียกว่าสุดยอดในยุคนั้น 

แต่ด้วยความที่ครอบครัวอาจจะไม่อบอุ่นเพราะเมื่อเขาเกิดมาไม่นาน คุณแม่ของเขาก็ป่วยหนัก ต้องจ้างพยาบาลมาดูแล ส่วนคุณพ่อด้วยความความเจ้าชู้ ก็เลยได้พยาบาลที่ดูแลแม่ของเขานั่นแหละมาเป็นภรรยาอีกคน ส่วนเขาได้รับการเลี้ยงดูจากแม่นมแทน แถมยังโดนแม่บอกว่าเขาเป็นตัวอัปมงคล เลยถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ แล้วก็ถูกส่งไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ เรียกว่าขาดอบอุ่นสุด ๆ ทำให้ตัวเขาเป็นคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะการเปย์เพื่อน หน้าใหญ่ เพื่อต้องการเป็นคนดังในหมู่เพื่อน ๆ จนความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ติดตัวจนกลายเป็นคน 'จมไม่ลง' และกลายมาเป็น 'ยอดนักชักดาบ' 

เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยก็มาทำงานหลาย ๆ อย่าง จนพ่อของเขาเสียชีวิต กิจการต่าง ๆ ก็ล่มสลาย ส่วนตัวเขาก็ไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนัก จะมีที่พอนับได้ก็คงเป็นบริษัททัวร์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ท้ายที่สุดไม่รู้เหตุผลใดที่ทำให้เขากลายเป็นจอมชักดาบ ซึ่งการชัดดาบของเขานั้นเป็นการชักดาบ ตั้งแต่ร้านเพิงริมถนนไปจนถึงร้านหรูในโรงแรมระดับ 5 ดาว 

ยอดชายจอมชักดาบผู้นี้มีการเตรียมตัวมาอย่างดี พร้อมรับสถานการณ์จากร้านที่เขาเข้าไป ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสถานเบาอย่างการด่าทอ เหยียดหยาม ข่มขู่ ไปจนถึงสถานหนักอย่างการถูกตบ ถูกต่อย ถูกกระทืบ เรียกว่าแกรับได้ทุกสถานการณ์ 

การไป 'ชักดาบ' ของโพธิ์เงินนั้น ด้วยความเป็นหนุ่มนักเรียนนอกบุคลิกดี แกจะแต่งตัวอย่างดี สวมใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว บางที่ก็ใส่สูทอย่างหรู เวลาเข้าไปร้านอาหารไหน หรือภัตตาคารใด เขาก็ต้อนรับแกอย่างพระเอก โดยไม่รู้ว่าตอนจบจะกลายเป็นพระเอกจะกลายเป็นโจร

ไม่ใช่แค่ร้านอาหารอย่างเดียวนะครับที่แกเข้าไปชักดาบ 'อาบอบนวด' สถานบันเทิงของท่านชายแกก็เคยไปป่วน 'อาบน้ำฟรี' มาแล้ว โดยเรียกหมอนวดมานวดแบบบีคอร์ส (อาบน้ำแบบพิเศษ) พอถึงเวลาเก็บเงิน แกก็บอกไปอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าไม่มีเงิน เรียกว่าไม่ได้สงสารหมอนวดเลย 

ว่ากันว่าโพธิ์เงิน เคยถูกตำรวจจับกุมถึง 28 ครั้ง ซึ่งแกบอกว่าไม่ใช่ แกเคยทำมาร่วม '100 กว่าครั้งแล้ว' และแกตั้งใจจะทำให้ครบ 40,000 ครั้ง (ช่างกล้าจริง ๆ) เคยโดยหมั่นไส้และโดนสั่งสอนมานับไม่ถ้วนจนสุดท้ายญาติพี่น้องน่าจะเอือมระอาเลยปล่อยให้แกโดยจับดำเนินคดีไป ครั้งสุดท้ายถูกขังคุกนาน 45 วัน ข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ถูกคุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี โดยคดีที่แกโดนตำรวจจับจนขึ้นเป็นข่าวคราวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมีดังนี้

11 มกราคม 2526 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหาร ที่ร้าน ‘แม่พลอย’ ย่านเยาวราช ในราคา 513 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน

7 กรกฎาคม 2526 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหารและใช้บริการอาบอบนวด ทั้งแบบบีคอร์ส และธรรมดา ในสถานอาบอบนวด 'วิลันดา' ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าออสก้า ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แล้วไม่จ่ายเงิน 

25 มกราคม 2528 โดนจับกุมเนื่องจากกินอาหาร ที่ห้องอาหาร 'โรส' บนชั้นสองของโรงภาพยนตร์อินทรา ในราคา 200 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน ถูกเจ้าของแจ้งความดำเนินคดี และถูกศาลสั่งกักขังแทนค่าปรับเป็นเวลา 10 วัน

8 กุมภาพันธ์ 2528 โดนจับกุมข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากกินอาหาร ร้าน 'เจ๊ฮ้อ' ตลาดโต้รุ่ง ประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี ในราคา 520 บาท แล้วไม่จ่ายเงิน เลยถูกจับส่งตำรวจใน แถมถูกลูกค้าในร้านตบสั่งสอน

18  มีนาคม 2528 ถูกศาลลงโทษจำคุก 45 วัน ให้คุมประพฤติเป็นเวลา 1 ปี โทษฐานกระทำความผิดข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ (ค่าอาหาร) 

ซึ่งหลังจากถูกศาลลงโทษจำคุกและคุมประพฤติเรื่องราวของแกก็ค่อย ๆ หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ส่วนหนึ่งอาจะเพราะร้านอาหารและสถานบริการต่าง ๆ ได้มีติดรูปของแกไว้เพื่อป้องกันการชักดาบเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง 

ปัจจุบันแกได้เสียชีวิตมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เรื่องราวความกล้าในการ 'ชักดาบ' ของแก เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่คงไม่มีใครอยากจะเลียนแบบนัก แต่ 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ก็เป็นเพียงคนเล็ก ๆ ที่ริอ่าน 'กินฟรี เที่ยวฟรี' 

ไม่เหมือนกลุ่มคนบางจำพวกที่มักใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการเบ่งกินฟรี เที่ยวฟรี อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยได้ยินได้ฟังกันมาตลอดในบ้านเรา เมืองเรา เอวัง

เทียบ!! ‘Gaza West Bank’ VS ‘Xinjiang’ ความต่างของการปกครองระหว่าง ‘พระเดช-พระคุณ’

การปกครองในพื้นที่ซึ่งผู้ถูกปกครองส่วนใหญ่มีเชื้อชาติ ความเชื่อ ศรัทธา ศาสนา ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากการปกครองเกิดขึ้นบนโลกนี้มากมายหลายแห่ง รวมทั้งในบ้านเราเองด้วย ซึ่งการปกครองนั้นมีเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็น สันติสุข อันจะนำไปสู่การพัฒนาและที่สุดจะนำมาซึ่งความเจริญสู่พื้นที่นั้น ๆ จึงถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าเรียนรู้ บทความนี้ขอนำเรื่องราวความแตกต่างที่เกิดขึ้นและเป็นข่าวอันโด่งดังที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเปรียบเทียบระหว่าง 2 พื้นที่ได้แก่ Gaza-West Bank ซึ่งถูกควบคุมโดยอิสราเอล และ Xinjiang ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยทั้ง 2 พื้นที่สามารถหยิบยกรูปแบบการปกครองควบคุมด้วยการใช้พระเดชกับพระคุณให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank ก็ด้วยเพราะอิสราเอลใช้อำนาจทางทหาร หรือพระเดชในการจัดการกับชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนที่อยู่ใน Gaza-West Bank กระทั่งชาว Gaza ต่างพากันเรียก Gaza บ้านของพวกเขาว่าเป็น ‘เขตกักกัน’ ที่เสมือนกับเป็น ‘เรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยจำนวนผู้คนร่วม 2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เพียง 365 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประชากรในฉนวน Gaza สองในสามอายุน้อยกว่า 25 ปี อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ‘António Guterres’ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เตือนว่า ฉนวน Gaza จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2020 เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปรับปรุงบริการและโครงสร้างพื้นฐาน 

เปรียบเทียบปริมาณการใช้น้ำระหว่างชาวอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ซึ่งต่างกันถึง 4 เท่า

ภายใต้การปิดล้อมของอิสราเอลเป็นสาเหตุในการโจมตีอิสราเอลของกลุ่ม Hamas สิ่งที่ประเทศตะวันตกปล่อยให้อิสราเอลกระทำต่อชาวปาเลสไตน์ เป็นเรื่องราวที่ไม่ปรากฏในสื่อหลักของโลกตะวันตก ไม่ว่าการปิดล้อมฉนวน Gaza การให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีไฟฟ้าใช้ได้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง การขาดแคลนน้ำเพื่อการบริโภคอย่างหนักในฉนวน Gaza เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงต่าง ๆ ที่กระทำโดยอิสราเอลนั้นทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza มีทางเลือกเพียง 2 ทาง คือ 1.) การต่อสู้กับผู้ปิดล้อม หรือ 2.) ขอให้อิสราเอลยอมผ่อนปรนมาตรการลดการปิดล้อม และยอมปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวน Gaza ใช้ชีวิตอย่างอิสระเยี่ยงเสรีชนของรัฐอิสระปกติทั่วไป (https://thestatestimes.com/post/2023101017)

รถไฟความเร็วสูงใน Xinjiang

ในขณะที่สื่อหลักของโลกตะวันตกพากันประณามสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรณีของ Xinjiang ในประเด็นที่ว่า มี ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ และ ‘การบังคับใช้แรงงาน’ ใน Xinjiang โดยคำว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ น่าจะถือเป็น ‘คำโกหกคำโต’  เพราะหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดตั้งเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region) เป็นต้นมา ชาวอุยกูร์ (ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมในพื้นที่) เพิ่มมากขึ้นจากกว่า 3 ล้านคนมาเป็นกว่า 12 ล้านคนในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของประชากรชนเผ่าต่าง ๆ ในเขต Xinjiang สูงขึ้นจากเฉลี่ยราว 30 ปีในสมัยก่อนมาเป็น 75.6 ปีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนาของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีด้วย

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ซินเจียง (Xinjiang Uygur Autonomous Region)

สิ่งที่เรียกว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ นั้นยิ่งเป็นข้อกล่าวหาที่บิดเบือนร้ายแรง โดยใช้คำว่า ‘การบังคับใช้แรงงาน’ เป็นข้ออ้าง ในการทำให้บริษัทต่าง ๆ ของจีนที่เข้าไปลงทุนใน Xinjiang ถูก Boycott จนไม่สามารถจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่ผลิตในพื้นที่ดังกล่าวได้ รัฐบาลจีนได้กล่าวว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจและวิตกกังวลในบางประเทศ จุดประสงค์ของพวกเขาในการสานต่อคำโกหกที่เกี่ยวข้องกับเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์คือ การขัดขวางการพัฒนาความเจริญของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ใน Xinjiang

ด้วยเหตุนี้การโฆษณาชวนเชื่อของสื่อตะวันตกจึงเป็นการขัดขวางการพัฒนาและการฟื้นฟูของจีนโดยรวม แต่จีนก็ยังคงมีพัฒนาความเจริญอย่างไม่หยุดยั้ง ความทันสมัยของประชากร 1.4 พันล้านคนจะเป็นความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในกระบวนการอารยธรรมของมนุษย์ การก่อตัวของตลาดขนาดใหญ่พิเศษของจีนจะมอบโอกาสการพัฒนาใหม่ ๆ ให้กับทุกประเทศ รวมทั้งช่วยให้โลกบรรลุการพัฒนาร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ดังที่ ‘ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง’ ได้เน้นย้ำว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน และทุกประเทศในโลกต่างก็ต้องอาศัยอยู่บนเรือที่มีชะตากรรมร่วมกัน พลโลกจึงต้องก้าวข้ามความแตกต่าง โดยสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ และทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มนุษยชาติอาศัยอยู่ได้ นี่คือความรู้สึกของจีนต่อโลกใบนี้ และถือเป็นเป้าหมายทางการทูตของจีนอีกด้วย

‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ใน Gaza-West Bank มีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย

เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน Gaza-West Bank และ Xinjiang จึงบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างการปกครองด้วยพระเดชกับพระคุณอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน วิธีการปฏิบัติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นวิธีการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับของรัฐบาลไทยในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการปฏิบัติต่อพลเมืองในพื้นที่ด้วยความเมตตา ความเข้าใจ ความยุติธรรม บนพื้นฐานของการมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่าง ๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันกับพลเมืองทั้งประเทศ ในขณะที่วิธีการปฏิบัติของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ใน Gaza-West Bank มีความชัดเจนว่า เป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏมากมาย แต่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสื่อหลักตะวันตกกลับหลับตาเพื่อให้มองไม่เห็น และสนับสนุน ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไป โลกใบนี้ยังคงตัดสินความถูกผิดของมวลมนุษยชาติด้วยชี้นำจากการโฆษณาชวนเชื่อของชาติตะวันตกโดยสื่อหลักตะวันตกเช่นนั้นหรือ?

ทำไม? ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงต้องการปราสาทขอม  ประวัติศาสตร์เรื่องอาณานิคม ที่คนรุ่นใหม่เล่าไม่ครบบริบท 

เมื่อประมาณสักหลายเดือนก่อน ผมได้ลองอ่านเรื่องประวัติศาสตร์อ่านสนุก ๆ ในโลก Social Media ซึ่งเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และปราสาทนครวัดจำลองในพื้นที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งปราสาทจำลององค์นี้ ซึ่งพระองค์มีพระราชบัญชาให้ขุนนางได้จำลองมาไว้ แต่ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องราวของการนำเอาปราสาทนครวัดมาจำลองไว้ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องของการรื้อถอนปราสาทหินจากเขมรเพื่อนำมาไว้ในสยาม แต่ประวัติศาสตร์อ่านสนุกนั้นไม่บอกไว้ว่าทำไม ? ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ถึงต้องรื้อปราสาทหินมาไว้ในพระนคร นอกจากพระองค์ยังทรงต้องการที่จะให้ชาวพระนครได้ชมปราสาทหินเขมร ซึ่งมันคือ 'เรื่องปลายทาง'

จากการไม่อธิบายตรงนั้น ทำให้หลายต่อหลายคนที่ได้มาอ่านก็คิดไปกันเองโดยไม่เข้าใจว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ เพียงแค่ต้องการปราสาทหินมาไว้ในพระนครเพื่อแสดงความเป็นเจ้าเหนือหัวของกษัตริย์เมืองเขมรที่เป็นประเทศราช ซึ่งผมมองว่าไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก หากจะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ สมควรจะเล่าบริบทให้ครบ

'เรื่องต้นทาง'

ในช่วงรัชกาลที่ ๔  สยามเริ่มเข้าสู่ความเชี่ยวกรากของนักล่าอาณานิคมโดยเฉพาะ 'นักล่าหน้าใหม่' ซึ่งมีความกระหายในการ 'ล่าเมืองขึ้น' ไม่ให้น้อยหน้าชาติในยุโรปที่ออกมาหาเมืองขึ้นก่อนหน้านั่นก็คือฝรั่งเศส ซึ่งกระโดดเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังอังกฤษ แต่ต้องการแสดงแสนยานุภาพให้โลกเห็นว่าตนเองก็ไม่ธรรมดา และการหาเมืองขึ้นเพื่อเชื่อมโยงตั้งแต่ทะเลจีนใต้ไปถึงประเทศจีนเป็นหมุดหมายสำคัญของฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น 

หลังจากผ่านพ้นช่วงการเมืองอันวุ่นวาย ฝรั่งเศสก็มีแนวความคิดที่จะออกสู่โลกอันกว้างใหญ่เพื่อหาเมืองขึ้น โดยสร้างชมรมนักสำรวจโดยสมอ้างมันคือชมรมการสำรวจอารยธรรมเพื่อความรู้ใหม่ของชาติ แต่เอาจริง ๆ ก็คือการสำรวจเพื่อประเมินทรัพยากรก่อนเข้ายึดครองนั่นเอง ซึ่งหนึ่งในการสำรวจครั้งนั้นก็มี ญวณ เขมร และลาว ซึ่งทุกประเทศล้วนเกี่ยวข้องกับสยาม ซึ่งเรื่องเล่านี้เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว 

ภายหลังจากภาพชุดแรกของนักธรรมชาติฝรั่งเศสชื่อ อองรี มูโอต์ ได้วาดและระบายสีภาพ 'อังกอร์วัด' และเมืองโบราณาอื่น ๆ กว่า ๘๐๐ ภาพ ในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๕๙ ก่อนนำไปตีพิมพ์ในวารสารเที่ยวรอบโลก Le Tour Du Monde ในช่วง ค.ศ. ๑๘๖๓ ซึ่งขณะที่มูโอต์ได้พบอังกอร์วัด กองทัพฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองญวณภาคใต้ได้สำเร็จ จากญวณก็พุ่งเป้าไปยังกัมพูชาเพื่อต่อยอดแผนอันทะเยอทะยานในการมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคนี้แต่เพียงผู้เดียว โดย นาวาตรีโบนาร์ด ข้าหลวงใหญ่แห่งโคชินไชน่า ได้เข้าไปในนครเสียมราฐอย่างเงียบ ๆ เพื่อศึกษาลู่ทางต่าง ๆ โดยเขาพบว่า 'นครวัด' อันรกร้างเหมาะจะเป็น 'สัญลักษณ์' ที่เหมาะสมที่สุดแห่งความชอบธรรมของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส เพราะว่าฝรั่งเศสกำลังจะพลิกฟื้นซากแห่งอารยธรรมโบราณให้แก่ประเทศที่ขาดการพัฒนา เพียงแต่อังกอร์วัดยังเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ชื่อว่า 'สยาม'

'เรื่องกลางทาง'

การที่ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาสนใจเขมรนั้น อยู่ในพระเนตรพระกรรณของในหลวงรัชกาลที่ ๔ มาตลอด พระองค์ทรงตระหนักถึงพิษภัยการคุกคามของฝรั่งเศสที่มีมากกว่าอังกฤษ แถมการทูตใด ๆ ก็ไม่สามารถระงับความอยากได้เขมรของฝรั่งเศสได้ เพราะฝรั่งเศสเดินเกมลุกอย่างหนักทั้งจากการเข้าเฝ้า 'สมเด็จพระนโรดมฯ พรหมบริรักษ์' เพื่อเสนอผลประโยชน์ที่เขมรจะได้รับหากแยกทางกับสยาม

การตอบโต้ฝรั่งเศสในครั้งนั้นของในหลวงรัชกาลที่ ๔ เพื่อตอบโต้การคุกคามของฝรั่งเศสในก็คือพระราชบัญชาให้ขุนนางไทยสำรวจปราสาทนครวัดอย่างถ้วนถี่ เพื่อรื้อถอนเข้ามายังสยาม แต่ในขณะที่สยามกำลังสำรวจนี้ ฝรั่งเศสได้ขนวัตถุโบราณออกจากเขมรไปอย่างต่อเนื่อง หลักฐานการขนสามารถดูได้จากหลักฐานของฝรั่งเศสเองซึ่งเยอะมาก ๆ 

แต่การตอบโต้แรกไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากปราสาทนครวัดนั้นใหญ่โตเกินไป แผนถัดไปจึงมีพระบรมราชโองการให้รื้อถอนปราสาทหินขนาดย่อม ๆ เข้ามาสัก ๒ หลัง โดยส่งกำลังพลถึง ๑,๐๐๐ คนเข้าไปโดยมุ่งไปที่ปราสาทพระขรรค์และปราสาทตาพรหม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถูกฝรั่งเศสเพ่งเล็งและรายงานไปยังข้าหลวงใหญ่ในโคชินไชน่าแทบจะทันที

ถ้าอ่านถึงตรงนี้หลายคนที่อ่านก็คงดรามากันแล้ว เหมือนจากเหตุต้นเรื่องที่ผมได้เล่ามา แต่พระบรมราโชบายนี้มีความลึกซึ้งกว่าที่เราจะมองเผิน ๆ ได้ เพราะเรามีปราสาทขอมในสยามที่ใกล้กรุงเทพฯ เยอะแยะ ทำไม ? ถึงต้องเอาปราสาทที่ไกลจากสยามออกถึงขนาดนั้น และไม่ใช่แค่พระองค์อยากนำปราสาทมาก่อไว้เพื่อเกียรติยศแต่อย่างใด

พระองค์ดำเนินพระราโชบายการรื้อถอนปราสาทหินเขมรเข้ามาเพื่อแสดงความเป็น 'เจ้าอธิราช' เหนือเขมรอย่างถูกต้องทั้งพฤตินัยและนิตินัย เพราะฝรั่งเศสในขณะนั้นเขามาลักกินขโมยกิน ทั้ง ๆ ที่ผู้สถาปนากษัตริย์เขมรคือพระมหากษัตริย์แห่งสยาม 

'เรื่องปลายทาง'

โครงการรื้อถอนปราสาทพระขรรค์และปราสาทตาพรหม ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีทหารป่าเขมรประมาณ ๓๐๐ คน เข้ามาโจมตีขุนนางสยามจนล้มตาย บาดเจ็บไปหลายคน แต่กระนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยังคงมีพระราชบัญชาให้ดำเนินการต่อ 'เอาเข้ามาให้จงได้' เพราะเดิมครั้งนั้นคือการเสียบ้านเสียงเมืองในส่วนของเขมรซึ่งอยู่กับสยามมาอย่างยาวนานนับเนื่องมาถึง ๔ รัชกาล 

แต่ในท้ายที่สุดเหล่าขุนนาง เสนาบดีได้เข้าชื่อทำเรื่องทูลเกล้าฯ ขอพระราชทาน 'ระงับ' เพราะเหลือกำลังที่จะรื้อ หรือถ้ารื้อมาแล้วการประกอบขึ้นใหม่ถ้าทำแล้วไม่เหมือน ไม่สมบูรณ์ ก็จะเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเสียอีก ทำให้เวลาต่อมาจึงได้ทรงมีพระราชบัญชาให้สร้างปราสาทนครวัดจำลอง ย่อส่วนลงมาไว้เป็นที่ระลึกภายในพื้นที่ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังที่เราได้เห็นกันอยู่ถึงวันนี้

นอกเหนือการนำปราสาทหินเขมรเข้าในพระนคร ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ยังคงมีสัญญาลับที่ทำกับเขมรในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ เพื่อยังคงดำเนินการักษาอธิราชของสยามที่มีต่อเขมรไว้ แต่ฝรั่งเศสก็ขัดขวางไว้เช่นเคย โดยใช้เรือปืนมาข่มขู่สยามถึงปากน้ำเจ้าพระยาจนเราต้องยอม ส่วนทางเขมรฝรั่งเศสก็ส่งตัวแทนเข้าสู่ราชสำนักเขมรและเสนอผลประโยชน์เพื่อให้เขมรเลิกเป็นประเทศราชของสยาม และเป็นมาเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส 

สุดท้ายเขมรก็ตกลงเพราะประโยชน์ที่ได้มันค่อนข้างจะคุ้มค่ามาก ๆ ในช่วงเวลานั้น ทำให้การลักกิน ขโมยกินของฝรั่งเศสเป็นเรื่องถูกต้องทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย สัญญาลับที่เราทำกับเขมรก็เป็นโมฆะไปโดยปริยาย แล้วฝรั่งเศสก็เดินหน้ายึดพื้นที่ไปเรื่อย ๆ จนพื้นที่ญวณ เขมร และลาวเป็นพื้นที่ในอารักขาของฝรั่งเศสไปทั้งหมด 

สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงดำเนินพระราโชบายและที่ทรงได้มีพระราชบัญชา เป็นการมองการณ์ไกล เพื่อแสดงความเป็นเจ้าอธิราชให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้น เพราะหากฝรั่งเศสได้เขมร พื้นทื่อื่น ๆ ที่ติดกับเขมรย่อมต้องเสียตามไปอีกเป็นแน่แท้ แล้วการณ์ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่พระองค์คาดไว้ จากนโยบายเรือปืนของฝรั่งเศส ที่เราได้ผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องในอีกถึง ๒ รัชกาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top